Once a Blues, Always a Blues.
Blues Column
Football Aholic
ThaiPlayball
Fiction
เชลซีหน้าบี สุนทรีย์ไม่แพ้หน้าเอ
ชัยชนะของพวกไม่มีประวัติศาสตร์
เฉือน..ฆาตกรรมรำลึกของป๋าแพนด้า กับพี่แจ้อิตาเลียน
ข้อสอบกลางภาคของอันเชลอตติ
ไปเก็บกดกันมาจากหน๊ายยยย
นักมายากลคัมแบ็ค
สมการใหม่สิงห์บลูส์ [นิวนิโก้ + นิวมิช่า = สมดุล]
Death ball - Dead Chelsea
เชื่อมั่นในสิงห์บลูส์ กับนายหัวอันเชลอตติ
สะดุดลาติกส์ แต่ช่วยสะกิดคาร์เล็ตโต้
ดับเบิล ดาร์บี้ ในอารมณ์ที่แตกต่าง
อ้ายหอก"ฮัลค์" กับสิงห์บลูส์ในวันที่พระพิรุณคลั่ง
เชลซีในเครื่องหมายคำถาม
เชลซีในกลิ่นอายของพิซซ่า
9 แต้มเต็มของเชลซี กับ การหมุนเวียนแข้งพันล้าน
"คาร์เล็ตโต้" กับเหลี่ยมเพชรที่ยังรอการพิสูจน์
ข้อสอบกลางภาคของอันเชลอตติ
รีบอค สเตเดี้ยม
สนามนี้มีความทรงจำที่ไม่เคยจางสำหรับแฟนเชลซีทุกคน...
ภาพที่แฟรงค์ แลมพาร์ดเลี้ยงบอลหลบยัสเคไลเน่น ราวกับฝังแม่เหล็กติดปลายสตั๊ด
ก่อนจะเข่นเข้าไปจมที่ก้นตาข่ายเป็นประตูฝังเจ้าบ้านอย่างเลือดเย็นและอำมหิต พร้อมๆกับพาเชลซีการันตีสถานะ
"แชมเปี้ยน"
ของลีกสูงสุดที่รอคอยมานานนมจนนมบางคนยานไปถึงหัวเข่าได้แบบร้อยเปอร์เซนต์ภาพนั้น
สำหรับผม มันยังคงแจ่มชัดราวกับเหตุการณ์ที่ว่าพึ่งผ่านไปเมื่อคืนวานนี้เอง
ห้าปีให้หลัง ซุปเปอร์แลมพส์คนดีคนเดิม ก็มาเพิ่มตัวเลขในบัญชีนายพรานล่าตาข่ายเอาไว้ที่ 133 แผล (ในฐานะกองกลาง) ภายใต้เครื่องแบบสีน้ำเงินได้สำเร็จอีกครั้งด้วยลูกจุดโทษของถนัด
อีกทั้งยังสามารถกระเถิบอันดับในทำเนียบดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ขึ้นมานั่งยิ้มหวานอยู่ในอันดับที่สี่ เหนือยอดมือปืนในตำนานอย่าง
"จิมมี่ กรีฟส์"
ไปแล้วอีกต่างหาก
สุโค่ย! มั้ยล่ะครับ สำหรับจอมทัพหมายเลข 8 แห่งเดอะ บริดจ์รูปหล่อคนนี้
คงไม่ผิดไปจากนี้นะครับ หากบอกว่าโบลตัน วันเดอเรอร์ส ถือเป็นงูเหลือมเชื่องๆตัวนึงเมื่อมาพบกับเชือกกล้วยแข็งๆอย่างเชลซี ทุกครั้งที่ประลองยุทธ์กัน งูเหลือมตัวนี้ ไม่เคยดิ้นหนีมางับเชือกกล้วยอย่างเชลซีได้เลยซักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่เดอะ บริดจ์ หรือรีบอค สเตเดี้ยมก็ตาม
แม้แต่การดวลฝีเท้าในระยะเวลาห่างกันแค่ 3 วัน ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ความแตกต่างของแท็คติคที่อันเชลอตติวางในการพบกับเดอะ ทร็อตเตอร์สทั้งสองนัด อยู่ที่สถานะการเป็น
"สิงห์เฝ้าถ้ำ"
กับ
"สิงห์ล่าเหยื่อ"
แค่นั้นเองนะครับ
เกมกลางสัปดาห์ในศึกคาร์ลิ่ง
"มิคกี้เม้าส์ (แต่เอานะ)"
คัพ
เชลซีเปิดเกมรุกเข้าใส่อาคันตุกะเสื้อขาวแบบไม่ให้หายใจหายคอ ด้วยเวทย์มนต์จากปลายสตั๊ดของพ่อมดน้อย
"โจ โคล"
ก่อนทำนบที่แข็งกร้าวของโบลตันจะค่อยๆถูกกระเทาะทีละน้อยๆ สุดท้ายก็พังพาบพร้อมกับอาการทวารบาน อันเกิดจากการเข้ากระทำชำเราแบบไม่มียั้งหยุดของขุนแข้งสิงห์บลูส์
นับจำนวนแผลที่ได้กลับไปฝากพยาบาลที่รีบอค สเตเดี้ยมนั้นอุโฆษถึง 4 แผลเลยทีเดียว
แต่พอเปลี่ยนสถานะเป็นทีมเยือนบ้าง อันเชลอตติก็สาธิตสารคดี
"สิงห์ล่าเหยื่อ"
ภาคภาษาอิตาเลียนให้ได้ยลกันแบบอิ่มหนำแถมผลลัพธ์ที่ได้ ก็ฉกาจฉกรรจ์ไม่แพ้ตอนที่เป็นสิงห์เฝ้าถ้ำแต่อย่างใด
เชลซีกางตำรา
"คาเตนัชโช่"
ออกมาหลอกล่อโบลตันให้เดินหน้าเข้าหา ก่อนจะอาศัยอะไรบางอย่างที่เรียกว่า
"เคาน์เตอร์ แอ็ทแท็ค"
ตีหัวเดอะ ทร็อตเตอร์ส แบบเอาให้ตายไปข้าง โดยขออนุญาตยกประตูของ
"เดโก้"
มาเป็นตัวสนับสนุนความเชื่อนะครับ
เชลซีใช้การต่อบอลจากรับ มาเป็นรุกด้วยความเร็วพอๆกับเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ที่ชอบเสียตัวในวันวาเลนไทน์ หรือวันลอยกระทง (เกี่ยวมั้ย?) พวกเขาใช้การต่อบอลแค่ไม่กี่จังหวะ ก่อนจะจบลงด้วยลูกยิงที่หมดจดของตั๊ก บริบูรณ์ แดนฝอยทอง
บอลจากอเนลก้าคมกริบจนเลือดซิบ (ไม่ใช่กระดุม??) ช่วยฮาด้วยนะครับ) พอที่จะฆ่าแบ็คโฟร์ของโบลตันได้สบายๆ ขณะที่เดโก้ก็ไม่ลืมที่จะงัดสูตร
"สี่เหลี่ยม+เอ็กซ์"
ในวินนิ่งภาค 2000 (เก่ามาก) สังหารเข้าไปแบบน่าหลงใหลไม่แพ้อดีตชายงามอย่าง "น้องปอย" เลยทีเดียว
หรือที่มาของลูกจุดโทษที่แลมพส์ยิง นั่นก็เกิดจากเกมเคาน์เตอร์ แอ็ทแท็ค เช่นกันนะครับ
ลูกนั้นเป็นจังหวะที่โบลตันเสียบอลที่บริเวณทางขวาราวๆ 20-30 หลา หน้าประตูเชลซี ก่อนจอห์น เทอร์รี่ตัดบอลได้และเปลี่ยนเกมเร็วออกไปให้แฟร์เรยร่า (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) แล้วขึ้นเกมเร็วอีกแค่ 2 จังหวะจากเดโก้ และคิลเลอร์ พาสของบัลลัค แค่นั้นดิดิเย่ร์ ดร็อกบาก็หลุดเดี่ยวเลย
เหตุการณ์หลังจากนั้นก็คือใบแดงของซามูเอล และประตูขึ้นนำของเชลซีนั่นแหละครับ
ส่วนลูกที่สามและสี่ เป็นเพียงโบนัสจากการเล่นแบบ
"สิงห์ล่าเหยื่อ"
เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรน่าพูดถึงและกระแทกคีย์บอร์ดเท่ากับสิ่งที่ผมสังเกตเห็นต่อไปนี้เท่าไหร่
ผมรู้สึกว่าได้เห็นเชลซีเล่นแล้วชักเกิดอาการเสพติด "ทีมสปิริต" มากขึ้นทุกๆทีซินะครับ
ภาพที่นักเตะแต่ละคนโปรยรอยยิ้ม เข้ามากอดหรือลูบหัวกันเวลาที่ทีมทำประตูได้ มันขาดเสน่ห์ไปเยอะเลยหลังการหันหลังให้เดอะ บริดจ์ของเฮียมู อันเป็นที่รักของทั้งนักเตะและแฟนบอล
แต่หลังจากที่บิ๊กกุสกอบกู้สปิริตคืนกลับมา ผมมองว่ามันตกสะเก็ดมาถึงอันเชลอตติด้วย
ในห้วงอารมณ์ที่คิดเองเออเองของผม ผมสังเกตเห็นนักเตะที่อีโก้สูงหลายๆคนเล่นเพื่อทีมมากขึ้น จะเป็นบัลลัค, อเนลก้า, เดโก้ หรือดร็อกบาเองก็ตาม
วันนี้ขอโฟกัสไปแค่ที่เดอะ ดร็อก กับนิโก้ละกันนะครับ
ผมว่าเขาทั้งสองคนมีเซนส์บอลที่ทันกันมากๆและที่น่าชื่นชมมากไปกว่านั้น คือมือปืนทั้งสองจะไม่ฝืนหรือพะวงเรื่องการ
"ยิงประตูของตัวเอง"
มากไปกว่าทำยังไงก็ได้ให้
"ประตูของทีม"
เกิดขึ้นก่อน หลังจากนั้นค่อยหาโอกาสทำผลงานให้ตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องจริงหรือผมคิดไปเองก็ไม่รู้
วานเพื่อนๆช่วยสังเกตอีกแรงแล้วกัน
ดร็อกบากับนิโก้นั้นจะมองหากันก่อนเลย เวลาที่ใครซักคนได้บอล และยินดีที่จะเปิดป้อนให้เสมอ หากเห็นว่าคู่หู หรือเพื่อนๆในทีมมีโอกาสในการเข้าทำที่ดีกว่า
โดยเฉพาะเจ้านิโก้นั้น ถอนตัวเองมาทำเกมราวกับเป็นเพลย์เมคเกอร์กลายๆเลยทีเดียว
ยอมรับครับว่าอันเชลอตตินั้นเข้ามาทำเชลซีให้กลับมาอยู่ในเส้นทางที่เหมาะสมอีกครั้ง หลังจากเมาหมัดกับการจากไปของมูรินโญ่พอสมควร
ถ้าจะให้เปรียบเป็นนักเรียนใหม่ อันเชลอตติก็เก็บคะแนนระหว่างเรียนไปได้มากในระดับที่น่าพอใจแล้วล่ะครับ
แต่
"ข้อสอบกลางภาค"
ที่กำลังจะเดินทางมาถึงในสุดสัปดาห์นี้ต่างหาก ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าพี่แจ้ภาคอิตาเลียนคนนี้ มีความสามารถในการบริหารจัดการเชลซีได้ดีแค่ไหน
คนที่แบกข้อสอบมาให้อันเชลอตติก็ไม่ใครที่ไหนหรอกครับ
ก็แค่คนแก่ๆ แก้มแดงๆ คนนึง ที่ชื่อว่า "เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" อาจารย์ใหญ่ของพรีเมียร์ลีก เท่านั้นเองแหละครับ พี่น้อง!!!
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 12:27:38 น.
0 comments
Counter : 923 Pageviews.
Share
Tweet
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
Extitude
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
sa-ngob-jai
Hermy
s_manavvan
brackleyvee
Wadoiji
Webmaster - BlogGang
[Add Extitude's blog to your web]
เทอร์รี่คุง ณ เอ็กซ์ทีน
เทอร์รี่คุง ณ สยามสปอร์ต
บทความจากนักเล่นเว็บพรีเมียร์แฟนคลับ
สแตมฟอร์ด บริดจ์ ใกล้แค่ปลายนิ้ว
Bloggang.com