พักผ่อนหย่อนใจ สะบายๆสไตล์ tankiya"
Group Blog
 
All Blogs
 
คือ.....โรงพยาบาล





เรื่องราวในโรงพยาบาลมีหลายช่วงเหตุการณ์
(จะขอแยกหัวข้อเล่า)

ช่วงแรก
(รพ เอกชนเเห่งหนึ่ง)

ห้องไอซียู แรกๆ ได้รับแจ้งว่าอยู่ช่วงเฝ้ารอดูอาการ
ฉันเจอหมอไม่กี่ครั้ง บางทีคลาดเคลื่อนกัน
ฉันเห็นคนไข้รายอื่นๆ มีหมอประจำเคสคนไข้เข้ามาดูแล
ส่วนรายพ่อฉัน ???
ฉันต้องสอบถามจากนางพยาบาลที่ผลัดเปลี่ยนเวรหน้าห้อง


วันที่พ่อถูกเจาะเอาน้ำ(เลือด)ที่สมอง เป็นครั้งแรกที่พบหน้าหมอ
แต่ถ้าเวลานั้นหมอไม่มา พ่อจะเป็นอย่างไรไม่รู้
พ่อซึมไม่ได้สติ หมอบอกโคม่าต้องผ่าตัดด่วน
หลังจากฟื้น ความทรงจำของพ่อจะย้อนอดีตตอนพ่อเด็กๆ
หลายชั่วโมงเกือบหนึ่งวันเต็ม ความจำก็เกือบกลับเข้าสู่ปกติประมาณ 80 เปอร์เซนต์
(คืนก่อนวันผ่าตัด ฉันเห็นการบริการหลายอย่างจากบุคลากรในโรงพยาบาลที่
ขอเรียกว่าไม่พอใจเท่าไหร่....เมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่เข้าไปรักษา
ที่สำคัญ ฉันอยากถามอยากปรึกษาหมอ พูดคุยกับหมอบ้าง
...ถามอาการพ่อเป็นอะไร
ขอคุยสักครั้งก็ยังดีนะหมอนะ...เข้าใจดีว่าหมอไม่มีเวลา
และมีคนไข้รายอื่นๆ และโรงพยาลอื่น
เข้าใจดีว่าไม่ใช่มีพ่อฉัน...เพียงรายเดียว.
..ฉันไม่ต้องการสอบถามอาการของโรคจากนางพยาบาลหน้าห้อง
ฉันไม่อยากที่จะต้องคว้าแผ่นกระดานบันทึกผู้ป่วยมาอ่าน..เพื่อหาคำตอบให้ตัวเอง
บางทีมีคำถามจากพี่น้องว่า..แล้วหมอว่าไงบ้าง ทุกครั้งที่โทรถาม
และทุกครั้งฉันไม่มีคำตอบให้...
เออ แล้วหมอว่าไงล่ะ ฉันจะเอาคำตอบที่ไหนในเมื่อตัวฉันเองก็ยังไม่เคยเจอหมอเลย)

ก่อนวันที่พ่อถูกเจาะสมอง
ฉันแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่เจอหมอ
ฉันจะขอย้ายพ่อไปโรงพยาบาลอื่น
เพราะสภาพพ่อที่ร้องโอดโอย ปวดหัวตลอดเวลา
พ่อขอให้ฉันช่วยพ่อให้หายจากการเจ็บการปวดด้วย


พ่อขอร้องให้ฉันเอายาหม่องทาขมับ ทานวดต้นคอ พ่อทนเจ็บไม่ไหว
พ่อเมื่อย แต่มือ เท้าถูกมัดไว้ไม่ให้พ่อดิ้นและแกะเครื่องมือ
ไม่ว่าจะเป็นขวด หรือสาระพัดสายยางออกจากตัว

งานนี้ฉันขึ้แยสุดๆ
พ่อทรมานมาก

เหตุอีกประการที่ฉันขอย้ายออก
เมื่อฉันได้มีโอกาสคุยกับหมอถึงอาการของพ่อหลังการผ่าตัดเป็นต้นไป
ฉันรู้ว่าหมอไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะล่วงรู้หาย ไม่หาย เมื่อไหร่ เป็นแบบไหน?
ฉันไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบ
เพราะอาการของพ่อก็ฟ้องให้เห็นอยู่แล้ว
ว่าหนักมาก ...แต่ฉันก็มีความหวัง
และจะต้องรักษาพยาบาลถึงที่สุด


จะให้ฉันพอใจได้ไง!!!
นอกจากหมออธิบายไม่เคลียร์แล้ว
ฉันแทบไม่เจอหมอด้วยซ้ำ
ฉันเจอหมอแค่วันนั้นวันเดียว..จริงๆ

บางทีหมออาจจะมา
แต่อาจสวนทางกันช่วงฉันรีบวิ่ง(วิ่งค่ะ ไม่เดินแน่ ห่วงพ่อ)
ไปซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อ
จะได้ไปนั่งเฝ้าพ่อข้างเตียง
(ช่วงห่างเตียงคือ เข้าห้องน้ำและซื้ออาหารมาทานในห้อง)




ฉันประสานหลายๆโรงพยาบาลในตัวเมืองเชียงใหม่ที่พอนึกชื่อได้
แต่เต็มหมด แม้ฉันเป็นคนลำพูน
แต่ไม่คุ้นเคยกับเชียงใหม่หรือลำพูนมากนัก

ฉันเฝ้าพ่อข้างเตียง สิ่งหนึ่งที่รู้ว่า
การดูแลอาการต่างๆที่เห็นว่านี่ใช่หรือไม่ใช่
ทำหรือไม่ควรทำ...ลูกหลานจะละเอียดกว่า(อยู่ที่จิตสำนึกลูกหลานด้วย)
ถ้าทำคิดว่าเป็นหน้าที่..ก็ป่วยการ
ถ้าทำด้วยการเอาใจใส่..บุญของพ่อแม่
เพียงแต่เทคนิกการพยาบาล ให้น้ำเกลือ เจาะนู่นนี่ สายต่างๆ ฉันไม่สามารถทำได้
และค่าใช้จ่าย 6 หลัก 3 วันรวมเจาะสมองฉันดูแล้วไม่สมเหตุสมผล
วัดจากการที่ไม่มีคำตอบที่กระจ่างจากบุคลากรโรงพยาบาล
และฉันจะให้พ่อรักษาตัวที่นี่ต่อไปโดยที่ฉันเองไม่ได้รู้และเข้าใจอาการของพ่อ แม้สักนิดก็ยังดี

ในที่สุดก็ประสานได้ที่โรงพยาบาล..........หึ หึ หึ












ช่วงที่สอง

การประสานโรงพยาบาล ตกลงว่าเป็นการย้ายจากห้องไอซียู ไปสู่ห้องไอซียู
ฉันจึงวางใจในจุดนี้ว่าพ่อจะปลอดภัย

ไอซียูสำหรับผู้ป่วย จะต้องสะอาด ปลอดภัย เครื่องมือพร้อม

ก่อนออกจากโรงพยาบาล
นางพยาบาลกำชับเรื่องความเสี่ยงคอยระมัดระวังหลอด สายต่างๆ โดยเฉพาะกระบอกที่รองรับน้ำเลือดที่พึ่งเจาะมาให้อยู่ระดับเหนือศรีษะ

อันนี้ต้องพึงระวัง
ด้วยที่ฉันไม่เคยเห็นหรือไปเยี่ยมใครๆในบรรยากาศห้องรักษาผู้ป่วยภายในเลย
ฉันเชื่อว่าห้องไอซียูคงเป็นห้องที่ปลอดภัยสุดๆ สำหรับคนป่วย ถึงหลายคนรวมถึงฉันก่อนหน้านี้ ได้ยินคำว่าไอซียูแล้วจะรู้สึกไม่ค่อยดี แต่ ณ ขณะนี้สำหรับฉันกลับให้ความสำคัญความปลอดภัย ใกล้หมอ และอุ่นใจในการพึงระมัดระวังสำหรับคนป่วยอย่างพ่อ
ส่วนตัวคนเฝ้าอย่างฉัน จะอยู่อย่างไรก็ได้ คนอื่นเขาก็อยู่ได้เลย
สำคัญที่พ่อต่างหาก

ฉันนั่งรถโรงพยาบาลหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่งด้วยความรู้สึกกังวลมากที่สุด
พ่อฉันจะเป็นอย่างไร
ฉันจะไปเจอสภาพอะไรบ้างข้างหน้าไม่อีกกี่นาที
จะเหมือนการหนี....ปะ...
แต่ก็อุ่นใจว่าไม่เป็นไรน่า...อย่างน้อยพ่อก็อยู่ในห้องไอซียู
ตามที่เจ้าหน้าที่ประสานกันก่อนจะย้ายออกมา

เมื่อไปถึง
พ่อต้องนอนรออยู่ด้านหน้า ทางเข้าตึกนานเกินชั่วโมงคือจะบอกว่าไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง
บริเวณนั้นมีพื้นที่การก่อสร้างซ่อมแซม ....ฉันพอเข้าใจ
เจ้าหน้าที่มีเยอะแยะ...น่าจะดีนะ
แต่...ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนเข้ามา ถามไถ่
ฉันวิ่งไปทำบัตรประจำตัวคนไข้
เสร็จแล้วกลับมา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
มีคนไข้นอนบนเตียงหลายเตียงรอเข้าตัวตึก
เห็นเจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งกำลังยืนบีบกระบอกกลมใสดูแลคนป่วยหญิงรายหนึ่ง
ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เดินกันไปมา
ถามว่ากี่คน คำตอบคือหลายคน
ฉันเรียกแต่ละคน... ทำเฉ๊ย
เจ้าหน้าที่บางคนเดินเสมือนหุ่นยนต์
ตรงที่ไม่มีความรู้สึก ไม่ตระหนักถึงหน้าที่
ทำงานเพราะมันคืองาน พอสิ้นเดือนก็รับเงินเดือน ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่จากใจ
ไปที่เคาเตอร์ฉุกเฉิน ...เห็นหมอสาวๆ น่ารัก
ยังนึกชมในใจว่าหน้าตาเด๊กเด็ก
คิดว่าคงออกมาเดินยืดเส้นยืดสายข้างนอก

1 ชั่วโมงผ่านไป
กี่ครั้งๆ เจ้าหน้าที่บอกให้รอก่อนๆ
ฉันแจ้งว่าต้องรีบนำพ่อเข้าไอซียูด่วนเลย เพราะพ่อไม่ไหวแล้ว
หายใจติดขัดและเกิดอาการหอบ
ก็ไม่มีใครสนใจ อากาศร้อนอบอ้าว
(ที่ รพ เดิมที่ออกมา นางพยาบาลเปิดแอร์เย็นฉ่ำมากพ่อยังขอให้เอาพัดลม
อีกตัวมาจ่อพัดใกล้ตัว)
ขวดน้ำเกลือลีบแฟบไปแล้ว กระบอกเลือดไม่มีน้ำเลือดหยดให้เห็น
เลือดตรงปลายท่อในกระบอกเหนียวหนืด
เจ้าหน้าที่เดินผ่านไปมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ความอดทนฉันเกือบจะขาดผึง
เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้เอาใจใส่คนป่วยบริเวณนั้นเลย
ยกเว้นเจ้าหน้าที่คนนึงที่อยู่สองบรรทัดล่างถัดไป

ท่อง...อดทนนะ อดทนนะ เพื่อพ่อ
(จนท ชายที่ยืนบีบกระบอกช่วยหายใจผู้ป่วยรายนั้น
ได้ช่วยตะโกนเรียก จนท คนอื่น
ให้มาช่วยดูอาการพ่อฉันหน่อย
ฉันขอบคุณเขาระยะไกล หวังว่าเขาคงอ่านคำขอบคุณจาก
ริมฝีปากฉันได้)

ฉันไปที่เคาเตอร์อีกครั้งว่า พาพ่อไปไอซียูเดี๋ยวนี้เหอะ
ผลคือ ไป..แต่ไปไหนฉันขอไล่เรียงตามเหตุการณ์ก่อน

จนท.สองคน ที่เข็นพ่อไป โยนกระบอกน้ำออกซิเจนให้ฉันถือ
ฉันรีบปล่อยข้าวของและกระเป๋าเสื้อผ้าลงพื้นทันทีเพื่อรับกระบอกออกซิเจน
นึกสภาพเวลาออกจากโรงพยาบาล และจะมีข้าวของคนไข้
อย่างผ้าอ้อม สำลี ยา แผ่น x'ray หลายอย่างมาก
โยนกระบอกน้ำออกซิเจนไม่พอ
จนท. คนนั้นโยนถุงผ้าอ้อม โพละ บริเวณหน้าอกพ่อ หน้าอกของคนป่วยยยย !!!!!!!!!!
เฮ่ย......
ข้าวของหลายชิ้นโยนที่ปลายเท้าพ่อ
ที่มีเข็มน้ำเกลืออะไรสักอย่างอยู่
อดทนนะ อดทนนะ ...เย็นเข้าไว้ฉันเตือนสติตัวเอง
มือข้างนึงถือกระบอกออกซิเจนของพ่อ อีกข้างนึงหอบข้าวของที่ร่่วงกับพื้นเลือกของสิ่งสำคัญที่พอจะถือและหิ้วได้
ที่เหลือ..เกลื่อนอยู่กับพื้น
ชีวิตพ่อสำคัญกว่า
ที่สำคัญกว่านั้นกระบอกออกซิเจน ลมหายใจพ่อตอนนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งนี้
นึกถึงสภาพคนแบบตู้เย็นยามเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ที่ยกของหนักวิ่งได้หน้าตาเฉย
ฉันก็ประมาณนั้นแหละ...

จนท. พาพ่อเข้าไปห้องพักผู้ป่วยรวมมีทั้งหมด 21-22 เตียง
ในนั้นมีผู้ป่วยทั้งไอ ทั้งจาม ทั้งอ๊วก เป็นห้องพัดลม
เจอพยาบาลจับกลุ่มกินผลไม้สดผลไม้ดองกันอย่างเอร็ดอร่อย
ไม่มีทีท่ากระวีกระวาดว่ามีผู้ป่วยเข้ามาช่วยเหลือคนป่วยเลย
ฉันช็อคกับสภาพเบื้องหน้า
กับบุคลากรที่มีอาชีพ...ดูแลรักษาคนไข้

ห้อง ไอซียู ล่ะ!!!!
แบะ แบะ

ความอดทนฉันหมดสิ้น
พยาบาลบอกให้ติดต่อเคาเตอร์ข้างนอก
ข้างนอกก็โบ้ยให้ติดต่อข้างใน
ข้างในก็ให้ติดต่อหมอข้างนอก
โบ้ยกันไปมา

ส....ว์ นั่นคือสิ่งที่ฉันอัดอั้นอดทนมา

(หมอที่ฉันชมในใจน่ารักนั่นน่ะ ไม่ต่างกับคนอื่น
ทั้งที่เป็นหน้าที่ของเธอในยามนั้น
เดินสะบัด ทำหน้าสวยอย่างเดียว ขณะที่่ฉันวิ่งไปมาที่เคาเตอร์หลายครั้ง
โดย...โดยฝากพ่อไว้กับญาติของผู้ป่วยที่อยู่เตียงข้างๆ...........)

แบตมือถือก็แดงก่ำ แสดงว่าหมด
เสียบได้นาทีนึงก็ปลดออกติดต่อพี่น้องให้ช่วยประสานโรงพยาบาลที่เชียงใหม่ด่วน
จะที่ไหนก็ได้
(จะติดต่อสวนปรุงเผื่อฉันก็ได้นะ หลังจากเสร็จธุระ)

นรกสำหรับสถานการณ์ของฉันในขณะนั้น
ฉันสงสารพ่อจับใจ
พ่อร้อนมากจนเกิดอาการหอบ หายใจติดขัด เกือบๆจะสิ้น
(อากาศร้อนอบอ้าว ไม่ไหลเวียน
ฉันรีบตะโกนให้นางพยาบาลมาด่วน
มาพ่นยาให้ พ่อก็รู้สึกค่อยยังชั่ว

ทางศรีพัฒน์โทรเข้ามาบอกว่าได้รับการประสานแล้ว
ก่อนจะรับการรักษาตัวก็แจ้งค่าห้องรักษาเบื้องต้นสำหรับห้องไอซียู
วันละ 27,000 บาท ญาติคนไข้ตกลงหรือไม่
ฉันตอบตกลงทันที
ณ นาทีนี้ขอพ่อปลอดภัยไว้ก่อน
พ่อจะต้องรออีกประมาณ 45 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง
(แต่ค่าใช้จ่ายจริงๆ ไม่น่าจะถึงแต่รวมๆ แล้วหลายแสนเพราะอยู่
รักษาพยาบาลหนึ่งเดือนเต็ม)

ช่วงที่รอที่จะพาพ่อไปรักษาต่อรพ. ศรีพัฒน์นั้น
ก็มีหมอที่มีคนแนะนำช่วยฝากดูแลเข้ามาดู
ซึ่งอยู่คนละตึก คนละแผนก
ทีแรกหมอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องย้ายกลับไปเชียงใหม่อีก
(มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่หมอ..แต่เป็นเจ้าหน้าที่พยาบาล
ที่คนต่างจังหวัดชินกับการเรียก"หมอ")
แต่ก็ขอบคุณน้ำใจในครั้งนี้

พอได้รับคำอธิบายว่าทำไม?
เขาก็แนะให้ร้องเรียน
แต่ฉันคงไม่ร้องเรียน ...แต่อยากติงว่าขอให้พยาบาลและเจ้าหน้าที่
ที่ทำงานในวันนั้นรู้จักคำว่าหน้าที่และเคารพอาชีพก็พอ

ช่วงที่รอก็มีน้ำใจของทั้งผู้ป่วยข้างๆ และญาติผู้ป่วยมาช่วยดูแล
ช่วยจัดเตียง จัดตัวพ่อไม่ให้ตกเตียง
เพราะครึ่งตัวพ่ออยู่บนเตียง อีกค่อนตัวห้อยต่องแต่งจะตกมิตกแหล่

มือพ่อดำคล้ำ ขวดน้ำเกลืออยู่พื้นห้องใต้เตียง
กระบอกน้ำเลือดอยู่บนพื้นห้อง ใต้เตียง
ถุงฉี่
!!!!!!!!!!!?????!!!!!!!
ฉันสังเกตุเห็นเจ้าหน้าผู้ชายหน้าตายังเด็กอยู่มากในชุดสีขาวอยู่อีกห้องหนึ่ง
มีกากบาทสีแดงติดบนแขนเสื้อ
ฉันขอร้องให้น้องคนนั้นช่วยไปดูพ่อให้หน่อย
พอน้องเข้ามาดู ก็รีบไปเอากระเป๋าเครื่องมือมาช่วยถอดเข็มน้ำเกลือ
ที่ควรจะเป็นสีขาว ตอนนั้นสายน้ำเกลือเป็นสีเลือดค่ะ
เลือดที่เข็มเหนียวหนืด

ส่วนสายยางที่ต่อสู่กระบอกรับน้ำเลือดจากสมอง
พอน้องแก้ไข น้ำเลือดไหลโจ๊กทีเดียวแต่ไม่เยอะ

น้องคนนั้นก็ช่วยยกและทำความสะอาดกระบอกและท่อต่างๆ
เอามาวางบนโต๊ะข้างเตียง
ขอบคุณน้องคนนั้นมาก ขอบคุณคนไข้ และญาติคนไข้ที่ช่วยดูแล
และทำหน้าที่ช่วยเหลือ
ต่างจากนางพยาบาลและหมอบางคนที่นี่ซึ่งควรมีหน้าที่หลักดูแลผู้ป่วยแต่กินเงินเดือนจากภาษีราษฎร


ส่วนนางพยาบาลผู้ที่ตั้งใจมีจิตวิญญาณในการดูแลผู้ป่วย
ก็ขอชมเชยด้วย
แต่สำหรับนางพยาบาลหลายคนที่เคาเตอร์ประจำห้องรวมผู้ป่วย
ที่นั่งๆยืนๆคุยหัวเราะเคี้ยวอาหารผลไม้สดดองที่ไม่ตระหนักหน้าที่ ฉันบอกได้แต่ว่า...เสียดายเงินภาษี














ช่วงที่สาม
ศูนย์โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

หลังจากย้ายไปที่ศูนย์พยาบาลแห่งหนึ่ง
ด้วยสภาพทั้งตัวผู้ป่วยและคนเฝ้าผู้ป่วยอย่างฉันที่ดูไม่เป็นผู้เป็นคนนักโดยเฉพาะตัวฉัน
ตอนนั้นได้แต่ภาวนาและนึกแต่สิ่งดีๆ
ไม่อยากนึกเรื่องร้ายๆ เลย

ขึ้นไปบนชั้น 4 ฉันเห็นห้องไอซียูแห่งนี้แล้ว
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือ พ่อปลอดภัยแล้ว พ่อปลอดภัยแล้ว
คำๆนี้ มีความหมายต่อฉันทีเดียว
ตลอดทั้งวันที่ฉันหัวฟู สู้รบปรบมือ แก้ไขปัญหาต่างๆ ถูกผิดบ้าง แล้วแต่สถานการณ์พาไป
หลังจากที่เจ้าหน้าที่มาดูแลพ่อแล้ว
มีหมอท่านหนึ่งเข้ามาดูแล ทราบหลังจากนั้นว่าเป็นหมอด้านโรคหัวใจ
ความดัน การพูดคุยกับหมอเป็นการคุยสอบถามแบบที่สุดๆ แล้ว
ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า พูดคุยกับหมออย่างไร เพราะเบลอแล้ว
ฉันขออนุญาติเจ้าหน้าที่อยู่เป็นเพื่อนพ่อสักพักหนึ่ง เขาก็อนุญาติ
ตามกฏห้องไอซียูแห่งนี้ให้เข้าเยี่ยมได้ 8 โมงเช้า(เอ หรือสิบโมง)-2 ทุ่ม

เท่าที่ดูรอบๆ ไอซียู แห่งนี้มีกล้องวงจรปิดความละเอียดสูงพอควร
จับภาพผู้ป่วยทุกๆห้องตลอดเวลา
ห้องสะอาด เครื่องมือแพทย์ทันสมัย เจ้าหน้าที่ผ่านการอบรมมาอย่างมืออาชีพ

ฉันสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงที่พักเพราะคิดว่าจะเป็นแบบเดียวที่ รพ แรก
ที่ให้เฝ้าผู้ป่วยได้ แต่ที่นี่ห้าม
ให้ไปนั่งพักด้านหน้าห้องไอซียู
โชคดีที่ว่ามีคนรู้จักมาหาช่วงนั้น ได้นั่งพูดคุยจนเที่ยงคืนก็ขอตัวกลับ
ฉันนั่งได้สักพัก มีเจ้าหน้าที่ออกมาบอกว่าให้รีบทำธุระในห้องน้ำ
เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะมาปิดห้องน้ำ และให้ฉันกลับที่พักได้
(ซึ่งสองชั่วโมงก่อนหน้ามีคนบอกว่าไปนั่งรอหน้าห้องได้ -
ฉันเองก็กลัวผีหัวหดอันดับหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร รู้ทั้งรู้ว่า
เรื่องเล่าโรงพยาบาลนั้นคู่กับฝี
ยังปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามาก็เจรจากันได้
เขาบอกเดี่ยวจะปิดไฟ - ฉันยังใจดีสู้เสือว่าบอกตัวเองไม่เป็นไร
จนท ก็บอกว่าเขาไม่รับรองความปลอดภัยที่นี่ เพราะจนท ส่วนใหญ่อยู่ด้านใน
แต่จะมี รปภ ออกมาสำรวจตามชั้นต่างๆ และเขาไม่ไว้ใจ รปภ
เอาล่ะ! ทำไงดี
ขนาดว่ากลัวผี ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าน่าเจรจากับผีรู้เรื่อง
แต่ถ้าเจรจากับคนนี่สิ!!! ไม่รู้เรื่องแน่
เป็นผู้หญิงคนเดียวจะไปหาโรงแรมพักที่ไหนตอนตีหนึ่งเนี่ย
และจะต้องบินกลับกรุงเทพ 10 โมงเช้าซะด้วย
ในที่สุดก็โทรหาน้องที่มาคุยด้วยให้มารับ

ตื่นเช้าน้องเขารีบมาส่งที่โรงพยาบาล
ฉันขออนุญาติ จนท เข้าไปหาพ่อพร้อมแจ้งเหตุผล
โชคดีที่ได้เจอคุณหมอใหญ่เจ้าของไข้
คุณหมอท่านนี้ได้อธิบายลักษณะอาการ
เป็นแต่ละสเต็ปให้ได้เข้าใจ
ฉันเองก็แจงข้อจำกัดของผู้ป่วยและตัวฉันเองให้คุณหมอทราบ
จากนั้นฉันก็รีบไปสนามบิน
ขณะเดียวกันพี่สาวอีกคนก็บินสวนทางรับช่วงดูแลต่อ












Create Date : 13 เมษายน 2553
Last Update : 26 กันยายน 2558 5:17:59 น. 0 comments
Counter : 341 Pageviews.

tankiya
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add tankiya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.