|
|
ฟังลูกคุยทุกวัน จะเกิดเด็กดีมีความสุข
ครอบครัว
ช่วยพัฒนาภาษา กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เป็นที่ทราบกันดีว่า ช่วงปฐมวัยของเด็กนั้นเป็นช่วงที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเด็กเล็กที่กำลังเตรียมความพร้อม หรือในเด็กที่โตขึ้นมาอีกนิด และเดินเข้าโรงเรียนไปแล้ว เพราะในโลกแห่งการศึกษานั้น ยังมีอีกหลายสิ่งมากมายที่ถือได้ว่าเป็น "โลกใบใหม่" สำหรับเด็ก คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเอาใจใส่และสนใจพฤติกรรมต่างๆ ที่เด็กแสดงออกมา โดยเฉพาะต้องรับฟังสิ่งที่เด็กๆ อยากจะพูด อยากจะเล่าให้ฟัง เพราะการที่เด็กๆ มีเรื่องมาเล่าให้พ่อแม่ฟังนั้น หมายถึงว่าเขามีพัฒนาการในด้านความคิด ความรู้สึกและจินตนาการ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตของเด็กๆ ทุกคน ดร.ฉัฐวีณ์ สิทธิศิรอรรถ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) พูดถึงประเด็นที่เด็กๆ ไปพบสิ่งใหม่ๆ ที่โรงเรียนว่าจะทำให้เมื่อเด็กกลับมาถึงบ้าน พวกเขาอยากจะพูดอยากจะคุยให้ให้พ่อ แม่หรือปู่ ย่า ตายายได้ฟัง "ผู้ใหญ่ควรให้เวลากับเด็ก และรับฟังเขาอย่างตั้งใจ เพราะในจุดนี้จะทำให้เขาเกิดการพัฒนาทางภาษา เด็กจะถ่ายทอดประสบการณ์และจินตนาการของเขาออกมาทางคำพูด ยิ่งพ่อแม่สนใจและตั้งใจฟังสิ่งที่เด็กๆ เล่า รวมถึงมีการถามคำถาม จะยิ่งกระตุ้นความคิดของเด็ก และทำให้เขามีพัฒนาการที่ดีในการด้านความคิด และการหาคำตอบ เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยพ่อแม่ก็ได้เรียนรู้ว่าเด็กกำลังคิดอะไรอยู่ มีความรู้สึกอย่างไรกับโรงเรียน รู้สึกอย่างไรกับครู และเพื่อนๆ ทั้งนี้ถ้าเด็กๆ คิดอะไรอยู่เช่นกำลังคิดจะแกล้งเพื่อนหรือถูกเพื่อนแกล้ง พ่อแม่จะมีโอกาสตักเตือนและสอนลูกได้จากเรื่องเล่าประจำวันที่เกิดขึ้นเมื่อไปโรงเรียน ซึ่งแต่ละวันเด็กๆ จะเล่าเรื่องตัวเองโดยใช้เวลาอย่างมากที่สุด 5 - 20 นาที ดังนั้นพ่อแม่ควรจะจัดสรรเวลาส่วนนี้ให้ลูก เนื่องจากเป็นเวลาที่มีคุณค่ากับเด็กๆ และพ่อแม่" ดร.พัฒนา ชัชพงศ์ อาจารย์ภาควิชาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า การที่พ่อแม่รับฟังเรื่องเล่าจากลูกๆ จะทำให้เด็กรู้สึกดี สบายใจและมีความสุข และการฟังเพียงอย่างเดียวก็ไม่เกิดประโยชน์ พ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องแลกเปลี่ยนและพูดคุยกับเด็กๆ ด้วย อย่างเช่นเมื่อเด็กๆ เล่าว่าไปโรงเรียนได้เล่นสนุก มีของเล่นเยอะแยะ และได้ฟังนิทานจากคุณครู พ่อแม่ต้องถามต่อว่าแล้วหนูเล่นกับใคร มีเพื่อนชื่ออะไรบ้าง คุณครูที่เล่านิทานชื่ออะไร ไหนลองเล่าให้แม่ หรือให้พ่อฟังซิว่า นิทานเรื่องที่หนูฟังมาจากคุณครูมันสนุกอย่างไร เด็กๆ ก็จะเล่าและพูดคุยต่อ การพูดคุยจึงมีการต่อเนื่อง เด็กๆ จะเกิดพัฒนาทางภาษา เกิดความคิดและจินตนาการ การฟังเด็กๆ เล่าเรื่องราวของตัวเองที่โรงเรียนจึงเป็นการพัฒนาเด็กอย่างง่ายๆ ที่พ่อแม่สามารถช่วยลูกได้ และจะก่อให้เกิดคุณค่าต่อเด็กคนนั้นมากมาย “การฟังเรื่องราวของเด็กๆ จะทำให้พ่อแม่เห็นการพัฒนาการและการปรับตัวเพื่อเข้าสังคมของเด็กๆ ได้อย่างชัดเจน เพราะเขาจะเล่าว่าวันนี้เขารู้จักเพื่อนคนนั้นคนนี้ รู้จักและได้ช่วยคุณครูทำงาน สิ่งสำคัญพ่อแม่ต้องพูดทัศนะเชิงบวกเกี่ยวกับโรงเรียนให้เด็กๆ ฟัง ไม่ใช่สร้างทัศนะเชิงลบให้เด็กรู้สึกหวาดกลัวโรงเรียนและมีทัศนะที่ไม่ดีต่อโรงเรียน ดังนั้นการพูดคุยกับเด็กๆ เกี่ยวกับเรื่องราวในโรงเรียนจึงควรเป็นเรื่องที่ดีๆ ไม่ควรขู่เด็กเกี่ยวกับโรงเรียน เช่น ถ้าเด็กๆ ดื้อจะส่งไปให้ครูที่โรงเรียน ซึ่งเด็กๆ จะรู้สึกว่าโรงเรียนคือสถานที่ที่น่ากลัว เขาจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักโทษและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อโรงเรียน แม้ว่าโรงเรียนแห่งนั้นจะมีการเรียนการสอนที่ดีและมีกิจกรรมที่แสนสนุกอย่างไรก็ตาม เพราะเด็กๆ ถูกประทับความรู้สึกที่ไม่ดีเกี่ยวกับโรงเรียน กว่าที่เขาจะปรับตัวเองได้เพื่อเรียกความรู้สึกดีๆ และความมั่นใจที่มีต่อโรงเรียนกลับมานั้นจึงต้องใช้เวลาเป็นการบำบัด จะเห็นว่าคำพูดหรือถ้อยคำที่พ่อแม่ส่งผ่านไปถึงลูกนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องให้ความสำคัญอย่างมาก" เป็นเวลาที่ไม่มากเลย เพียงแค่ 5 - 20 นาที แต่ประโยชน์ที่ได้นอกจากความอบอุ่นในครอบครัวแล้ว ยังทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่รวดเร็วอีกด้วย คุณพ่อคุณแม่ท่านใดทราบเทคนิคดีๆ เหล่านี้แล้วก็อย่ารอช้า หาเวลาคุยกับลูกด้วยทัศนคติเชิงบวกกันดีกว่าค่ะ ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2553 22:37:45 น. |
| |
Counter : 451 Pageviews. |
| |
|
|
|
ยุงลายเสือ..พาหะ ‘โรคเท้าช้าง’
คุณภาพชีวิต
แนะป้องกัน-กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ ลดเสี่ยงติดเชื้อ ยุงลายเสือ หรือ ยุงเสือ หรือ ยุงแมนโซเนีย (Mansonia) เป็นหนึ่งในยุงที่มีอยู่อย่างน้อย 412 ชนิดในประเทศไทย เป็นยุงขนาดใหญ่ เส้นปีกมีเกล็ดใหญ่สีอ่อนสลับเข้มปกคลุม บางชนิดมีสีเหลือง ขาวสลับดำคล้ายลายของเสือโคร่ง เช่น Ma.uniformis บางชนิดมีลายออกเขียวคล้ายตุ๊กแก เช่น Ma.annulifera ขาลายเป็นปล้องๆ บริเวณขามีสีแบบตกกระ มีแถบขาวล้อมรอบ ตรงส่วนปลายของท้องมีลักษณะเป็น 3 พู แต่ละพูมีขนยาว 1 กระจุก ยุงลายเสือหายใจผ่านทางท่อหายใจที่มีความแข็งแรงและแทงผ่านทะลุรากพืชหรือลำต้นของพืชน้ำได้ เพื่อการแลกเปลี่ยนออกซิเจน โดยยุงลายเสือจะรับเอาออกซิเจนจากรากหรือลำต้นพืชน้ำเวลาหากิน ยุงลายเสือมีแหล่งเพาะพันธุ์ตามแอ่ง หรือหนองน้ำที่มีวัชพืชและพืชน้ำต่างๆ เช่น จอก ผักตบชวา แพงพวยน้ำ หรือหญ้าปล้อง มันกัดกินเลือดของสัตว์และคน ออกหากินเวลากลางคืน แต่ถ้าไปอยู่แถวแหล่งของมันในเวลากลางวัน มันก็กัดได้เหมือนกัน โดยเฉพาะตามท้องทุ่งดังกล่าว ยุงลายเสือเป็นพาหะของโรคเท้าช้างจากเชื้อไมโคร ฟิลาเรีย ที่พบมากบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส และบริเวณชายแดนไทย - พม่า เมื่อยุงลายเสือกัดคนที่มีเชื้อไมโครฟิลาเรีย ซึ่งเป็นหนอนพยาธิตัวกลม (มีลักษณะคล้ายเส้นด้าย อาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน) และดูดเลือดที่มีพยาธินี้เข้าไป ไมโครฟิลาเรียจะเข้าไปเจริญอยู่ในตัวยุงนานประมาณ 7 - 14 วัน จนเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา และจะเคลื่อนที่เข้าสู่ปากยุง เมื่อยุงมากัดคน ตัวอ่อนระยะติดต่อนี้จะไชผ่านผิวหนังบริเวณแผลที่ยุงกัด และเข้าไปเจริญและเพิ่มจำนวนในคน ซึ่งต่อมาจะก่อให้เกิดโรคเท้าช้าง คนที่มีอาการมักถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลายครั้ง อาการในระยะแรกผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน รวมทั้งปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ แยกได้เป็นผู้ป่วยเป็นโรคฟิลาเรียของระบบน้ำเหลืองที่เกิดจากเชื้อ W.bancrofti จะมีอาการแสดงให้เห็นคือผิวหนังตรงอวัยวะเพศหยาบขรุขระและบวมโต เป็นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง ส่วนผู้ป่วยเป็นโรคฟิลาเรียของระบบน้ำเหลืองที่เกิดจากเชื้อ B.malayi จะมีอาการแสดงให้เห็นคือขาโตและมีผิวหนังหยาบขรุขระ จึงเรียกโรคนี้ว่า "โรคเท้าช้าง" การป้องกันยุงกัดเป็นวิธีที่สามารถลดความรำคาญที่เกิดจากยุง และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่มียุงเป็นพาหะ ทำได้หลายวิธี เช่น นอนในมุ้งหรือมุ้งชุบสารเคมีฆ่าแมลง ติดตั้งมุ้งลวด สุมควันไฟไล่ยุง จุดยากันยุง หรือทาสารเคมีไล่ยุง เช่น น้ำมันตะไคร้หอม หรือสารสังเคราะห์อย่าง DEET (diethyltoluamide) ควบคุมและกำจัดยุงพาหะโดยพ่นสารเคมีกำจัดยุงตามฝาผนังบ้าน กำจัดลูกน้ำตามแหล่งต่างๆ กำจัดวัชพืชและพืชน้ำที่เป็นแหล่งเกาะอาศัยของลูกน้ำในแหล่งน้ำ อย่างไรก็ตาม ในแหล่งเพาะพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่หรือกว้างขวาง เช่น ในท้องนา ลำธาร หรือกระบอกไม้ในป่า การควบคุมลูกน้ำจะทำได้ลำบากมาก หรือแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ประชาชนที่อยู่ในแหล่งระบาดของโรคเท้าช้างอาจกินยาป้องกัน ได้แก่ Diethyl carbamazine (DEC) ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2553 21:59:21 น. |
| |
Counter : 500 Pageviews. |
| |
|
|
|
กุมารแพทย์เตือน!! ปอดบวมระบาดเด็กเล็ก
เยาวชน
แนะหมั่นล้างมือ-ใส่หน้ากากอนามัยป้องกันโรค กุมารแพทย์เตือน พ่อแม่เตรียมรับมือโรคปอดบวมระบาดในเด็กเล็กช่วงหน้าฝน บางครั้งอาจถึงเสียชีวิต แนะล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. นพ.สุชาติ เชิดชูพงศ์ล้ำ กุมารแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้พบว่ามีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจในเด็กเล็กเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากในช่วงเปิดเทอมเด็กจากหลากหลายที่ไปอยู่รวมกันที่เนอร์สเซอรี่และโรงเรียนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับช่วงนี้ฝนตกบ่อยอากาศชื้น เพราะอากาศที่เย็น และชื้นจะเอื้ออำนวยให้เชื้อมีชีวิตอยู่ในอากาศ และแพร่กระจายได้ดียิ่งขึ้น ฉะนั้นพ่อแม่ และครูต้องระวังโรคติดเชื้อที่ติดจากเด็กด้วยกันเอง โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี เพราะเด็กเล็กยังไม่สามารถป้องกันตนเองจากเชื้อต่างๆ ได้ และยังไม่มีภูมิต้านทานโรคที่สมบูรณ์ โดยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจถูกพบมากเป็นอันดับต้นๆ เช่น ไข้หวัด คออักเสบ ในบางรายที่มีอาการรุนแรง จะเป็นหูอักเสบ ไซนัสอักเสบ แต่ถ้ารุนแรงมากอาจจะเป็นหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบได้ ส่วนที่พบลงมาคือโรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดท้องเสีย ท้องร่วง เป็นต้น นพ.สุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่มีความรุนแรง จนบางครั้งอาจจะทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ได้แก่ โรคปอดบวม หรือปอดอักเสบ เนื่องจากจะมีการติดเชื้อที่ปอด เมื่อเนื้อปอดโดนทำลาย จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดออกซิเจน และทำให้เสียชีวิตในที่สุด ซึ่งโรคปอดบวมเกิดได้จากเชื้อหลายชนิด เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียร่วมกัน โรคปอดบวมจากเชื้อไวรัสส่วนใหญ่แล้วยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับทำลายหรือยับยั้ง โรคจะหายได้จากการที่ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานมากำจัดเชื้อไวรัสได้เอง แต่โรคปอดบวมที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธีอย่างทันท่วงที จะทำให้เชื้อลุกลามเป็นมากขึ้น หรือมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ สมองและกระแสเลือด เป็นต้น ทำให้มีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น นพ.สุชาติ กล่าวด้วยว่า ในบรรดาโรคปอดบวมที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียนั้น พบว่าโรคปอดบวมที่เกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัส พบมากเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเชื้อนิวโมคอคคัส เป็นเชื้อแบคทีเรียที่อาจพบอยู่ในเยื่อบุโพรงจมูก ลำคอของคนเรา พบว่าอัตราการเป็นพาหะในเด็ก มีเชื้อในโพรงจมูก แต่ไม่แสดงอาการใดๆ เฉลี่ยแล้วสูงถึงร้อยละ 26 หรือคิดเป็นอัตรา 1 ใน 4 ของประชากร เมื่อร่างกายอ่อนแอ หรือเยื่อบุดังกล่าวโดนทำลาย เชื้อนิวโมคอคคัสจะหลุดเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้อาจติดเชื้อได้จากการสัมผัสละอองของน้ำมูก น้ำลายของผู้ที่มีเชื้อ ซึ่งก่อทำให้เกิดโรคในระบบต่างๆ ที่สำคัญของร่างกาย เช่น โรคปอดอักเสบ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคหูชั้นกลางอักเสบ โดยพบว่ากลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคปอดบวมคือ เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กสุขภาพดีก็ตาม และโอกาสเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นในเด็กที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน เด็กที่อยู่ในชุมชนแออัด เด็กที่เป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรังอาการของโรคปอดบวมเด็กจะมีอาการ เช่น มีไข้ ไอ หายใจถี่และหอบ หายใจลำบากหรือมีเสียงดังวี๊ด ๆ หรือ หายใจแรงจนซี่โครงบุ๋ม ถ้าพบว่าเด็กมีอาการ ไข้ ไอบ่อย หรือหายใจเร็ว ให้สงสัยว่า เด็กอาจเป็นโรคปอดบวม ควรพาไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจยืนยันและการรักษาที่ถูกต้อง หากพ่อแม่นิ่งนอนใจ ปล่อยทิ้งไว้นานเด็กอาจมีอาการหอบ หายใจลำบาก มีอาการรุนแรงมากขึ้นและอาจไม่ทันการ “แต่พ่อแม่อย่าเพิ่งตื่นตระหนก เพราะเราสามารถลดการติดเชื้อ และลดการแพร่ระบาดของโรคปอดบวมได้โดยการสร้างสุขอนามัยที่ดี ด้วยการล้างมือเป็นประจำสม่ำเสมอ จะช่วยลดการติดเชื้อที่สัมผัสติดมากับมือได้ รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันที่สมบูรณ์ให้ลูกน้อย ซึ่งในปัจจุบันได้มีการคิดค้นวัคซีนไอพีดี ซึ่งสามารถป้องกันโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมคอคคัส และกลุ่มโรคไอพีดีได้แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้หากลูกไม่สบายไม่ควรให้ไปโรงเรียน เพื่อไม่ให้ไปแพร่เชื้อให้เด็กคนอื่นๆ และต้องให้ใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งสามารถลดการแพร่เชื้อได้ถึงร้อยละ 80 รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเล่นคลุกคลีกับเด็กที่ป่วย และพาเด็กไปในสถานที่แออัดเช่นโรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก เป็นต้น ขณะที่คุณครูและพี่เลี้ยงที่โรงเรียนต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรค ตลอดจนแยกภาชนะ แก้วน้ำของเด็กที่ป่วยไม่ให้ใช้ปะปนกับเด็กคนอื่นๆ เพื่อลดการติดต่อ” กุมารแพทย์ กล่าว ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2553 21:20:59 น. |
| |
Counter : 403 Pageviews. |
| |
|
|
|
แนะเปิบ "หน่อไม้ปี๊บ" อย่างปลอดภัย
อาหาร
ต้มในน้ำเดือดก่อนทาน ป้องกันสารพิษตกค้างได้ ผู้บริโภคที่ชื่นชอบบริโภคหน่อไม้ คงเคยลิ้มลองหน่อไม้ปี๊บ ซึ่งมีแพร่หลายไปทั่วทุกภาคเนื่องจากเป็นการยืดอายุของการเก็บรักษาหน่อไม้ได้นาน โดยยังมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับของสด แต่จากเหตุการณ์ตัวอย่างเมื่อปี 2549 ที่ชาวบ้านใน จ.น่าน กว่า 200 ราย ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลหลังทานอาหารที่มีเมนูหน่อไม้ปี๊บ และจากการตรวจสอบพบว่าหน่อไม้ปี๊บดังกล่าวปนแปื้อนสารโบทูลิซึ่ม ที่มีสาเหตุมาจากกระบวนการผลิตที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ "คลอสตริเดียม โบทูลิมัน" ซึ่งจะสร้างสารพิษ "โบทูลินัมทอกซิน" ออกมาปนเปื้อนในหน่อไม้ปี๊บ ส่งผลให้รัฐบาลต้องเสียงบประมาณในการรักษาพยาบาลสูงถึง 33 ล้านบาท! ด้วยเหตุนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงต้องกำหนดมาตรการกำกับดูแลผู้ผลิตและผู้จำหน่ายอย่างเข้มงวด และออกมากระตุ้นให้คำแนะนำกับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมา อย. จัดให้หน่อไม้ปี๊บเป็นอาหารควบคุมเฉพาะ ซึ่งผู้ผลิตจะต้องเข้าเกณฑ์มาตรฐานของจีเอ็มพี โดยต้องดูในเรื่องของกระบวนการผลิต สิ่งแวดล้อม ขั้นตอนการผลิต รวมไปถึงสุขภาพของพนักงานที่ผลิตด้วย โดยผู้ผลิตต้องขออนุญาตผลิตอาหารให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่จากสถานการณ์ข้างต้นพบว่าผู้ผลิตส่วนใหญ่เป็นรายย่อยไม่มีอุปกรณ์ฆ่าเชื้อที่เหมาะสม อย. จึงร่วมกับสถาบันวิจัยโภชนาการ ทำการวิจัยพบว่า วิธีการผลิตที่เหมาะสม คือ การปรับกรดให้มีค่าความเป็นกรดต่างไม่เกิน 4.6 เพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อคลอสตริเดียม โบทูลินั่ม อย. ได้มีมาตรการให้คำแนะนำคือ 1. ผู้ผลิต ต้องดำเนินการผลิตหน่อไม้ปี๊บแบบปรับกรดเท่านั้น 2. ผู้จำหน่าย ต้องจำหน่ายเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการอนุญาตจาก อย.แล้วเท่านั้น โดยหน่อไม้ปี๊บต้องมีฉลากที่ ถูกต้องซึ่งจะต้องระบุชื่อ สถานที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต หรือวันเดือนปีที่หมดอายุ ส่วนภาชนะบรรจุต้องเป็นปี๊บใหม่ ไม่มีรอยบัดกรีฝา ตัวปี๊บไม่มีรอยบุบ บวม รั่ว 3. ผู้บริโภค ต้องเลือกซื้อหน่อไม้ปี๊บที่ปรับกรดและมีเครื่องหมาย อย.หากซื้อหน่อไม้ปี๊บที่ร้านค้าปลีกให้สังเกตป้ายรับรอง "ร้านนี้จำหน่ายหน่อไม้ปี๊บปรับกรด" ที่สำคัญก่อนบริโภคทุกครั้งให้ต้มในน้ำเดือดนาน 20 - 30นาที เพื่อทำลายสารพิษที่อาจมีอยู่ แล้วเทน้ำต้มทิ้งเพื่อความปลอดภัยในการบริโภค และยังช่วยลดความเปรี้ยวก่อนนำไปประกอบอาหารเมนูต่างๆ ได้ด้วย ที่สำคัญแม้หน่อไม้จะมีรสเปรี้ยวแต่ "เปรี้ยว ซักนิด ชีวิตปลอดภัย" นอกจากนี้ อย. ยังมีมาตรการติดตามเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และเอาจริงเอาจังกับผู้กระทำผิดขั้นเด็ดขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด จะมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหากผลการตรวจพิสูจน์อาหารพบเชื้อจุลินทรีย์คลอสตริเดียม โบทูลินัม หรือพบว่ามีสิ่งที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพเจือปนอยู่ จะมีโทษฐานผลิตอาหารไม่บริสุทธ์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตามภายในไม่ช้านี้ อย. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบร้านค้าผู้จำหน่ายตามตลาดค้าส่งและค้าปลีกต่างๆ ทั่วประเทศ ถึงแม้ว่า "หน่อไม้ปี๊บ" จะเป็นเมนูอาหารที่สุดแสนจะอร่อย แต่ผู้บริโภคควรเลือกซื้อหน่อไม้ปี๊บตามลักษณะที่ อย. แนะนำ ไม่ควรมองข้ามความปลอดภัยเป็นอันขาด! ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2553 20:42:43 น. |
| |
Counter : 479 Pageviews. |
| |
|
|
|
เตือน ‘หญิงเมืองกรุง’ เสี่ยงมะเร็งเต้านม
คุณภาพชีวิต
เร่งสร้างความรู้ ตรวจโรคได้ด้วยตนเอง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยข้อมูลหญิงไทยโดยเฉพาะสาวๆ เมืองกรุง เสี่ยงมากที่สุดที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านม และมีแนวโน้มการตายจากโรคนี้จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เตรียมเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจ ให้แก่หญิงสาวที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้รู้จักวิธีตรวจเต้าด้วยตัวเอง พร้อมรับมอบเต้านมเทียม 200 ชิ้นจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำไปทดลองใช้ในกลุ่มหญิงไทย เพื่อให้เข้าใจและสามารถเรียนรู้การตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างง่าย ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งจัดพิธีรับมอบหุ่นเต้านมเทียมสำหรับสอนตรวจเต้านมด้วยตนเอง ณ อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย เผยว่า โรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงไทยพบบ่อย และเคยเป็นอันดับที่ 2 รองจากมะเร็งปากมดลูก แต่ปัจจุบันกำลังมาเป็นอันดับหนึ่ง จากการสำรวจผู้หญิงซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครประมาณ 3 ล้านคน เมื่อปี 2542 พบว่า มีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นถึง 40 คนต่อประชากรแสนคน หรือประมาณ 1,200 คน ขณะที่จังหวัดขอนแก่น สงขลา และเชียงใหม่ พบเพียง 15 - 16 คนต่อประชากรแสนคน ซึ่งข้อมูลสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข พบการตายด้วยโรคมะเร็งเต้านมทั่วประเทศเมื่อปี 2544 จำนวน 1,261 คน และล่าสุดปี 2548 มีจำนวนสูงถึง 1,910 คน และคาดว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ “มะเร็งเต้านม สามารถพบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่ส่วนใหญ่จะพบในเพศหญิงมากกว่า โดยเฉพาะช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป เริ่มมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสูงขึ้น ซึ่งผู้หญิงที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม อาทิ แม่ พี่สาว รวมทั้งผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็ง จะมีอัตราเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นใหม่สูงกว่าคนปกติ และผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาตั้งแต่อายุก่อน 12 ปี หรือประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปี รวมทั้งผู้ที่รับประทานฮอร์โมนเพศหญิง และผู้ที่ได้รับยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน อาจเกิดมะเร็งเต้านมมากยิ่งขึ้น ตลอดจนผู้ที่มีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง เช่น การบริโภคอาหารไขมันสัตว์มาก การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ภาวะเครียด และขาดการออกกำลังกาย ทำให้เพิ่มโอกาสในการเกิดเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้นด้วย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวด้วยว่า อาการของมะเร็งเต้านมในระยะต้นนั้นมักจะไม่มีอาการเจ็บ แต่อาจจะตรวจพบความผิดปกติเกิดขึ้นที่เต้านม ซึ่งอาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของโรคมะเร็งเต้านม เช่น มีก้อนที่เต้านม มีการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างของเต้านม ผิวหนังเปลี่ยนแปลง เช่น รอยบุ๋ม ย่น หดตัว หนาผิดปกติ บางส่วนมีสะเก็ด หัวนมมีการหดตัว หรือแดงผิดปกติ เจ็บเต้านม มีอาการบวมของรักแร้ เพราะต่อมน้ำเหลืองโต และ มีเลือดหรือน้ำออกจากหัวนม โดยร้อยละ 20 ของการมีเลือดออกจะเป็นมะเร็ง “วิธีการที่ดีที่สุด คือ การตรวจเพื่อค้นหามะเร็งเต้านมให้เร็วที่สุด ที่นิยมใช้มี 3 วิธีด้วยกัน คือ หนึ่ง การตรวจเต้านมด้วยการถ่ายภาพรังสีเต้านม หรือที่เรียกว่าแมมโมแกรม สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก บอกผลได้ถูกต้องร้อยละ 85 - 90 แต่ค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งสตรีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรตรวจปีละครั้งการ สอง การตรวจเต้านมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่ออายุ 30 - 40 ปี ควรไปรับการตรวจทุก 3 ปี และสาม การตรวจเต้านมด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด สามารถตรวจหาความผิดปกติได้เป็นประจำทุกเดือน และคนที่ตรวจเป็นประจำสามารถตรวจพบก้อนได้ขนาดเล็กกว่าคนที่ไม่เคยตรวจ และควรเริ่มตรวจ ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไปซึ่งผู้หญิงทุกคนสามารถตรวจมะเร็งเต้านมได้ด้วยตนเอง เพราะเป็นวิธีง่ายๆ สามารถได้ทั้งในท่ายืนขณะอาบน้ำ หรือท่านอน ไม่ต้องอาศัยเครื่องมือ หรือวิธีการที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ใช้เพียงแค่มือของตนเองเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือ ต้องรู้จักสังเกตและปฏิบัติอย่างถูกต้อง” ทั้งนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ผลิตหุ่นเต้านมเทียมเพื่อใช้เป็นสื่อการสอนและฝึกทักษะการตรวจเต้านมแก่นักศึกษาแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข และประชาชนทั่วไป โดยได้มอบหุ่นเต้านมเทียมจำนวน 200 ชิ้น ให้กับกรมอนามัย เพื่อนำไปทดลองใช้สอนประชาชนและประเมินประสิทธิภาพของหุ่น โดยชุดเต้านมเทียมนี้ จะประกอบไปด้วย เต้านมเทียมพร้อมแผ่นพลิก และแผ่นพับบอกวิธีสอนตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างง่าย จะช่วยให้หญิงไทยมีความรู้และเข้าใจที่จะรู้จักสังเกตและเรียนรู้วิธีการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งเต้านมให้ลดลงได้ ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553 |
| |
|
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2553 20:04:16 น. |
| |
Counter : 521 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
beaushi |
|
|
|
|