เป็นสุขอยู่ในอู่แห่งทะเลบุญอันกว้างใหญ่.......

จดหมายจากศาสตราจารย์ อันยังกิว ประเทศเกาหลีใต้

ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2554
จดหมายจากศาสตราจารย์ อันยังกิว ประเทศเกาหลีใต้

ผลการปฏิบัติธรรม
จดหมายจากศาสตราจารย์ อันยังกิว ประเทศเกาหลีใต้
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา

กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง

กระผม ศาสตราจารย์อันยังกิว จากประเทศเกาหลีใต้ครับ ก่อนอื่นกระผมต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่อด้วยหัวใจอย่างสุดซึ้งครับ ที่ให้โอกาสกระผมและคณะได้ไปปฏิบัติธรรมที่ World-Peace-Valley-เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา และต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว รวมไปถึงพระอาจารย์ทุก รูป เป็นอย่างสูง สำหรับการอบรมสั่งสอน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับกระผม ตลอดการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่วันที่ 3-14 มกราคม พ.ศ.2554 ครับ



กระผมได้ฝึกนั่งสมาธิ ตามหลักของวิชชาธรรมกาย หรือทางสายกลาง ซึ่งก่อนหน้านั้น กระผมไม่เคยคิดมาก่อนว่า...ความสบาย มีผลสำคัญต่อการนั่งสมาธิ ถ้าเราไม่อยู่ในอารมณ์สบาย เราก็จะไม่สามารถรวมใจของเราให้หยุดนิ่งได้ กระผมจึงเข้าใจแล้วว่า...ทำไมการนั่งสมาธิแบบวิชชาธรรมกาย จึงเรียกว่า “ทางสายกลาง”-ก็เพราะว่า...ถ้าเรานั่งแบบ ตั้งใจเกินไป กลับจะทำให้เรานั่งได้ไม่ดี ดังนั้น การนั่งสมาธิแต่ละครั้ง เราจึงไม่ควรนั่งแบบตึงเกินไปครับ

ผลการปฏิบัติธรรมของกระผมพัฒนาไปเรื่อยๆ ซึ่งเริ่มจากการไม่คิดอะไรในเวลานั่งสมาธิ เพียงแค่ทำใจให้หยุดนิ่ง สบายๆ กระผมก็ได้พบกับความสุข กระผมมักจะตรึกด้วยคำว่า “สัมมาอะระหัง”-ซึ่ง ช่วยให้ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำให้ใจของกระผมนิ่งขึ้น กระผมว่าการภาวนาอย่างนี้มีประสิทธิภาพมาก เป็นการกำหนดจิตของเราไม่ให้วอกแวก และในขณะที่กระผมกำลังเดินรอบสระน้ำด้วยอารมณ์ที่สบาย พอรวมใจไปไว้ที่ศูนย์กลางกาย ก็รู้สึกราวกับว่า...ต้นไม้ ดอกไม้ ที่อยู่ในสวน ดูมีชีวิตชีวาและส่งความชื่นบานมาให้กระผม ทำให้กระผมรู้สึกเบิกบาน สุขใจเป็นอย่างมากครับ

กระผมได้เรียนรู้ว่า การสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ทำให้กระผมซาบซึ้งในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสมือนเราได้นั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ และการได้อ่านชีวประวัติของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำฯ คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ยิ่งทำให้กระผมเกิดแรงบันดาลใจ เรื่องราวของท่านเป็นแรงสนับสนุน ทำให้กระผมอยากนั่งสมาธิ และสัมผัสถึงอารมณ์ของสมาธิที่ลึกซึ้งขึ้น การได้เห็นโครงการต่างๆของหลวงพ่อ โดยเฉพาะโครงการวีสตาร์ ทำให้กระผมปรารถนาที่จะพานักศึกษาจากเกาหลี มาศึกษาดูงานในวันรวมพลังเด็กดีวีสตาร์ในครั้งหน้าอีกด้วยครับ และในครั้งนี้ ลูกศิษย์ของกระผมมีผลการปฏิบัติธรรมมากราบรายงานหลวงพ่อด้วย ดังนี้ครับ...






กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ

ดิฉันชื่อ คิม ซอนออก (Kim-Seon)-เมื่อ ดิฉันได้มาปฏิบัติธรรมเป็นเวลาสองสัปดาห์ ก็ทำให้ดิฉันได้พบกับประสบการณ์ที่มีความสุขมาก ในช่วงที่ใจของดิฉันหยุดนิ่ง ดิฉันได้เห็นดวงสว่างเป็นดวงเล็กๆเท่ากับดวงตา มีความใสแวววาวเหมือนน้ำค้างที่ต้องแสงตะวัน ดวงสว่างจ้าที่กลางท้อง สว่างมากเหมือนดวงอาทิตย์ แต่ไม่มีความรู้สึกร้อนเลยค่ะ ตรงกันข้ามกลับทำให้ดิฉันรู้สึกปีติสุข จนน้ำตาไหลอาบแก้ม ดิฉันนั่งสมาธิไปพร้อมๆกับรอยยิ้ม นั่งต่อไปเรื่อยๆก็เห็นองค์พระปรากฏขึ้นมาในกลางของดวงแก้วใส ดิฉันรู้สึกประหลาดใจมาก และมีความสุขมากจนบรรยายไม่ถูก ดิฉันรู้แล้วว่าพระธรรมกายเป็นศูนย์กลาง เป็นแหล่งแห่งความสุขที่แท้จริง ดิฉันอยากแบ่งปันความสุขนี้ให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกคน ดิฉันจึงอธิษฐานขอให้ทุกคนได้เข้าถึงพระธรรมกาย ได้รับความสุขภายในอย่างที่ดิฉันได้รับ

ดิฉันจะนำความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายนี้ ไปแบ่งปันสู่เพื่อนชาวเกาหลีใต้ สุดท้ายนี้ดิฉันขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงค่ะ ที่ทำให้ดิฉันได้พบกับความสุขที่แท้จริง ขอให้หลวงพ่อทั้งสองมีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ มีอายุขัยยืนยาวตลอดไปเจ้าค่ะ

กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง

ศาสตราจารย์ อันยังกิว
กัลฯคิม ซอนออก





 

Create Date : 19 มกราคม 2554   
Last Update : 19 มกราคม 2554 12:17:34 น.   
Counter : 777 Pageviews.  

ขายลอตเตอรี่หรือหวยรัฐบาลจะมีวิบากกรรมอย่างไร

คำถามจากทางบ้าน:
เตี่ยเปิดร้านขายของชำอยู่ที่ จ.ลพบุรี มีคติประจำร้านตามที่อากงสอนไว้ว่า “อย่าขายเหล้าและน้ำเมาทุกชนิด” แต่ของอย่างอื่นในร้านที่น่าจะเลิกขายก็ยังมีอยู่ เมื่อเตี่ยได้ศึกษาธรรมะจาก จานดาวธรรม ก็ค่อยๆ ตัดใจเลิกขายทีละอย่าง แรกสุดเลิกขายยาฉีดยุง ต่อมาเลิกขายบุหรี่ ทั้งๆ ที่ร้านของเตี่ยเป็นร้านขายส่งบุหรี่รายใหญ่ และทำกำไรได้ดีมาก ต่อมาเตี่ยก็เลิกขายยาเส้น

ส่วนลอตเตอรี่นั้นยังขายส่งอยู่บ้าง เตี่ยอ้างเหตุผลว่า เป็นลอตเตอรี่รัฐบาล ไม่ใช่หวยใต้ดิน การที่เตี่ยยังขายลอตเตอรี่อยู่ จะส่งผลให้มีวิบากกรรมอย่างไรคะ

ที่นี่มีคำตอบ:
เตี่ยยังขายลอตเตอรี่อยู่ ก็จะทำให้มีเชื้อแห่งความหลง เพราะทำให้คนติดหลงงมงาย เพ้อๆ ฝันๆ ว่า “จะรวย” เชื้อนี้จะทำให้ขาดปัญญา และมีโอกาสดำเนินชีวิตผิดพลาดได้ เช่น เป็นเหตุให้ถูกดึงไปอยู่ในวงจรของการคบคนพาล ซึ่งจะมีโอกาสดำเนินชีวิตผิดพลาดได้

โดย คุณครูไม่ใหญ่
๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘




 

Create Date : 11 มกราคม 2554   
Last Update : 11 มกราคม 2554 15:30:52 น.   
Counter : 498 Pageviews.  

การเอาพืชสดๆมาทำน้ำปานะมีคุณค่ากว่าพวกผงสำเร็จ!!...อาหารเพื่อสุขภาพนักสร้างบารมี

อาหารที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติธรรมบนดอย

การขึ้นมาปฏิบัติธรรมบนดอยสูงๆ

ซึ่ง...อากาศ ทั้งเย็นทั้งชื้น บางวันฝนก็ตกหนัก ลมก็แรง หากใครมาพบอากาศที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ ร่างกายก็จะปรับตัวไม่ทัน มีผลทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานผิดปกติได้ง่าย
อาการที่พบ เช่น อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หนาวลึกๆเย็นเยือกจากในท้อง ตะคริวกินท้อง เป็นต้น ทั้งนี้เพราะความอบอุ่นทั้งภายนอกภายในร่างกายไม่เพียงพอ วิธีแก้ไขเร่งด่วนควรเอากระเป๋าน้ำร้อนมาประคบที่หน้าท้อง อุ่นที่หน้าท้องไว้จากนั้นแก้ด้วยการรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยธาตุไฟแล้วอาการดังกล่าวก็จะทุเลาลง จึงจำเป็นต้องมีความรู้เรื่องอาหารด้วย

อาหารที่ประกอบด้วยธาตุไฟ

ได้แก่... แกง เผ็ด แกงป่า น้ำพริกผักต้ม เป็นต้น แต่แกงอย่าให้เผ็ดนัก เผ็ดพอที่เด็กๆรับประทานได้ด้วย หรือ บางคนธาตุไฟอ่อน บางคนต้องการได้ขิงต้องการได้ข่า บางคนขิงข่าร้อนแรงเกินไป เอาแค่ตะไคร้ก็พอ หรือสมุนไพรตัวอื่นๆเช่น ใบสะระแหน่ พอช่วยได้ มีธาตุอยู่พอสมควร ผักชีฝรั่งที่ใช้ใส่ต้มจืดหรือทำน้ำซุป ก็สามารถเพิ่มธาตุไฟได้ โดยเฉพาะรากของมันเอง การใช้พริกหรือสมุนไพรเผ็ดๆ ช่วยเพิ่มธาตุไฟ จะทำให้อาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหารไปอย่างน่าอัศจรรย์
ในการปรุงอาหารก็ต้องศึกษาและวังเกตให้เข้าใจถึงธรรมชาติของอาหารให้ถ่องแท้ ตัวอย่าง เช่น


๑. ผัก สดแม้จะมีวิตามินสูงก็จริงแต่ทำให้ผายลมบ่อยๆๆผักที่ลวกจะช่วยทำให้ลมในท้อง ลดลง ทั้งที่ปู่ย่าตาทวดของเราต่างก็อยากรับประทานของสด แต่เพราะมีปัญหาเรื่อง ลมในท้องจึงต้องลวกผักเสียก่อน สำหรับเรื่องนี้ถ้าไปบอกพวกวัยรุ่นวันสาวก็ไม่เชื่อหรอก ผักสดอร่อยกว่าผักลวก และเพราะว่าไม่ว่าจะรับประทานอะไรเข้าไปก็สามารถย่อยได้หมด เนื่องจากธาตุไฟในตัวยังดีอยู่เซลล์เกิดกับเซลล์ตายยัง สมดุลกัน แต่เมื่ออายุมากขึ้นเซลล์ตายมากกว่าเซลล์เกิด ก็จะเริ่มเกิดปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตามมีผักบางอย่าง เช่น หอม สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง เป็นต้น นี่รับประทานสดได้โดยไม่ต้องลวก เนื่องจากมีสรรพคุณไล่ลมอยู่แล้ว


๒. วัน ไหนมีอาหารปรุงด้วยเนื้อสัตว์เป็นชิ้นๆ มากหน่อย เช่น ไก่ย่าง หมูย่าง ฯลฯ วันนั้นต้องมีส้มตำ เพราะในมะละกอดิบมีสารเอมไซม์เพอพออิน(Enzyme Papain) ที่สามารถย่อยเนื้อได้


๓. สำหรับ ปลาร้านั้น แท้ที่จริงก็คือปลาเน่า กะปิก็คือกุ้งเน่าพวกนี้ลำพังมันเองไม่ได้คุณค่าทางอาหารมากนัก แต่มันสามารถช่วยนำรสเพื่อเรียกน้ำย่อย ทำให้รสอาหร แซบขึ้นทำให้รู้สึกเอร็ดอร่อยมาก ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ ทดลองรับประทานเนื้อจืดๆหรือผักต่างๆโดยไม่จิ้มพวกนี่แล้วความอร่อยต่างกัน มากบางทีอาจรู้สึกว่า ไม่อร่อยเลย


๔. เมื่อทอดไข่ครั้งใดก็ตาม ซอยหอมหัวเล็กลงไปด้วยเพราะหอมเป็นตัวลดคอเรสเตอรอลได้ และช่วยลดคอเรสเตอรอลได้ดีกว่าหอมหัวใหญ่


๕. ในการปรุงอาหารประเภทปลาให้คนไข้ ปลาช่อนนี่เยี่ยมที่สุด เป็นปลาน้ำจืดที่ไม่คาว เพราะเป็นปลาที่อยู่ในกลุ่มคุณสมบัติพิเศษ คือ มีไขมันแทรกอยู่ในเนื้อ เมื่อผ่าท้องปลาช่อน เราจะไม่พบไขมันที่เป็นก้อนๆเหมือนพวกปลาสวาย ปลาเทโพ ปลาตะเพียน เนื่องจากปลาช่อนเป็นปลาที่กินปลาอื่นเป็นอาหาร มันต้องใช้พลังมากในการล่าเหยื่อจึงไม่ค่อยมีไขมัน ไม่ว่าปลาหรือสัตว์ที่ล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร เช่น เสือ สิงโต นกเหยี่ยว เป็นต้น ล้วนผอมทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้ปลาช่อนอาจจะเป็นปลาชะโดหรือปลาแมงภู่ก็ได้แต่ว่าเนื้อของมันหยาบ กว่า แต่มีอีกตัวหนึ่งใช้ได้ดีเหมือนกัน คือ ปลายี่สก ไขมันไม่มาก


๖. อาหาร ฝรั่ง ซึ่งประกอบด้วย ขนมปัง แยม ชีส บัตเตอร์ รวมทั้งอาหารพวกเนื้อ วัว เนื้อหมู เนื้อไก่ หมูแฮม ฮอทดอก ไข่ดาว เหล่านี้ คืออาหารพวกนี้เหมาะสมเฉพาะในภูมิภาคที่เย็น สำหรับอากาศ เย็น และชื้นบนดอย ถ้ารับประทานอาหารประเภทนี้ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าให้ดีจะแถมสับปะรดด้วยก็ได้ เพราะมีเอมซ์ไซม์สำหรับช่วยย่อยเนื้อต่างๆ และถ้าวันใดรู้สึกหนาวอาจใช้ขิงซอย ตะไคร้ซอยเป็นแว่นๆ เสริมกับผักสดก็ยิ่งดี ฯลฯ

ถ้าเรา มองสภาพดินฟ้าอากาศตามธรรมชาติออกชัด เราก็จะสามารถจัดเตรียมอาหารได้อย่างมีเหตุมีผล และมีคุณภาพตลอดจนปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้าเร็วเกินคาดน้ำปานะในช่วงอากาศ เย็น น้ำปานะในช่วงอากาศเย็น ควรทำมาจากวัตถุดิบที่ประกอบด้วยธาตุไฟ เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ เป็นต้น



วิธีต้ม... น้ำขิงหรือน้ำข่าหรือน้ำตะไคร้ ให้นำพืชดังกล่าวมาสับเป็นท่อนๆแล้วก็ทุบพอแตก เอาไปใส่น้ำที่กำลังเดือดอย่าใส่ลงไปก่อนที่น้ำจะเดือด เพราะกลิ่นเหม็นเขียวของมันจะออกมา ในขณะที่รอเวลาให้น้ำเดือด เหมือนกับการต้มปลา ถ้ายังใส่ลงไปในน้ำที่ยังเดือดไม่ได้ที่ จะทำให้เหม็นคาวมากจนอาจจะรับประทานไม่ได้เมื่อ ใส่พืชดังกล่าวลงไปตอนน้ำเดือดแล้ว ต้องรอให้เดือดอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่เกิน ๒-๓ นาที ก็ยกลง เพราะหากปล่อยไว้นาน รสชมเฝื่อนของมันจะออกมา หากต้องการให้หวานก็ใส่น้ำตาลกรวดปรุงรสตามต้องการ


การเอาพืชสดๆ มาทำน้ำปานะอย่างนี้ให้คุณค่าทางอาหารและยาสูงกว่าพวกปานะที่ทำเป็นผงสำเร็จมากนัก





จากหนังสือ...สุขภาพนักสร้างบารมี
//health.dmc.tv/สุขภาพ/การขึ้นมาปฏิบัติธรรม.html




ภาพจากงานบวชแสนรูปทุกหมู่บ้านทั่วไทย




 

Create Date : 10 มกราคม 2554   
Last Update : 10 มกราคม 2554 13:57:09 น.   
Counter : 547 Pageviews.  

การดื่มปัสสาวะ..ช่วยเรื่องสุขภาพจริงไหม คลิ๊ก...น้ำมูตรเน่า ก็คือน้ำมูตรหรือปัสสาวะ

การดื่มน้ำมูตรเน่า

น้ำมูตรเน่า ก็คือน้ำมูตรหรือปัสสาวะ

แม้ออก...มา จากร่างกายใหม่ๆก็เรียกว่า น้ำมูตรเน่า ทั้งนี้เพราะออกมาจากร่างกายที่มีการเน่าเปื่อยผุพังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น แม้ปัสสาวะที่ยังอุ่นๆอยู่ก็ชื่อว่าเน่าแล้ว

ประโยชน์ของการดื่มปัสสาวะ

ประโยชน์สำคัญของการดื่มปัสสาวะมี อยู่ ๒ คือ

๑.การลดไข้ ขณะที่คนไข้กำลังมีไข้ที่สูง จะรู้สึกไม่สบายตัว และอาจเกิดอันตรายต่อคนไข้ได้ มีความจำเป็นจะต้องรีบลดไข้ลงโดยทั่วไปใช้ผ้าชุบน้ำธรรมดาสักครู่ ไข้ก็จะลด เพราะใช้น้ำอุ่นการดึงความร้อนออกจากร่างกายไม่ดี และถ้าใช้น้ำเย็นจะทำให้เส้นเลือดบริเวณผิวหนังหดตัว การระบายความร้อนออกไม่ดี วิธีนี้เป็นการลดไข้จากภายนอก


พระธุดงค์...

นิยมลดไข้จากภายใน คือ ดื่มน้ำปัสสาวะตนเองเนื่องจากปัสสาวะเป็นสิ่งที่ร่างกายคนเราขับออกไปแล้ว เมื่อดื่มกลับเข้าไปอีก ร่างกายก็จะไล่ตะเพิดให้ขับปัสสาวะออกให้เร็วยิ่งตะเพิดออกให้เร็วเท่าไหร่ ความร้อนภายในร่างกายก็ดึงออกมาเร็วเท่านั้น ทำให้สามารถลดไข้ได้ ลดความร้อนภายในลงได้ฮวบฮาบทีเดียว ในกรณีอยู่ลำพังคนเดียวไม่มีใครมาเช็ดตัวให้ การดื่มปัสสาวะตนเองจึงเป็นวิธีลดไข้ที่ดีที่สุด
ปัสสาวะที่จะใช้ดื่ม น้ำ โดยทั่วไปปล่อยทิ้งไว้สักครู่ ให้เย็นแล้วจึงดื่ม ปริมาณที่จะดื่ม ใครดื่มเต็มที่ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ส่วนจะดื่มกี่ครั้ง ก็ขึ้นอยู่กับว่า ไข้ลดลงได้มากน้อยเท่าไหร่แล้วถ้ายังลดไม่พอใจ ก็ดื่มเข้าไปอีก ๑-๒ เที่ยวติดต่อกันก็ได้ ไม่มีอันตรายใดๆ



๒.ใช้รักษาโลก

เมื่อพระภิกษุอาพาธ .....

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ใช้น้ำมูตรเน่า!!

หรือปัสสาวะตนเองบำบัดรักษา เป็นวิธีการรักษาความเจ็บไข้ด้วยตัวเองนานกว่า ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังทันสมัยอยู่
ทำไมถึงให้ใช้ปัสสาวะ ตัวเอง ตามธรรมดา เมื่อมีอะไรแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย ร่างกายก็จะสร้างเม็ดเลือดขาว เสมือนทหารที่ฝึกดีแล้ว เพื่อต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมด้วยการสร้างสารชนิดหนึ่งออกมาเสมือนอาวุธชีวภาค เนื่องจากมีขนาดเล็กมากๆสารเหล่านี้จึงผ่านกระบวนการกรองออกมาปนกับปัสสาวะ ได้ ดังนั้นเมื่อกลับดื่มปัสสาวะกลับเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง การมีผลทำนองเดียวกับการให้ซีรุ่ม เป็นการเพิ่มอาวุธชีวภาคที่ถูกสร้างขึ้นมา เฉพาะเจาะจงให้กับทหารต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ จนกระทั่งมันลดจำนวนเหลือน้อยร่างกายก็ฟื้นจากโรคได้โดยเร็ว


...อีกครั้ง...

เป็นเสมือนการฉีดวัคซีนหรือการปลูกฝี คือ การนำเชื้อโรคปริมาณน้อยและเพียงพอต่อการสร้างภูมิต้านทานมา ฉีดในร่างกาย ทหารในร่างกายก็จะออกมาทำงาน สร้างอาวุธชีวภาคที่เฉพาะกับเชื้อโรคชนิดนี้ เมื่อเชื้อโรคปริมาณน้อยนี้หมดไป แต่อาวุธชีวภาคภายในร่างกายไม่ได้หมดตาม ยังคงเตรียมพร้อมที่จะใช้ต่อสู้กับเชื้อโรคชนิดนี้หากเข้ามาในร่างกายอีกดัง นั้น เมื่อเราดื่มปัสสาวะกลับเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่แปลกปลอมที่ปนมากับปัสสาวะ ก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้ทหารผลิตอาวุธชีวภาคที่เฉพาะเจาะจงกับสิ่งแปลกปลอม นั้นๆ และพร้อมที่จะใช้ต่อสู้เมื่อสิ่งแปลกปลอมนั้นๆกลับเข้าไปในร่างกายอีก

การดื่มน้ำมูตรเน่า จึงสมดังพุทธพจน์ว่า
“อัตตา หิ อัตตโน นาโถ”
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน




การดื่มน้ำมูตรเน่า
จากหนังสือ...สุขภาพนักสร้างบารมี
//www.dmc.tv




 

Create Date : 08 มกราคม 2554   
Last Update : 8 มกราคม 2554 20:34:48 น.   
Counter : 496 Pageviews.  

ชัยชนะครั้งที่ ๕ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ตอน ชนะการถูกกล่าวหาจากนางจิญจมาณวิกา)



ชัยชนะครั้งที่ ๕ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(ตอน ชนะการถูกกล่าวหาจากนางจิญจมาณวิกา)

พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ เป็นอานุภาพที่ไม่มีประมาณ เพราะเป็นอจินไตยอยู่เหนือวิสัยของผู้ที่ใจยังไม่หยุด จะเข้าใจได้ด้วยการนึกคิดด้นเดาตามหลักตรรกวิทยา หรือศาสตร์ต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ เพราะเป็นศาสตร์เฉพาะของผู้รู้แจ้งเท่านั้น ผู้ที่ทำจิตให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ก็จะประสบกับอานุภาพของพระรัตนตรัยเสมอ พบแต่เรื่องอัศจรรย์จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะสิ่งอัศจรรย์จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หากใจเราหยุดนิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย เราจะมีความบริสุทธิ์ มีอานุภาพตามท่านไปด้วย ดังนั้น เราควรปฏิบัติให้เข้าถึงพระรัตนตรัยให้ได้กันทุกคน

มีบทพุทธคุณสรรเสริญพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บทที่ ๕ ว่า
“กตฺวาน กฏฺฐมุทรํ อิว คพฺภินียา
จิญฺจาย ทุฏฺฐวจนํ ชนกายมชฺเฌ
สนฺเตน โสมวิธินา ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ

พระพุทธเจ้าผู้ เป็นจอมมุนี ได้ทรงชนะคำกล่าวร้ายของนางจิญจมาณวิกา ผู้ทำอาการเหมือนหญิงมีครรภ์ ได้ทำไม้สัณฐานกลมผูกติดไว้ ด้วยวิธีที่งดงาม คือความสงบพระทัยในท่ามกลางมหาชน ด้วยเดชแห่งพุทธชัยมงคลนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน”

ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกอย่างหนึ่ง ที่ทรงแก้คำครหานินทาของชาวเมืองได้ด้วยอาการสงบ ถือเป็นอีกแง่มุมหนึ่งของชัยชนะที่มีความแตกต่างกันไป คือ ทรงเอาชนะการถูกกล่าวหาจากหญิงสาวชื่อว่า จิญจมาณวิกา ผู้เป็นสาวกของเดียรถีย์ พระพุทธองค์ทรงถูกกล่าวหาว่า ได้ร่วมหลับนอนกับหญิงสาวคนนี้ จนนางตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวโลกส่วนใหญ่พร้อมจะเชื่อกันได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่เพราะความบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ทำให้ทรงชนะแผนการชั่วร้าย ที่พวกเดียรถีย์ได้คิดที่จะมาทำลายพระพุทธศาสนา

มีวาระพระบาลีที่ท่านกล่าวไว้ว่า “พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชาผู้ส่องแสงสว่างไสว ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้นเพียงใด ชนทั้งหลายพากันบูชาสมณพราหมณ์เหล่าอื่นอยู่เป็นอันมากเพียงนั้น แต่เมื่อใด พระพุทธเจ้าผู้มีพระสุรเสียงอันไพเราะ ได้ทรงแสดงธรรมแล้ว เมื่อนั้นลาภและสักการะของพวกเดียรถีย์ก็เสื่อมไป”

ชัยชนะของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราในครั้งนี้ มีอยู่ว่า สมัยที่พระสัมมา-สัมพุทธเจ้าทรงเริ่มประกาศพระพุทธศาสนาใหม่ๆ มหาชนจำนวนมากพากันหลั่งไหลมาศรัทธา และออกบวชตามพระพุทธองค์ ทำให้พวกเดียรถีย์ซึ่งเป็นนักบวชนอกพระพุทธศาสนาเสื่อมจากลาภสักการะ เป็นเช่นแสงของหิ่งห้อยในยามที่พระอาทิตย์ส่องแสง ความศรัทธาที่พวกตนเคยได้รับกลับถดถอยลงไป ดังนั้น ผู้ที่ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาบางพวก จึงหาทางกำจัดพระพุทธองค์ ด้วยการกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง

พวกเดียรถีย์ต่างปรึกษาหารือกันว่า “เพราะพระสมณโคดมแท้ๆ ทำให้พวกเราได้รับความเดือดร้อน ลาภสักการะที่เคยมีก็หดหายไปหมด ถ้าหากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ เห็นทีพวกเราคงต้องยํ่าแย่แน่ ต้องรีบหาทางแก้ไขโดยด่วน” พวกเขาช่วยกันคิดหาอุบายที่จะทำลายพระพุทธศาสนา ในที่สุดก็คิดจะใส่ร้ายพระพุทธองค์ ด้วยการใช้นางจิญจ-มาณวิกาเป็นเครื่องมือ

สมัยนั้น มีปริพาชิกาชื่อจิญจมาณวิกา นางเป็นหญิงรูปงาม พวกเดียรถีย์จึงคิดที่จะใช้นางเป็นเครื่องมือทำลายพระพุทธศาสนา เมื่อจิญจมาณวิกาเข้าไปในอารามของเดียรถีย์ พวกเดียรถีย์ต่างยุยงให้นางเป็นตัวแทนในการทำลายชื่อเสียงของพระพุทธเจ้า นางยอมตกลงทำตามคำแนะนำนั้น

เย็นวันนั้น พวกเขาเริ่มแผนการที่ไม่น่าเชื่อว่า สาวงามอย่างเธอจะกล้าคิด กล้าพูด และกล้าทำในสิ่งที่กำลังนำไปสู่การเสวยทุกข์ทรมาน อันแสนสาหัสในอเวจีมหานรก นางเดินมุ่งหน้าเข้าไปในวัดพระเชตวัน แต่งตัวเรียบร้อย ถือดอกไม้ของหอมเข้าไป สวนทางกับสาธุชนที่ ฟังธรรมแล้วกำลังเดินออกจากวัด ผู้คนเกิดความสงสัย ไต่ถามว่า “นี่เธอจะไปไหนล่ะ” นางตอบว่า “ฉันจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า” ครั้นลับสายตาของผู้คน แทนที่นางจะเข้าไปในวัด กลับแวะไปพักค้างที่อารามพวกเดียรถีย์ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวัดพระเชตวันนั่นเอง

รุ่งเช้า เมื่อสาธุชนออกจากเมืองจะไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า นางทำทีเหมือนเพิ่งออกจากวัดพระเชตวัน ก็เดินสวนทางออกมา ครั้นมีผู้ถามว่า “แม่นาง เมื่อคืนเธอไปนอนที่ไหนมา” นางตอบว่า “เมื่อคืนฉันพักอยู่ในวัดพระเชตวันนี่แหละ” นางอดทนทำเช่นนี้อยู่เป็นเดือนๆ เมื่อถูกถามอีกก็ตอบว่า “ฉันพักอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระพุทธเจ้า” พุทธบริษัทฟังแล้วเกิดความคลางแคลงสงสัย ที่เป็นปุถุชนอยู่ บางคนก็เชื่อ เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูมากขึ้นทุกวัน

ล่วงไป ๓-๔ เดือน นางทำทีเหมือนเริ่มมีท้อง แล้วให้พวกเดียรถีย์ไปโพนทะนาว่า นางตั้งครรภ์กับพระพุทธเจ้า ผ่านไป ๙ เดือน นางทำเป็นท้องแก่ โดยเอาไม้กลมวางที่หน้าท้อง แล้วเอาผ้าห่มทับอีกชั้นหนึ่ง เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงธรรมแก่มหาชน นางเดินเข้าไปท่ามกลางมหาชน ยืนต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์ พลางร้องตะโกนใส่ว่า “พระองค์น่ะ ดีแต่แสดงธรรมให้คนอื่น หม่อมฉันครรภ์แก่แล้ว ไม่เห็นมาสนใจเลย ทำไมพระองค์ไม่รีบไปหาสถานที่สำหรับคลอดลูกของเราล่ะ ถ้าหากพระองค์ไม่ทำเอง ก็น่าจะบอกอุปัฏฐากให้จัดการให้ก็ได้”

นางได้ด่าบริภาษพระตถาคตเจ้าในท่ามกลางพุทธบริษัท โดยไม่มีความละอายต่อบาปแม้แต่น้อย พระพุทธองค์ทรงนิ่งอย่างประเสริฐ พลางตรัสด้วยพระสุรเสียงอันสงบราบเรียบว่า “ดูก่อนน้องหญิง คำที่เธอกล่าวนั้น มีแต่เพียงเราและเธอเท่านั้นที่รู้” ทรงนิ่งด้วยพระพักตร์ที่เป็นปกติ มหาชนที่มีศรัทธาตั้งมั่นก็ไม่หวั่นไหว แต่ผู้ที่ยังมีอินทรีย์อ่อน เริ่มเกิดความคลางแคลงสงสัย

นางจิญจมาณวิกาด่าบริภาษอยู่คนเดียวมิได้หยุดปาก จนเป็นเหตุให้อาสนะของท้าวสักกะเกิด อาการร้อนทรงสอดส่องทิพยจักษุลงมา รู้ว่าหญิงงามแต่ใจทรามกำลังกล่าวตู่พระตถาคต ทรงดำริว่า “เราจะต้องเป็นผู้ชำระคดีนี้ด้วยตัวเอง” จากนั้นก็เสด็จมาพร้อมกับเทพบุตร ๔ องค์ เทพบุตรได้แปลงเป็นลูกหนูเข้าไปกัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้ แล้วทำลมให้พัดผ้าห่มขึ้น นางมัวแต่ยืนด่าไม่ทันระวังตัว ไม้กลมที่มัดไว้ก็กลิ้งตกลงบนหลังเท้าของนาง ทำให้นางได้รับความเจ็บปวดทรมานมาก

เมื่อมหาชนรู้ความจริง ต่างพากันไล่ทุบตีนางด้วยความโกรธแค้น นางตกใจมาก เพราะรู้ว่าความแตกแล้ว รีบวิ่งหนีจากการถูกรุมทุบตี ทันที ที่ลับคลองจักษุของพระพุทธองค์ไปเท่านั้น แผ่นดินหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ไม่สามารถจะรองรับกรรมอันชั่วช้าที่นางทำไว้ จึงแยกออกเป็นช่องเปลวไฟตั้งขึ้นจากอเวจีมหานรก ดูดนางลงไปสู่อเวจีมหานรกทันที เนื่องจากกรรมที่นางก่อขึ้นในครั้งนี้เป็นกรรมหนัก คือ ไปใส่ร้ายพระบรมศาสดาผู้บริสุทธิ์ จึงได้รับผลกรรมทันตาเห็น

เรื่องราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชนะแผนนารีพิฆาต โดยมีผู้อยู่เบื้องหลังคอยชักใยนางจิญจมาณวิกานี้ มิใช่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ได้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งเกิดขึ้นต่อเหล่าพระสาวกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่พระสงฆ์ในพุทธศาสนาต้องระมัดระวังให้ดี เพราะแม้กระทั่งพระบรมศาสดายังถูกกล่าวหามาแล้ว เพราะความประสงค์ร้ายของผู้ที่อิจฉาและไม่เลื่อมใส แต่พระพุทธองค์ทรงเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นมาได้เมื่อความจริงปรากฏ เพราะความจริงก็คือความจริง บางครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดี จำเป็นต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ พระพุทธศาสนาเป็นของจริงแท้ ของแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ เหมือนทองแท้ไม่กลัวไฟ

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรากำลังสร้างบารมีอยู่นี้ เป็นธรรมดาที่เราจะต้องพบอุปสรรค อย่าเพิ่งไปตื่นข่าว อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องใช้ปัญญาพิจารณา ให้ดี มีสติรักษาความสงบของใจดวงนี้ไว้ ให้อภัยแก่ผู้ที่มีความเข้าใจยังไม่สมบูรณ์ รักษาใจให้ผ่องใส อย่าได้หวั่นไหว ให้ฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่ง ทำความดีของเราเรื่อยไป จนกว่าจะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในกันทุกคน

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
*มก. เรื่องนางจิณจมาณวิกา เล่ม ๔๒ หน้า ๒๕๕




 

Create Date : 07 มกราคม 2554   
Last Update : 7 มกราคม 2554 10:17:59 น.   
Counter : 797 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  

อู่ต่อเรือ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นึกแล้วเชียว ว่าต้องเข้ามาดู

555
[Add อู่ต่อเรือ's blog to your web]