อาการแพ้ท้องและวิธีแก้ไข

อาการแพ้ท้องและวิธีแก้ไข
เมื่อคุณแม่เริ่มรู้สึกว่ามีสิ่งมีชีวิตอีกชีวิตหนึ่งกำลังเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์อย่างช้าๆ เชื่อว่า ความรู้สึกของคุณแม่ต้องมีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ควบคู่กับความสุข คือ ความเบื่อหน่ายกับการตั้งครรภ์ เนื่องจากอาการหรือภาวะที่ไม่พึงประสงค์ของการตั้งครรภ์ซึ่งมีอยู่หลายอาการด้วยกัน และเกิดขึ้นได้แทบจะทุกระยะของการตั้งครรภ์เลยทีเดียว ในที่นี้จะกล่าวถึงอาการแพ้ท้อง ซึ่งเป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่คุณแม่บางท่านอาจจะต้องเผชิญเป็นด่านแรกของการตั้งครรภ์ และอาจจะรู้สึกหงุดหงิด รำคาญอยู่ไม่น้อยทีเดียว เพราะอาการดังกล่าวมักสร้างความรู้สึกไม่สบายให้ว่าที่คุณแม่แทบจะทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา
อย่างไรก็ตามอาการแพ้ท้องอาจจะไม่ได้เกิดกับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ทุกคน แต่หากท่านเป็นคนหนึ่ง ที่ต้องประสบกับอาการนี้ก็อย่าเพิ่งวิตกกังวลไป เพราะอาการแพ้ท้องเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย เพียงแต่ต้องทำความ เข้าใจรายละเอียดของอาการแพ้ท้องอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับ สาเหตุของการเกิดอาการแพ้ท้องว่าเกิดจากเหตุใด ลักษณะอาการแพ้ท้องที่ปรากฏ ตลอดจนวิธีการป้องกันการเกิดอาการแพ้ท้อง ทั้งนี้สิ่งที่ควรทราบ คือ อาการแพ้ท้องไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์แต่อย่างใด เพราะในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ทารกยังพึ่งอาหารจากคุณแม่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะใช้อาหารที่สะสมในตัวทารกเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณแม่จะสามารถปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติได้ เพราะหากเกิดอาการแพ้มาก และเป็นระยะเวลานานๆ อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายคุณแม่และทารกในครรภ์ได้เช่นกัน แต่โดยปกติแล้วอาการดังกล่าวไม่ใช่อาการถาวร จะหายได้เองเมื่อการตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 (ประมาณ 14 – 16 สัปดาห์) หลังจากผ่านพ้นระยะนี้คุณแม่ก็คงจะรู้จักแต่คำว่า หม่ำ หม่ำ หม่ำ จนอาจจะรั้งไว้ไม่อยู่เป็นแน่


อาการแพ้ท้อง

อาการแพ้ท้อง เป็นภาวะที่เกิดได้กับว่าที่คุณแม่หลายๆท่านที่เริ่มตั้งครรภ์ โดยมากมักปรากฏอาการบ่อยในช่วงเช้า จึงมีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า Morning Sickness แต่อาการแพ้ท้องไม่ได้เป็นตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์ กล่าวคือ ส่วนใหญ่มักจะปรากฏอาการในช่วง 2- 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์และโดยมากอาการมักจะค่อยๆดีขึ้นและหายไปเองในที่สุดเมื่อการตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 (ประมาณ 14 -16 สัปดาห์ )
สาเหตุที่แน่นอนของการเกิดอาการแพ้ท้องนั้น ยังไม่มีใครทราบว่าเกิดจากอะไร แต่ทางการแพทย์เชื่อว่า อาการแพ้ท้องน่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่มีชื่อว่า HCG ( Human Chorionic Gonadotropin) ในร่างกาย หากว่าที่คุณแม่มีปริมาณฮอร์โมน HCG ในระดับสูงก็จะส่งผลให้เกิดอาการแพ้ท้องมากตามไปด้วย นอกจากนี้ภาวะจิตใจและอารมณ์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการแพ้ท้องค่อนข้างมากเช่นกัน คุณแม่ที่มีสภาพจิตใจและอารมณ์ที่อ่อนไหวง่าย มักจะมีอาการ แพ้ท้องมากและรุนแรงกว่าคุณแม่ที่มีจิตใจเข้มแข็ง เนื่องจากคุณแม่ที่มีอารมณ์อ่อนไหวมักจะต้องการการดูแล เอาใจใส่จากคนรอบข้างมากกว่าปกติ
ลักษณะอาการแพ้ท้อง ที่เกิดขึ้นมักเป็นอาการที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง เช่น อาการวิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน พะอืดพะอม เหม็นเบื่อสิ่งต่างๆ น้ำหนักลด ปัสสาวะมี สีเข้ม บ้วนน้ำลายตลอดเวลา ฯลฯ
วิธีป้องกันอาการแพ้ท้อง มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีคงไม่ยากเกินความสามารถของคุณแม่แต่ละท่านอย่างแน่นอน แต่วิธีป้องกันอาการแพ้ท้องที่ได้ผลดีและสำคัญที่สุด คือ บุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกในครอบครัวต้องให้ความรัก ความเข้าใจ และเอาใจใส่ว่าที่คุณแม่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ว่าที่คุณแม่เกิดความรู้สึกอบอุ่น ไม่ว้าเหว่ หรือรู้สึกว่าตนเองต้องตั้งครรภ์อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องให้น้อยลงได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามอาการแพ้ท้อง หายได้เองโดยไม่ต้องรับประทานยาให้วุ่นวาย เพียงแต่ว่าที่คุณแม่ลองปฏิบัติตาม 13 เคล็ดไม่ลับ ดังนี้1. รับประทานอะไรก็ตาม ให้รับประทานในปริมาณน้อย แต่บ่อยครั้ง2. ขณะรับประทานอาหารไม่ควรรับประทานแบบข้าวคำน้ำคำ เพราะจะทำให้รู้สึกอยากอาเจียน 3. ก่อนนอนพยายามรับประทานอะไรก็ได้ที่กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนัก เช่น นมโยเกริ์ต ขนมปัง    เพื่อป้องกันอาการแพ้ท้องหลังตื่นนอนตอนเช้าวันรุ่งขึ้น 4. หลังจากตื่นนอน ไม่ควรรีบลุกพรวดพราด เพราะจะทำให้คลื่นไส้ได้ง่าย
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีเครื่องเทศ อาหารทอด เพราะอาหารประเภทนี้ย่อยยาก
ไม่ควรแปรงฟันหลังรับประทานอาหารทันที เพราะแปรงสีฟันที่แหย่เข้าไปในปากอาจทำให้รู้สึกอยากอาเจียนได้ 5. พยายามอยู่ในบริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ ถ่ายเทสะดวก ไม่อับ
หากกลิ่นของอาหารร้อนๆทำให้รู้สึกคลื่นไส้ ให้ลองเปลี่ยนมารับประทานอาหารเย็นๆ ดูบ้าง
ดื่มเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม. พยายามดื่มน้ำขิงดูบ้าง ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้บ้าง
6. พยายามอย่าเครียด หรือวิตกกังวลมากเกินไป7. รับประทานวิตามิน และเกลือแร่โดยต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น8. สมาชิกในบ้าน โดยเฉพาะสามีต้องให้ความรัก และเอาใจใส่ว่าที่คุณแม่อย่างสม่ำเสมอ
หากปฏิบัติได้ทั้งหมด เชื่อว่าอาการแพ้ท้องของว่าที่คุณแม่คงจะไม่รุนแรงจนเกิดความรู้สึกไม่อยากตั้งครรภ์อีกเป็นครั้งที่ 2 เป็นแน่

Buying Mini LaptopsOrder Mini Laptop ComputersLaptop ComputersLap Top ComputersNotebook ComputersComputer LaptopsLaptop Computer DealsDesktop ComputersBest Laptop ComputersLaptop ComputerCompare Laptop ComputersNotebook ComputerComputersRefurbished Laptop ComputersBest Notebook ComputerRefurbished Notebook ComputersComputers RefurbishedRefurbished Laptop ComputerRefurbished Notebook ComputerLaptop Computers ReviewsRefurbished ComputerNotebook Computer ReviewsLabtopsLaptop NotebooksBusiness LaptopsGaming LaptopsPc LaptopsLaptops For CollegeNotebook LaptopsLaptop NotebookCollege LaptopsWindows Xp LaptopsLight LaptopsLaptops PriceAffordable LaptopsBudget LaptopsNotebooks DealsInexpensive LaptopsStudent LaptopsLaptopsDeals On LaptopsNew LaptopLaptops DealsLap TopsDesktopsThinkpadNew LaptopsLap TopCloseout LaptopsLaptop




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 15:34:24 น.   
Counter : 454 Pageviews.  

เลือกคลอดแบบไหนดี

เลือกคลอดแบบไหนดีจะเลือกคลอดแบบไหนดี? เป็นเรื่องที่ว่าที่คุณแม่ทุกคนเป็นกังวล โดยเฉพาะยิ่งใกล้ถึงวันคลอด ก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น แม้จะรู้กันดีว่า การคลอดธรรมชาติเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่สำหรับคุณแม่บางคนก็มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถคลอดเองได้ตามธรรมชาติ เช่น รกเกาะต่ำ หรือทารกไม่ได้เอาศีรษะลง วันนี้เรามีทางเลือกในการคลอดแบบต่างๆ มาฝากว่าที่คุณแม่กันค่ะ
การคลอดบุตรทางช่องคลอด
เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ขณะฝากครรภ์ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ และทารกต้องอยู่ในท่าเอาศีรษะลงเข้าสู่เชิงกราน ซึ่งการคลอดแบบธรรมชาตินี้ จะส่งผลดีกับคุณแม่และคุณลูกมากกว่าการผ่าตัดคลอด
ขณะรอคลอด สิ่งที่คุณแม่ทุกท่านกังวลมากที่สุด คือการเจ็บครรภ์คลอด ซึ่งทางแพทย์อาจจะมีวิธีบรรเทาความเจ็บปวดด้วยการใช้ยาฉีดแก้ปวดเข้าทางเส้นเลือดคุณแม่ ซึ่งยาอาจจะมีผลกับทารกในครรภ์เล็กน้อย แต่วิธีที่นิยมมากกว่าและไม่มีผลต่อทารกในครรภ์คือ การฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง หรือการบล็อกหลัง ซึ่งการบล็อกหลังต้องดูความเหมาะสมและความสมัครใจของคุณแม่เป็นรายๆไป และจะมีการปรับระดับยาที่จะลดความเจ็บปวดให้เหมาะสมกับคุณแม่ จนกระทั่งปากมดลูกเปิดหมด 10 ซม. คุณแม่ก็ยังสามารถมีแรงเบ่งคลอดบุตรได้
ถ้าเป็นการคลอดครั้งแรก ทารกมีขนาดตัวใหญ่ คุณแม่มีขนาดตัวเล็ก ก็อาจทำให้คุณแม่เจ็บครรภ์คลอดค่อนข้างมาก อีกทั้งการที่ไม่ตัดแผลฝีเย็บเพื่อขยายช่องทางคลอด อาจจะทำให้เกิดแผลฉีกขาด และเป็นอันตรายต่ออวัยวะใกล้เคียงได
การผ่าตัดคลอด
ปัจจุบันอัตราการผ่าตัดคลอดมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้น เนื่องจากคุณแม่ส่วนใหญ่มีบุตรเมื่ออายุมากขึ้น จึงทำให้ค่อนข้างกังวลต่อการตั้งครรภ์ หรือคุณแม่บางคนมีโรคประจำตัว เช่น ความดัน หรือเบาหวาน คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้มักจะได้รับการแนะนำให้ผ่าตัดคลอด นอกจากนั้นการผ่าตัดคลอดยังมีปัจจัยเรื่องฤกษ์คลอดเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยความเชื่อว่าเวลาเกิดที่ดี จะช่วยส่งเสริมความเจริญให้กับชีวิตลูก
การผ่าตัดคลอดในปัจจุบัน มีวิธีที่จะทำให้คุณแม่ไม่มีความรู้สึกในขณะการทำการผ่าตัด นั่นคือการดมยาสลบ และการฉีดยาเข้าที่ไขสันหลัง (การบล็อกหลัง)
การผ่าตัดคลอดแบบดมยาสลบ คุณแม่จะไม่ได้มีส่วนร่วมในการคลอด ไม่ได้เห็นลูก ไม่ได้สัมผัสลูกในทันที ต้องรอให้ฟื้นก่อน ที่สำคัญยาสลบอาจมีผลกับลูกได้ ลูกคลอดมาแล้วไม่ค่อยร้อง ไม่ค่อยหายใจ เพราะระหว่างอยู่ในท้องจะรับยาสลบเข้าไปด้วย
ส่วนการผ่าตัดแบบบล็อกหลัง ต้องให้คุณแม่นอนตะแคงให้ตัวงอเหมือนกุ้ง แล้วฉีดยาเข้าไขสันหลัง โดยจะต้องฉีดยาชาก่อน หลังจากนั้นร่างกายส่วนล่างก็จะชา ไม่มีความรู้สึก ซึ่งจะชาเต็มที่ประมาณ 5-10 นาที การบล็อกหลังคุณแม่จะมีสติและมีส่วนร่วมในการคลอด ได้ยินเสียง ได้เห็นหน้าลูก ได้สัมผัสความรู้สึกถึงความเป็นแม่อย่างเต็มที่ หลังผ่าตัดคุณแม่จะยังชาต่อไปอีก 2-3 ชั่วโมง ถ้าหากแพทย์ใส่ยาแก้ปวดกับยาชาไปด้วย ก็จะไม่เจ็บแผลไปอีก 1 วันเต็ม ที่สำคัญลูกไม่ได้ผลกระทบจากยาชาที่ฉีด เพราะยาจะเข้าไปที่โพรงประสาทไขสันหลังเท่านั้น ไม่ได้ดูดซึมเข้ากระแสเลือด
แต่ข้อเสียของการผ่าตัดคลอดคือ คุณแม่จะเสียเลือดมากกว่าการคลอดทางช่องคลอดถึง 2 เท่า และจะมีอาการเจ็บแผลนาน และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการคลอดเอง
การคลอดในน้ำ
การคลอดในน้ำเริ่มมาจากต่างประเทศ เพื่อลดความทรมานของคุณแม่ขณะเจ็บท้องด้วยการให้คุณแม่ลงไปแช่อยู่ในอ่างน้ำอุ่นขนาดใหญ่ คุณแม่จะรู้สึกสบายขึ้น คลอดได้ดีขึ้น ไม่ต้องให้ยาแก้ปวดหรือสารละลายทางเส้นเลือด จุดเด่นอีกอย่างของการคลอดในน้ำคือ หลังจากหัวเด็กโผล่พ้นช่องคลอดของแม่ ก็จะลอยอยู่ในน้ำ ซึ่งน้ำจะช่วยรับแรงกระแทกที่อาจทำอันตรายแก่ทารก
คุณแม่ที่จะคลอดในน้ำจะต้องเป็นคุณแม่ที่มีความเสี่ยงต่ำ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ เพราะการคลอดในน้ำจะไม่มีการใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจลูก ดังนั้นถ้าคุณแม่สงสัยว่าจะมีน้ำคร่ำน้อย รกเสื่อม สายสะดือพันคอเด็ก หรืออาจจะมีการขาดออกซิเจนได้ ก็ไม่ควรทำการคลอดในน้ำ
ไม่ว่าคุณแม่จะคลอดวิธีไหนก็ตาม ที่สำคัญควรฟังคำแนะนำจากสูติแพทย์ที่คุณแม่ฝากท้องไว้ดีกว่า เพราะสิ่งที่แพทย์จะคำนึงอย่างแรกในการทำคลอดคือ ทำอย่างไรให้เด็กที่เกิดมารอด และแม่ต้องปลอดภัย

Cheap Laptop ComputerCheap NotebooksLaptops For CheapCheap LaptopsCheap Laptops OnlineCheap Laptops For SaleCheap Laptops For StudentsCheapest LaptopCheapest LaptopsCheap ComputerVery Cheap LaptopsCheap Laptop DealsCheap Toshiba LaptopsCheap Refurbished LaptopsDiscount Laptop ComputersDiscounted LaptopsDiscount Notebook ComputersDiscount NotebookDiscount LaptopDiscount NotebooksDiscount LaptopsNotebook Computers For SaleLaptop Computers For SaleLaptops On SaleLaptop On SaleSale NotebooksNotebook Computer SaleLaptop Computer SaleSale NotebookSale LaptopLaptop SalesLaptop For SaleLaptops SaleLaptops For SaleWholesale LaptopsComputer Wholesalebuy Wholesale Laptopsbuying Computer Wholesaleorder Wholesale Laptopsonline Computer Wholesalecheap Wholesale Laptopslow price Computer Wholesalecheapest Wholesale Laptopslowest price Computer WholesaleSmall Laptop ComputersSmall LaptopsMini LaptopsMini Laptop ComputersLowest Price Small Laptop ComputersBuy Small Laptops




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 15:23:32 น.   
Counter : 460 Pageviews.  

นวดคลายเมื่อยด้วยตัวเอง

นวดคลายเมื่อยด้วยตัวเองอาการเมื่อยกับคนท้อง เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับคุณแม่ทุกท่าน  ยิ่งท้องโต น้ำหนักเยอะขึ้น อาการปวดตามร่างกายก็ตามมา เรามาดูการนวดให้ตัวเอง ด้วยวิธีง่ายๆ สไตล์คนท้อง เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยกันดีกว่าค่ะนวดตา - ใช้ปลานิ้วชี้กดเบาๆ (ไม่ต้องออกแรงนวด) บริเวณหัวตา (ติดกับจมูก) แล้วค่อยๆ เลื่อนนิ้วออกมาตามกระบอกตาด้านบน เว้นระยะห่างประมาณ 1/3 นิ้ว จนถึงหางตา แล้วกลับมาเริ่มที่หัวตาใหม่ไล่ไปตามขอบตาล่าง  - ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบบนหนังตาเบาๆ เริ่มจากหัวตาไปหางตาบน แล้วกลับมาเริ่มที่หัวตาไปจนถึงหางตาล่าง (รู้สึกว่าสัมผัสลูกตากลม) ข้อควรระวัง ขณะนวดต้องไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์เอาไว้นวดมือ- ถ้านวดมือซ้าย ให้ใช้นิ้วหัวแม่โป้งมือขวาออกแรงนวดบริเวณฝ่ามือ จนถึงข้อมือ ประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วดัดนิ้วมือไปด้านใดด้านหนึ่ง ส่วนฝ่ามือก็คลึงนวดเข้าด้วยกัน รวมถึงบริเวณข้อนิ้วมือด้วยนวดแขน- เริ่มนวดจากบริเวณข้อมือ โดยการใช้มืออีกข้างคว่ำลงกำข้อมือไว้ แล้วบีบสลับไปมาระหว่างด้านหน้า และด้านท้องแขน โดยออกแรงกดพอสมควร บีบนวดไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงใต้รักแร้ - จะทาโลชั่น หรือน้ำมันช่วยหล่อลื่นในการนวดก็ได้เช่นกัน นวดเท้า - ใช้กำปั้นหรือข้อศอก นวดคลึงเป็นวงกลมเล็กๆ ให้ทั่วฝ่าเท้า (การใช้ข้อศอกไม่เหมาะกับคุณแม่ที่ครรภ์แก่ค่ะ เพราะจะไม่ถนัดนัก แต่ยังสามารถใช้มือนวดได้อยู่ แต่ควรจะนั่งบนเตียง หรือเบาะนั่งนิ่ม) - ใช้หัวแม้มือนวดคลึงช้าๆ ตั้งแต่ส้นเท้า ฝ่าเท้า และนิ้วเท้า แต่ละนิ้ว รวมถึงหลังเท้า- การแช่น้ำอุ่นจะทำให้คุณแม่รู้สึกสบายเท้า รวมถึงลดอาการปวดเมื่อยเท้าได้ดีอีกด้วยค่ะข้อควรระวัง - ช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ไม่ควรนวดเท้าด้วยน้ำหนักมากๆ หรือไปนวดตามร้านนวดโดยเฉพาะ เพราะบริเวณฝ่าเท้ามีเส้นประสาท ที่ต่อเชื่อมกับทุกส่วนของร่างกาย - ถ้าเอื้อมไม่ถึงหรือไม่ถนัดไม่ควรฝืนนวดด้วยตัวเอง ให้คุณพ่อบ้านมานวดให้จะดีกว่าค่ะนวดขาและน่อง - ค่อยๆ กดบริเวณน่อง ไล่จากข้อเท้าขึ้นมาถึงข้อพับ โดยใช้หัวแม่โป้งอยู่ด้านหนึ่ง และอีกสี่นิ้วที่เหลืออยู่อีกด้าน กะระยะให้กดไปช่วงรอยต่อกล้ามเนื้อน่อง- เลื่อนมานวดบริเวณหลังน่อง - ถ้าคุณแม่เอื้อมมือนวดไม่ถนัด คุณแม่สามารถนอนหงาย แล้วตั้งขาด้านใดด้านหนึ่งให้ตั้งขึ้น จากนั้น ยกขาอีกข้างพาดไว้บริเวณเข่า แล้วกดน้ำหนักลงไป (ให้เข่าช่วยนวด) ทำสลับกันทั้งสองข้างข้อควรระวัง - ถ้าคุณแม่มีอาการบวม อาจจะนวดคลายเมื่อยแบบเบาๆ ได้ และควรสอบถามแพทย์ก่อนปวดหลังและบั้นเอว ต้องอาศัยการนั่ง ยืน เดิน นอนและยกของ ให้ถูกอิริยาบถด้วย   - นั่งและเดิน ให้หลังตรง ไม่ให้หลังและไหล่งุ้มงอ ถ้าต้องนั่งเก้าอี้นานๆ ให้มีหมอนเล็กๆ รองหลัง- ไม่ยกของหนัก หรือต้องย่อตัวลงไปหยิบของ อย่าก้มหลังให้โค้งลงไป - พยายามนอนตะแคง และมีหมอนรองเท้า และท่อนขาเอาไว้ - ส่วนท่านวด คงต้องไหว้วานคนใกล้ตัวช่วยบีบนวด พอบรรเทาอาการเมื่อยไปพลางๆ ก่อนค่ะ และก็เป็นธรรมดาที่จะมีอาการปวดหลัง เมื่อยบั้นเอวมากที่สุด เนื่องจากต้องรับน้ำหนักท้องที่เพิ่มขึ้นทุกวัน โดยให้คุณแม่นอนตะแคง หรือนั่งบนเก้าอี้แล้วหันหลังให้คนนวด แล้วจึงให้คนนวดค่อยๆ บีบไล่บริเวณกระดูกสันหลัง และบั้นเอวค่ะ 

Buy Hp Computers LaptopsBuying Hp LaptopsOrder Hp LaptopOnline Hp Laptop DealsBuy NotebookBuy LaptopsBuy LaptopBuy Laptop ComputersBuy Laptop ComputerBuy Notebook ComputerBuy NotebooksBuy Cheap LaptopsBuy Cheap LaptopBuy Online LaptopBuy Notebook ComputersBuy A LaptopBuy Laptops OnlineBest Laptop To BuyHow To Buy A LaptopBuy ComputersCompaq LaptopsCompaq LaptopBuy Compaq LaptopsBuying Compaq LaptopOrder Compaq LaptopsOnline Compaq LaptopCheap Compaq LaptopsLow Price Compaq LaptopCheapest Compaq LaptopsLowest Price Compaq LaptopUsed Notebook ComputersUsed Laptop ComputersUsed ComputersUsed Laptops For SaleUsed Laptop SaleUsed LaptopsCheap Used LaptopUsed NotebookCheap Used LaptopsUsed NotebooksUsed LaptopUsed Refurbished LaptopsUsed Computer LaptopCheap Notebook ComputersCheap Laptop ComputersCheap NotebookCheap New LaptopsCheap ComputersBest Cheap LaptopLaptop Cheap




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 15:12:27 น.   
Counter : 432 Pageviews.  

เรื่องคัน คัน ของคนตั้งครรภ์

เรื่องคัน คัน ของคนตั้งครรภ์อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นช่วงตั้งครรภ์ ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คุณแม่หลายคนวิตก และหงุดหงิดหัวใจไปพร้อมๆ กัน อย่างเรื่องคัน คัน ตามส่วนต่างๆ คนไหนไม่เป็นคงไม่รู้ ว่าอาการคัน ทำให้ไม่สบายตัวได้มากขนาดไหน   
ผิวหนังที่พบบ่อยๆ คือ ผิวแห้ง เป็นขุย เป็นลักษณะของผิวแห้ง ซึ่งคุณแม่อาจจะมีลักษณะผิวแบบนี้ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ต้องลองกลับไปสังเกตตัวเองว่า ดื่มน้ำน้อยเกินไป อยู่ในห้องปรับอากาศนานๆ ใช้สบู่ฟอกตัวมากเกินไป หรือไม่  ซึ่งอาการคันที่เกิดจากผิวหนังแห้ง ต้องระวังเรื่องการเกา ถ้ายิ่งเกาอาการคันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนผิวหนังอักเสบ และเป็นแผล ได้ ถ้าผิวแห้งมากๆ ก็จะมีปัญหาริ้วรอยก่อนวัยมาเยือนก่อนเวลา ฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่าผิวแห้งต้อง..
 ดื่มน้ำมากขึ้น รับประทานผัก ผลไม้สดเป็นประจำ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าต้องอยู่ในห้องปรับอากาศนานๆ ให้ปรับอุณหภูมิสบายๆ ไม่เย็นเกินไป ทาโลชั่นบำรุงผิวให้สม่ำเสมอ เปลี่ยนสบู่ เป็นสบู่อย่างอ่อน ลดการฟอกสบู่ให้น้อยลง  อย่าอาบน้ำบ่อยเกินไป และไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัด  ไม่ควรอบซาวน่า หรือขัดผิวบ่อยๆคันท้อง...ท้องลายอาการคันบริเวณท้อง มีความสัมพันธ์กับเรื่องท้องลาย (แม่ตั้งท้องทุกคนพยายามหาวิธีไม่ให้ตัวเองท้องลาย หรือลายให้น้อย ที่สุด) เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน ลูกในท้องตัวโตขึ้น หน้าท้องขยายเร็วขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่ผิวหนังส่วนหน้าท้องจะขยายตัวตามไม่ทัน ทำให้ผิวแตก บางท่านก็มีอาการคัน ร่วมด้วย ซึ่งถ้าคุณแม่เกาจะทำให้รอยแตกชัดยิ่งขึ้น ดังนั้น ทางที่ดี ที่สุดคือ การทาโลชั่น หรือน้ำมันเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ตั้งแต่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์กันเลย สำหรับบางท่านแม้จะช่วยเรื่องการแตกไม่ได้ (น้อยลงกว่าไม่ได้ทา) แต่สามารถลดอาการคันได้
ในส่วนของน้ำมันที่นำมาทานั้น อยากให้เน้นการใช้น้ำมันธรรมชาติ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันงา หรือถ้าเป็นโลชั่น ก็ใช้โลชั่น ที่เหมาะกับสภาพผิวคุณเป็นดีที่สุด
คัน ส่วนบอบบาง ประมาณแล้ว ถ้าเกิดไปคันพื้นที่ ที่ไม่อยากให้คัน ยิ่งเป็นเรื่องพูดไม่ออก บอกไม่ถูกกันเข้าไปใหญ่ จะเกาก็ไม่ได้ ไม่เกาก็ไม่ได้ จะใช้คำว่า ทรมาน ก็คงไม่มากเกินไป!
เชื้อรา เป็นสาเหตุของอาการคันพื้นที่บอบบางของผู้หญิงมากที่สุด เพราะในช่องคลอดเรามีน้ำหล่อเลี้ยง (ตกขาว) ไหลออกมาอยู่ตลอด ซึ่งเป็น อาหารอย่างดีให้เชื้อรา ถึงแม้เราคิดว่า ทำความสะอาดบริเวณนั้นดีแล้ว แต่ก็อาจจะมีตกค้างอยู่ ทำให้เชื้อรามาแฝงตัวอยู่ได้ และเป็นเหตุให้เกิดอาการคัน โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน ที่อากาศชื้นๆ สามารถพบได้บ่อยมากขึ้น ทำความสะอาดการรักษาความสะอาด เป็นการป้องกันที่ดีที่สุด เริ่มจากล้างส่วนบอบบางอย่างหมดจด คือ ต้องล้างตามร่องให้หมดด้วย เพื่อชำระล้างคราบตกขาวออกให้หมด แต่ไม่ต้องถึงขนาดใช้วิธีสวนล้างช่องคลอด เพราะอาจทำให้เกิดแผลในช่องคลอด เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และยังทำให้สารที่อยู่ในช่องคลอดที่คอยป้องกันเชื้อโรคหมดไปอีกด้วย
ส่วนที่ต้องพิถีพิถันในการทำความสะอาดอีกอย่างคือ กางเกงชั้นใน ที่ควรซักทุกวัน (ซักอย่างสะอาด) ไม่ปล่อยทิ้งไว้ซึ่งทำให้เชื้อรามาเยือนได้ง่าย และควรตากกางเกงในบริเวณที่ไม่อับชื้น มีลมพัด ทางที่ดีควรจะนำไปตากแดดด้วย การรักษา ถ้าเป็นไม่มาก การใช้ยาทา หรือยาเหน็บเพียงไม่กี่วันก็หายแล้ว แต่ถ้าไม่สบายใจควรให้คุณหมอตรวจดูว่าเป็นเชื้อชนิดใดกันแน่ แต่ถ้าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ควรจะปรึกษาคุณหมอทันที ไม่ควรซื้อยามาทา หรือเหน็บเอง และเมื่อหายจากอาการคันแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องของการรักษาความสะอาดอย่างหมดจดนั่นเองค่ะอาการคันส่วนบอบบาง ยังสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้อีกมาก ซึ่งคุณแม่สังเกตได้จากตกขาว ถ้าตกขาวมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว มีสีเหลืองขุ่น หรือเขียวก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ไปพบคุณหมอเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธีจะดีที่สุด ที่สำคัญอย่างทิ้งไว้นาน เพราะอาการคัน...ยิ่งนานยิ่งคันมากขึ้นค่ะ

Cheap LaptopsRent A LaptopCheapest Rent A LaptopLowest Price Rent A LaptopBuy Rent A LaptopBuying Rent A LaptopOrder Rent A LaptopOnline Rent A LaptopCheap Rent A LaptopLow Price Rent A LaptopCheapest Rent A LaptopLowest Price Rent A LaptopBuy Rent A LaptopBuying Rent A LaptopOrder Rent A LaptopLenovo LaptopsOrder Lenovo LaptopsOnline Lenovo LaptopsCheap Lenovo LaptopsLow Price Lenovo LaptopsCheapest Lenovo LaptopsLowest Price Lenovo LaptopsBuy Lenovo LaptopsBuying Lenovo LaptopsOrder Lenovo LaptopsOnline Lenovo LaptopsCheap Lenovo LaptopsLow Price Lenovo LaptopsCheapest Lenovo LaptopsThinkpad LaptopsBuying Thinkpad LaptopsOrder Thinkpad LaptopsOnline Thinkpad LaptopsCheap Thinkpad LaptopsLow Price Thinkpad LaptopsCheapest Thinkpad LaptopsLowest Price Thinkpad LaptopsBuy Thinkpad LaptopsBuying Thinkpad LaptopsOrder Thinkpad LaptopsOnline Thinkpad LaptopsHp Computers LaptopsHp LaptopsHp LaptopHp Laptop DealsCheap Hp Computers LaptopsLow Price Hp LaptopsCheapest Hp LaptopLowest Price Hp Laptop Deals




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 15:01:30 น.   
Counter : 668 Pageviews.  

8 ข้อสงสัยเรื่องนมแม่

8 ข้อสงสัยเรื่องนมแม่ยังมีคุณแม่หลายท่านมีความเข้าใจผิดในเรื่องนมแม่ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้ท้อได้ ถ้าการให้นมลูกในช่วงแรกๆ ไม่สำเร็จ  ครั้งนี้เรามาร่วมกันทำความเข้าใจในบางเรื่องของนมแม่กันดีกว่าค่ะ 1. เช็ดหัวนมบ่อยๆ ดีจริงหรือหลายคนอาจเคยได้ยินมาว่า ก่อนและหลังการให้นมลูกทุกครั้งควรใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดที่หัวนม ซึ่งในข้อนี้เป็นข้อควรปฎิบัติ แต่ก็มีข้อยกเว้น ถ้าคุณแม่อยู่ที่บ้านไม่ได้ออกไปไหน หรือไม่ได้ทำอะไรที่มีเหงื่อออกมาก ก็ไม่จำเป็นต้องเช็ดทุกครั้งที่ให้นมลูกก็ได้ เพราะการเช็ดทุกครั้งจะทำให้หัวนมแห้ง และแตกได้ ข้อนี้คุณแม่จึงควรเป็นผู้พิจารณาเองค่ะ ว่าช่วงไหนควรเช็ด ช่วงไหนไม่ต้องก็ได้2. ให้ลูกดูดกี่เต้าดีในแต่ละครั้งที่ให้ลูกดูดนม ควรให้ดูดเต้าใดเต้าหนึ่งจนหมดเต้า ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเต้าไปมา (นอกจากลูกไม่อิ่มอยากดูดต่อ จึงเปลี่ยนเต้า) มื้อต่อไป จึงจะเปลี่ยนเป็นอีกเต้าหนึ่ง ฉะนั้นคุณแม่ต้องจำเอาไว้ว่าลูกดูดเต้าไหนในมื้อก่อนหน้านี้เพื่อให้หน้าอกมีขนาดเท่ากัน ไม่ใหญ่ข้างใดข้างหนึ่งการที่ลูกดูดนมถึงท้ายเต้าจะทำให้ลูกได้รับไขมันในน้ำนมอย่างเต็มที่อีกด้วยค่ะ3. เขี่ยแก้มลูกขณะดูดนม  คุณแม่มักเข้าใจผิด คิดว่าการเขี่ยแก้มลูกขณะดูดนม จะเป็นการกระตุ้นให้ลูกดูดนมได้ดีขึ้น หรือเป็นการปลุกลูกให้ตื่น ถ้าลูกหลับ จริงๆ แล้วควรเขี่ยริมฝีปากลูกก่อนที่ลูกจะดูดนม เพื่อกระตุ้นให้ลูกอ้าปากให้กว้างที่สุด จะได้งับหัวนมแม่ลึกจนถึงลานนม แล้วกลไกการดูดนมของลูกก็จะเริ่มขึ้นเอง เมื่อลูกอิ่มเขาจะคลายปากออกเอง การที่คุณแม่ไปเขี่ยแก้มลูกขณะที่ลูกงับหัวนมคุณแม่แล้วนั้นจะทำให้การดูดนมของลูกสะดุด เพราะเมื่อลูกงับหัวนมแม่แล้ว ลิ้นจะรองอยู่ใต้หัวนม ซึ่งดันไปชิดเพดานปาก เหงือกงับที่กระเปาะนม ภายในปากลูกจึงเป็นเสมือนสูญญากาศ แต่ถ้าลูกต้องอ้าปาก ก็ต้องเริ่มกระบวนการดูดใหม่ 4.กินนมแม่ แล้วลูกตัวเหลืองหลายคนประสบกับปัญหาลูกตัวเหลือง โดยหาสาเหตุไม่ได้ อาการต่างๆ ของลูกจะปกติดีทุกอย่างยกเว้นอาการตัวเหลืองของลูก ทำให้คุณแม่หลายท่านมีความกังวล คุณหมออาจจะแนะนำให้หยุดนมแม่ 2 วัน อาการตัวเหลืองของลูกจะดีขึ้น ถ้าสาเหตุจากตัวเหลืองเป็นเพราะนมแม่จริง ในต่างประเทศจะแนะนำให้คุณแม่ให้ลูกดูดนมต่อได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจก็ให้นมผสม 2 วันก่อนก็ได้ค่ะ แต่ต้องให้ลูกกลับมาดูดนมแม่ต่อนะคะ เมื่อเห็นว่าอาการเหลืองของลูกดีขึ้น5. น้ำนมไม่ไหล - น้อย ลูกไม่อิ่มคุณแม่คลอดลูกทุกคนสามารถให้นมลูกได้ และมีน้ำนมมากพอที่จะเลี้ยงลูกได้ ถึงแม้จะมีลูกแฝดก็ตาม ถ้าคุณแม่รู้สึกว่าตนเองน้ำนมน้อย ต้องย้อนกลับมาดูว่า คุณแม่ให้ลูกดูดนมบ่อย ดูดสม่ำเสมอหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน ก็ต้องให้ลูกดูดนมแม่ด้วยเช่นกัน เพราะฮอร์โมนที่สร้างน้ำนมจะมีมากในช่วงกลางคืน บำรุงสุขภาพตนเองโดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำอุ่นมากๆ เพื่อช่วยกระตุ้นน้ำนม ถ้ารู้สึกเต้านมตึงคัด แต่ลูกยังไม่ดูด ก็ต้องบีบออก ไม่เครียด รับรองน้ำนมคุณแม่มาอย่างมากมายเองค่ะอีกข้อที่คุณแม่มักตั้งคำถามขึ้นมา เรื่องน้ำนมน้อยเป็นกรรมพันธุ์หรือไม่ ต้องบอกว่าไม่ใช่ค่ะ ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัว เตรียมใจ ของคุณแม่มากกว่า6. ต้องบีบน้ำนมทิ้งก่อนให้นมลูกในกรณีที่เต้านมคุณแม่คัดตึงมาก ส่งผลให้ลานนมแข็ง ถ้าให้ลูกดูดทันทีอาจทำให้ลูกงับไปถึงลานหัวนม คุณแม่ต้องบีบน้ำนมทิ้งออกเล็กน้อยเพื่อให้ลานหัวนมนิ่มลงนั่นเอง แต่ไม่ใช่เป็นการล้างท่อน้ำนมอย่างที่ใครหลายๆ คนเข้าใจผิด7. ห้ามดื่มน้ำเย็นขณะให้นมแม่จริงๆ แล้วคงไม่ถึงกับห้าม แต่การดื่มน้ำอุ่นช่วยให้น้ำนมคุณแม่ไหลดี แต่ถ้าคุณแม่ร้อนจนทนไม่ไหวจริงๆ การจิบน้ำเย็นเป็นครั้งคราว พอให้ชุ่มคอก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่ก็อยากแนะนำให้คุณแม่ดื่มน้ำอุ่นดีที่สุดค่ะ8. ให้นมลูกแล้วต่อไป เต้านมจะยานเสียทรงขอบอกว่า เรื่องนี้เป็นธรรมชาติค่ะ ถ้าคุณแม่ท่านไหนมีเต้านมใหญ่เป็นทุนเดิม ขณะที่ให้นมลูก เต้านมจะใหญ่ขึ้นอีก แต่เมื่อลูกหย่านมแล้วเต้านมจะมีขนาดเท่าเดิม ในระยะเวลาที่ยังให้นมลูกอยู่นั้น ไม่ว่าเต้านมจะเล็กหรือใหญ่คุณแม่ควรใส่บราเพื่อพยุงน้ำหนักของเต้านมเอาไว้ ก็ช่วยให้เต้านมคุณแม่อยู่ทรงเช่นเดิม




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553   
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 14:50:33 น.   
Counter : 502 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

beaushi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add beaushi's blog to your web]