เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ

ใครว่าหมอไม่ถูกโกง !!?

ไม่ว่าในสังคมไหนก็ต้องมีทั้งดีและเลว
ไม่พ้นแม้แต่สังคมที่คนภายนอกมองว่าสีขาว

จบมาก็หลายปี แต่ก็ไม่ได้นานจนเกินไป
จะสื่อว่ายังไม่แก่นะ แต่ก็ไม่เด็กมากจนไม่รู้อะไรเลย
เงินค่าตอบแทนแพทย์ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็มักจะขาดทุกครั้ง
แต่ด้วยความที่หมอเองก็คิดว่า แม้จะขาดไป
แต่เงินก็หมุนเวียนอยู่ในโรงพยาบาล ไม่ได้ตกไปอยู่ที่มีใคร (ไม่รู้จริงหรือเปล่า?)
ก็เลยไม่อยากจะไปคิดเล็กคิดน้อยมากนัก ปวดหัวเปล่าๆ

แต่สงสัยว่าเพราะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ (ไม่รู้เกี่ยวหรือเปล่า?)
รู้สึกเหมือนโดนโรงพยาบาลที่ทำอยู่ตอนนี้เอาเปรียนมาขึ้นเรื่อย
เงินเดือนออกทุกวันที่ 20 ดูไม่ผิดหรอกค่ะ ทำวันนี้อีก 50 วันถึงได้ค่าแรงน่ะ

คิดในแง่ดีว่าคงเพราะฝ่ายการเงินทำได้ดีที่สุดแค่นี้
คิดๆๆๆๆ....แง่ดี
แต่ชักไม่ไหว...อยู่เวรตั้ง 15 คืน ได้ DF ทั้งหมด 2000 บาท เป็นงง??!!
ตรวจคนไข้เวรละกว่า 30 คน นี่ได้ค่าตรวจต่อคนกี่บาทกันนี้
แรงงานทาสชัดๆ

ฝ่ายการเงินเขาให้เหตุผลว่าเหตุขัดข้องทางเทคนิค
เอาอีกแล้ว...มีเรื่องขัดข้องกันทุกเดือน หลากหลายรูปแบบ
จะทำการตรวจสอบและจ่ายคืนให้
นู่นอีกหนึ่งถึงสองเดือนนู่น
หมอก็ต้องกินข้าวนะจ๊ะ...ไม่ได้อิ่มทิพย์เด้อ

เฮ้อ...คงทนคิดในแง่ดีไม่ไหวแล้ว

ไปดีกว่า...
คงต้องหาที่อยู่ใหม่ซะแล้วเรา




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2552    
Last Update : 2 มิถุนายน 2552 2:54:04 น.
Counter : 388 Pageviews.  

เมื่อหมอใหม่...ตรวจภายใน [เฮฮาประสาหมอ...ฉบับทะเล้น 1]

ครั้งนี้ออกติดเรทเล็กน้อย อายุต่ำกว่า 18 ไม่ควรอ่านอย่างยิ่งนะคะ
อันนี้เป็นเรื่องราวของเพื่อนๆ สมัยเรียน

วันนี้เพื่อนนักเรียนหมอกลุ่มเดียวกัน ต้องไปฝึกงานที่แผนกสูตินรีเวช
การทำงานในโรงพยาบาลของรัฐ จะจัดวันชัดเจนว่าวันนี้เป็นวันฝากครรภ์
วันไหนเป็นวันตรวจคนไข้ทั่วไปทางสูตินรีเวช และแยกมะเร็งออกไปอีก
เพื่อความสะดวกในการตรวจให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
วันนี้เป็นการตรวจคนไข้นรีเวช
ขณะที่อาจารย์ได้ทำการตรวจร่างกายผู้ป่วยวัยกลางคน พร้อมๆกับสอนเราไปด้วย
หลังจากนั้นอารจารย์ได้ขออณนุญาติผู้ป่วยให้นักศึกษาได้ลองตรวจภายในหนึ่งคน
ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยเป็นอย่างดี
เพื่อนคนนี้ก็ได้เข้าทำการตรวจภายใน แต่ด้วยความที่เป็นมือใหม่จริงๆ
สิ่งที่สัมผัสได้ระหว่างการตรวจจึงไม่ตรงกับอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ก็ได้พยายามอธิบายและบอกวิธีการคลำ เพื่อนคนนี้ก็ได้ก้มหน้าก้มตาคลำไปเรื่อยๆ
ระหว่างนั้นทุกๆคนรู้สึกได้ว่าผู้ป่วยมีการอาการหายใจแรงขึ้น และเริ่มเกร็งมากขึ้น พร้อมๆ กับหลุดครางออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
หลังจากนั้นอาการทุกอย่างก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
พร้อมๆกับที่ทั้งเหล่านักศึกษาและอาจารย์ก็เริ่มตั้งตัวได้ รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...

ผู้ป่วยเสร็จสมอารมณ์หมายไปแล้วนั่นเอง
อืม...พอดีเพื่อนหมอคนนี้จัดว่าหล่อซะด้วยสิ

ทุกคนพร้อมใจกันปิดปากเงียบไม่พูดอะไรไม่แสดงอารมณ์
ส่วนผู้ป่วย...หลังจากตรวจเสร็จ ก็ลุกไปแต่งตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่ก็เป็นประสบการณ์ ฮาๆ แบบใต้สะดือซักเล็กน้อย เล่าสู่กันฟังแบบขำๆ นะคะ อย่าคิดมาก




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2552    
Last Update : 2 มิถุนายน 2552 13:52:08 น.
Counter : 636 Pageviews.  

เมื่อกลิ่น "อุนจิ" ติดเสื้อ...หมอ

สมัยเป็นแพทย์ฝึกหัด ก็จะถูกส่งไปประจำแผนกต่างๆ
ช่วงที่ฝึกอยู่ในแผนกศัลย์กรรม พวกเราก็แทบจะต้องกินนอนกันในนั้น
ผลัดเปลี่ยนกันเข้าเป็นผู้ช่วยอาจารย์ วันๆหนึ่ง ก็หลายเคสทีเดียว
เรื่องแปลก...วันไหนมีเคสแบบใด ก็มักจะเป็นเคสแบบนั้นๆ ทั้งวัน
เช่นวันนี้...มีแต่เคสผู้ป่วยลำไส้อุดตันตั้งสามราย

บางรายอดทนเป็นเยี่ยม ทนจนสามารถอาเจียนเป็นอุจจาระได้
(เรื่องจริงนะ...ไม่ได้โม้ เคยมีพยาธิปนมาด้วยก็ยังมี)

การผ่าตัดจะเป็นการเปิดหน้าท้องเพื่อเข้าไปดูสาเหตุว่ามีอะไรที่ทำให้ลำไส้อุดตัน เช่น เยื่อผังผืดรัดลำไส้, หรือมะเร็งลำไส้
เมื่อลำไส้อุดตัน...แน่นอนว่าจะต้องมีของเสียคั่งค้างอยู่ในลำไส้
ทำให้พวกเราต้องเล่น...อุนจิ
และก็ด้วยความที่ค้างมาหลายวัน หึหึ กลิ่นแรงสุดๆ
ทำไปก็แหวะไป แต่ก็ต้องทน แต่ละเคสใช้เวลาสองถึงสี่ชั่วโมง
วันนั้นกว่าจะได้ออกจากห้องผ่าตัดก็เกือบเที่ยงคืน
พร้อมกับร่างกายที่อบอวนไปด้วยกลิ่นอุนจิ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..."ผม" ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ^_^
ทำให้ต้องรีบกลับไปอาบน้ำอย่างเร่งด่วน
เพราะการที่ได้รับกลิ่น "อุนจิ" ทั้งวัน ทำให้วันนี้กินข้าวไม่ลงไปเลย
ก็ดี...จะได้ไม่เปลือง แถมหุ่นดีอีกต่างหากเนอะ




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2552    
Last Update : 2 มิถุนายน 2552 2:40:24 น.
Counter : 565 Pageviews.  

เงินที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ กับ สุขภาพดีที่ไม่มีวันได้

"การไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐ"
วลีแต่โบราณที่ไม่ว่าอีกกี่ยุคกี่สมัยก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

แม้หมอจะมีอายุการทำงานมาไม่นานนัก (ไม่นานเท่าไหร่ ก็ประมาณซัก 5 ปีเห็นจะได้) ตัวเองยอมรับว่าออกจะเป็นหมอที่แรง ตรงไปตรงมาเกินไปหน่อย ในชีวิตการทำงานที่ผ่านมาก็ได้ต่อว่า ออกแนวโกรธๆ ไปมากมายกับเหล่าบรรดาคนไข้ที่มารับการรักษาโรคต่างๆ เพราะโรคที่เกินในคนไข้เหล่านี้เป็นโรคที่หลีกเลี่ยง หรือทำให้ดีขึ้นได้ ถ้าเพียงแต่ใส่ใจตัวเองสักนึก พยายามทำความเข้าใจกับโรค และให้ความร่วมมือในการรักษา

การให้ความร่วมมือในการรักษาไม่ใช่แค่เรื่องการกินยา
แต่หมายถึงการให้ความร่วมในการช่วยกันหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค
เพื่อประโยชน์ทางการรักษาในแง่ของการป้องกัน

ผู้ป่วยส่วนใหญ่เมื่อมารักษาตัวในสถานพยาบาลต่างล้วนแล้วแต่คาดหวังให้อาการป่วยหรือสิ่งที่รบกวนจากความรู้สึกเจ็บป่วยนั้นหายไป หรือทุเลาเบาบางลง หมอเข้าใจและพยายามตอบสนองสิ่งเหล่านี้ด้วยยา ซึ่งเป็นหน้าที่หลัก

แต่เมื่อมองย้อนไปถึงสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ ถ้าไม่นับโรคที่เกิดอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลักๆคงไม่พ้นการละเลยที่จะดูแลตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ

สุขภาพที่ดีเงินไม่สามารถซื้อได้ ใจต่างหากที่ทำให้สุขภาพดีได้

ใจทำให้สุขภาพดีได้อย่างไร?

เมื่อเรามีใจที่จะรักตัวเอง เราจะใส่ใจและเลือกสิ่งที่ดีให้กับสุขภาพ

เริ่มจากเรื่องที่ง่ายที่สุด กับสิ่งที่เป็นพื้นฐานของชีวิต
1 การดื่น,กิน ได้แก่
- การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่กินอาหารหรือสิ่งที่เป็นพิษหรือทำลายสุขภาพ
- การกินอาหารให้ครบห้าหมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับซึ่งสารอาหารเพื่อเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอได้อย่างครบถ้วน
- การกินอาหารให้ตรงเวลาและพอเพียง เพื่อลดการระคายเคืองของกระเพาะ ก่อนเวลาหิว เมื่อคุณหิวนั่นหมายถึงน้ำย่อยออกมาจนเต็มกระเพาะแล้ว และ จะทำให้ร่างกายมีพลังงานอย่างพอเพียงสม่ำเสมอ เพื่อให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดคงที่ จะลดการทำงานของระบบฮอร์โมนไม่ให้ทำงานหนักเกินไปและ รวมทั้งไม่กินมากเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นก็จะอ้วนตามมา
- การดื่มน้ำให้พอเพียง เพื่อให้ไตและทางเดินอาหารมีสมดุลในการขับถ่ายของเสียต่างๆ
2 การพักผ่อนให้เพียงพอ
- ปริมาณในการนอนของแต่ละคนไม่เท่ากัน นั่นหมายถึงบางคนอาจจะนอนเพียงสี่ชั่วโมงต่อวันก็เพียงพอ ในขณที่บางคนอาจต้องการถึงแปดชั่วโมงต่อวัน โดยต้องคำนึงถึงคุณภาพของการนอนด้วย
- หมอรับประกันได้เลยว่าร้อยทั้งร้อยคนที่นอนไม่หลับต้องมีปัญหาทางกายหรือไม่ก็ทางใจ ไม่งั้นก็เกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมในการนอนไม่เหมาะสม
3 การขับถ่าย
- สภาวะปกติของมนุษย์จะมีการขับถ่ายได้ตั้งแต่ 1-3 วัน โดยแต่ละวันไม่ควรเกิน 3 ครั้ง ดังนั้นแม้คุณจะไม่ได้ถ่ายทุกข์หนักทุกวันจะหมายความว่าท้องผูก กินเยอะก็ออกเร็ว หรือว่าแแปลกที่ห้องน้ำไม่สะอาด ไม่ถ่ายทั้งอาทิตย์ก็ยังได้ แต่ถ้ามีถ่ายเหลวแม้แต่หนึ่งครั้งก็คือท้องเสีย (คำว่าถ่ายเหลวคือกรณีมีน้ำออกมาในอุจจาระมากกว่าเนื้อ)
4 การออกกำลังกาย
- เราทุกคนแก่ลงทุกวันตามเวลาที่เดินไปข้างหน้าอยู่ตลอดโดยไม่มีวันหวนกลับ แม้ว่าวิวัฒนาการทางการแพทย์จะก้าวหน้าเพียงใด เราก็ยังไม่สามารถหยุดตัวเราเองไว้ให้ไม่แก่ แม้วันนี้เราจะยังคงวิ่งได้เท่าอายุ 15 ไม่ได้มายความว่าเราแข็งแรงเท่า ทุกเซลล์ในร่างกายเสื่อมลงทุกวัน การคงความแข็งแรงให้กับอวัยวะต่างๆ ก็คือการออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยการออกกำลังแต่ละรูปแบบให้ผลลัพท์ที่ต่างกัน และ ส่วนที่ได้ประโยชน์ก็ต่างกันด้วย คุณคงไม่ยกน้ำหนักด้วยแขนแล้วรู้สึกว่าขากล้ามขึ้นได้แน่ๆ
- การออกกำลังกายให้พอเพียง คือ การออกกำลังในปริมาณที่มากพอจะนับเป็นการออกกำลัง การวิ่งเพียงหนึ่งนาทีคงไม่นับเป็นการออกกำลังการเป็นแน่ พอๆ กับการทำงานหรือทำกิจวัตประจำวันก็ไม่ใช่การออกกำลังกาย ให้ลองมองดูนักกีฬา นักวิ่งหรือนักว่ายน้ำ แม้จะต้องซ้อมว่ายน้ำทั้งวัน แต่ก็ยังต้องวิ่งวอร์มและแบ่งเวลาไปเล่นเวท (การยกน้ำหนัก) พอจะมองออกแล้วใช่ไหมว่า แม้แต่นักกีฬาที่ดูเหมือนจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังต้องแก้ไขจุดต่างๆ เป็นรายละเอียดไป
- ไม่ออกกำลังกายอย่างหักโหมจนเกินไป การออกกำลังเกินแรงในแต่ละครั้ง ไม่ได้ทำให้คุณแข็งแรงขึ้น มีแต่จะก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บ และหากยังคงมีพฤติกรรมเช่นเดิมก็คงก่อให้เกิดการบาดเจ็บสะสม นำไปสู่การบาดเจ็บเรื้อรังที่ไม่มีทางหายในที่สุด
5. ใจที่ดี การออกกำลังทางใจก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อเรามีความสุข เราย่อมมีความสดใน ความสุขเกิดจากการที่ใจคิดแต่แง่ดี สิ่งบวก ฝึกตนเองให้เป็นคนคิดในแง่ดีอยู่เสมอ เราจะมีความสุขกับปัจจุบันได้ตลอดเวลา และการฝึกสมาธิ ก็จะทำให้เราสงบเยือกเย็น นำไปสู่ความสามารถในการไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นอยู่

ยังมีอื่นๆ อีกมากมาย ดูเหมือนยิบย่อยเยอะเแยะหยุมหยิมยากเย็นมากมายจนดูน่าจะท้อใจ แต่จริงๆแล้ว ถ้ามองดีๆ ทุกๆอย่างล้วนแล้วแต่เดินอยู่บนทางสายกลางและหลักความพอเพียง

เราสามารถกินได้ทุกอย่างที่อยากกิน แต่ต้องไม่มากจนเกินไป คุณไม่จำเป็นต้องอดเค้ก ของหวาน หรือช็อคโกแลต เพียงแต่ต้องรู้จักหักห้ามใจไม่ให้กินมากจนเกินไป การเป็นคนรักษาสุขภาพไม่ได้หมายความต้องไม่เคยกินเหล้า ต้องกินมังสาวิรัต เพียงแต่เราเลือกสิ่งที่จะกินและควบคุมปริมาณ

เราสามารถทำได้ทุกอย่างทำ โดยไม่เกินขอบเขตความสามารถของตนเอง เบื้องต้นเพียงเท่านี้ก็ห่างไกลโรคอยู่มากโข

ที่ผ่านมาจะพบว่าในปัจจุบันเราไม่ได้ดูแลใส่ใจสุขภาพกันเลย แต่เมื่อป่วยก็ถามหาแต่ยาที่คิดว่าดี ไอ้ยาที่แพงๆก็คิดว่าดี โรคทั้งหลายแหล่เนี่ยมันหายอยู่แล้ว อวัยวะแต่ละอย่างมีระยะเวลาในการพื้นตัว บางโรคต่อให้ไม่กินยาก็หายอยู่แล้วด้วยซ้ำ (กว่า 80% เลยล่ะ) เพียงแต่เมื่อคุณกินยา อาการทรมานต่างๆ มันไม่ปรากฎก็คิดว่าดีคิดว่าหายก่อนเวลา ยังไม่นับเหล่าคนไข้ที่ป่วยจากโรคที่ทำตัวเอง เช่น เหล่าบรรดาสิงห์สุราที่กินจนตับพัง กระเพาะทะลุ หรือ เหล่าคนไข้เบาหวานที่กินผลไม้เป็นกิโล ประเทศไทยหมดเงินไปกับค่ายา ค่าบริการทางการแพทย์มากเกินความจำเป็นมากมาย รวมทั้งความเชื่อแบบผิดๆ ที่แก้เท่าไหร่ก็ไม่ค่อยจะฟัง ทำให้เหล่าบรรดาหมอๆ คร้านจะพูด เพราะพูดไปก็ไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นแถมคนไข้ยังเกลียดขี้หน้า โทษฐานไม่ทำให้ตามใจต้องการซะอีก คิดๆแล้วเสียดายค่ะ

บ้านเรากินยาแก้อักเสบกันเยอะเกินความจำเป็นมากมาย โดยนัยยะคือ ยาฆ่าเชื้อหรือยาปฎิชีวนะ ที่พยายามแก้เท่าไหร่ก็ไม่หมดซะที ผลที่ตามมาก็คือการที่เชื้อแบคทีเรียจะเกิดการดื้อยาเพิ่มขึ้นตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน

บ้านเรามักชอบฉีดยา ด้วยคิดว่ามันจะหายเร็วกว่า ก็ไม่เถียงค่ะ ถ้าเจ็บคอจากต่อมทอลซินอักเสบ ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย การฉีดยาก็จะได้ปริมาณยาที่มากกว่าทำให้หายเร็ว แต่ถ้าเป็นในระยะแรก ก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องฉีด แต่ไม่ได้หมายความว่าฉีดไม่ได้ กินยาก็หาย ราคาถูกกว่าด้วย อยากให้มองในแง่ของความจำเป็นและราคาที่จะซื้อสิ่งเหล่านี้ ซึ่งถ้าลองสังเกตุชาวตะวันตก (ต้นกำเนิดการแพทย์ปัจจุบัน) จะไม่ฉีดถ้าไม่จำเป็น แต่บ้านเราขอฉีดเลย ไม่สนอะไรทั้งนั้น คิดอย่างเดียวเร็วไว้ก่อน

เมื่อเจ็บป่วยใดๆ ขึ้นแล้วก็ตาม อยากให้มองย้อนไปดูซักนิดว่าเราๆ มีพฤติกรรมใดๆที่ส่งเสริมให้เจ็บป่วยหรือไม่ ถ้ามีอยากให้ใส่ใจช่วยปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้อาการเจ็บป่วยทุเลาเร็วขึ้นรวมทั้งเป็นการลดอาการป่วยในอนาคต เพราะเมื่อเดินเข้ามาหาหมอนั่นก็หมายถึงการเกิดโรคแล้ว ซึ่งก็หมายถึงปลายเหตุนั่นเอง

เพราะเมื่อถึงปลายทางของบางโรคแล้ว มีเงินมามายเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหายจากโรค มีแต่รอวันหายไปจากโลกเพียงอย่างเดียว

สุขภาพดีสร้างได้ด้วยตัวเราเอง เพียงหันแต่ใส่ใจสุขภาพกันสักนิด...ใช้เงินที่มีซื้อสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร สิ่งบรรเทิงแบบสร้างสรรค์ต่อจิตใจ หรือจะเป็นอุปกรณ์ออกกำลัง ทริปท่องเที่ยว นำมาซึ่งสุขภาพที่ดี

อยากให้เริ่มต้นกันตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป ก่อนที่จะต้องเอ่ยคำว่า..."ถ้าเพียงแต่วันนั้น" ลงมือทำกันนะคะ




 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2552 15:04:38 น.
Counter : 801 Pageviews.  

"หมอ...ไม่มีจรรยาบรรณ"



หลายครั้งที่หมอถูกชี้หน้า...และตะโกนด่าว่า " ไม่มีจรรยาบรรณแพทย์ "
ซึ่งในเหตุการณ์เหล่านั้นมักเกิดจากความไม่พอใจเมื่อคนไข้ไม่ได้อย่างใจ
การนำมาเล่า...อาจฟังดูไม่น่าเชื่อถือ หรือ เข้าข้างพวกเดียวกันเอง

ความหมายของคำว่า จรรยาบรรณ [จันยาบัน, น.] ตามพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานพศ.2542 คือ ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงาน แต่ละอย่างกําหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียง และฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้

ถ้ายึดตามความหมายนี้ ต้องหมายถึงความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพนั้นๆ ถ้าไม่คิดเข้าข้างตนเองจนเกินไป น่าจะหมายถึงดำรงตนให้กระทำตามหลักวิชาชีพในแต่ละวิชาชีพ

จะเห็นว่าในทุกๆอาชีพย่อมต้องมีจรรยาบรรณแห่งอาชีพตน

แพทย์ คือ บุคคลผู้ได้รับการศึกษาทางการแพทย์จนจบ แล้วได้ทำการประกอบอาชีพในสาขาที่ได้ร่ำเรียนมา แต่อย่างที่เรารู้ว่าศาสตร์ในการรักษาทางการแพทย์นั้นจัดเป็นศิลปะ เพราะการรักษาในแต่ละบุคคล แม้จะอ้างอิงหลักการเดียวการ แต่การตัดสินใจในการให้การรักษาอย่างใดต่อบุุคคลนั้นล้วนแล้วแต่มีความแตกต่างไม่มากก็น้อย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโรคเดียวกัน แต่เมื่อเราไปพบแพทย์ต่างคน ก็อาจได้รับการรักษาหรือความคิดเห็นที่ต่างไป นั่นหมายความความหมอแต่ละคนย่อมมีความคิดและการกระทำเป็นปัจเจกบุคคล

โดยปรกติแล้วคงไม่มีใครชอบแน่ ถ้ามีคนอื่นที่ไม่เรียนรู้ในสิ่งเดียวกับคุณมาแสดงท่าทางหรือบ่งบอกว่ามีความต้องการอะไรบางอย่าง ที่ไม่สอดคล้องกับองค์ความรู้หรือความเชื่อของตนเองโดยไม่มีสิ่งอ้างอิงที่เชื่อมายิ่งไม่ชอบใหญ่ ทำให้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มีการตอบสนองต่อสิ่งกระทำออกมา

แต่ลองดูเหตุการณ์ตัวอย่างเหล่านี้
กรณีที่ 1: คนไข้มาโรงพยาบาลด้วยอาการหวัดตอนห้าทุ่ม ให้ประวัติว่าเป็นมาตั้งแต่เมื่อคืน ตรวจต่างกายไม่พบว่ามีน้ำมูกหรือคัดจมูกมาก ไม่มีไข้ แต่ต้องการใบรับรองแพทย์ของวันนี้และพรุ่งนี้ หมอพิจารณาลักษณะแล้วคิดว่า ผู้ป่วยอาจจะมีอาการหวัดจริง แต่ก็เป็นเพียงเล็กน้อย การหยุดงานในวันนี้จริงๆแล้วก็แทบไม่สมควร แต่กลับต้องการของวันรุ่งขึ้น หมอถามว่าทำไมมาตอนกลางคืน ผู้ป่วยตอบว่ามาไม่ไหว ในขณะที่ไม่ยาใดๆกินขณะพักอยู่ที่บ้าน หมอจึงให้เพียงใบรับรองการตรวจรักษา ผู้ป่วยโดยวายแล้วชี้หน้าต่อว่าหาว่าหมอไม่มีจรรยาบรรณ

กรณีที่ 2: คนไข้สูงอายุ ญาติพามา อาการเบื้องต้นเป็นไข้หวัดมาหนึ่งวัน ญาติต้องการให้รับไว้นอนในโรงพยาบาล หมอไม่รับตัวคนไข้ไว้ เพราะยังไม่จำเป็นและไม่มีการรักษาอื่นใดนอกจากการรับประทานยา ญาติไม่พอใจและยังยืนกรานจะให้รับไว้ เมื่อในที่สุดหมอไม่รับไว้ ญาติจึงเริ่มต่อว่าและจบด้วยคำพูดว่าหมอคนนี้ไม่มีจรรยาบรรณ

กรณีที่ 3: คนไข้ดื่มสุรามาเล็กน้อย ขี่รถมอเตอร์ไซด์ประสบอุบัติเหตุ มีบาดแผลถลอกตามร่างกาย และแผลสกปรกเศษขี้ดิน หมอสั่งล้างแผล แต่เนื่องจากแผลสกปรก จึงต้องขัดถูทำความสะอาด ผู้ป่วยจะไม่ยอมให้ล้างแผล แต่หมอและพยาบาลบังคับทำ(จนได้) แน่นอน...ได้รับคำผรุสวาทมากมาย และในนั้นต้องมีคำว่า"ไม่มีจรรยาบรรณ"

กรณีที่ 4: คนไข้ดื่มสุราและประสบอุบัติเหตุสลบในที่เกิดเหตุ แม้จะไม่มีบาดแผลใดๆที่ศีรษะ แต่หมอต้องการรับตัวไว้ในโรงพยาบาล เมื่อคนไข้รู้สึกต้ว โวยวายต้องการกลับบ้าน หมออธิบายถึงความจำเป็นว่าต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อสังเกตุอาการ ผู้ป่วยไม่ยอมและญาติไม่ห้าม จึงได้ให้ลงชื่อว่าไม่ต้องการรับการรักษา สองชั่วโมงต่อมาญาติพากลับมาเพราะผู้ป่วยหมดสติ สุดท้ายเสียชีวิตจากเลือดคั่งในสมอง ญาติไม่พอใจหาว่าหมอไม่มีจรรยาบรรณ พูดว่าถ้าคิดว่าไม่สมควรกลับทำไมไม่รั้งไว้จนถึงที่สุด

กรณีที่ 5: คนไข้มีแผลเย็บที่หน้าขนาด 2 เซ็นติเมตรจากของมีคม ต้องการให้แพทย์ออกใบรับรองแพทย์หยุดงานมากกว่าสี่วัน ซึ่งบาดแผลขนาดนี้ไม่จำเป็นต้องหยุดนานขนาดนี้ เพราะไม่มีบาดแผลอื่นๆร่วมและอาการข้างเคียงใด เพื่อเบิกเงินชดเชยร่วมกันได้หยุดงาน เมื่อหมอไม่ออกให้ก็มีการต่อว่าหาว่าไม่มีน้ำใจและเช่นเดิม "ไม่มีจรรยาบรรณ"

กรณีที่ 6: คนไข้มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูงที่ไม่มีโรคแทรกซ้อนใดๆ มีนัดมารับยาประจำทุกเดือน คนไข้ต้องการให้ออกในรับรองแพทย์แบบหยุดงาน ซึ่งไม่จำเป็น เพราะโดยปรกติการรับยาโรคประจำตัวที่ไม่ได้มีการตรวจพิเศษใดๆ ทางโรงพยาบาลได้เปิดแผนกผู้ป่วยนอกรองรับจะถึง 21-22.00 น. (แล้วแต่โรงพยาบาล) อยู่แล้ว เมื่อไม่ได้ใบรับรองแพทย์ดังใจนึก ก็มีเสียงลอยมากระทบหูว่า "หมออะไร...ไม่มีจรรยาบรรณเอาซะเลย ความดันโลหิตสูงก็จัดเป็นว่าโรค ก็ถือว่าป่วยสิ ทำไมจะหยุดไม่ได้"

มีเหตุการณ์อื่นๆ อีกมากมายที่คำๆ นี้ ถูกนำมาใช้เป็นคำต่อว่าแพทย์ (บางคนอ่านแล้ว อาจจะคิดว่าจะไปถืออะไรกับคนเมา คนกำลังเศร้าหรือโมโห แล้วทำไมเวลาจะพูดอะไรไม่เห็นคิดกันบ้าง พอไม่ได้ดังใจก็โวยวาย ด่าทอ เป็นหมดไม่ว่าจะเรียนน้อย เรียนสูงแค่ไหน) สำหรับหมอแล้ว...คำๆ นี้เป็นคำที่เจ็บปวด เพราะหมอทุกคนล้วนแล้วแต่ทำงานโดยมีพื้นฐานอยู่บนจรรยาบรรณทั้งนั้น มิฉะนั้น...หมอทุกคนคงเพิกเฉยต่อความเจ็บป่วยที่พวกคุณมี ถ้าว่ากันตามจริง คนที่ป่วยคือคุณ ซึ่งเป็นคนอื่น ไม่แม้แต่จะเป็นญาติกัน แต่เพราะความต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สิ่งนี้ทำให้หมอได้มาทำหน้าที่คอยดูแลผู้ป่วย ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ให้อะไรกับหมอเลย

บางคนอาจจะบอกว่าหมอได้ความรวยไง เพราะอะไร...ค่าจ้างที่แพงกว่าเหรอ แต่ลองคิดถึงชั่วโมงการเรียนที่มากกว่า ค่าตำราที่มากกว่า ค่าความรับผิดชอบที่มากกว่า ค่าความต่างคือค่าวิชชาชีพ และเงินที่ได้มากกว่าก็มาจากชั่วโมงการทำงานที่มากกว่า บางคนต้องทำงานกว่า 60-80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

หลายครั้ง...ที่คุณเดินเข้ามาบอกว่าป่วยเป็นอย่างนี้ พร้อมๆกับว่าจะเอายาตัวนี้ตัวนั้น วินิจฉัยเอง สั่งยาเอง แล้วมา รพ. ทำไม
หลายครั้ง...ที่หมอวินิจฉัยว่าเป็นอะไร คุณไม่เชื่อเพราะในโทรทัศน์บอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่ในทีวี คนที่พูดไม่ใช่หมอ เอาข้อมูลมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วคุณมา รพ.ทำไม
หรือบอกว่าหมอคนนั้นไม่เห็นบอกว่างี้เลย แล้วทำไมไม่ไปหาหมอคนเดิม
หลายครั้ง...ที่คุณต้องการจะให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะได้ยินเขาว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ไปให้เขาคนนั้นรักษาพวกคุณ
หลายครั้ง...ที่หมอพูด คุณ...เหล่าคนไข้ไม่เคยฟัง
หลายครั้ง...ที่โรคเดิมๆ กลับมาเป็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะคุณไม่เคยดูแลตัวเอง ไม่เคยมองว่าโรคเกิดขึ้นได้อย่งไร ต้องแก้ไขการปฏิบัติตัวยังไง แล้วจะมีสุขภาพดีได้ยังไง

การดูแลสุขภาพพื้นฐาน ได้แก่
- การกิน กินอาหารให้ตรงเวลา กินอาหารให้ครบห้าหมู่ กินอาหารให้ไม่มากเกินไป ไม่ให้มีไขมันสูงเกินไป
- การนอน นอนหลับให้เพียงพอ
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- สุขภาพจิตที่ดี
ข้างต้นจะเป็นการป้องกันโรคที่ดีที่สุด แต่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรักตัวเอง แล้วทำไมเวลาป่วยมาโทษหมอว่ารักษาไม่หาย ขนาดเวลาป่วยยังไม่ดูแลตัวเองเลย อ้างว่าไม่มีเวลา ยาทำหน้าที่รักษาโรค อาจจะป้องกันอาการที่เกิดจากผลของโรคในอนาดตได้ในโรคเรื้อรังต่างๆ แต่ตัวมันไม่ได้ป้องกันโรค นั่นหมายความว่าการกินยาไม่ได้หมายความว่า คุณจะไม่กลับมาเป็นโรคที่เคยเป็นอีกต่อไป

ยกตัวอย่างเวลาเราอยากได้คอมพิวเตอร์ คงไม่มีใครกล้าเดินเข้าร้านค้าถ้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือถ้าไม่รู้ เมื่อเดินเข้าไปแล้วได้รับข้อมูล เชื่อว่าทุกคนคงกลับบ้านมาหาหนังสือหรือเปิดอินเตอร์เน็ทเป็นแน่ แต่กับเรื่องสุขภาพ น่าแปลกใจ ที่ส่วนน้อยจะหาความรู้ให้กับตัวเองอย่างจริงจัง ผลักภาระให้แพทย์ มองว่าความรู้ทางการแพทย์เป็นเรื่องไกลตัว เข้าใจยาก จริงอยู่ศาสตร์การแพทย์เป็นอะไรที่ซับซ้อน ยากที่จะเข้าใจในผู้ที่ไม่เคยผ่านการศึกษา นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การสือสารระหว่างแพทย์ คนไข้ ญาติ เป็นเรื่องที่ยาก จึงทำให้บ่อยครั้งแพทย์จึงละเลยที่จะอธิบาย เพราะคิดว่าพูดไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี คนไข้และญาติละเลยที่จะฟัง เพราะฟังแล้วก็ไม่เข้าใจได้ทั้งหมด และนอกจากนี้คนไข้มักไม่ให้ร่วมมือในการรักษาเพื่อให้อาการดีขึ้น กลับคิดจะพึ่งแต่ยา ซึ่งโรคบางอย่างยาไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ต้องใช้การดูแลตัวเอง ปรับเปลี่ยนหรือเลิกพฤติกรรมบางอย่างเพื่อให้หายหรือทำให้อาการป่วยดีขึ้น

ทุกคนมีเวลาเท่ากัน 24 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ขาดไม่เกิน เรื่องการดูแลสุขภาพ ทำไมบางคนทำได้ ทำไมบางคนทำไม่ได้ ทำไม่ได้หรือไม่ได้ทำ

ผู้ป่วยบางคนที่ไม่ดูแลตัวเอง พอหมอเข้าไปยุ่งมากๆ ก็หาว่ายุ่งทำไมเรื่องของเขา แต่พอไม่ยุ่ง ก็บอกว่าเป็นหมอนะ หน้าที่คือดูแลคนป่วย ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธอย่างไร ก็ต้องทำ ต้องมีจรรยาบรรณนะ ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่

คนไข้และญาติ...เคยถามตัวคุณเองบ้างไหม ว่าในชีวิตนี้คุณสามารถคลุกคลีกับความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรค ของมีคมที่สัมผัสตัวคนไข้ หรือแม้แต่ต้องมาสัมผัสสิ่งปฏิกูลจากร่างกายผู้ป่วย (น้ำมูก อาเจียน น้ำลาย อุจจาระ ปัสสาวะ หนอง สารคัดหลั่งจากที่ต่างๆ) บางคนแม้กระทั้งบุพการีตัวเอง พวกคุณยังไม่อยากจะสัมผัสสิ่งปฏิกูลจากร่างกายพวกเขาเลย พวกคุณเคยคิดว่าทนได้ไหม แต่เวลาคุณมาโรงพยาบาลพวกคุณจิกนิ้วชี้ให้พยาบาลทำนู่นทำนี่ คิดว่าจะต้องให้เป็นอย่างนู้นอย่างนี้ ต้องได้อย่างใจ จิกหัวยิ่งกว่าคนใช้ในบ้านซะอีก

ลองสำรวจใจตัวเองดีๆ ว่าการนำคนชราหรือพิการที่เป็นญาติของคุณมาทิ้งไว้ รพ. เพราะไม่มีเวลาดูแลจริงๆ หรือเพราะรังเกียจคิดว่าเป็นภาระกันแน่

ถ้าเพราะไม่มีคำว่าจรรยาบรรณ ไม่ว่าจะเป็นหมอหรือพยาบาลค้ำคอ ใครจะทำ

จุดเริ่มต้นของทุกคนที่เดินเข้าสู่อาชีพทางการแพทย์และสาธรณสุข คือ ความต้องการช่วยเหลือผู้อื่น แม้ ณ วันนี้ของเหล่าบุคลากรทางการแพทย์จะทำด้วยความเคยชิน จนไม่รู้สึกรังเกียจ แต่ไม่ได้หมายความว่าบุคคลเหล่านี้จะต้องมารองรับอารมณ์ใครต่อใครได้

แพทย์ก็เป็นคน เป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ มีหัวใจ ที่สำคัญยังไม่ได้บรรลุโสดาบัน ฉะนั้น คนเป็นหมอไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำอะไรไม่มีพลาด ทำถูก ทำดีมันซะทุกอย่าง หมอก็มีอารมณ์เป็น คุณแรงมา หมอก็แรงไปได้ คุณกวนมา หมอก็โมโหได้ การที่คุณทุกข์ใจ เสียใจหรือไม่ได้อย่างใจ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเอาอารมณ์ที่มีไปลงกับผู้อื่นได้โดยคิดว่ามันไม่ผิด

ถ้าการมีจรรยาบรรณแพทย์คือการต้องทำให้ผู้ป่วยและญาติพึงใจจนถึงที่สุด ก็ขอไม่มีกับคบคนเหล่านี้ดีกว่า
ก่อนจะด่าหมอหรือใครต่อใครว่ามีจรรยาบรรณมั๊ย ไม่ต้องคิดถึงว่าคุณอาชีพอะไร เรียนอะไรมา หรือว่าเลิศหรูอลังการแค่ไหน
จรรยาบรรณของความเป็นมนุษย์ที่มี EQ น่ะพวกคุณมีกันไหม
การด่าคนอื่นเพียงเพราะไม่ดังใจเหมือนเด็กไม่รู้จักโตนี่จะเรียกพวกคุณๆ เหล่านี้ว่าอะไรดี




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 23:50:56 น.
Counter : 2362 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.