|
|
ลุงชวน “ไอติมโบราณ” เย็นฉ่ำ หวานชื่นใจ
บรรยากาศชวนนั่งกินไอศกรีมเย็นๆ ริมคลองลัดมะยมโลกร้อน ฤดูร้อน อากาศร้อน การเมืองร้อน เข้าวัดก็ร้อน...ร้อน..ร้อน..ร้อน... โอ้ย!!!ร้อนไปหมด ร้อนๆแบบนี้ หากได้กินอะไรเย็นๆฉ่ำๆหวานๆ ก็คงช่วยคลายร้อนได้ไม่มากก็น้อย ว่าแล้ว จึงออกไปหาของกินดับลมร้อนกับ “ไอศกรีม” (ไอติม)หวานๆ เย็นๆ สักถ้วยสองถ้วย เพื่อช่วยเพิ่มความเย็นท้องและเย็นใจ ไอศกรีมร้านนี้อยู่ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยม ตลาดน้ำเล็กๆในกทม.ที่มีของกินมากมาย นับเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนของคนกรุงที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับร้านไอศกรีมที่เราแวะมาคลายร้อนนั้น คือร้าน “ไอติมโบราณ” ลุงชวน ที่ไม่ใช่ลุงชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี(ที่ช่วงนี้ออกมากรีดพลังประชาชนอยู่บ่อยครั้ง) หากแต่เป็นไอศกรีมโบราณร้านลุงชวน ชูจันทร์ ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม ไอศกรีมหวานๆ เย็นๆ ชวนลิ้มรส ไอศกรีมโบราณที่นี่เป็นไอศกรีมทำเอง(โฮมเมด) หลากหลายรสชาติแบบไทยๆเหตุที่เรียกว่า“ไอติมโบราณ”นั้น ลุงชวนบอกว่า เพราะใช้สูตรการทำไอศกรีมแบบโบราณ ที่ทางครอบครัวทำกินกันเองที่บ้าน และได้นำมาคิดค้นดัดแปลงสูตรอยู่นาน จนได้ทำออกมาขายเป็นไอศกรีมแบบไทยๆ ที่คัดสรรแต่วัตถุดิบอย่างดีที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นมะพร้าวอ่อน มะพร้าวกะทิ ขนุน ข้าวโพด เผือก แตงโม และผลไม้อื่นๆ อีกมากมายมาทำเป็นไอศกรีมมากมายหลายรส และหากถึงช่วงฤดูผลไม้ไหนออก ก็จะนำมาทำเป็นไอศกรีมรสพิเศษให้ได้ลิ้มรสกัน และไอศกรีมที่นี่ไม่ได้ใส่สารเคมีใดๆเจือปน จึงปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ไอศกรีมของที่นี่มีขายยืนพื้นเป็นประจำอยู่หลายรสด้วยกัน อาทิ ไอศกรีมรวมมิตร เป็นไอศกรีมกะทิที่จะใส่เครื่องหลายอย่างทั้งเผือก ลอดช่อง ข้าวโพด มะพร้าวอ่อน ขนุน ที่กินแล้วรสหวานหอม กินกับเครื่องที่ใส่มาเพลินปากนัก ไอศกรีมมะพร้าว เนื้อเนียนสีขาว มีเนื้อมะพร้าวอ่อนล้วนๆ ปั่นมากับไอศกรีม ให้รสหอมหวานเย็นชื่นใจ แถมมีเนื้อมะพร้าวให้เคี้ยวในเนื้อไอศกรีมด้วย แต่ถ้าใครชอบรสกาแฟก็มี ไอศกรีมกาแฟ ที่ใช้ผงกาแฟปั่นรวมกับไอศกรีมกะทิ กินแล้วหอมกลิ่นกาแฟเย็นปากหลากหลายรสชาติกับไอศกรีมแบบไทยๆ และยังมีไอศกรีมรสผลไม้ อย่างไอศกรีมแตงโม ที่เนื้อไอศกรีมจะหยาบนิดๆ กินแล้วชื่นใจเหมือนได้กินน้ำแตงโมปั่นจนเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ สีแดงสดใสรสชาติหวานอมเปรี้ยวชื่นใจ ไอศกรีมลูกพรุน ที่ใช้เนื้อลูกพรุนปั่นรวมกับไอศกรีมกะทิ กินแล้วได้รสชาติลูกพรุนหอมๆ หวานฉ่ำปาก ไอศกรีมกระเจี๊ยบ รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆแบบไทยๆ ไอศกรีมลำไย หวานหอมเย็นชื่นใจมีเนื้อลำไยด้วย ราคาไอศกรีมขายใส่ถ้วย ตักให้ 3 ลูก (10 บาท) แต่ถ้าใส่ถ้วยโคนกรอบได้ไอศกรีม 1 ลูกใหญ่ (5 บาท) หรือจะซื้อกลับบ้านก็มีขายครึ่งก.ก. (40 บาท) 1 ก.ก. (80 บาท) นอกจากไอศกรีมเย็นๆแล้ว ที่ร้านไอติมโบราณยังมีข้าวแกงสารพัด ขนมจีนน้ำยาหลากหลายให้กินแบบอิ่มท้องกันอีก ซึ่งหากใครอยากคลายร้อนด้วยไอศกรีมอร่อยๆรสชาติไทยๆ ร้าน “ไอติมโบราณ” ถือเป็นอีกหนึ่งหนทางคลายร้อนที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง“ไอติมโบราณ” ตั้งอยู่ตรงข้ามตลาดน้ำคลองลัดมะยม ถ.บางระมาด แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม. การเดินทางให้วิ่งมาตามถ.บรมราชชนนีมุ่งหน้าไปทางพุทธมณฑล จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถ. กาญจนาภิเษก (บางแค-บางบัวทอง) จะผ่านปั๊มน้ำมันเอสโซ่ (ปั้มที่ 1) ปั๊มเจ็ท และปั๊มเอสโซ่ (ปั๊มที่ 2) ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยข้างปั๊มเอสโซ่ที่ 2 ปากซอยเขียนว่าเป็นทางลัดสู่จรัญสนิทวงศ์ 35 วิ่งเข้ามาในซอยประมาณ 1 กม. จะเห็นตลาดน้ำคลองลัดมะยมอยู่ทางซ้ายมือ และจะเห็นป้ายทางขวามือเขียนบอกว่าร้านไอติมโบราณ ให้เลี้ยวเข้ามาทางขวามือนั้น ตรงมาด้านในจะเห็นร้านไอติมฯ ตั้งอยู่ติดกับริมคลองลัดมะยม เปิดทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. โทร.08-9215-2659 (ตลาดน้ำคลองลัดมะยมเปิดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) และนอกจากไอศกรีมโบราณที่ร้านลุงชวนแล้ว ตลาดน้ำคลองลัดมะยมยังมีของกินอร่อยๆให้เลือกอีกมากมาย
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2553 11:31:00 น. |
| |
Counter : 538 Pageviews. |
| |
|
|
|
เคี้ยวเด้ง รสเด็ด "ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ
หลายครั้งหลายคราที่ มีโอกาสเดินทางมายังย่าน "บางขุนนนท์" ฝั่งธนบุรี ต้องบอกว่าบางขุนนนท์ย่านเล็กๆ แห่งนี้ ไม่เคยทำให้คนชอบกินอย่างเราต้องผิดหวังเลย เพราะตั้งแต่ต้นย่านยันท้ายย่านนั้นมากมายไปด้วยร้านอาหารเจ้าเด็ด โดยเฉพาะร้านก๋วยเตี๋ยวรสเด็ด เจ้าดังนั้นมีมากมายอย่างร้านที่ เลือกจะมาฝากท้องอิ่มด้วยในมื้อนี้นั้น ต้องบอกว่าเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเจ้าเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมานานในบางขุนนนท์ นั่นก็คือร้าน "ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ" ที่เปิดขายความอร่อยมานาน30 กว่าปีแล้ว โดยมีนายเงี๊ยบ หรือคุณสมชาติ สาลีพัฒนา เป็นเจ้าของร้านที่มีอัธยาศัยที่ดีและมีความจริงใจต่อลูกค้า นำเสนอก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่มีคุณภาพ และมีรสชาติที่ถูกปากนักกินมาโดยตลอด สำหรับทีเด็ดของก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบนี้แน่นอนว่าก็ต้องอยู่ที่ลูกชิ้นปลาตามชื่อร้าน ซึ่งมีรสชาติดีไม่มีที่ไหนเหมือน คุณสมชาติบอกว่าที่นี่ใช้เนื้อปลาล้วนๆ มาทำลูกชิ้น ซึ่งใช้เนื้อปลาถึง 3 ชนิดนำมาผสมรวมกัน คือมีทั้งปลาดาบยาว ปลาหางเหลือง และปลาอินทรี และที่สำคัญลูกชิ้นทุกลูกของที่นี่ใช้มื้อปั้นล้วนๆ ไม่ใช่เครื่องปั้นลูกชิ้นแต่อย่างไร จึงทำให้ได้ลูกชิ้นที่เมื่อกินแล้วจะสัมผัสได้ถึง ลูกชิ้นที่มีความสดกรอบ ไม่คาว เคี้ยวแล้วเหนียวนุ่มเด้งๆ อยู่ในปาก (โดยไม่ได้ใส่สารแต่อย่างใด) ลูกชิ้นปลาของที่นี่มีหลายอย่าง มีทั้งลูกชิ้นกลม ลูกชิ้นรักบี้ ลูกชิ้นเหลี่ยมที่ใส่เห็ดหอมกับกุ้งแห้งอยู่ตรงกลาง ฮือก๊วย คือเนื้อปลาทั้ง 3 นั้นนวดเป็นเส้นยาวๆ แล้วทอด ลูกชิ้นกุ้งที่ใช้เนื้อกุ้งแชบ๊วยล้วนๆ เกี๊ยวปลา คือเนื้อปลาทั้ง 3 นำมาทำตีเป็นแผ่นแล้วข้างในใส่ไส้หมูปรุงรส และเส้นปลาที่นำจากเนื้อปลาทั้ง 3 นั้นตัดมาเป็นเส้นๆ ซึ่งลูกชิ้นปลาของที่นี่จะเลือกสั่งมากินแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ อย่างถ้าอยากชิมสารพัดลูกชิ้นปลาล้วนๆ แนะนำว่าสั่งมาเป็นเกาเหลา (45 บาท) แต่ถ้ากลัวไม่อิ่มก็สั่งเป็นก๋วยเตี๋ยวมีเส้น ที่มีหลายเส้นให้เลือกมีทั้งเส้นใหญ่ เส้นเล็ก เส้นหมี่ขาว บะหมี่ เกี้ยมอี๊ (ชามละ 35 บาท พิเศษ 45 บาท) แต่ถ้าเป็นวุ้นเส้น 45 บาท พิเศษ 55 บาท หรือจะสั่งเป็นเส้นหมี่ปลา ก็คือเอาเส้นปลามาแทนเส้นก๋วยเตี๋ยว (55 บาท พิเศษ 65 บาท) ก็รสดีถูกปากไปอีกแบบและนอกจากก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดแล้ว ยังมีเมนูอย่างอื่นขายเสริมเพิ่มความอร่อยอีก อย่างหนังปลาน้ำพริกเผา (35 บาท) ทำมาจากหนังปลาอินทรีทอดปรุงรสและทอดมากรอบๆ กินกับน้ำพริกเผา หอมหวานไม่เผ็ดมากที่ทางร้านทำเอง (มีน้ำพริกเผาขายเป็นขวดๆ ละ 60 บาท) และยังมีไอศกรีมกะทิสด ที่ทางร้านทำเองอีกเช่นกัน (20 บาท) ที่กินแล้วหวานหอมกะทิ เย็นชื่นใจ ซึ่งหากใครมีโอกาสผ่านมาแถวบางขุนนนท์ ก็ลองแวะมาลองลิ้มชิมรสก๋วยเตี๋ยวร้าน "ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ" กันดูสักชามสองชามจะเป็นไรไป เหมือนที่ ทำอยู่นี่ยังไง"ลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ" ตั้งอยู่ที่ 61/46 ถ.บางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. การเดินทางถ้ามาจากแยกปิ่นเกล้า ให้วิ่งตรงมาทางถ.จรัญสนิทวงศ์ (ที่จะมุ่งหน้าไปท่าพระ) วิ่งตรงมาจนเจอแยกไฟแดง ก็ให้เลี้ยวขวาเข้าบางขุนนนท์ ขับตรงเข้ามาในบางขุนนนท์เรื่อยๆ ก็จะเห็นร้านลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบตั้งอยู่ทางซ้ายมือ มีป้ายให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน (หยุดเฉพาะช่วงสงกรานต์) เวลา 9.00-18.00 น. โทร. 0-2433-2092, 0-2424-8767, 08-4676-5556 และมีอีก 1 สาขา ตั้งอยู่ที่ถ.พุทธมณฑลสาย 4 โทร. 0-2441-0655, 0-2888-9010
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2553 10:50:59 น. |
| |
Counter : 433 Pageviews. |
| |
|
|
|
“ข้าวมันไก่ตอน ประตูน้ำ” รสล้ำข้าวนิ่ม ไก่นุ่ม
แม้ “ข้าวมันไก่” จะเป็นเมนูอาหารจานเดียว ที่สามารถหากินได้ทั่วฟ้าเมืองไทย แต่หากจะหาร้านรสโอชะชวนกินนั้น อาจจะต้องสรรหากันสักนิด ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านประตูน้ำที่ถือว่ามีร้านข้าวมันไก่ชื่อดังอยู่หลายเจ้าด้วยกัน แต่ละร้านต่างก็มีสูตรและวิธีการทำที่แตกต่างกันออกไป อย่างกับร้าน“ไก่ตอนประตูน้ำ” ตรงซอยเพชรบุรี 30 นี่ก็เป็นหนึ่งในร้านดังที่การันตีในรสชาติด้วยการเปิดขายข้าวมันไก่ตอนมานานกว่า 40 ปีแล้ว สำหรับข้าวมันไก่ตอน(จานละ 30 บาท พิเศษ 40 บาท)เมนูจานเด็ดของที่นี่ ทางร้านจะเลือกสั่งไก่มาจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะ และเลือกไก่ตอนที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 2-3 กก. นำมาล้างและทำความสะอาดอย่างดี ก่อนจะนำไปต้มกับน้ำที่ใส่เกลือไว้ และต้มไก่นานประมาณ 45 นาที โดยมีเทคนิคการต้มเฉพาะของทางร้าน จนได้ไก่ตอนที่ทั้งเนื้อและหนังเต่งตึงชวนกิน ไก่ของที่ร้านนี้จะหั่นแล่มาเป็นชิ้นๆ ไม่ตบจนแบนเหมือนร้านอื่น ส่วนข้าวมันทางร้านใช้ข้าวหอมมะลินำมาหุงกับน้ำซุปต้มกระดูกไก่ที่ปรุงรสชาติด้วยเกลือและซีอิ๊วขาว และมีกระเทียมเจียวกับน้ำมันไก่ใส่หุงลงไปพร้อมกันด้วย หุงจนข้าวสุกส่งกลิ่นหอม ลิ้มรสข้าวมันไก่ตอนถูกปากโดนใจทั้งตัวเนื้อไก่ที่ เนื้อแน่นนิ่ม เคี้ยวนุ่มปาก กลมกลึงรสชาติเข้ากับข้าวมันหอมกลิ่นกระเทียมเจียวอ่อนๆ ข้าวเป็นเม็ดนุ่มๆ ไม่แฉะไม่มันจนเกินไป และกินคู่กับน้ำจิ้มข้าวมันไก่สูตรไหหลำรสเด็ด ที่มีรสชาติกลมกล่อมปาก แถมยังมีพริกกับขิงให้ใส่เพิ่มความเผ็ดตามชอบ อ้อ!! เกือบลืมไปข้าวมันไก่ของที่นี่จะเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำซุปร้อนๆ ที่มีรสหวานกลมกล่อมน้ำต้มกระดูกไก่และได้เคี้ยวชิ้นฟักนิ่มๆอีกด้วยนอกจากเมนูข้าวมันไก่ตอนอันเป็นเมนูชูโรงแล้ว ก็ยังมีเมนูอื่นๆ ที่ให้เลือกสั่งมากินคู่กับข้าวมันไก่อีก อย่างมะระซี่โครงหมูตุ๋น (30 บาท) เสิร์ฟมาเป็นโถร้อนๆ หอมกลิ่นน้ำซุปมะระอ่อนๆ ซดน้ำซุปร้อนๆ ชุ่มชื่นคล่องคอ น้ำซุปรสดีกลมกล่อม มะระตุ๋นจนเนื้อนุ่มเคี้ยวนิ่มไม่ขมปาก ซี่โครงหมูก็เปื่อยนุ่มไม่แพ้กัน และก็ยังมีเมนูซดน้ำซุปร้อนอีกอย่าง คือ เป็ดตุ๋นเห็ดหอม (40 บาท) ซดน้ำซุปร้อนๆ หอมกลิ่นยาจีน เนื้อเป็ดนุ่มๆ สั่งมากินคู่กับข้าวมันเปล่าๆ ก็เข้าท่าดี หรือจะสั่งเป็นเมนู ไก่ตอน (จานละ 40, 60, 120 บาท) ข้าวมัน (ถ้วยละ 5 บาท) ข้าวหมูอบ (30 บาท พิเศษ 40 บาท) ที่ถ้าใครเป็นสาวกข้าวมันไก่เหมือน แล้วลองหาโอกาสมาลองลิ้มข้าวมันไก่ตอนของที่ร้านนี้ เป็นต้องได้อิ่มพุงกางกลับบ้านกันไป “ข้าวมันไก่ตอน ประตูน้ำ” ตั้งอยู่ที่ปากซอยเพชรบุรี 30 ประตูน้ำ ถ.เพชรบุรี มักกะสัน ราชเทวี กรุงเทพฯ ร้านเป็นตึกแถวตั้งอยู่ริมถนนหน้าปากซอยเพชรบุรี 30 มีป้ายร้านให้เห็นชัดเจน เปิดทุกวัน 2 รอบ เวลา 05.30-15.00 น. และ 17.00-03.00 น. โทร. 0-2252-6325
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2553 10:11:10 น. |
| |
Counter : 521 Pageviews. |
| |
|
|
|
10 ขั้นตอน...ก่อนซื้อ Notebook มือสอง
สำหรับคนที่ชอบใช้ของใหม่อาจไม่สนใจซื้อคอมพิวเตอร์มือสองมาใช้ แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วคอมพิวเตอร์มือสองเหล่านี้ บางครั้งมีประสิทธิภาพพอๆ กับของใหม่ที่กำลังโฆษณาในทีวีด้วยซ้ำ แถมราคาก็ถูกเอามากๆ เสียด้วยแต่ด้วยกลยุทธ์การตลาดของผู้ผลิตที่ต้องการทำยอดขายสูงๆ ทำให้โฆษณาที่ออกมานั้นมักจะโน้มน้าวให้ผู้บริโภคซื้อเครื่องใหม่ไปเลย โดยไม่นิยมให้ลูกค้าอัพเกรดเครื่องเดิมที่ใช้อยู่ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้นในทุกวันนี้ ดังนั้น หากใครสนใจซื้อโน้ตบุ๊คมือสองมาใช้ อาจเริ่มต้นด้วย 10 ขั้นตอน ดังนี้1. ปรับความคิดเสียก่อน เพราะยังไงคนส่วนใหญ่ก็ชอบของใหม่ ยิ่งเทคโนโลยีล่าสุดยิ่งน่าดึงดูดใจ แต่จริงๆ แล้วโน้ตบุ๊คมือสองที่ขายกันเมื่อปีที่แล้วหรือต้นปีนี้ มีประสิทธิภาพไม่แพ้รุ่นที่ขายอยู่ขณะนี้เลยทีเดียว ที่สำคัญ ซื้อมือสองยังได้ Windows XP อีกด้วย (Vista อย่าเพิ่งน้อยใจ)2. หาแหล่งขายของมือสองถูกๆ ถ้าซื้อจากเว็บไซต์ได้จะดีมาก เพราะราคาถูกกว่าซื้อตามร้านทั่วไปค่อนข้างมาก แต่ข้อดีของการซื้อที่ร้านคือมี warranty ให้ด้วย แต่ของมือสองคงหวังอะไรมากไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขอแนะนำให้ซื้อจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ อย่าง eBay โดยเลือกผู้ขายประเภท “no less than 100% feedback rating” เพราะถ้าคอมพิวเตอร์ที่สั่งซื้อเกิดความเสียหาย หรือใช้ไม่ได้ตามที่โพสต์ในเว็บ ผู้ขายจะคืนเงินให้3. ตรวจสภาพภายนอกของเครื่อง ดูว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน ถ้ามันมีแค่รอยขีดข่วน หรือถลอกบริเวณมุมใดมุมหนึ่งของตัวเครื่อง ก็อย่าไปคิดมาก ตราบใดที่เครื่องยังทำงานได้ดี เรื่องรอยขีดข่วนถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ของใช้งานก็ต้องมีร่องรอยบ้างเป็นธรรมดา4. เปิดเครื่องดูหน้าจอ เพราะหนึ่งในชิ้นส่วนที่แพงที่สุดของโน้ตบุ๊คคือ “จอ” ถ้าเปิดเครื่องแล้วพบว่าหน้าจอมีสีเพี้ยน จะเป็นสีม่วงหรือชมพูก็แล้วแต่ อย่าไปซื้อ ต่อให้สภาพเครื่องใหม่แค่ไหน หรือซีพียูแรงยิ่งกว่าอะไรดี ก็ไม่คุ้มที่จะซื้อไปซ่อมจอ เพราะมันแพงมาก5. ตรวจช่องเสียบและอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Bluetooth หรือ Wi-Fi เพราะฮาร์ดแวร์เหล่านี้มักจะต่อเข้าโดยตรงกับเมนบอร์ด ซึ่งราคาค่าซ่อมหรือเปลี่ยนก็แพงพอตัว แต่ถ้าช่อง USB มีหลายช่อง เสียไปสักช่องก็คงไม่เป็นไรนัก หรือถ้าช่องเสียบหูฟังเสีย แต่คุณมีหูฟัง Bluetooth ใช้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องไปใส่ใจเช่นกัน6. ทดสอบ Hard Drive ว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ โดยคลิกไปที่ My Computer จากนั้นก็เลือก hard drive ที่ต้องการตรวจสอบ แล้วคลิกขวาเพื่อเลือก Properties เมื่อมีหน้าต่างโผล่ขึ้นมาให้คลิกเมนู Tools จากนั้นก็เลือกหัวข้อ Error-checking คลิก Check Now ถ้าไม่มีความผิดปกติใดๆ ก็ผ่าน แต่ถ้าพบความเสียหาย ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเดี๋ยวนี้ hard drive ถูกลงกว่าแต่ก่อนมาก7. ตรวจดูประสิทธิภาพของ CD Drive โดยลองไรท์แผ่นทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น CD-R, CD-RW, DVD-R, DVD+R DL, ฯลฯ8. ทดสอบแบตเตอรี่ โดยเปิดใช้เครื่องจนกระทั่วไฟหมด แล้วดูว่ากินเวลามากน้อยแค่ไหน ถ้าแป๊บเดียวไฟก็หมด แบบนี้แสดงว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมแล้ว จุดนี้อาจต่อรองผู้ขายให้ลดราคาลงอีกได้9. ถ้าคุณขี้เกียจปฏิบัติตามกระบวนการทั้งหมดนี้ ก็ลองให้ทางร้านหรือใครที่เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์ช่วยทดสอบให้ก็ได้ อาจจะเสียสตางค์เป็นค่าเหนื่อยนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้ม10. อย่าหงุดหงิดหรือผิดหวัง ถ้าพบว่าโน้ตบุ๊คที่ซื้อมามีปัญหาเล็กๆ น้อยๆเพราะปัญหาพวกนี้ก็เกิดขึ้นกับคนที่ซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่แกะกล่องเช่นเดียวกัน และถึงแม้คุณอาจจะต้องเสียเงินซ่อมชิ้นส่วนบางชิ้น หรืออัพเกรดเครื่องบ้างก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะมันเป็นเรื่องปกติของการใช้ของมือสองอยู่แล้ว
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2553 9:31:21 น. |
| |
Counter : 364 Pageviews. |
| |
|
|
|
การช่วยเหลือผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้า
ผู้ที่จะช่วยเหลือผู้ที่ประสบอันตรายจากไฟฟ้าต้องรู้จักวิธีที่ถูกต้องในการช่วยเหลือดังนี้ 1.อย่าใช้มือเปล่าแตะต้องตัวผู้ที่ติดอยู่กับกระแสไฟฟ้า หรือตัวนำที่เป็นต้นเหตุให้เกิดอันตรายเป็นอันขาด เพื่อป้องกันมิให้ถูกกระแสไฟฟ้าจนได้รับอันตรายไปด้วยอีกผู้หนึ่ง 2.รีบหาทางตัดกระแสไฟฟ้าโดยฉับไว จะด้วยการถอดปลั๊กหรืออ้าสวิตซ์ออกก็ได้ 3.ใช้วัตถุทไม่เป็นสื่อไฟฟ้า เช่น ผ้า ไม้แห้ง เชือกที่แห้ง สายยาง หรือพลาสติกที่แห้งสนิท ถุงมือยาง หรือผ้าแห้งพันมือให้หนา แล้วถึงผลักหรือฉุดตัวผู้ประสบอันตรายให้หลุดออกมาโดยเร็ว เขี่ยสายไฟให้หลุดออกจากตัวผู้ประสบอันตราย 4.หากเป็นสายไฟฟ้าแรงสูงให้พยายามหลีกเหลี่ยง แล้วรีบแจ้งการไฟฟ้านครหลวงให้เร็วที่สุด (ดูข้อควรระวังจากสายไฟฟ้าแรงสูงขาด) 5.อย่าลงไปในน้ำกรณีที่มีกระแสไฟฟ้าอยู่ในบริเวณที่มีน้ำขัง ต้องหาทางเขี่ยสายไฟฟ้าออกให้พ้นหรือตัดกระแสไฟฟ้าก่อน จึงค่อยไปช่วยผู้ประสบอันตราย การช่วยผู้ประสบอันตรายจากไฟฟ้าดังที่กล่าวมาแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระทำด้วยความรวดเร็ว รอบคอบ และระมัดระวังเป็นพิเศษด้วยการปฐมพยาบาล เมื่อได้ทำการช่วยเหลือผู้ประสบอันตรายมาได้แล้วจะด้วยวิธีใดก็ตาม หากปรากฏว่าผู้เคราะห์ร้ายที่ช่วยออกมานั้นหมดสติไม่รู้สึกตัว หัวใจหยุดเต้น และไม่หายใจ ซึ่งสังเกตได้จากอาการที่เกิดขึ้นดังนี้ คือ ริมฝีปากเขียว สีหน้าซีดเขียวคล้ำ ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยมากหรือไม่เคลื่อนไหว ชีพจรบริเวณคอเต้นช้าและเบามาก ถ้าหัวใจหยุดเต้นจะคลำชีพจรไม่พบ ม่านตาขยายค้างไม่หดเล็กลง หมดสติไม่รู้สึกตัว ต้องรีบทำการปฐมพยาบาลทันที เพื่อให้ปอดและหัวใจทำงาน โดยวิธีการผายปอดด้วยการให้ลมทางปาก หรือที่เรียกว่า “เป่าปาก” ร่วมกับการนวดหัวใจก่อนนำผู้ป่วยส่งแพทย์การผายปอดโดยวิธีให้ลมทางปาก 1. ให้ผู้ป่วยนอนราบ จัดท่าที่เหมาะสมเพื่อเปิดทางอากาศเข้าสู่ปอด โดยผู้ปฐมพยาบาลอยู่ทางด้านข้างขวาหรือข้างซ้ายบริเวณศีรษะของผู้ป่วย ใช้มือข้างหนึ่งดึงคางผู้ป่วยมาข้างหน้า พร้อมกับใช้มืออีกข้างหนึ่งดันหน้าผากไปทางหลัง เป็นวิธีป้องกันไม่ให้ลิ้นตกไปอุดปิดทางเดินหายใจ แต่ต้องระวังไม่ให้นิ้วมือที่ดึงคางนั้นกดลึกลงไปในส่วนเนื้อใต้คาง เพราะจะทำให้อุดกั้นทางเดินหายใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ๆ สำหรับเด็กแรกเกิดไม่ควรนอนหงายคอมากเกินไป เพราะแทนที่จะเปิดทางเดินหายใจ อาจจะทำให้หลอดลมแฟบ และอุดตันทางเดินหายใจได้ 2. สอดนิ้วหัวแม่มือเข้าไปในปากจนปากอ้า ล้วงสิ่งของในปากที่จะขวางทางเดินหายใจออกให้หมด เช่น ฟันปลอม เศษอาหาร เป็นต้น 3. ผู้ปฐมพยาบาลอ้าปากให้กว้าง หายใจเข้าเต็มที่ มือข้างหนึ่งบีบจมูกผู้ป่วยให้แน่นสนิท ในขณะที่มืออีกข้างยังคงดึงคางผู้ป่วยมาข้างหน้า แล้วจึงประกบปิดปากผู้ป่วยพร้อมเป่าลมเข้าไป ทำในลักษณะนี้เป็นจังหวะ 12-15 ครั้ง ต่อนาที 4. ขณะทำการเป่าปาก ตาต้องเหลือบดูด้วยว่าหน้าอกผู้ป่วยมีการขยายขึ้นลงหรือไม่ หากไม่มีการกระเพื่อมขึ้นลงอาจเป็นเพราะท่านอนไม่ดีหรือมีสิ่งกีดขวางทางเดินหายใจ ในรายที่ผู้ป่วยอ้าปากไม่ได้ หรือด้วยสาเหตุใดที่ไม่สามารถเป่าปากได้ ให้เป่าลมเข้าทางจมูกแทน โดยใช้วิธีปฏิบัติทำนองเดียวกับการเป่าปากในรายเด็กแรกเกิด หรือเด็กเล็กใช้วิธีเป่าลมเข้าทางปากและจมูกไปพร้อมกันการให้โลหิตไหลเวียนโดยวิธีนวดหัวใจ เมื่อพบว่าหัวใจผู้ป่วยหยุดเต้นโดยทราบได้จากการฟังเสียงหัวใจเต้น และการจับชีพจรดูการเต้นของหลอดเลือดแดงที่คอ ที่ขาหนีบ ที่ข้อพับแขน หรือที่ข้อมือต้องรีบทำการช่วยให้หัวใจกลับเต้นทันที การนวดหัวใจดังวิธีการต่อไปนี้ 1.ให้ผู้ป่วยนอนราบกับพื้นแข็ง ๆ หรือใช้ไม้กระดานรองที่หลังของผู้ป่วย ผู้ปฐมพยาบาล หรือผู้ปฏิบัติคุกเข่าลงข้างขวาหรือขางซ้ายบริเวณหน้าอกผู้ป่วย คลำหาส่วนล่างสุดของกระดูกอกที่ต่อกับกระดูกซี่โครง โดยใช้นิ้วสัมผัสชายโครงไล่ขึ้นมา (หากคุกเข่าข้างขวาใช้มือขวาคลำหากระดูกอก หากคุกเข่าข้างซ้ายใช้มือซ้าย) 2.วางนิ้วชี้และนิ้วกลางตรงตำแหน่งที่กระดูกซี่โครงต่อกับกระดูกอกส่วนล่างสุด วางสันมืออีกข้างบนตำแหน่งถัดจากนิ้วชี้และนิ้วกลางนั้น ซึ่งตำแหน่งของสันมือที่วางอยู่บนกระดูกหน้าอกนี้จะเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องในการนวดหัวใจต่อไป 3.วางมืออีกข้างทับลงบนหลังมือที่วางในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้วเหยียดนิ้วมือตรงแล้วเกี่ยวนิ้วมือ 2 ข้างเข้าด้วยกัน แล้วเหยียดแขนตรงโน้มตัวตั้งฉากกับหน้าอกผู้ป่วย ทิ้งน้ำหนักลงบนแขนขณะกดกับหน้าอกผู้ป่วย ให้กระดูกลดระดับลง 1.5 - 2 นิ้ว เมื่อกดสุดให้ผ่อนมือขึ้นโดยที่ตำแหน่งมือไม่ต้องเลื่อนไปจากจุดที่กำหนด ขณะกดหน้าอกนวดหัวใจห้ามใช้นิ้วมือกดลงบนกระดูกซี่โครงผู้ป่วย 4.เพื่อให้ช่วงเวลาการกดแต่ละครั้งคงที่ และจังหวะการสูบฉีดเลือด ออกจากหัวใจพอเหมาะกับที่ร่างกายต้องการ ใช้วิธีนับจำนวนครั้งที่กดดังนี้ หนึ่ง และสอง และสาม และสี่ และห้า .... โดยกดทุกครั้งที่นับตัวเลข และปล่อยตอนคำว่าและสลับกันไป ให้ได้อัตราการกดประมาณ 80-100 ครั้งต่อนาที 5.ถ้าผู้ปฏิบัติมีคนเดียว ให้นวดหัวใจ 15 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 2 ครั้ง ทำสลับกันเช่นนี้จนครบ 4 รอบ แล้วให้ตรวจชีพจร และการหายใจ หากคลำชีพจรต้องนวดหัวใจต่อ แต่ถ้าคลำชีพจรได้และยังไม่หายใจ ต้องเป่าปาต่อไปอย่างเดียว6.ถ้ามีผู้ปฏิบัติ 2 คน ให้นวดหัวใจ 5 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 1 ครั้ง โดยขณะที่เป่าปากอีกคนหนึ่งต้องหยุดนวดหัวใจ7.ในเด็กแรกเกิดหรือเด็กอ่อน การนวดหัวใจใช้เพียงนิ้วหัวแม่มือกดกลางกระดูกหน้าอกให้ได้อัตราเร็ว 100 – 120 ครั้งต่อนาที โดยใช้นิ้วมือโอบรอบทรวงอกสองข้างแล้วใช้หัวแม่มือกด ในการนวดหัวใจตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ต้องทำอย่างระมัดระวังและถูกวิธี ถ้าทำไม่ถูกวิธีหรือรุนแรงอาจเกิดอันตรายได้ เช่น กระดูกซี่โครงหัก ตับและม้ามแตกได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ การเป่าปากเพื่อช่วยหายใจและการนวดหัวใจเพื่อช่วยในการไหลเวียนเลือดนี้ต้องทำให้สัมพันธ์กัน แต่อย่าทำพร้อมกันในขณะเดียวกัน เพราะจะไม่ได้ผลทั้งสองอย่าง เมื่อช่วยหายใจและนวดหัวใจอย่างได้ผลแล้ว 1 – 2 นาที ให้สังเกตว่าผู้ป่วยมีหัวใจเต้นได้เองอย่างต่อเนื่องหรือไม่ สีผิว การหายใจ และความรู้สึกตัวดีขึ้นหรือไม่ ม่านตาหดเล็กลงหรือไม่ หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว แสดงว่าการปฐมพยาบาลได้ผล แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ควรเลิกช่วยเหลือจนกว่าจะส่งผู้ป่วยให้อยู่ในความดูแลของแพทย์แล้ว
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2553 8:51:12 น. |
| |
Counter : 437 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
beaushi |
|
|
|
|