Group Blog
 
All blogs
 
ธรรมใกล้ตัว

นิตยสารธรรมใกล้ตัว จากใจ บ.ก.กลางชล (ฉบับที่ ๕๒ ประจำวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๑)


สวัสดีค่ะ

ฮ้า... ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เหนื่อยแทบแย่ค่ะ

เพราะอยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาจัดบ้านจัดห้องเสียใหม่ ให้ "๕ ส." กว่าเดิม

(ไม่ใช่ ส. สกปรก โสมม สะสม สุมสุม ฯลฯ อะไรแบบนั้นนะคะ ^^")



จัดไปจัดมา รื้อไปรื้อมา ก็พบว่ามีของหลายชิ้นเหลือเกินค่ะ ที่นานมาแล้วเคยคิดว่า

เอาน่า เก็บไว้ก่อน คงได้ใช้มันอีกวันข้างหน้า หรือเห็นว่ามันยังมีคุณค่าทางจิตใจ

แล้วก็ทุกทีค่ะ เอาเข้าจริง หลายครั้งก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า มีมันอยู่ในบ้านด้วยหรือนี่



ของเก่า ๆ หลายอย่าง ก็แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว

เครื่องพิมพ์ดีด... เมื่อคอมพิวเตอร์มาแทนที่ อุปกรณ์ชิ้นนี้ก็หมดหน้าที่ไปโดยปริยาย

ขิม... เปิดมาเห็นมันนอนนิ่งจนกระเป๋าเปื่อย ก็เหนื่อยใจแกมขำตัวเองตอนเด็ก ๆ

ที่รบเร้าพ่อกับแม่ให้ซื้อให้เหลือเกิน ด้วยอิทธิพลของอังศุมาลินในยุคกวาง กมลชนก : )



รื้อไป จัดไป ก็ยังไปเจอเอากรุสมบัติสมัยวัยเยาว์ในตู้อีกมากมาย...

สมุดสะสมแสตมป์ สมุดสะสมเหรียญกษาปณ์เล็กใหญ่ จากหลากหลายประเทศ

เสื้อนักเรียนสีขาวอมเหลือง ที่มีลายมือเพื่อน ๆ เขียนคำอำลาเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว

สมุดเฟรนด์ชิปตั้งแต่สมัยประถม ที่คั่นหนังสือหลากหลายรูปแบบที่สะสมไว้

จดหมายสมัยเขียนเพ็นเฟรนด์ ไดอารี่เป็นเล่ม ๆ ที่ต้องมีล็อกด้วยถึงจะดูขลัง : )

ไม่นับเหรียญเงินเหรียญทองของเก๊ ที่ได้มาตอนชนะกีฬาสี แล้วภูมิใจเก็บไว้เสียนาน

กับปีกกล้าหาญตอนเข้าค่ายกระโดดหอ ฯลฯ สารพัดที่จะเก็บสะสมไว้จริง ๆ เลยค่ะ



เวลาผ่านไปเนิ่นนาน... กลับมามองอีกที

ความรู้สึกต่อสิ่งเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว



ของเก็บสะสมเหล่านี้ แท้จริงก็คือวัสดุธรรมดา ๆ

ที่เราสมมติให้ค่ากับมัน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เท่านั้นเอง

วัสดุขึ้นรูปเป็นเหรียญพลาสติกกลม ๆ สีแบบนี้ เขาก็สมมติให้เรียกว่า เหรียญทอง

คล้องให้ใครก็สมมติกันว่า คนนี้เป็นเลิศ ใครได้ไปก็เกาะเกี่ยวกับความภูมิใจอยู่ชั่วครู่

ลายมือบนเสื้อนักเรียนที่เพื่อนร่วมชั้นเคยเขียนบอกว่ารักกันนัก รักกันหนา

ในความเป็นจริง ความรู้สึกนานาชนิดก็อยู่ภายใต้กฎของการเปลี่ยนแปลงไปเสมอเช่นกัน



ของบางอย่าง เราก็เก็บมันไว้ราวกับว่า "ความสุข" เป็นสิ่งที่เก็บใส่ตู้ไว้ได้อย่างนั้น

ของบางอย่าง เราก็ทิ้งมันไปนานแล้ว เพราะมันไม่ได้ให้ความสุขอะไรแก่เราอีกต่อไป

วันนี้ หยิบของหลาย ๆ ชิ้น เอาไปทิ้งบ้าง เอาไปให้คนที่อยากได้บ้าง เอาไปบริจาคบ้าง



และแค่สละมันออกไปเสียบ้าง ก็ช่วยให้ห้องโล่งว่างขึ้นอีกเป็นกอง



ยังโชคดีนะคะ ที่ของพวกนี้ แค่รื้อ แค่เก็บกวาด

แค่หยิบมันออกไปทิ้ง ห้องหับก็สะอาดน่าอยู่ได้ไม่ยากนัก



แต่คงเป็นธรรมดาที่คนเรามักจะคุ้นชินอยู่แต่กับการมองออกไปข้างนอก

ทั้งที่จริงแล้ว เราต่างคนต่างสะสมอะไรพอกพูนอยู่ในใจกันมามากมายตลอดชีวิต

บางคนไม่เคยเลยที่จะเก็บกวาดขยะ สละความรู้สึกด้านมืดออกไปจากใจ

บางคนนานเท่าใด ก็ไม่เคยแม้แต่จะย้อนมา "เห็น" ความรกในใจนั้นสักครั้งเดียว



ใครเคยทำเราโกรธ ใครเคยทิ้งเราไป ใครเคยทำเราเจ็บช้ำน้ำใจ

ผ่านไปกี่ปี ความรู้สึกปักจิตปักใจนี้ ก็ยังคงเก็บกักอยู่ใต้พรมอย่างนั้นไม่หายไปไหน

วันดีคืนดีเปิดไปเจอเข้า ก็ฟุ้งมาทำให้เราสำลัก แล้วก็ได้แต่เก็บกักมันไว้อย่างนั้นต่อไป



มีคนเคยพูดเปรียบเปรยไว้ไม่ต่างกันว่า...

น้ำที่ขังอยู่ ไม่ไหล ย่อมเน่าเหม็น ฉันใด

จิตที่เก็บกักความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ ไม่ปล่อยไป

ย่อมทุกข์ใจ ฉันนั้น



ทั้ง ๆ ที่จิตใจก็ไม่ได้มีรูปพรรณสัณฐานให้จับต้องมองเห็น

แต่กลับเป็นแหล่งสะสมชั้นดี ที่พอกพูนความโลภ โกรธ หลง ไว้เป็นตัวตนจนหนาทึบ

นับแต่แรกเกิดมาเป็นตัวตนจนถึงวันนี้ เรามีแต่สะสมความเห็นผิดกันโดยไม่รู้ตัวว่า

นี่เป็นเรา นั่นของเรา นี่ก็เป็นเรา โน่นก็ของเรา มากขึ้นเรื่อย ๆ โตวันโตคืนอยู่ทุกวินาที



คนที่อยากมีบ้านสวยงามน่าอยู่ ลองดูเถอะค่ะ เขาก็จะเลือกจัดเก็บไว้แต่ของดีมีคุณค่า

สิ่งใดรก สิ่งใดเลอะ ไม่สวยงาม ไม่มีประโยชน์ เขาก็เก็บกวาดเอาออกไปทิ้งสม่ำเสมอ

และพยายามไม่เอาสิ่งที่เป็นขยะเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน



เช่นเดียวกัน ใครปรารถนาเรือนชีวิตที่สว่างและสะอาดขึ้น

ก็เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการให้ทาน เป็นการสละส่วนเกินที่รกรุงรังออกไปจากใจ

และรักษาศีลไว้ ไม่โกยขยะอันเป็นความมืดเข้ามาสะสมไว้ในเรือน



เราอาจเริ่มต้นด้วยการสละความตระหนี่ถี่เหนียวใกล้ ๆ ตัว

สละความหวงแหนในของของตน สละความขึ้งเคียดพยาบาทกับคนรอบข้าง

อาจเริ่มจากการให้ทรัพย์เป็นทาน บริจาคข้าวของที่ไม่ใช้แล้วให้คนอื่นได้ใช้ประโยชน์

สละแรงกายแรงใจช่วยงานกุศลโดยไม่หวังผลตอบแทน มีน้ำจิตน้ำใจเอื้อเฟื้อ

บริจาคเลือดเนื้อหรืออวัยวะ ให้ธรรมะเป็นทาน หรือแม้แต่ให้ทานด้วยการ "อภัย" ฯลฯ



และเมื่อเรารักษาศีล ๕ จนเป็นปกติของชีวิตประจำวัน

ไม่ทำร้ายชีวิตผู้อื่น ไม่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน ไม่ผิดลูกเขาเมียใคร

ไม่นิยมโกหกพกลม และไม่สั่งสมการร่ำสุราจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ใจที่หม่นหมองมืดมัว และชีวิตที่อยู่ไม่เป็นสุขจากการไล่ล่าแห่งวิบากกรรม

ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น เพียงเท่านี้ เรือนชีวิตของเราก็สะอาดโล่งเป็นสุขขึ้นมากมายแล้ว



แต่นั่นเอง การมีเรือน คือกายคือใจนี้

ก็ยังเป็นภาระให้ต้อง "แบก" อยู่ร่ำไป



หลายคนตั้งหน้าตั้งตาทำเรือนให้เป็นสีขาว

คิดว่าการตั้งมั่นอยู่กับความดี เป็นเป้าหมายที่น่าปรารถนาที่สุดแล้ว



จริงอยู่ บ้านที่สวยงามย่อมน่าอยู่ แต่มีอะไรในธรรมชาติบ้างเล่า ที่เป็นอย่างใจได้เสมอไป

การ "เป็น" คนดี ก็ยังคงต้องทุกข์แบบคนดี

เรือนขาว ๆ สวย ๆ ของเรามีฝุ่นมาจับ มีคนกวาดขยะมาใส่หน้าบ้าน ก็รำคาญใจ

เผลอไปหน่อยเดียว มีเศษขยะพลัดเข้ามาในบ้าน ก็ไม่ชอบใจ

ผ่านร้อนผ่านหนาวจนเรือนเราเก่าไป ผุพัง ไม่งามดังเดิม ก็ดิ้นรน เป็นความทุกข์ใจอีก



ความสุขที่เบาสบายยิ่งกว่า ยังมีอยู่

นั่นคือการไม่ต้องแบกเรือนนี้ไว้อีกเลย แม้มีก็เหมือนไม่มี



พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้จัก "ทุกข์" ที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้น

ทุกข์ ไม่ใช่แค่เรื่อง เป็นหนี้ สอบตก อกหัก รักสลาย เป็นโรคร้าย ตายจากกัน

อย่างที่เรารู้จักกันทั่ว ๆ ไปแค่นั้น

แต่ในอีกมุมหนึ่งที่ลึกซึ้งถึงที่สุด พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เลยค่ะว่า



กายใจ โดยตัวมันเองนั่นแหละ คือทุกข์

จะมีความอยาก ความยึดมั่นหรือไม่ก็ตาม

กายนี้ใจนี้ก็เป็นทุกข์โดยตัวมันเองอยู่แล้ว

นอกจากทุกข์ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีสิ่งใดดับไป



ถ้าใครอ่านแล้ว ก็ยังไม่เห็นรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นเลย ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกค่ะ

เพราะเราสั่งสมความเห็นผิดชนิดติดคราบฝังลึกแบบตรงข้ามกันมานานนับอนันตชาติ

แต่สิ่งที่เราควรรู้ก็คือ ความสุขชนิดที่เป็นอิสระจากทุกข์ทุกชนิดอย่างถาวรนั้น

มีอยู่จริง ไม่ใช่เรื่องหลอกเด็ก และไม่ใช่ของไกลเกินเอื้อม แม้สำหรับคนยุคเรา



เมื่อไหร่ที่เรารู้จัก "ทุกข์" ได้จริง ๆ จนใจมันฉลาดพอที่จะไม่เอาทุกข์นั้นเองจริง ๆ แล้ว

วันนั้น ก็จะเหลือแต่ สภาวะที่เป็นทุกข์ แต่ไม่มีตัวผู้ทุกข์

คิดดูนะคะ ก็ในเมื่อไม่มีตัว "ผู้ทุกข์" เสียแล้ว

ความอยากที่จะให้ "ตัวของเรา" "ใจของเรา" เป็นสุข จะมาจากไหน

เมื่อวางได้หมด หมดความดิ้นรนที่จะวิ่งหาความสุข วิ่งหนีความทุกข์อีกต่อไป

แม้กายใจมีอยู่ ก็จะไม่มีอะไรให้หยิบฉวยขึ้นมาเป็นตัวตนของตนอีกเลยแม้แต่ขณะเดียว



ฟังดูเข้าใจยาก ๆ แต่เชื่อไหมคะว่า

แม้คุณผู้อ่านก็สามารถไปถึงจุดนั้นได้ และง่ายกว่าหาทางบินไปดวงจันทร์เสียอีก : )



พระพุทธเจ้าท่านตรัสชี้ทางไว้ให้แล้วค่ะว่า เส้นทางไปสู่ความสุขชนิดนั้น

มีทางอยู่สายเดียว คือ การเจริญสติ รู้กาย รู้ใจ เพราะกายใจของเรานั่นแหละ ตัวทุกข์



ลองเปิดใจศึกษาเส้นทางนั้นดูเถิดค่ะ

แล้ววันหนึ่ง แม้ยังมีเรือนกาย เรือนใจ หายใจให้เห็น ๆ กันอยู่อย่างนี้

แต่เราก็จะไม่ต้องดิ้นรนเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะของสมมติหลอก ๆ ที่หลงยึดกันอีกแล้ว



เอ้า... แต่ก็ไม่ใช่ว่า พอคิดว่าจะไม่ยึดเรือนเป็นตัวเป็นตน

แล้วก็ไม่ต้องจัดบ้านจัดช่องกันนะคะ : )



เมื่อยังต้องอาศัยมันอยู่ ก็ควรต้องดูแลให้น่าอยู่ตามสมควร

ระหว่างที่คอยมีสติตามรู้ ตามดู สิ่งแปลกปลอมที่ผ่านมาเยือนเรือนของเราไปเรื่อย ๆ

ก็อย่าลืมเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำทาน รักษาศีล สร้างกุศล สะสมบารมีไปเรื่อย ๆ ด้วย

เพราะสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เราละความเป็นตัวตนได้ในที่สุดทั้งสิ้น



เหมือนที่ครูบาอาจารย์ท่านมักกล่าวสอนนั่นล่ะค่ะว่า

จะไปให้ถึงฝั่งโน้น ก็ยังต้องอาศัยเรือนั่งไปก่อน

บุญกุศลที่สะสมไว้ดีย่อมเหมือนเรือที่ต่อไว้ดีแล้ว ไม่จม ไม่รั่ว

ต่อเมื่อไปถึงฝั่งที่สบายแล้ว เป็นอิสระไม่ทุกข์ไม่ร้อนอีกต่อไปแล้ว ค่อยสละเรือทิ้งไป



เมื่อยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ กันอยู่อย่างนี้ ก็อย่าทิ้งกันเชียวนะคะ ทั้งทาน ศีล ภาวนา

ถึงเวลาฝนมาฟ้ามืด เรือใครเรือมัน ช่วยกันไม่ได้ด้วยนะคะ : )

อ้าว... ขึ้นด้วยเรื่องบ้าน ตอนจบทำไมพาคุณผู้อ่านนั่งเรือออกอ่าวไปเสียแล้วนะคะนี่


Create Date : 24 กันยายน 2552
Last Update : 24 กันยายน 2552 8:40:54 น. 0 comments
Counter : 129 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

syeza
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add syeza's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.