เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ

ทริป Long Way Down สุดทางรัก...เอ้ย “รถแมงกะไซด์” ที่สิงค์โปร์ [ตอนแรก]

ทริปนี้เป็นทริปที่มีการคิดไว้ยาวนาน ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะมีตัวบังคับ นั่นก็คือ...การไปดู MotoGP ที่ประเทศมาเลเชีย ซึ่งการแข่งขันมอเตอร์ไซด์ของเจ้านี้ จะมีจัดขึ้นทุกๆ ปีในเดือนเดียวกันกันนี้ จึงทำให้สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ค่อนข้างแน่นอน แต่ไหนๆ ก็ได้ออกนอกประเทศทั้งทีและเป็นครั้งแรก ก็ขอยาวไปให้คุ้มเหนื่อย จึงไม่คิดจะหยุดแค่ในมาเลเซีย...ผลคือ ไปสุดทางรถที่สิงค์โปร์มันซะเลย คำนวนระยะทางคร่าวๆ คงเกือบ 5 พันโลหรือกว่าหน่อยๆ ตามแผนที่วางไว้จึงเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างจะยาวนาน เพราะใช้เวลาถึง 12 วัน นับจากย่างเท้าออกจากบ้าน...จนกระทั่งกลับมาที่เดิม ว่าแล้ว...ลุยกันเลย



ทริปนี้ผู้ร่วมเดินทางส่วนใหญ่เป็นที่คุ้นๆ หน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีจากบ้านพายุ หรือ เวปสตอร์มคลับนั่นเอง แต่...ผู้ร่วมผจญชะตากรรมในการขี่จากกรุงเทพมีเพียงสองคันเท่านั้น

รวมพลกันที่บ้านแถวๆ พระราม 3 ใจก็คิดว่าจะรอดไหม เพราะเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยสบาย เรียกว่าเป็นหวัดขั้นงอมแงม เรียกว่าลุ้นตั้งแต่ยังไม่ออกตัว กว่าล้อจะหมุนออกจากกรุงเทพก็ล่าช้ากว่าที่วางแผนไว้พอสมควร คือ ราวๆ 9 โมงกว่าๆ ขี่เรื่อยๆ ไปเรียงๆ ฟ้าครึ้มๆ ทำให้ไม่ร้อน



อากาศไม่ร้อนมากนัก เพราะมีเมฆฝนคอยบังแดดให้ร่มเงา แต่ก็ทำให้ต้องลุ้นอยู่ตลอดว่าฝนจะเทลงมาเมื่อไหร่



ทริปนี้ยกให้เพื่อนเป็นผู้นำทาง ในฐานะที่เป็นผู้คุ้นเคยเส้นทางมากกว่า รวมทั้งตัวเองที่ไม่ได้ติด GPS ไปด้วย ถึงประจวบคีรีขันธ์ร่วมบ่าย 2 ท้องส่งเสียงประท้วงว่าหิวแล้วนะ พร้อมกับถูกพาเลี้ยวไปยังถนนเลียบชายทะเล



และแล้ว...ก็ถึงเวลาหม่ำ ร้านอาหารเล็กๆ ชายทะเลประจวบ ที่เพื่อนบอกว่าเป็นร้านประจำของเหล่าสตอร์มเมื่อลงใต้ อาหารอร่อยสมกับเป็นอาหารร้านประจำ (สังเกตุข้าวในจานให้ดีๆ จะเห็นว่ามีข้าวสวยอยู่ก่อนแล้ว) ทั้งๆ ที่บนโต๊ะก็ยังมีข้าวผัดอีกจานโต



หม่ำๆ อยู่ดี ก็มีลมพัดกรรโชกอย่างแรง ชะโงกหน้าออกไปนอกร้าน ฟ้าเขียวปั้ด เมฆหนาปึ้ก เอาแล้วไง...ฝนมาแล้ว


หลังออกจากประจวบก็เจอฝนตลอดทาง เพื่อนอีกคันที่ป่วยขี่รถตากฝนโดยไม่ใส่เสื้อกันฝน ทำให้นึกว่าอาการจะแย่ลง ที่ไหนได้อาการหวัดดีขึ้นซะงั้น และแล้ว...ก็ถึงนครศรีธรรมราชโดยสวัสดีภาพรวมๆ 5 โมงกว่าๆ รวมเวลาเดินทางก็กว่า 8 ชั่วโมง ทำเวลาได้ไม่ดีนัก เพราะนอกจากฝนตกแล้ว ยังมีการทำถนนเป็นระยะๆ อีกด้วย

รุ่งเช้า...ได้ทราบว่ามีงานบุญประจำปีของจังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่อว่า ยกหฺมฺรับ อ่านว่าหมับ เหมือนทำบุญประจำจังหวัดของทุกๆ ปี ฟังประวัติแล้วคล้ายๆ งานเช็งเม้งแบบไทยๆ ...ไหนก็มาได้จังหวะ ก็เลยออกมาดูซะหน่อย





ลักษณของที่ใช้เซ่นไหว้เซ่นไหว้


ซึ่งเทศกาลนี้ คือ ประเพณีเทศกาลเดือนสิบ จะมีทั้งหมด 3 วัน ด้วยกัน งานประเพณีนี้เริ่มในวันแรม 1 ค่ำถึงแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ของทุกๆ ปี ประเพณีเทศกาลเดือนสิบ เป็นงานบุญเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบุพการีซึ่งล่วงลับไปแล้ว

ตามความเชื่อทางพุทธศาสนาว่าผู้ล่วงลับไปแล้วมีบาปมากจะตกนรกและกลายเป็น “เปตชน หรือ เปรต” จะถูกปล่อยตัวจากนรกเพื่อให้ขึ้นมาพบญาติพี่น้องและลูกหลานของตนในเมืองมนุษย์ในวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ และให้กลับลงไปอยู่ในนรกดังเดิมก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จึงพยายามหาอาหารต่าง ๆ ไปทำบุญตามวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

เริ่มในวันแรม 13 ค่ำ ซึ่งเป็น “วันจ่าย” หมายถึง วันออกจับจ่ายซื้อของที่จำเป็นในการจัดตกแต่งหมรับ(สำรับ)

ในวันแรม 14 ค่ำ คือ “วันยกหมรับ” หมายถึง การยกหมรับไปวัดหรือวันรับตายาย

และ วันสุดท้าย คือ วันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่า “วันบังสุกุล” หรือวันส่งตายาย วันที่ผู้ล่วงลับจะต้องกลับลงไปอยู่ในนรกตามเดิม

สำหรับหมรับในปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาจากการจัดหมรับแบบดั้งเดิม เป็นการตกแต่งให้สวยงามมากขึ้น โดยมีองค์ประกอบครบถ้วนตามแบบโบราณและจัดให้มีการแข่งขันการจัดหมรับขึ้นอีกด้วย โดยจะมีพิธีขบวนแห่แหนกันอย่างสวยงามตลอดแนวถนนราชดำเนินในวันแรม 14 ค่ำ เดือนสิบ



ขวบนแห่...ที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม



แดดไม่มีเลย ไม่ร้อนแดด แต่ก็อ้าว เดินไปเดินมาแป็บเดียว...ตัวเหนียวหนึบ



ผู้คนเริ่มทยอยมาร่วมงานหนาตาขึ้นเรื่อย



คล้ายๆ ผีตาโขนเลย



เด็กๆ ในขบวนแห่



สาวๆ ก็มี รถขบวนคันนี้มาจากวิทยาลัยพยาบาล



สวยๆ ก็เยอะทีเดียว ^^



แปลกๆ ก็มี



คุณพี่คนนี้...ตีกลองยาวอย่างตั้งอกตั้งใจ, เงาะป่าก็มา, น้องตัวเขียวอี๋...ชอบๆๆ



แต่อยู่ไม่ถึงเริ่มเดินขบวน เพราะร้อนเหลือเกิน...เลยหนีกลับโรงแรมไปนอนต่อ -_-



รุ่งเช้าที่ 3 ของทริป เตรียมตัวออกเดินทางกันตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ตื่นตีสาม...กว่าจะเรียบร้อย ล้อหมุนก็เกือบ 6 โมงเช้า



ออกเดินทางจากนครศรีธรรมราช ไปยังด่านสะเดา เพื่อออกนอกประเทศสู่ประเทศมาเลเซีย รวมผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 11 คัน 12 ชีวิต (เพราะมี 1 สก็อย)



ระหว่างทางมุ่งหน้าสู่ด่านสะเดา



ถึงด่าน...สายพอสมควร ^^ เกือบ 9 โมงเช้า



ใครที่จะนำรถออกนอกประเทศไปมาเลเซียไม่ได้ยากเย็น แต่ถ้าไม่อยากเสียเวลา...ควรให้คนมาดำเนินการเบื้องต้นก่อน ได้แก่การซื้อประกันภัย

สิ่งที่ต้องใช้ในการยื่นให้กับมาเลเซีย
1 แปลเล่มเป็นภาษาอังกฤษ (เอาไปให้หมด ซองและใบเสร็จ เผื่อเกิดอยากดู เคยโดนขอกันมาแล้ว)
2 จดหมายอนุญาตินำรถออกนอกประเทศจากไฟแนนซ์ (เป็นภาษาไทยได้, 1 ฉบับก็พอ)
3 ใบขับขี่ตัวจริง และ สำเนา
4 สำเนาบัตรประชาชน
5 สำเนาประกันภัยที่เราซื้อ
6 ทำสติ้กเกอร์เลขทะเบียนรถแปะที่รถเราให้เรียบร้อย (มีร้านทำที่ด่าน)
7 ถ้าไม่ใช่รถเรา ต้องมีจดหมายยินยอมจากเจ้าของ หรือไฟแนนซ์เจ้าของอีกฉบับ เป็นภาษาปะกิตนะคะ

หลังจากยื่นเอกสารผ่าน แล้วแต่ดวงว่าเจ้าหน้าที่จะเรื่องมาก มาค้นให้วุ่นวายหรือไม่ และถ้าไม่ดำเนินเรื่องเบื้องต้น ก็อาจเสียเวลามากขึ้น...เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมาก สำหรับคราวนี้โชคดี...ไม่ช้าอย่างที่คิด



ออกจากด่านฝั่งไทย ต้องมายื่นเรื่องเกี่ยวกับการนำรถเข้าประเทศมาเลเซียที่ห้องนี้ ซึ่งจะอยู่ทางขวามือ (ต้องกลับรถ) ก็จะได้กระดาษป้ายวงกลมสีเขียวอ่อนขนาดยักษ์ใหญ่ 1 ใบ เก็บไว้เป็นไม้กันหมาให้อุ่นใจ

วิ่งเข้ามาเลย์ผ่าน 2 แยกไฟแดง พอวิ่งลอดใต้สะพานลอยก็กลับรถได้เลย จะมีร้านอาหารอยู่ 2 ร้าน และเป็นจุดแลกเงินด้วย เราเลือกร้านในภาพ พูดจริงๆ ตามที่เห็น...ร้านข้างๆ คนเยอะกว่า แต่บางคนเลือกเป็นขาประจำร้านนี้เพราะเจ้าของร้านในภาพ...ซะงั้น



ทำเรื่องเรียบร้อยโรงเรียนมาเลเซียก็ปาเข้าไป 11 โมงฝ่าๆ ท้องส่งเสียง “โครกคราก” ประท้วงว่า หิวแล้วเฟ้ย



ช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งโป็ก...วันที่เราแลกเงิน 9.8 บาท / 1 ริงกิตมาเลเซีย แต่มีคนบอกตรงด่านแค่ 9 บาท ก็เสี่ยงดวงกันเอานะคร้าบบบ



อาหารลงปุ๊บ แป๊บเดียวก็เกลี้ยง ถ่ายไม่ทันเลยทีเดียว (เพราะถ้ามัวแต่ถ่ายภาพ ก็คงจะไม่ได้กินเป็นแน่) กว่ามือจะว่าง ก็ไม่เหลืออะไรให้ถ่ายอีกแล้ว

อาหารแนะนำ...บักกุเต๋


คิคาปู้...ในบ้านเราสูญพันธุ์ไปละ, เครื่องดื่มสมุนไพรชูกำลัง...ตราแรด ดื่มแล้วจะแข็งแรงประดุจแรด (จริงหรือ??)



เตรียมอุปกรณ์กันฝนกันมาเต็มที่ โดนขู่ก็เยอะ... “ยากแน่ ฝนตกตลอด ชัวร์” แต่ปรากฏร้อนเปรี้ยง ไม่มีฝนซักกะแอะ


ที่มาเลเซียน้ำมันราคาถูกกว่าบ้านเรามาก เพราะเป็นประเทศในกลุ่มมุสลิม รวมทั้งสามารถผลิตน้ำมันเองได้ด้วย ตามปั๊มจึงไม่มีโซฮอลให้รำคาญลูกตา แถมมีแต่อ๊อกเทน 95 กับ 97 ไหนๆ ก็ไหนๆ เราก็เลยเติมแต่ 97 กันไปตามระเบียบ ขี่ลื่นวิ่งฉิวขึ้นอีกเป็นกระบุงโกย

คืนแรกในมาเลเซีย แผนที่วางไว้ คือ ขึ้นไปนอนที่คาเมลอนไฮน์แลนด์ ที่นี่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 4500 ฟุต จึงมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี เป็นที่พักผ่อนยอดนิยมอีกที่ในประเทศนี้ สภาพภูมิประเทศของมาเลเซียจะออกเป็นแนวภูเขาคล้ายๆ ภาคเหนือบ้านเรา วิ่งตามไฮน์เวย์มาเรื่อยๆ ก็จะเจอป้ายบอกทางขึ้น แต่ทางง่ายๆ เราไม่ไป พวกเราจึงออกทางถนนท้องถิ่นกันแทน เพื่อจะได้สนุกสนานกับทางบนเขาและโค้ง เสียงเล่าลือว่าถนนในมาเลดีมากๆ ก็ต้องลองของกันหน่อย (ก็จะไม่ดีกว่าบ้านเราได้ไง หน้ายางมะตอยบ้านเขาหน้าเป็นฟุต บ้านเราคืบเดียว)

ระหว่างทางขึ้นคาเมรอน ก็ได้แวะรีสอร์ทในป้ายบอกทางนี้แหละ อยู่บนเกาะ Pulau Banding ในทะเลสาบรึอ่างเก็บน้ำหว่าชื่อ Tasik Temengor ในรัฐ Perek



วิวสวยๆ ที่มองจากร้านอาหารของรีสอร์ทลงไปยังผืนน้ำด้านล่าง



อ่ะนะ...ขโมยซีนกันเห็นๆ



มาเลเซียแบ่งออกเป็น 13 รัฐ โดยกษัตริย์จะผลัดกันขึ้นครองราษฏร์ทุกๆ 4 ปี ดังนั้นเราจะเห็นธง 2 อย่างขึ้นคู่สู่ยอดเสา คือ ธงชาติ และ ธงประจำรัฐที่กษัตริย์กำลังขึ้นครองราษฐ์อยู่ ณ ช่วงเวลานี้



ไฮด์เวย์ยาวเหนือจดใต้กว่า 800 กิโล จนไปถึงสิงค์โปร์ ทางดีมาก...เรียบ ไร้โค้ง ก็เลย...โคตรง่วง ช่วง MotoGP ถือเป็นช่วงปล่อยผี ไม่ค่อยมีตำรวจให้เห็น เพราะได้ยินว่าปรกติหมาต๋ายุ่บยับไม่แพ้บ้านเรา แถมนิสัยเหมือนกันเปี้ยบ ผิดแต่กฏหมายเขาแรง...ถ้ายัดส่วยกันไม่รอด ก็มีเสียวละทีนี้

ทริปนี้โดนกับตัวไป 1 หน ไฮน์เวย์ที่จำกัดความเร็วไว้ที่ 120 ค่ะ ก็จะมีตำรวจมาจอดรถวางกล้องจับความเร็ว (เหมือนบ้านเรา) ทริปนี้ไม่มี GPS แบบที่ดักจับสัญญาณติดรถ เลยโดยไป ตำรวจ "จะปรับตรงนี้ หรือ จะเข้าไปปรับข้างใน ถ้าไปที่สถานนี้ 300 RM ถ้ายอมจ่ายตรงนี้จะถูกกว่า" ตัวเองฟังได้ยินประมาณว่าให้เราเสนอไปแต่เพื่อนบอกว่าเขาชี้แบงค์ 50 RM หนอยๆ หมาต๋าที่ไหนก็เหมือนๆ กันรึนี่ ก็ขำๆ กันไป



ตามเคย...ขอซักภาพ



อุปกรณ์เซอร์วิสพร้อม



กว่าจะขึ้นถึงที่พัก...ก็สิ้นแสงสุดท้ายพอดี



ช่วงนี้ถือเป็นช่วงวันหยุดยาวของชาวมาเลเซียเช่นกัน ที่พักบนสถานที่ยอดนิยมแห่งนี้ จึงหายากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร คราวนี้เราได้ที่พักที่ Villa Dhalia จริงๆ ที่ๆ ตั้งใจจะมาพักตอนแรก เต็มหมดแล้ว ขอบอก...ว่าไม่แนะนำ เพราะเก่ามาก ถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ ก็อย่าเลย



อากาศที่นี่หนาวเย็นตลอดปี ในห้องพักไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม แต่ก็ไม่มีฮีทเตอร์ด้วยเหมือนกัน



มื้อเช้าจากความผิดพลาดของการสื่อสาร (แห่งประเทศไทย) “ เจอกันร้านเดิมนะคร้าบ” นี่คือผลลัพธ์ที่ได้


เพราะเมื่อวาน...หลังจากที่ถึงที่พัก เก็บข้าวของอาบน้ำเสร็จเป็นคนแรกๆ ด้วยความที่หิวจัด...ถามกันว่าจะไปกินร้านไหน ก็ได้คำตอบว่าเจอกันร้านเดิม แต่...ร้านเดิมไหน ออกไปกัน 2 คนและเพื่อนคนนี้พาไปยังร้านๆ หนึ่ง นั่งรออยู่นานสองนาน ก็ยังไม่เห็นใครมา แต่ด้วยความหิว จึงสั่งหม้อไฟชุดใหญ่สำหรับ 11 คน โทรหาใครก็ไม่ติด จนต้องขี่กลับไปดูที่ห้อง ก็ไม่มีใครอยู่เลย สรุปก็คือ ผิดร้าน ก็เลยสั่งให้ห่อกลับมาทั้งหมด กลายเป็นอาหารเช้าของวันถัดไปซะงั้น



เช้าต่อมา...มุ่งหน้าเข้ากัวลาลัมเปอร์ เขาก็ว่าจะแวะไปดูไร่ชากัน

“หมอ...ตามพี่กบไปนะ”

แต่...พี่กบไปผิดทาง และด้วยความที่เห็นโค้งแล้วมันส์ในอารมณ์ แซงไปเฉยเลย ลงไปซักพัก ไม่เห็นมีใครตามมาเลย



เจอไร่ชาใหญ่ ก็หยุดคอย ...เงี้ยบกริ้บ ซวยละตู ปรากฏว่าไปผิดที่

กว่าจะตามกันจนเจอ...ขอโทษก้าบ

และเราก็มาแวะกินอาหารเช้ากันที่ร้านนี้ก่อนไปไร่ชา ร้านนี้มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชา กาแฟ ช็อคโกแลต และสตรอเบอรี่ขายค่ะ



อาหารเช้า...สตอร์เบอรี่สตูเดิ้ล



ทางเข้าไร่ชาที่เราจะไปกัน



เป็นทางเลนส์เดียว รถสวนกันก็มีเสียวๆ หน่อย ต้องจอดคอยเวลาจะสวนกันตามโค้งต่างๆ แต่มอเตอร์ไซด์อย่างเรา...สบาย



ไร่ชา...สุดลูกหูลูกตา



ไร่ชาแห่งนี้มีบริการโรงแรม ในส่วนร้านอาหารและพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชา เข้ามาใช้บริการได้ฟรี ไม่เสียเงิน



ชื่อของไร่ชานี้ค่ะ ^^ Boh Tea Center



เมื่อหนุ่มๆ แอ๊บคิ๊กขุ



จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้ากัวร์ลาลัมเปอร์ หรือ KL นั่นเอง คืนนี้เราพักที่นี่ค่ะ ...เอ่อ ตึกเล็กข้างๆ นะคะ ไม่ใช่อันใหญ่



บริการใช้ได้ค่ะ อนุญาติให้เราจอดตรงนี้...ไม่ต้องเข้าไปจอดข้างใน


แต่เสียอย่างแรง ... ตัดไฟตอน 5 ทุ่มครึ่งนะคะ ต้องลองหาว่าจะมีบางปลั๊กที่ไม่ตัด แอบเซ็ง...กำลังเป่าแห้งรองเท้าอยู่ดีๆ ตัดไปซะงั้น



คืนนี้ก็ออกท่องราตรี ... หลายคนมีออเดอร์มาด้วย ต้องช้อปของไปฝากคนที่บ้านกัน จึงมุ่งหน้าไปยัง Suria ซึ่งก็คือศูนย์การค้าที่อยู่ในตึกปิโตรนาส เราเลือกใช้บริการขนส่งมวลชน เพราะได้ข่าวว่าการจราจรในเมืองนี้...ติดขัดไม่แพ้บ้านเรา ที่นี่มีรถไฟฟ้าให้บริการก่อนบ้านเราหลายปี รวมทั้งเจ้าโมโนเรลแบบนี้ที่กำลังจะทำในบ้านเราด้วยเช่นกัน



ชื่มชมอยู่ไกลๆ ถ่ายภาพมาครบ....เสมือนตามเก็บ RC ก็ทริปนี้เป็นทริปขี่รถเที่ยวนี่นา แบบนี้ไม่เน้น -_-‘ จริงๆ ไม่ใช่นะคะ อยากขึ้นไปชมวิวเหมือนกัน แต่เวลาไม่พอ

ตึกปิโตรนาส เปิดให้ขึ้นไปชมตรงทางเชื่อมระหว่างตึกได้ฟรี แต่ต้องไปรับบัตรแต่เช้าค่ะ (ปิด 5 โมงเย็น) ส่วน KL tower เสียเงินเข้าชม ปิดดึกกว่า (4 ทุ่ม)



คืนนี้เราแวะทานข้าวกันที่ Bukit Bintang เป็นย่านชอปปิ้งอีกแห่ง ซึ่งด้านหลังจะมีถนนที่เป็นร้านอาหารเรียงรายแบบนี้ ตามทำเรียกร้องของสมาชิกคนหนึ่ง แต่กลายเป็นว่าร้านที่ติดใจนั้นได้อันตรธานหายไปแล้ว ก็เลยต้องสุ่มๆ แบบว่าตาดีได้ตาร้ายเสีย (ก็เหมือนๆ บ้านเราอ่ะนะ)

วันนี้เป็นโชคดีของเรา..ที่เลือกไม่ผิดร้าน อาหารอร่อยพอใช้และราคาไม่แพง



และแล้วก็มาถึงวันที่รอคอย...การได้สัมผัส MotoGP ด้วยโสตประสาทแท้ๆ ของตนเอง



คนที่เคยไปมาแล้ว บอกว่าอาหารแถวสนามแข่งหากินได้ยากและมีราคาแพง เราจึงแวะกินติ่มซำที่อยู่ใกล้กับสนามอีกที (เมื่อไปถึงแถวนั้นให้กด GPS หาในหมวดอาหารจีน ร้านชื่อ HomeTown) เชื่อไหมว่าคน 13 คน กินกันแบบเต็มที่ ค่าอาหารประมาณ 500 บาทเท่านั้นเอง



วันนี้ส่งต่อ F800GS ไปให้เพื่อนอีกคนขี่ แต่งตัวแบบสบายๆ ด้วยกางเกงขาสั้น ผลคือบ่นอุบว่าขี่ไปหินดีดใส่หน้าแข้งเป็นระยะๆ



2 รถทัวร์ริ่งยักษ์ใหญ่ ที่มีแต่คนบอกว่าขี่ง่าย และขี่สบาย แต่ไงๆ ก็ขอบาย เพราะกลัวถูกล้มทับ



งานนี้ต้องยกนิ้วให้คันนี้ กับเจ้าของ...ที่กล้าเอารถโมตาร์ทมาขี่ที่ระยะทางไกลขนาดนี้ ทั้งเมื่อยตรูดและต้านลม b(^^)d



ดูกันชัดๆ BMW 1200GT เทียบกับ Multistada




จวนถึงสนามละ



ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ภาวนาอย่าให้ฝนตกเล้ยยย เดี๋ยวจะ...เลอะเทอะเฉอะแฉะ

ไปถึงก็เที่ยงกว่า แข่งรุ่นเล็กสุดไปแล้ว เดินๆ ดูของที่ขายหน้างานก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เดินหาที่เหมาะๆ ยืนดู เขาบอกไปดูตรง Hair Pin



เมื่อเข้าไปในสนามรุ่นกลางก็แข่งเสร็จพอดี


กำลังจะแข่งรุ่นสุดท้าย รุ่นใหญ่สุด รุ่นที่ทุกคนรอคอย ดูซิว่าวันนี้ รอสซี่ จะเป็นไงบ้าง คนมาเลเชียแต่รอสซี่ ^^



ริงไซด์เลยค่ะ ...งานนี้



รุ่นใหญ่สุด...ที่รอคอย กำลังจะแข่งแล้ว ^^



ขับเคี่ยวกันน่าดู งานนี้รอสซี่ฟอร์มเจ๋งสุดๆ ไล่จากอันดับ 8 จนคว้าแชมป์ได้ สุดยอด...คืนฟอร์มเร็วจริงๆ ทั้งๆ ที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุใหญ่มาหมาดๆ มาคอยดูกันว่าปีหน้า...ถ้าเปลี่ยนค่ายแล้วจะใช้เวลาปรับตัวนานเท่าไหร่ กว่าจะได้ขึ้นโพเดียมอีกครั้ง (ได้ยินว่าจะย้ายไปควบ Ducati)



เลิกปุ๊บ...คนก็กรูกันออก คนติด...เด๋วก็ต้องออกไปผจญกับรถติดอีก



แล้วก็เป็นจริงดังคาด รถติดมากซะจนต้องวิ่งบนหญ้าใหล่ทาง (Er6N)



ขี่กลับ KL ไปตาม GPS ก็นำไปคนละทางกับป้าย ทำให้คนซ้อนท้ายงงเล็กน้อย แต่ก็พบว่าทางโล่งและสั้นกว่าขามา


พูดตามที่เห็น...ประเทศมาเลเซียก็ไม่ได้เจริญกว่าบ้านเรา แต่การขยายเมือง...รัฐจะไปสร้างเมืองเปล่าๆ ไว้ แล้วก็ให้คนอพยพเข้าไปอยู่ได้ ทำให้ระหว่างการเดินทางจะเห็นเมืองสร้างใหม่...แต่ดูไร้ร้างผู้คนอยู่เป็นหย่อมๆ ซึ่งเพราะแบบนี้เอง ทำให้เราจะเห็นได้ว่าสิ่งก่อสร้างใหม่นั้นใหญ่โต อลังการ และยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันได้นั่นเอง



หลังจากดูแข่งจบ ก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม บ้างก็อยู่เรียนกับ Ducati, กลุ่มชาวนครขี่ไปนอนปีนังคืนนี้เลย ส่วนตัวเองอยู่เที่ยวสิงค์โปร์ต่อ ทำให้คืนนี้ยังมีเวลาท่องราตรี KL อีกคืน

หิวๆ ก็ออกไปหาอะไรกิน เปิดหนังสือท่องเที่ยว แนะนำ Berjaya Times Square เขาว่าเหมือนพาราก้อนบ้านเรา แต่เราว่าเหมือนพันธุ์ทิพย์ซะมากกว่า และไม่ค่อยร้านอาหาร ที่มีก็ไม่น่ากิน เลยต้องหาที่หมายใหม่ซิเนี่ย แต่ก็ได้กินคริสปี้ครีมรองท้องคนละหนึ่งชิ้น แล้วก็รู้สึกว่า...ไม่เห็นมันจะอร่อยอะไรกันนักกันหนา กินแล้วก็งั้นๆ ทำไมเห่อกันขนาดนี้ เลย...งงๆ



คิดอะไรไม่ออก...ให้นึกถึง China Town (Jalan Petaling) เข้าไว้ ไปประเทศไหนก็ต้องมี และรับรองว่ามีอาหารมากมายแน่นอน แล้วก็ไม่ผิดหวัง

ไปถึงก็จอดรถหน้าตลาด ก็มีมาเฟียมาไถตังค์ แต่เราก็ไม่ได้ให้ เดินทะลุเข้าไปในตลาด มีแต่ขายของ อารมณ์เหมือนพัฒพงศ์บ้านเรา จนคนบางคนบ่น “กลับเหอะ ไม่เห็นมีอะไรกินเลย” กลิ่นอาหารโชยมารำไร จึงไม่สนใจคำคนบ่น สุดท้ายก็มาเจอกับดงร้านอาหาร เราตัดสินใจเลือกร้านนี้ อาหารมีเป็นชุด หลักๆ คือ ข้าวไก่อบหม้อดิน ถ้าชุดใหญ่ก็จะได้อย่างที่เห็นในภาพ ประกอบด้วยชุป, ผัดผัก และผัดน้ำพริกเผาซีฟู้ด สนนราคาก็ 50 RM ขาดตัว

เพื่อนเป็นห่วงรถจึงเดินย้อนกลับไปเอา เพื่อจะย้ายมาจอดที่หน้าร้านอาหารเลย บอกว่ามาเฟียที่มาไถตังค์ตอนแรก มาคนเดียว แต่งตัวมอมแมมเหมือนขอทานมากกว่า พูดว่าขอตังค์หน่อย ต้องกินข้าว นู่นนี่นั่น ไปเอาเพื่อนมายืนล้อมรถอีก 2 คน ทำให้ต้องยอมจ่ายไป 10 RM แพงนะเนี่ย

ที่นี่เบียร์มีราคาค่อนข้างแพง ป้าเอาเบียร์มาเสริฟ บอก 15 RM ด้วยความที่ไม่รู้ราคา ก็บอกป้าไปว่าไมแพงจัง จ่ายไปแต่โดยดี ไม่วายลุกไปดูในร้านขายของชำข้างๆ ราคา 12 RM แฮ่ๆๆ...ว่าป้าไปซะแล้ว เขินชะมัด -_-“



ชะโงกไปดูร้านข้างๆ เห็นเขาเอาของสดมาเป็นไม้ๆ แล้วจิ้มไปในหม้อต้ม ตอนคิดเงินก็เห็นคนขายมายืนนับจำนวนไม้ อะไรไม่รู้...แต่คราวหน้าไม่พลาดแน่



เช้าวันที่ 7 ของการเดินทาง ออกจากที่พัก 7 โมงเช้า จาก KL ก็มุ่งหน้ายิงยาวตาม High Way ตรงตลอดไป Johobarhu แล้วตามป้าย Woodland เข้าไว้ มองหาตึกในภาพ และแล้วก็มาถึงชายแดนระหว่างมาเลเซียและสิงค์โปร์

ปัจจุบันประเทศอื่นๆ เขามี AutoPass กัน มันจะบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับพาหานะของเราเอาไว้ทุกสิ่งอย่าง (ประเทศเราไม่เข้าร่วมนะคะ ทั้งๆ ที่เกือบจะทั่วโลกเขาเข้าร่วมกันหมดแล้ว) ดังนั้นการจะเข้าสิงค์โปร์จึงยุ่งยากมาก เพราะเขาไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้แล้ว (มั้ง) ถ้ามีเจ้าบัตรนี้แล้ว ก็เพียงแต่เสียบบัตรลงกล่องอ่าน แล้วยื่นพาสปอร์ต ที่ตู้ตามปรกติได้เลย แป๊บเดียวก็เสร็จ

ผ่านด่านขาออกฝั่งมาเลเซียปุ๊บ เข้าฝั่งสิงค์โปร์ก็ต้องไปทำเจ้า AutoPass นี้ก่อน เสียค่าทำประมาณ 160 SDL กรุณาเตรียมเงินสิงค์โปร์ไปด้วยนะคะ ไม่งั้นจะวุ่นวาย เพราะกว่าจะหาได้ก็หืดขึ้นคอเลยคะ

เอกสารที่ต้องเตรียมยื่นให้ทางสิงค์โปร์
1 เอกสารแปลเล่ม (ตัวจริง)
2 สำเนาป้ายวงกลมของประเทศเรา (เขาบอกว่าถ่ายเอกสารมาเลยได้)
3 ป้ายวงกลมของมาเลเซีย (เขาขอดูด้วยค่ะ)
4 ชุดเอกสารที่ยื่นให้ทางมาเลเซียดู [ด่านจากไทยเข้ามาเลเซีย อาจจะยึดหรืออาจจะคืนให้ แต่คราวนี้ไม่โดนยึด] (เจ้าหน้าที่สิงค์โปร์เอาไปดูแล้วยึดไปเลย คาดว่าเขาไปใส่ข้อมูลใน AutoPass ให้)

ใบขับขี่, พาสปอร์ต เขาขอตัวจริงไปถ่ายเอกสารเอง รออยู่เกือบชั่วโมงกว่าจะดำเนินการเสร็จค่ะ



พ้นด่านมาก็ขี่เข้าเมืองด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะกฎหมายที่นี่ค่อนข้างแรง ไอ้ที่ว่าแรงคือค่าปรับแพง แถมกล้อง CCTV ยุ่บยั่บยังกะตาสับปะรด ขี่ไปก็ร้อนๆ หนาวๆ เพราะจำกัดความเร็วเอาไว้ซะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ หาที่ติดตั้ง เครื่อง IU unit เหมือนในภาพ ซึ่งจะอ่านข้อมูลใน AutoPass ของเรา ในสิงค์โปร์จะมีโซน ERP ซึ่งจะเก็บเงินยานพาหนะทุกชนิดที่ใช้น้ำมันเมื่อคุณผ่านเข้าไป และก็จะหักเงินเราจากกล่องอ่านการ์ด ซึ่งเราต้องเติมเงินเอาไว้ให้เพียงพอ ถ้าไม่มีละก้อหมาต๋ามาทักทาย พร้อมใบสั่งที่เก็บค่าปรับสูงลิบลิ่วกันเลยทีเดียวค่ะ

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ติดตั้ง เพราะที่ร้านไม่รับบัตรเครดิต และเราก็ยังไม่ได้แลกเงินสิงค์โปร์เลยซักแดงเดียว เลยตกลงปลงใจจอดรถไว้ที่โรงแรม แล้วใช้บริการขนส่งมวลชน คิดแล้วไม่คุ้ม เพราะค่าติดตั้งไอ้กล่องนี่ก็เกือบ 3 พันบาท แล้วเราเองก็มีเวลาเที่ยวในนี้แค่ 2 วัน แต่คราวหน้าไม่พลาด...ต้องมาล้างตา



การเดินทางในสิงค์โปร์ที่สะดวกที่สุด ก็หนีไม่พ้นรถไฟฟ้านี่หละ ประหยัดและรวดเร็ว แม้สิงค์โปร์จะไม่ได้ใหญ่โต จะว่าไปทั้งเกาะยังเล็กกว่าภูเก็ตเสียอีก แต่ค่าแท็กซี่ที่นี่แพงหูฉี่ เพราะน้ำมันแพงกระฉูด

วันนี้เป็นวันหยุดของสิงค์โปร์ ทั้งๆ ที่เป็นวันธรรมดา แต่รถโล่งสุดๆ



สถานที่ท่องเที่ยวในสิงค์โปร์ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ รถก็ไม่ขี่แล้ว...ก็เลยไม่รู้จะทำอะไร ก็เหลือจุดประสงค์เดียวที่มาที่นี่ คือ ซื้ออุปกรณ์กับเกี่ยวกับการขับขี่มอเตอร์ไซด์

สถานที่: Little india, Jalan Basar

จริงๆ แล้วมีขายทุกอย่างตั้งแต่อุปกรณ์แต่งกาย ความปลอดภัย รวมทั้งอะไหล่รถจักรยานยนต์ แต่ก็ต้องระวังตอนขนกลับให้ดีๆ ไม่รู้ว่าตรงด่านบ้านเราขาเข้าประเทศจะเกิดเขี้ยวเมื่อไหร่ เพราะเคยได้ยินว่ามาบางครั้งต้องเสียภาษีอานเหมือนกัน

ลองเข้าไปค้นไป google map ดูนะคะ จะบอกว่าแผนที่ในสิงค์โปร์เจ๋งมาก เพราะสามารถหันซ้ายหันขวาได้ 360 องศาเหมือนไปยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ เลยค่ะ, keyword: little india, Jalan Besar, singapore motorcycle จะเจอร้านเพียบเลยค่ะ ลองเดินถามราคาเปรียบเทียบดูให้ดีนะคะ แล้วก็เมื่อได้ของแล้วให้เช็คของให้ดีก่อน อย่างเช่นกรณีหมวกกันน็อคให้ดูวันเดือนปีที่ผลิต เพราะบางทีเขาเอาของใกล้หมดอายุมาขายในราคาถูกค่ะ (ใครว่าหมวกกันน็อคไม่มีวันหมดอายุ ไม่จริงค่ะ เพราะเมื่อวัสดุหมดอายุ ก็จะกรอบแตกง่าย นั่นก็หมายว่าไม่ว่าจะยี่ห้อดีแค่ไหน ก็ปกป้องหัวเราไม่ได้แน่ค่ะ)



ร้านขายอุปกรณ์มอเตอร์ไซด์มีอยู่หลายร้าน แต่มีอยู่ร้านที่ต้องระวัง คือ ร้านสีส้ม (ร้านนี้อยู่ในตึก Coyuco Bluitding) คนขายออกจะเพี้ยนๆ หน่อย มาคราวนี้ตั้งใจจะซื้อหมวกกันน็อคใหม่ เพราะของเก่าที่ใช้ ได้เวลาหมดอายุ เลยสอย x-12 มาครอบครอง พร้อมกับซื้อชิลเป็นทูโทน จากร้านตรงข้ามกันนี้เอง ซื้อเสร็จก็ข้ามไปร้านสีส้มที่ว่า คนขายก็ถามว่าซื้ออะไรมา แล้วก็ไปยกของตัวเองมาโชว์ บอกสนนราคา 600 SD แกะกล่องหยิบของด้านในออกมา บอกว่าจริงๆ แล้วในกล่องต้องมีชิล 2 อัน ไอ้เราก็งงอ่ะซิ...เพราะมันเคยมีที่ไหนกันหล่ะ เราก็บอกว่าซื้อมาแล้วไม่รู้จะทำไงนิ ก็เลยถามเขาว่าอยากได้ชิลทูโทน เขาบอกว่ารุ่น x-12 ไม่มีผลิต งงไปกันใหญ่ แล้วไอ้ที่เราซื้อมา ร้านโน้นผลิตเองรึไงฟระ

จากร้านสีส้มนี้ ให้เดินไปทางตึกซิมลิ้ม จะมีร้านเปิดใหม่อยู่ตรงหัวมุมตึก (จากรูปใน Google map ยังเป็นร้านขายโคมไฟอยู่เลย) ขายของ Berik เพิ่งเปิด ช่วงนี้เลยยังขายราคาถูก เจ้าของเป็นฝรั่ง สอยของจากร้านนี้มาพอสมควร รองเท้าทัวร์ริ่ง 270 SD เอง เสื้อแจ็คเก็ต 300 SD ผลคือขากลับของหนักมากเลย ^^



เวลาที่คนเนืองแน่นเป็นแบบนี้, หน้าตาบัตร AutoPass, เฉลย...ที่ห้อยๆ อยู่ก็คือ บ้ะจ่างค่ะ ที่นี่มีร้านบ้ะจ่างขายแบบนี้เพียบ เก๋ไปอีกแบบ



ลืมที่นี่ไปเสียสนิท ไม่คิดว่าจะได้มา เพราะวันที่สองในสิงค์โปร์ไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว หลังจากแฮงค์เบียร์ 8.5% ของที่นี่ กว่าจะตื่นก็บ่ายกว่า

Marina Bay Hotel โรงแรมที่ทำรูปเรือในส่วนชั้นบนสุดพาดยาว 3 ตึก ส่วนบนนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชื่นชมได้ โดยเสียค่าบัตร 20 SD เปิดถึง 4 ทุ่ม เดินได้ทางส่วนหัวเรือ ไม่สามารถเข้าไปใช้บริการในส่วนของสระน้ำได้ ได้แต่ยืนดูตาละห้อย อยากว่ายน้ำ คราวนี้...ต้องมาพักสักครั้ง จะได้เล่นน้ำให้สมใจอยาก กำลังจะมีละครเวที Lion King มาเล่นที่นี่ปีหน้า...คงได้มาอีกหนแน่ๆ



คนตัวใหญ่ แต่ใจเหลือกระจิ้ดริ้ดเวลาอยู่บนที่สูง หรือ เรียกว่าโรคกลัวความสูงนั่นเอง และไม่น่าเชื่อว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาชมที่นี่ ก็คือคนไทยเรานี่เอง



ภายในมีร้านขายของแบรนแนม แม้จะ 4 ทุ่มกว่าแล้ว แต่ร้านค้าเหล่านี้ก็ยังเปิดอยู่ และมีคาสิโนอยู่ด้วย แต่ไม่ได้เข้าไป



จาก Merlion ให้เดินไปทางด้านซ้าย (หันหน้าไปทางแม่น้ำ) เลียบแม่น้ำไปเรื่อย จะพบร้านอาหารและผับมากมายตามถนนเลียบคลอด ตลอดระยะทาง 8 กิโล (แต่เดินไปแค่นิดเดียวค่ะ)

มีต่อ ตอนที่ 2 นะคะ เนื่องจากยาวเกินกว่าจะเขียนใน Blog เดียว ...อย่าลืมติดตามไปชมต่อนะคะ




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 18 สิงหาคม 2555 15:48:09 น.
Counter : 5423 Pageviews.  

เที่ยวอีสาน...ขี่รถไปชมวัดกับก๊วน BMW bikers of Thailand และสัมผัส KTM 990 Adventure

ครั้งแรก (อีกแล้ว) กับการขี่รถไปเที่ยวอิสาน รู้ๆ กันอยู่ว่ามีโค้งให้เล่นน้อยมาก แต่สิ่งที่ดึงดูดใน เพราะเป็นการขี่รถไปเที่ยววัด ^^ ไม่รอช้าตอบตกลงทันที ทริปนี้มีจุดมุ่งหมายหลักอยู่ที่วัดภูทอก ซึ่งอยู่ในจังหวัดหนองคาย ซึ่งจากภาพที่ไดเห็นมานั้น มีความงดงามมากมาย และอีกเรื่องแปลกใหม่ ก็คือ ได้ลองขี่ KTM 990 Adventure ตลอดทริปค่ะ (เป็นรถจากบริษัทคุณค่าคอปอเรชั่น คือบริษัทตัวแทนจำหน่ายประเทศไทยอย่างเป็นทางการ)

ออกเดินทางกันเลยค่ะ ^^


ปล. เอารถเขามาขี่ ก็ต้องให้เครติดพูดถึงรถเขามากหน่อยนึงนะคะ

นัดกันที่ปั๊ม ปตท. ถนนพหลโยธิน เลยแยกอยุธยาไปหน่อย มาถึงเป็นคันแรก ไม่เจอใคร เลยขี่ไปดูปั๊มหน้าก็ไม่มี ขี่ไปขี่มาอยู่สองสามรอบ ก็เจอคนอื่นๆ เริ่มทยอยๆ มาให้อุ่นใจ ว่าไม่ได้มาผิดปั๊ม



เฮียบุ้ง มาด้วย R1150GS รุ่นถังอูฐ รุ่นสร้างชื่อ ทน อึด และปัญหาน้อยที่สุด เพราะเป็นรุ่นสุดท้ายที่ยังไม่ได้ยัดอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกเข้าไป



สีส้มของ KTM ที่สวยแสบบาดตาบาดใจเจงๆ



on site service

ชุดช่างของ KTM ที่ให้มา ครบถ้วน ทำให้สามารถดูแลรถได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าคนที่ซื้อไปจริงๆ จะได้ครบแบบนี้หรือเปล่า...



เดินทางออกจากกรุงเทพ 8 คัน มี 2 คันเป็น KTM ที่เหลือ BMW ล้วน
นะ...ก็ขึ้นหัวว่าไปกับ BMW riders of Thailand นี่นา ก็ถูกแล้วชิมิ

KTM อีกรุ่น ที่ร่วมทางไป คือ supermoto 990 รถโมตาดเครื่องโต ที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับเดินทางไกล จึงทำให้มีปัญหาเรื่องปั๊มน้ำมัน ที่ต้องเติมบ่อยหน่อย (ถังจุ 15 ลิตร) และชิ้นส่วนของรถ ที่ต้านลม ทำให้มีอาการส่วนเล็กน้อยเวลาวิ่งที่ความเร็วสูง ( 160 km/hr up)



KTM 2 คัน 2 รุ่น

ไม่ว่าจะใช้รถอะไร ก็ยังคงคอนเซปเดิม มัดสัมภาระติดหลังรถเอา 555 เรียกว่าเชี่ยวชาญเรื่องมัดกันไปเลยทีเดียว



แวะเติมน้ำมันเป็นระยะๆ เหล่าบรรดา BMW R1200GS, GSA บ้าง ได้เปรียบกันไป ถังน้ำมันใหญ่ๆ ทั้งนั้น ^^ ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นภาระเลย ขอบคุณพี่ๆ ทั้งหลายที่ต้องจอดรออย่างไม่ปริปากบ่นเลยนะคะ เอ...หรือพี่ๆ บ่น แต่เราไม่ได้ยินหว่า



มุ่งหน้าออกจากปั๊มจอดแวะแรก


ยุทธ “ขี่แล้วย้วยๆ ไงไม่รู้”
หมอ “จะไม่ย้วยได้ไง ยางแบนแล้วค้าบพี่น้อง แบนแต๊ดเลยด้วย”

โชคดี...มีร้านปะยางอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเลย แต่ปรากฎว่าไม่มีบล๊อคขนาดน็อตล้อ ทำให้ต้องปะหนอนไม่ได้ปะสตีม



ขี่พ้นสระบุรีไป ทางก็โล่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขี่กันสบายๆ



คนนำขบวนคือ เฮียบุ้ง ถามๆ ใคร พูดกันอย่างไม่อาย...ไม่รู้หรอกว่าจะไปไหน รู้แค่ว่าขี่ตามๆ กันไป เดี๋ยวก็ถึงที่หมาย

ใครขี่เร็วก็ไปก่อน ใครขี่ช้ากว่าก็ค่อยๆ ตามมา ไม่ต้องเร่งตัวเองให้หมดสนุก ถึงทางแยกก็จอดรอกัน ^^ เป็นระยะๆ



ระหว่างจอดรออีกคัน...ที่ขี่มาเจอกันกลางทาง



คันนี้ ทำกระเป๋าตกหายไปข้าง ติดแค่ข้างเดียว...ก็ขี่ได้ อยากถาม...แต่ไม่ได้ถาม ว่าเวลาขี่บาลานซ์มันแย่ลงหรือเปล่า



อาหารมื้อกลางวัน ร้านบะหมี่กลางเมืองร้อยเอ็ด ร้านบะหมี่จังโก้ มื้อนี้...เฮียบุ้งเลี้ยง อิ่ม อร่อย และประหยัด เพราะร้อยเอ็ดเป็นถิ่นของเฮีย ขอบคุณค่ะ



จากร้อยเอ็ด มุ่งห้าสู่มุกดาหาร ผ่านช่วงเขา(ไม่ทราบชื่อ) ให้ได้เล่นโค้งกันพอหอมปากหอมคอ ทำให้ได้ลองรถ KTM ในช่วงโค้งแคบบ้าง


แม้รถจะสูง ยางกึ่งมัด และไม่มีระบบไฟฟ้าช่วย (แต่มี ABS นะคะ) สำหรับมือใหม่อย่างแหวว ที่ลองๆ ดู ก็ถือว่าการตอบสนองดีค่ะ แม้จะเบรคจนท้ายปัด แต่ก็ไม่ได้ทำให้รถสะบัดจนเหวอแต่อย่างใด (น่าจะเป็นเพราะน้ำหนักคนขี่น้อยกว่ามาตรฐานสปริงรถให้มา)

ที่พักของเราคืนนี้คือ ปร๋อหร๋อรีสอร์ท ซิ่งเป็นของพี่ชาตรี หนึ่งในผู้ขับขี่ร่วมทริปนี้ด้วยค่ะ ถึงที่พักราวๆ 6 โมงเย็นพอดี ถึงช้า...เพราะระหว่างทางพักบ่อย ^^ ไม่รีบๆ



ภายในรีสอร์ทมีห้องพักหลายแบบให้เลือก ราคาย่อมเยาว์ อากาศดี มีการทำนาภายในรีสอร์ให้ดูด้วย



เพิ่งถอยกล้องมาใหม่เพื่อทริปนี้โดยเฉพาะ แทนที่ทำตกไปในทริปก่อน T_T

Panasonic Lumin Lx-3 ชิ้นส่วน Lens Leica คู่แฝดกับ Leica D-Lux-4 เหมือนกันเปี้ยบ ภาพเป็น jpg file แต่ให้สีออกมาได้ใสดีค่ะ ไม่รู้ว่าภาพจากตัว Leica จะสวยกว่านี้รึเปล่า แค่นี้ก็โอแล้ว ^^



ภาพ Macro ใช้โหมด Auto ล้วนๆ เพราะคู่มือไม่ละเอียดเลย ยังปรับอะไรไม่ค่อยเป็นค่ะ



อาหารการกินในคืนนี้ เรียกว่าเต็มที่กันเลยทีเดียว ^__________^



จากมุกดาหาร วันถัดมาจุดหมายแรก วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จังหวัดนครพนม วันนี้เรามีรถร่วมทางเพิ่มเติมจาก 8 เป็น 18 คัน


วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เป็นวัดพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนชยางกูร บ้านธาตุพนม ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีลักษณะเป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจตุรัสก่อด้วยอิฐ กว้างด้านละ 12.33 เมตร สูง 53.6 เมตร มีกำแพงล้อมองค์พระธาตุ 4 ชั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่บนภูกำพร้า (เนินดินสูงจากพื้นธรรมดาประมาณ 3 เมตร) ภายในบริเวณมีบึงขนาดใหญ่เรียกว่าบึงธาตุพนม ในวันเพ็ญเดือน 3 ถึง แรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีจะมีงานประจำปีเพื่อเป็นการนมัสการพระธาตุพนม



เมื่อปี พ.ศ. 2485 วัดพระธาตุพนมฯ ได้รับการยกฐานะเป็น พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2518 เวลา 19.38 น. ด้วยเหตุที่มีฝนตกพายุพัดแรงติดต่อมาหลายวันและความเก่าแก่ขององค์พระธาตุ พระธาตุพนมจึงได้ล้มทลายลงมาทั้งองค์ ประชาชนทั้งประเทศได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์และรัฐบาลได้ก่อสร้างองค์พระธาตุ ขึ้นใหม่ตามแบบเดิม การก่อสร้างนี้เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2522 นอกจากจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในองค์พระธาตุดั่งเดิมแล้ว ยังมีของมีค่ามากมายนับหมื่นชิ้นบรรจุและประดับไว้ในองค์พระธาตุอีกด้วย โดยเฉพาะฉัตรทองคำบนยอดพระธาตุ ซึ่งมีน้ำหนักมากถึง 110 กิโลกรัม



อีกมุมหนึ่ง



จะเอา F800GS ใส่กล่องเต็มอัตราแบบนี้ ก็กลัวขี่จะต้านลม ^^ แหม แต่ติดกล่องเต็มแล้วก็เท่ห์ไม่แพ้ R1200GS เลยนะคะ



จุดมุ่งหมายต่อไป ตอนแตกจะไปแวะทานข้าวกลางวันกันที่ริมโขงในร้อยเอ็ด แต่เจ้าถิ่นคนนำเกิดเปลี่ยนใจ พาไปกินระหว่างทางมุ่งหน้าไปหนองคายระหว่างแวะเติมน้ำมัน คงจะหิว...จกมะม่วงเด็กปั๊ม หม่ำกันซะงั้น ^^

พี่ชาตรี คนที่ยืนใส่แว่นดำสุดเท่ห์ เจ้าขอปร๋อหรอรีสอร์ท ใครผ่านแวะไปใช้บริการได้ค่ะ



กว่าจะถึงร้านอาหาร ก็เล่นเอาหลงๆ เลยๆ กันไปจนงง เพราะรถเยอะ ขบวนยาว



HD ก็มาด้วย



อากาศร้อนมากๆ ถึงร้านอาหาร ทุกๆคนก็ รีบ...แก้ผ้า ให้เหลือน้อยชิ้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ อิอิ



ส้มตำ...อาหารประจำชาติ ไปไหนๆ ก็ต้องมี
แต่จะว่าไป มันก็เป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการครบ 5 หมู่
เพียงแต่ถ้าไปเจอร้านที่ไม่สะอาด ก็อาจต้องวิ่งจู้ดเข้าห้องน้ำเป็นการด่วนได้นั่นเอง



ร้านอาหารแถวนี้ มีของเล่นทางน้ำไว้บริการด้วย คือ เรือกล้วย และ โดนัท กินข้าวไป ก็มีเสียงเด็กร้องวี้ดว้ายระงมไปหมด



เด็กๆ เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน อยากเล่นบ้าง แต่กลัวว่าถ้าไม่ได้อาบน้ำ กลิ่นคงจะตุๆ ไปทั้งวัน



และแล้ว...เราก็มาถึงวัดภูทอก เพราะอากาศร้อน และ ทราบว่าต้องเดินขึ้นไปบนภูเขา ไม่รอช้า ถอดๆๆๆ ทันที



จอดเรียงราย



บริเวณด้านล่างของวัด

สังเกตทางขวามือของภาพ...จะมีหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งวางอยู่ ใครอยากรู้ว่าสิ่งที่เราหวังไว้จะสำเร็จหรือไม่ สามารถเสี่ยงทายได้ โดยให้อธิฐาน 2 ครั้ง โดยตั้งคำตามสลับคำตอบ เพื่อให้ยกหินขึ้นและไม่ขึ้นสลับกัน เรียกว่าต่อคิวกันทำเลยทีเดียว



มองขึ้นไปด้านบนของวัด จะเห็นทางเดินรอบๆ เขาหิน ซึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้น น่ายกย่องมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราๆ ที่มีศรัทธาอันแรงกล้า ในการสร้างสิ่งเหล่านี้ แต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้น คือ วัดนี้ สร้างมากว่า 20 ปีแล้ว



เริ่มเดินขึ้น...มีผู้ร่วมชะตากรรมเดินขึ้น 6 คน ที่ขึ้นไปจนถึงอย่างน้อย ชั้น 5



สูงเอาเรื่องเลย...เล่นเอาลิ้นห้อยเกือบถึงพื้น ^^



วัดเจติยาคิรีวิหาร (วัดภูทอก) เป็นวัดสายพระป่า โดย พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ (มรณะภาพแล้ว)

ตั้งอยู่ที่บ้านคำแคนพัฒนา ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย มีขนาดความสูง โดยวัดจากฐานถึงยอด 460 เมตร มีบันไดเรียงขึ้นตามชั้นต่าง ๆ 7 ชั้น และฐานชั้นที่ 6 วัดโดยรอบได้ 800 เมตร เป็นหน้าผาสูงชัน



เมื่อขึ้นไปถึงด้านบน ก็จะได้พบกันทัศนียภาพที่สวยงามแบบนี้ ทางเดินที่ทำขึ้นจากไม้ สร้างรอบภูเขาหิน ให้เป็นทางเดินได้โดยรอบ



มองลงไปด้านล่าง จริงๆ แล้วมีทางขึ้นสู่ชั้นต่อชั้นได้หลายทาง เมื่อเดินขึ้นมาจากด้านล่าง จะมาพบกับวิหารที่ชั้น 5 โดยจะมีทางเดินต่อขึ้นไปเพื่อชมวิวที่ชั้น 6 และ 7 ได้ ซึ่งทุกๆ ชั้น จะมีทางเดินที่สามารถเดินได้รอบๆ ภูเขาหิน



ลักษณะทางเดินไม้



พุทธวิหาร



พวกที่นั่งรอ...สภาพเหนื่อยเหมือนขึ้นไปด้วยกันเลย คิคิ



เจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ



ออกจากวัด หลงกันอยู่ 2 คัน ^^ ผิดที่ข้าน้อยเอง ยังกลับรถไม่คล่อง เวลาจะกลับรถทีต้องหาที่กว้างขวางหน่อย กลับมาอีกทีหายไปกันหมด



คืนที่ 2 พักกันที่อุดรธานี ออกไปทานข้าวกันที่ ร้านอาหารชื่อ "คีตกวี" พี่เจ้าของร้านก็เป็นสิงห์มอเตอร์ไซด์เหมือนกัน พี่เจ้าของร้านกับแฟนน่ารักมาก ต้อนรับอย่างดีเลยค่ะ อาหารอร่อย...ที่สำคัญ เพลงเพราะมาก เป็นวงเพลงเพื่อชีวิตที่ใหญ่มาก เรียกว่าอลังการเลยค่ะ


เช้าวันที่ 3 ถึงเวลาแยกย้ายกันกลับบ้าน บางส่วนกลับมุกดาหาร ที่เหลือกลับกรุงเทพ แบ่งเป็น 2 สาย สายเฮียบุ้ง ยิงยาวกลับกรุงเทพ ส่วนแหวว แยกกลับมากับพี่ตุลย์ทางเพชรบูรณ์ เพราะทริปนี้ส่วนใหญ่เป็นทางตรง จึงอยากมาหาโค้งเล่นซักหน่อย ซึ่งพี่ตุลย์ก็ตามใจน้องๆ อุตส่าห์พาไปทางสวยๆ แถวๆ หล่มเก่า ขอบคุณค่ะ



ถนนดี วิวสวย มีโค้งให้เล่น แถมไม่มีรถวิ่งซักเท่าไหร่ ...สุโค่ย !!!



T_T น่าเศร้านิดหน่อย ที่มองไปทางไหน ก็มีแต่...ล้านเลี่ยนเตียนโล่ง ภูเขาหัวโล้นทั้งนั้น



แวะกินมื้อกลางวันกันที่ ร้านบุญมีขนมจีน ของดีประจำจังหวัด พี่ตุลย์บอกว่าร้านนี้อร่อยสุด

สีของขนมจีน...เป็นสีธรรมชาติ สีม่วงมาจากดอกอัญชัญ สีเหลืองมาจากฟักทอง สีชมพูมาจากบีทรูทหรือแก้วมังกรแดง



ร้านอาหารสะอาดสะอ้านดีค่ะ บริการรวดเร็วทันใจ นั่งปั๊บ ขนมจีนวางปุ๊บ ^^


จากจุดนี้ไป เจ้า KTM supermoto เกิดอาการงอแง ยางรั่วอีกครั้ง จริงๆ แล้วนี่เป็นครั้งที่ 3 (ครั้งที่ 2 รั่วหน้าวัดพระธาตุพนม) ช่างเป็นความโชคดีเหลือเกิน ที่รั่วที่ไร ก็ไม่ไกลจากร้านปะยาง คราวนี้รั่วหน้าร้านเลยด้วยซ้ำ

ร้านนี้ก็ไม่มีบล๊อคถอดน็อตล้ออีกเช่นเดิม คุ้ยถุงอุปกรณ์ติดรถที่มี ปรากฏว่ามีประแจสำหรับถอดน็อตล้อมาให้ T_T ทำไม BMW ไม่ให้บ้างนะ ต้องเสียตังค์ซื้อเพิ่มเองหง่ะ

ตลอดทริปนี้ KTM 2 คันนี้เป็นตัวปัญหาจริงๆ ทำให้ช้าได้ตลอด เดี๋ยวหลง เดี๋ยวของหล่น เดี๋ยวยางรั่ว เดี๋ยวจอดถ่ายรูป เกรงใจพี่ตุลย์เป็นอย่างมาก จึงร่ำรากันตรงนี้ ก่อนจากพี่ตุลย์บอกทางให้ไปเล่นโค้งที่เขาค้อให้ ว่าไปทางไหน ^^


ผลปรากฏว่า...เมฆฝนตั้งเค้าทะมึนมาให้เห็น แถมมีฟ้าแล่บอีกต่างหาก ลมก็แรงมากจนรถเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ขวาเขาค้อ ซ้ายน้ำหนาว เลยตัดใจ ไม่เอาดีกว่า
โอกาศหน้าฟ้าใหม่ยังมี





จึงวิ่งเข้าเพชรบูรณ์ มุ่งหน้ากลับกรุงเทพ ขอแนะนำให้วิ่ง 21 เลี่ยงเมืองนะคะ ถนนโล่งและดีมาก



ความซนก็ทำให้เปลี่ยนแผนกระทันหัน ตัดสินใจไปค้างเขาใหญ่เพิ่มอีกซักคืน ^^ เรื่องเปลี่ยนแผนที่ถนัดนัก


ระหว่างทางขึ้นเขาใหญ่ ก็ได้เห็นว่ามีการทำถนนให้ใหญ่ขึ้น คิดว่าไม่ได้มีความจำเป็นเลย ทำๆไมกัน T_T เสียดายต้นไม่ใหญ่ๆ ที่ต้องถูกตัดทำลายไปยิ่งนัก

ฟ้าเริ่มมืด ฝนเริ่มโปรยปราย เพราะไม่เคยนอนโรงแรมแถวนี้มาก่อน และไม่เคยหาข้อมูล คิดหนักละทีนี้ จะนอนไหนดีหว่า

ขี่ไปเรื่อย จนถึงทางขึ้นเขาใหญ่ เห็นดงป้ายที่พักทางฝั่งซ้ายมือ จึงเลี้ยวตามเข้าไป สุดท้ายมาจบลงที่ Chateau De Khaoyai เข้าไปด้วยความงง เพราะประตูรีสอร์ทเหมือนประตูหมู่บ้าน แต่เห็นป้ายร้านอาหาร จึงจอดถามยาม ถึงได้รู้ว่าเป็นรีสอร์ท เอาที่นี่แหล่ะ ฝนตกและมืดแล้ว





ตื่นเช้ามาด้วยความสดใสร่าเริง ในรีสอร์ทมีจักรยานบริการฟรี

ตึกที่เห็น กำลังมีการถ่ายละครกันอยู่ เห็นอั้ม อธิชาติ (มั้ง) แบบลิบๆ คนไรขาวชะมัด -_-‘ โอโม่จริงๆ

รีสอร์ทนี้มีมาถ่ายทำละครหลายเรื่องแล้ว เช่น เชลยศักดิ์ ปราสาทมืด เพราะตึกมีการและการตกแต่งเป็นแบบยุโรป



สระว่ายน้ำ ที่เรียกร้องจะหาที่พักที่มีให้ได้ เพราะเมื่อวานร้อน อยากแช่น้ำ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้บริการ



ร้านกาแฟ ในรีสอร์ท



วิวจากตึกด้านหน้าสุด อลังการมั่กๆ ^^ แต่เมื่อคืนตอนเข้ามามืดตึ้ดตื๋อ หลอนแบบอลังไปอีกแบบ แถมเราเป็นแขกเพียงชุดเดียวเมื่อคืน



แอบถ่ายเจ้า KTM 990 Adventure วันนี้จะเป็นวันที่เราต้องจากกันแล้ว การลองรถสิ้นสุดลง พูดได้เต็มเสียงว่า เป็นรถที่ขี่สนุกมาก ใส่แอ็คชั่นได้เต็มที่ เลยค่ะ ^^ (แต่ก็ไม่ได้ซ่าส์มากนัก เพราะรถมะใช่ของเรา ทำล้มมา เด๋วจะกระเป๋าแบนกันละงานนี้ เรียกว่าพอหอมปากหอมคอค่ะ)



ขากลับ...ขึ้นเขาใหญ่ ลงทางปราจีนบุรี เพื่อย่นระยะทาง

บรรดาลิงเจ้าถิ่นที่ลงมานั่งบนถนนอย่างไม่กลัวรถรา น่าเสียวไส้เป็นที่สุด



บรรดาลิงแม่ลูกอ่อน...ดูแล้วน่ารักมาก



ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ ราวๆ บ่ายโมง แล้วก็ต้องรีบบึ่งไปทำงานต่อ ^^ จบทริปด้วยระยะทาง 2000K+ หนุกหนานมากมาย


พันเสียงเล่า ไม่เท่าหนึ่งสัมผัส ได้ยินกิตติศัพท์มากมายเกี่ยวกับพี่ๆ กลุ่มนี้ พอได้มาสัมผัสแล้ว พี่ๆ แต่ละคนน่ารักมากๆ ค่ะ ขอบคุณสำหรับการดูแลตลอดเส้นทาง และการรอคอยอย่างอดทนต่อ 2 ตัวจี้ด ที่มีเรื่องทำให้ล่าช้าได้ตลอดทริป



มีถ่าย clip ไว้สั้นๆ เลยลองมาทำ slideshow + clip เป็น VDO สั้นๆ ให้ดค่ะ
[ Download ]

ไม่อาจเอื้อมรีวิวเป็นเรื่องเป็นราวนะคะ  เพราะไม่คิดว่ามีศักยภาพในการขี่รถที่สูงพอในแง่นั้น ทำได้แค่สรุปแบบหยาบๆ นะคะ ความรู้สึกในการขับขี่ที่รู้สึก ระหว่าง F800GS กับ 990 AVG (เป็นความรู้สึกล้วนๆ ที่ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวข้องกับกลไลใดๆ นะคะ)

- KTM มีน้ำหนักมากกว่า แต่นาทีแรกที่จับรถกลับรู้สึกว่ารถเบากว่า
- เบาะของ KTM สูงเท่ากับ BMW (ยังไม่ได้เปลี่ยนปริงโหลด) แต่ลักษณะเบาะของ KTM มีเว้าตรงโคนขา ทำให้สไลด์ไปมาได้ง่ายกว่า ทำให้รู้สึกมันใจกว่าเมื่อความเร็วต่ำมาก เช่น ช่วงใกล้จอด กลับรถ

ความรู้สึกส่วนตัวใน 2 ข้อนี้ ทำให้อนุมานเองเองว่ารถ KTM มีบาลานซ์ที่ดีกว่า

- การปิดเปิดคันเร่งในช่วงความเร็วต่ำ KTM ตอบสนองได้ดีกว่า และนุ่มนวลกว่า ไม่กระโชกโฮกฮาก เรียกว่าเป็นรถที่สุภาพ แต่แรงได้ใจ
- การทรงตัวในช่วงความเร็วสูงทำได้ดีพอๆ กันค่ะ แม้จะ 200 up ทั้งคู่วิ่งได้ ยกเว้นลมสวนแรงๆ ก็มีชกลมบ้าง แต่ไม่น่ากลัว

- เมื่อทำการเบรครุนแรง สำหรับน้ำหนักตัวของแหวว อยู่ที่ 50 km KTM มีอาการท้ายปัดให้เห็น ในขณะที่ BMW มีน้อยกว่า

- อัตราการกินน้ำมัน ใกล้เคียงกัน ทั้งที่เครื่อง KTM cc สูงกว่า

^^ ส่วนตัวคงให้ข้อสรุปง่ายๆ ได้เท่านี้จริงๆ ค่ะ แต่ถ้าถามว่าจะเลือกตัวไหน คนรักการขี่ค่ะ อะไรก็ได้ รักพี่เสียดายน้องทั้งคู่



ขอบคุณพี่ๆ ทุกๆ คนค่ะอีกครั้งค่ะ




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2553    
Last Update : 24 เมษายน 2555 17:00:10 น.
Counter : 11028 Pageviews.  

ขี่รถไม่เดี่ยว (BMW F800GS) ...เที่ยวกาญ - ศรีสวัสดิ์ - เขาโจด

เขาโจด ณ กาญจนบุรี กลายเป็นจุดหมายที่น่าสนใจกว่าเขาใหญ่ เพราะรถราที่น้อยกว่า ทางที่มันส์พอๆกัน และไม่มีสัตว์ป่าให้คอยกังวล แถมยังมีน้ำให้เล่นเมื่อถึงจุดหมาย ทำให้มาเยือนที่นี่หลายต่อหลายครั้ง

คราวนี้มาแบบเช้าเย็นกลับเช่นเคย ด้วยระยะทางรวมประมาณ 600 km และคิดว่าคงจะได้มาเยือนอีกในไม่ช้า

วันศุกร์หนึ่งในเดือน พ.ค. ได้รับการชักชวน แต่ก็ลังเล ไม่ตอบรับ จนกระทั้งเช้าวันเสาร์ ตื่นมาแบบงัวเงีย ดูนาฬิกา ใกล้เวลานัดเข้าไปทุกที ตัดใจล้มตัวลงนอน แต่ต่อมอยากถูกกระตุ้นแล้ว จึงลืมตาตื่นอีกในไม่นาน

โทรหาเพื่อน..."ตกลงนัดกันที่ปั๊มไหน" เซ็งจิต...เมื่อได้ยินคำตอบว่า "พุทธมณทลสาย 5" เอิ้ก...อีก 15 นาทีก็จะถึงเวลาล้อหมุนแล้ว ไม่ทันแน่ๆ

เดินไปเดินมาในบ้าน สุดท้าย...ส่ง sms "เดี๋ยวตามไป บอกจุดหมายมา"

ล้อหมุนจากบ้านย่านบางนา กว่าจะฝ่าการจราจรอันแสนติดขัด ไปจนถึงนครปฐมได้ก็ 11 โมงฝ่าาาแล้ว

ได้รับคำตอบว่าให้มุ่งหน้าศรีสวัสดิ์...ยิงยาว ลุยโลด

เลี่ยงตัวเมืองกาญ โดยให้เลี้ยวขวาที่แยกแถวๆ ท่าล้อ ตามป้ายไทรโยกไป จะประหยัดเวลาได้โข

อย่าลืมเติมน้ำมันที่ปั๊มใหญ่สุดท้ายก่อนไปศรีสวัสดิ์ ที่แยกแก่งเสี้ยน แต่ท่าลืมยังมีอีกปั๊ม ปตท.อีกหนึ่ง จากนี้ไปจะมีแต่ปั๊มไร้ยี่ห้ออีก 2 ที่เหลือก็ปั๊มหลอดทั้งหมด ระหว่างทางก่อนขึ้นเขาโจด 2 และลงจากเขาก็จะมีอีก 1 คำนวนเรื่องน้ำมันให้ดี ไม่งั้นมีเสียวแน่ๆ ^^

ขี่ไปเรื่อย ผลปรากฏว่าตาถั่ว...ขี่เลยรถที่เพื่อนจอดไว้บอกว่าเขาแวะกันที่ตรงนี้ นั่นคือ Lake Haven กว่าจะรู้ตัวขี่เลยไปกว่า 40 โล จึงต้องวกกลับมาใหม่ กว่าจะถึง...บ่ายโมงพอดิบพอดี

จอดรถปั๊บ เจอเพื่อนปุ๊บ ทุกคนกินข้าวกันอิ่มกันหมดแล้ว ไอ้ครั้นจะให้รอกันอีกก็เกรงใจ ได้เลยคร้าาาาบพี่ ต้องรีบหาเกลือแร่ลงท้องประทังชีวิตเป็นการใหญ่ ถือซะว่าเป็นทริปลดน้ำหนักก็แล้วกัน



จอดไว้ชัดขนาดนี้ ยังเลยไปได้







บรรยากาศใน Lake Haven สวรรค์สมชื่อจริงๆ เชียว





ของเล่นเพียบ



ภาพเรือนพักบางส่วน



โฉมหน้าผู้ร่วมทางทั้งหมดในทริปนี้



รูปโฉมของรถในทริป ไม่ซ้ำรุ่นกันเลยทีเดียว อิอิ



บ้างก็มาเป็นคู่



อิรยาบทต่างๆ ของผู้ร่วมทริป อิอิ เริงร่าท้าแดดลม


ออกจาก Lake Haven มุ่งหน้าสู่เขาโจด วันนี้เราไม่ขึ้นเท้ง หรือ แพขนานยนต์ ซึ่งจะมีป้ายบอกชัดเจน แถวๆ แม่แฉลบ (เผื่อใครอยากขึ้นแพ) ขี่แบบเน้นๆ ปรากฏว่าทางดีมากและไม่มีรถซักคันมากวนใจ เพราะคนอื่นๆ คงขึ้นแพกันหมด ทางจัดว่าโหดทีเดียว ขาสปอร์ตอาจจะเหนื่อยหน่อย เนื่องจากโค้งแคบและสั้น ใครชอบโค้ง...เป็นทางที่สนุกมาก จริงๆ แล้วพี่สุกี้บอกให้เงียบไว้อย่าให้ใครรู้ เด๋วมาขี่กันเยอะทางจะเละ แต่คิดว่าถนนที่เละมาจากรถมากกว่า

ขออภัยที่อดใจไม่ไหวต้องบอกต่อนะคะ

















ทางในช่วงนี้คือทางระหว่างช่วงแพขนานยนต์ หมายความว่าไม่ต้องขึ้นแพก็จะได้พบกับทางนี้แน่นอน โค้งเยอะ ถนนดีพอใช้ กรวดลอยขอบทางบ้าง ที่สำคัญไม่ค่อยมีรถผ่าน จะว่าไปไม่มีเลย เพราะไม่เจอรถยนต์ซักคัน คงหนีขึ้นแพกันหมดระยะทางก็ยาวพอสมควร เรียกน้ำย่อยได้มหาศาล หลังจากจุดนี้ก็ร้องหาปั๊มน้ำมันกันเป็นแถว



เล่นเอาหลายคนเสียวไส้...เพราะกลัวน้ำมันหมด ดูจากสีหน้าพี่ๆ สิคะ ^^



รถคลาสิคก็ไปลุยกับเขาด้วยล่ะ


ขี่ตามๆ กันมา ใครถึงปั๊มก่อนก็เข้าก่อน แต่มีบางคัน...ขี่ดุ่ยๆ หายลิบไปเลย ไล่ตามก็ไม่ทัน สุดท้ายตามไปเจอที่ปลายทางเขาโจดฝั่งหนองปรือ เขาก็นั่งรออยู่นาน...แอบกระซิบว่าขวัญเสียเหมือนกัน เพราะไม่เห็นตามมากันซักที



โฉมหน้ารถลุยเดี่ยว แบบเสียวไส้ เพราะขี่ไปก็ไม่เจอเพื่อนซักที


ตอนอยู่ในเขาโจด กล้องอยู่กับคนอื่น (จริงๆ ก็ยืมกล้องเขาด้วยซ้ำ ถ้าใครจำได้...ทำตกระหว่างทางในทริปภูเก็ตไปหมดเลย ยังไม่ได้ซื้อใหม่) เลยไม่มีภาพให้ชมกัน คำเตือน: ช่วงนี้ถนนในเขาโจดนั้นมีกรวดลอยเยอะ อันเนื่องมากจากหินข้างทางถล่มลงมา ใช้เส้นทางด้วยความระมัดระวังนะคะ ^^









จุดแวะพักสุดท้าย ก่อนยิงยาวกลับกรุงเทพ



ทริปนี้...กับ KTM 3 คัน 3 สไตล์



เครื่องดื่มชูกำลังตลอดทริป ซัดไป 3 ขวด กับคุ๊กกี้ 1 ห่อ


แตะกรุงเทพทุุ่มกว่าๆ แวะไปงาน HD playground ที่ศูนย์สิริกิตย์ ได้กินอาหารมื้อแรกของวันที่นั่น กับระยะทาง 600 km แล้วจะไม่ให้เรียกทริปลดน้ำหนักได้ไง ...แต่ ไหงน้ำหนักไม่ยักกะลงซักขีดเดียว

การจะไปเขาโจด ง่ายที่สุด คือ ไปทางศรีสวัสดิ์

จริงแล้วแถบๆ นี้มาหลายครั้งแล้ว อ่านทริปเก่าได้ที่นี่ค่ะ
- ขี่หนูดี (D-Tracker) ตะลุยฝุ่น บุกน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น
- แจม The Gang ...return เขาโจด กาญจนบุรี...งานนี้หลงซะเพลิน

ทำแผนที่ใน google map: กรุงเทพ - ศรีสวัสดิ์ - เขาโจด - หนองปรือ ไว้ให้นะคะ เผื่อใครสนใจ


ขอบคุณที่ติดตามชมค่ะ ...ทริปหน้า ไม่นาน ช่วงนี้พยายามจะออกบ่อยๆ เดี๋ยวรถจะหยากไย่ขึ้น




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2553    
Last Update : 15 มิถุนายน 2553 16:56:28 น.
Counter : 2011 Pageviews.  

1 วัน ซิ่ง BMW F800GS ฝ่าแดดร้อนระอุ ...เยือนสวนผึ้ง-แก่งกระจาน- หัวหิน

เนื่องด้วยเพิ่งเปลี่ยนสปริงค์โช๊คอัพหน้าหลังใหม่ เพื่อให้รถเตี้ยลงกว่าเดิม จึงเกิดอาการลงแดงอยากเรารถไปลองซะให้ได้ "ถามว่าขี่รถเดิมๆ ไม่ได้หรือ??" ได้ค่ะ...แต่มีเสียวเสมอๆ เมื่อต้องจอดบนทางชัน จึงต้องลดอีโก้ตัวเองลง เพื่อให้อุ่นใจดูแลตัวเองได้มากขึ้น ด้วยการยอมโหลดรถนั้นเอง โดยเปลี่ยนสปริงค์โช๊คอัพหน้าหลังใหม่ทั้งหมด เป็นของ HyperPro Lady spec ทำให้รถเตี้ยลงได้อีก 50 mm ความสูงของเบาะจึงลดมาอยู่ที่ 80 จาก 85 cm

ทริปนี้นอกจากเที่ยว จึงถือเป็นการลองรถไปในตัว ^^ แถมช่วงนี้อากาศก็ร้อนระอุเกินบรรยาย แต่หาได้กลัวไม่ แว่วเสียงโทรศัพท์ดัง..."พรุ่งนี้ลุยโลด 700 km นะ ไหวเปล่า" อะนะ...อย่างนี้ถือว่าเป็นคำท้าแกมดูถูก...มีคำว่ากลัวซะที่ไหน และเป็นอย่างเคย...ผู้หญิงคนเดียวในทริป

ออกสตาร์ทไม่เช้านัก นัดเจอกันที่ปั๊มแถวสาธร 9.30น. ล้อหมุน มุ่งหน้าออกจากกรุงเทพ





รถสวยๆ ของเพื่อนร่วมทริป 7 คันไม่ซ้ำรุ่นกันเลย


จุดหมายแรก...สวนผึ้ง แวะคลายร้อนกันที่ร้านกาแฟ De Fact จริงๆ แล้วร้านกาแฟ และ รีสอร์ทแถวนี้ตกแตงได้ Hip มั่กมาก แต่อากาศที่ร้อนสุดๆ แบบนี้ ทำให้ยืนดูไกลๆ ดีกว่าเดินออกไปหลั่นล้าท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ





พื้นที่รอบๆ ร้านยังตกแต่งไม่เสร็จดีค่ะ แต่ดูจากวิวแล้ว ถ้าต้นไม้เยอะกว่านี้ละก็ ไม่เลวทีเดียวค่ะ



พี่เจ้าของร้านก็ขี่เหมือนกัน แต่เป็น BMW เก่าตัวนี้ (ต้องขอโทษที่ไม่ทราบรุ่นจริงๆ ค่ะ)



จุดหมายต่อไป ยังคงอยู่แถวๆ สวนผึ้ง scenery resort นั่นเอง หม่ำข้าวกลางวัน...กองทัพต้องเดินด้วยท้อง





อีกกิจกรรมที่เรียกนักท่องเที่ยวได้มากมาย นั่นคือ แกะ


จริงๆ แล้วเจ้าแกะพวกนี้ดูไม่น่าเหมาะกับบ้านเราเท่าไหร่ เพราะอากาศที่ร้อนจนตับแทบจะแลบออกมา ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ามันทนได้อย่างไรกันหนอ ยืนท่ามกลางพระอาทิตย์แผดเผาเปรี้ยงๆ แบบนี้ เออ...หรือว่าข้างในเป็นหมาไทย แล้วใส่ชุดแกะไว้รึเปล่าหว่า??!!!

จุดหมายต่อมา มุ่งหน้าแก่งกระจาน พวกเราขี่รถตามเส้นทางสายใน คือ ถนนสองเลนส์สวนตลอด แต่เส้นทางนี้จัดว่าดีมาก ทั้งถนนดี แล้วก็ยังไม่ค่อยมีรถรา ทำให้ใช้ความเร็วได้ค่อนข้างมาก แบบว่าเต็มที่ๆ ได้ว่างั้นเลยที่เดียว



แต่ก่อนถึง ก็มีเรื่องเล็กน้อย เจ้า Ducati 848 ตัวนี้ออกไปสัมผัสทางลูกรัง ทำให้แป้นเหยียบเกียร์หัก และ สวิตช์ขาตั้งเสีย แต่ก็ซ่อมเฉพาะหน้าทำให้ยังสามารถร่วมทางต่อไปได้จนจบทริป



ส่วนรถข้าพเจ้าก็ลูกอีช่างหลุด ต้องมีน๊อตหลุดได้ทุกทริป คราวนี้ก็ได้น๊อตจากเพื่อนร่วมทริปช่วยชีวิตไว้ได้



ส่วนคันนี้...one day trip แต่ติดกระป๋องมาเต็มพิกัด เพื่อนร่วมทริปลงความเห็นว่ามันมะใช่แมงกะไซด์ แต่มันคือ รถตู้

ถึงเขื่อนราวๆ 4 โมงเย็น แวะกินน้ำคลายร้อน แสบหน้ามั่กมาก เหมือนหน้าจะไหม้ ต้องเอาน้ำเย็นราดหน้ากันเลยทีเดียว ปรกติไม่เคยจะเป็นคนผิวบางกับเขา ก็เพิ่งจะวันนี้แหละ...ครั้งแรกในชีวิต บอกได้คำเดียวว่า UV มันช่างแรงจริงๆ





ภาพสวยๆ ของเขื่อนแก่งกระจาน







รถในทริป หลากหลายมุม ^^





ฟ้าสวยๆ แถวสันเขื่อน ครึ้มๆ เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่โดนฝนแต่อย่างใด



รถไอติมเล่นผ่านมา รีบกวักมือเรียกกันเป็นแถว ร้อนมฤตยูจริงๆ



กว่าจะได้ภาพสวยๆ ก็ต้องลงทุนกันขนาดนี้แหละ


จากจุดนี้ไป คือตั้งแต่สันเขื่อน ถนนดีมากๆ ราดยางมะตอยใหม่กริ้บ โค้งกว้าง ดูเผินๆ น้องๆ สนามแข่งเลยทีเดียว จุดหมายสุดท้ายของเราในวันนี้คือหัวหิน ตอนแรกตั้งใจจะไปแวะริมชายหาด แต่เพราะเสียเวลาไปกับการซ่อมรถ ทำให้กลายเป็นบ่ายคล้อยมากๆ จึงแวะแค่ vinyard







บรรยากาศชิวมาก น่านอนแถวนี้เป็นที่สุด...ซักคืน

แต่ทำไม่ได้ เหมือนเคย...เพราะต้องกลับไปทำงานต่อคืนนี้



จบทริปด้วยภาพนี้..กับแสงสุดท้ายของวัน

ทริปนี้มีภาพเคลื่อนไหวสวยๆ มาให้ดูกันด้วย จากฝีมือพี่ต้น เพื่อนร่วมทริป ถ่ายด้วยกล้อง Nikon D90 ตัดต่อได้น้องๆ มืออาชีพเลยทีเดียวค่ะ



(Credit ภาพบางส่วนที่ขอมาเพื่อให้เรื่องราวสมบูรณ์: พี่กั๊ก, พี่ต้น)




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 16 มิถุนายน 2553 16:07:49 น.
Counter : 3712 Pageviews.  

ทริปสุดมันส์...ครั้งแรกกับการขี่มอเตอร์ไซด์ลงใต้ จุดหมายปลายทาง...ภูเก็ต



ครั้งแรกกับการขี่เยือนภาคใต้ เป็นทริปดุ่ยๆ ไร้กำหนดการชัดเจน มีเพียงกำหนดการคร่าวๆ พร้อมกับเป้าหมายบางอย่างในใจ (ที่ไม่ได้ดังใจปรารถนา) 6วัน-5คืน กับการเดินทางใต้ดวงอาทิตย์ร้อนแรง กว่า 2,500 kms มิได้สัมผัสฝนใต้อย่างที่กังวลในใจแม้แต่น้อย เสียงเล่าอ้างว่าขี่ลงใต้น่าเบื่อ แต่ก็มีเสียงล่ำลือเช่นกัน...ว่ามีเส้นทางสวยๆ ซ่อนอยู่ จึงได้เวลาพิสูจน์ด้วยตัวเองสักทีเป็นทริปที่มันส์สุดบรรยาย กับคอนเซ็ป...ทริปเสีย (ดาย) ของ เรื่องเป็นอย่างไรต้องติดตามอ่านดูค่ะ

หลังจากที่ไม่ได้ขี่ไกลๆ เป็นเวลากว่า 4 เดือน ก็ทนเสียงเรียกร้องของตัวเองไม่ไหว ต้องจัดทริปเสียหน่อย เริ่มมาจาก The Gang ร่ำๆ ว่าอยากกินกั๊ง จึงจัดทริปเยือนเมืองนครศรีธรรมราช แต่ไปๆ มาๆ สมาชิกหดหายไปจนหมด เหลือเพียง 2 คน ใช่ว่าคนน้อยแล้วจะกลัว เลยกลายเป็นว่ายืดวันและเพิ่มเติมจุดหมายเข้าไปอีก ^^

ปล.
- ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่าเราแวะเติมน้ำมันกันทุกๆ 150-200 km เพราะรถอีกคันวิ่งได้เต็มที่ 200 km เพราะถังน้ำมันเขาเล็ก จึงวิ่งได้เท่านี้
- วงเล็บตัวเลข คือ เลขที่ของถนนหนทางค่ะ เพื่อใครอยากรู้ว่าสถานที่ต่างๆ นั้นอยู่ที่ไหน หรือ จะไปก็ตามตัวเลขกันไปได้เลย (แต่เดี๋ยวนี้แผนที่อาจไม่สำคัญแล้ว เพราะใครๆ ก็มี GPS กันทั้งนั้น)

ว่าแล้ว...ลุยเลย ล้อหมุนจากพระราม 3 ราวๆ 10 โมงกว่า เพราะความเฟอะฟะส่วนตัว ลืมนู่นลืมนี่ให้คนอื่นปวดหมองเล่น แต่ก็ได้ออกจากกรุงเทพฯ จนได้สิน่า

เพราะออกสาย จึงรีบทำเวลา ยิงยาว มุ่งหน้าจากพระราม 3 แอบขึ้นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมไปลงฝั่งสุขสวัสดิ์ ขาลงสะพานเห็นด่านตำรวจ ใจแป้ว...นึกว่าโดนแน่ๆ แต่ผ่านฉลุย สงสัยคงจะใกล้เที่ยง…คุณตำรวจเลยพักเบรค ออกสู่ถนนพระราม 2 (35) ตรงเข้าสู่เพชรบุรี (4) ยิงยาวจนถึงประจวบคีรีขันธ์ จากที่ว่าจะแวะกินอาหารทะเลกันกลางวัน จุดแวะพักกินข้าวจึงกลายเป็นอาหารง่ายๆ ในปั๊มแถวๆ ประจวบไปโดยปริยาย



รูปภาพ...ปั๊มที่แวะเติมน้ำมันแถวๆ ชุมพร งัดกล้องเล็กออกมาถ่ายรูปซะหน่อย แต่ผลคือปิดกระเป๋าคาดเอวไม่ดี ทำให้กล้อง compact 2 ตัวอันตรธานหายไปกับสายลมอย่างช่วยไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่ได้ยินว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง กับการเสียของโดยหล่นไประกว่างทาง...โปรดระวังให้ดี !!!

คืนแรก...ยิงยาวเข้านครศรีธรรมราช

เหล่าบรรดา storm ได้เตรียมตัวต้อนรับ นำโดย นายหัวเน็ต และโกทอม ที่ขี่ออกมารอรับที่ปั๊มแถวๆ ทุ่งสง แล้วขี่นำเข้านครฯ โดยผ่านเส้นทางสายใน (403,4238,4015) ได้สัมผัสโค้งและเขาให้พอแก้ความเบื่อได้บ้าง (กล้องเล็กๆ ที่ติดเอว หายไปหมดแล้ว จึงไม่มีภาพมาให้ได้ชมกัน)

เส้นทางลงใต้ ทางฝั่งอ่าวไทยนั้นมีแต่ตรงๆ กับตรงอย่างเดียว เพราะเป็นเส้นทางหลัก แถมยังเต็มไปด้วยรถบรรทุกมากมาย น่าเบื่อสมคำเล่าลือ แต่หากสำหรับสิงห์ทางตรงที่ชอบทำความเร็ว อาจจะเป็นที่ชื่นชอบก็เป็นได้

ค่ำคืนนี้...แผนการกินกั้งเป็นอันฝันสลาย เพราะไม่ได้โทรแจ้งร้านประจำล่วงหน้า จึงปรากฏว่ากั้งหมด กลายเป็นอดกินกันไปซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เป็นจุดประสงค์หลักแรกที่ทำให้ทริปนี้ก่อกำเนิด

เช้าวันรุ่งขึ้น นายหัวเน็ต ทำหน้าที่เจ้าบ้านนำชิมอาหารท้องถิ่น ซึ่งเราเลือกชิมขนมจีนแบบใต้และข้าวยำ แล้วนำเที่ยวสถานที่สำคัญๆ ในตัวเมือง แล้วก็แวะวัดประจำจังหวัดซะหน่อย เพื่อความเป็นสิริมงคล (เหมือนแก่ยังไงไม่รู้แฮะ แต่ก่อนไปไหน วัดเวิดไม่มีสนใจ)


ศาลหลักเมือง


วัดพระธาตุวรมหาวิหาร


วัดพระธาตุวรมหาวิหาร (เดิม:วัดพระบรมธาตุ) เป็นวัดหลวง (พระอารามหลวง) ชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช อันกล่าวได้ว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญมากในภาคใต้ ภายในวัดมีโบราณสถานที่สำคัญคือ องค์พระบรมธาตุเจดีย์ ปลียอดทองคำ



... ภายในเจดีย์ สามารถเดินขึ้นไปได้
... ชาวบ้านกำลังทำพีธีเพื่อนำผ้าจีวรพันรอบองค์เจดีย์



ช่วงบ่าย...เดินทางออกจากนครฯ มุ่งหน้าต่อไปยังกระบี่ โดยมี 2 สมาชิก storm ขี่มาส่งกลางทางโดยลัดเลาะตามมาถนนระหว่างอำเภอ แบบสองเลนส์สวน (4015,4195,4019,4038) มีบางช่วงมีทางเขาสั้นๆ โค้งให้ได้เล่นแก้เบื่อ มาทะลุออกแถวอำเภอคลองท่อม มุ่งหน้าสู่กระบี่ (4)



ถึงกระบี่บ่ายคล้อย...พร้อมกับสภาพอากาศที่ร้อนตับแล่บ ช่วงเข้าสู่กระบี่ก็เจอละอองฝนปรอยให้คลายความร้อนลงบ้าง มุ่งหน้าไปยัง หาดนพรัตน์ธารา เพื่อเสาะหาที่พัก...แล้วก็ได้ที่นี่ ศาลาทะเล เรียกว่าใจง่ายเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นแห่งแรกที่แวะดู...พอเห็นสระว่ายน้ำปุ๊บก็โดดตระครุบห้องทันที พนักงานบอกว่าห้องเหลือไม่มากแล้ว เพราะยังเป็นช่วงไฮอยู่ (จริงไม่จริงไม่รู้ล่ะ)



เช้าวันที่สาม...ออกเดินทางท่องเที่ยวในกระบี่ เพื่อนร่วมทางในครั้งนี้ มากระบี่เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่อิดออดแต่อย่างใด ปล่อยให้ข้าพเจ้าคิดได้ตามสะดวก หวยไปตกที่สระมรกตและน้ำตกร้อน ดูจากแผนที่...ห่างจากที่นี่ไปอีก 50 km ลุยโลด...แต่ดันไม่ใส่เสื้อแจ๊คเก็ต แดดแรงและร้อนมาก ซันบล็อคที่โปะไปก็เอาไม่อยู่ ผลคือ sun burn เป็นแถบๆ (สมน้ำหน้าจริงๆ)



คุยกันว่าถึงสระมรกตเมื่อไหร่...จะแช่น้ำให้ชุ่มปอด ระยะทางจากปากทางเข้าต้องเดินเท้าไปอีกเกือบกิโล ยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงคนแซ็งแซ่ขึ้นเรื่อง...ชักยังไงๆ เหมือนอยู่แถวๆ สระว่ายน้ำยังไงยังงั้น แล้วก็จริงดังว่า...คนเพียบ



จากสระมรกตมีสะพานไม้ให้เดินต่อไปได้ จะพบสระฤาษี ที่ไหนได้...ห้ามเล่น เดินต่อไปอีก...จนสุดทางที่ บ่อน้ำผุด สวยมากๆ ก้นบ่อเป็นสีฟ้า และมีลักษณะเหมือนทราย

หมอ "น้ำใส น่าเล่นจัง"
นพ "ไม่น่าจะเล่นได้นะ เห็นก้นบ่อป่าว มีฟองอากาศผุดขึ้นมาด้วยนะ"
หมอ "แล้วไงต่อ"
นพ "ข้างใต้อาจเป็นโพรงที่มีแก๊ส มันจะยุบตัวลงไปได้ ทำให้เกิดทรายดูดไง"

ถึงบางอ้อทันที ถ้าเป็นแบบนี้ แน่นอนต่อให้ไม่ห้าม ก็คงไม่กล้าเล่นแน่นอน ไม่งั้นอาจจะเจอทรายดูดก็เป็นได้ ...เสียววุ้ย



ถอยทัพ ย้อนกลับมาหาที่เล่นน้ำ...ระหว่างทางพบลำธารเล็กๆ "เอาวุ้ย...เล่นตรงนี้ดีกว่า คนไม่พลุกพล่น" ไม่รอช้า...เปลี่ยนเสื้อผ้า เปิดเพลงเพราะๆ ลงแช่ในทันที เล่นเอาคนเดินผ่านไปมางง...เสียงเพลงมาจากไหน?!! แต่อุณหภูมิของน้ำกลับไม่เย็นเจี้ยบจับใจเหมือนน้ำตกในที่อื่นๆ ...ก็ยังดีกว่าไม่ได้เล่น แช่และชิวอยู่เกือบชั่วโมง...ถึงได้บอกลาไปที่อื่นต่อ



เส้นทางเดินกลับจะเป็นอีกทางกับขาเข้า จะพบสระน้ำอีกหลายจุด แต่สภาพบึงหรือสระเหล่านี้จะมีสภาพแวดล้อมเหมือนกับโดยรอบบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งไม่เหมาะสมกับการลงเล่นน้ำเหมือนสระมรกต



จุดแวะต่อมาคือ น้ำตกร้อน แวะมาพิสูจน์ว่าร้อนจริงหรือเป็นแค่ชื่อเท่านั้น หลังจากพิสูจน์ด้วยเท้าตัวเองแล้ว พบว่าเป็นน้ำตกที่น้ำมีอุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส จากภาพจะเห็นได้ว่ามีหลายครอบครัวพาบรรดาผู้สูงอายุมาแช่...ราวกับเป็นบ่อน้ำร้อนเลยทีเดียว

ท้องร้องจ๊อกๆ ประท้วงต้องการพลังงาน บอกลาน้ำตกร้อน กลับที่พัก หาอะไรหม่ำมื้อเย็นดีกว่า ^^


ภาพเรือจมในคลอง ตัวเมืองกระบี่


บรรยากาศยามเย็น ตัวเมืองกระบี่


บรรยากาศ...ทะเล, กระบี่


อาหารทะเลแถบนี้กลับมีราคาแพงกว่าภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบนมากจนขนหัวลุก รวมทั้งอาหารจะทำออกไปในแนวฝรั่งมากกว่า เลยกลายเป็นว่ามาทะเลกระบี่ทั้งที แต่ซัดพิซซ่ากันทั้งสองคืนเลย

ทะเลกระบี่...แม้ทรายจะไม่ขาว น้ำจะไม่ใสเท่าภูเก็ต แต่รู้สึกได้ถึงความสงบเงียบที่มากกว่า ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมาก ต่างกับภูเก็ตที่อะไรๆ ก็ดู colorful ไปซะหมด ทำให้คึกคึกร่าเริงได้ตลอดเวลา



วันที่สี่...มุ่งหน้าสู่ภูเก็ต ออกจากที่กระบี่ราวๆ 11 โมง กด GPS บอกว่า 56 km ถึงภูเก็ต ไอ้เราก็...แหม นิดเดียวเอง แต่พอขี่ออกไปเจอป้ายทางหลวง บอกระยะทางไปภูเก็ต อีก 150 กว่ากิโล ถึงบางอ้อ...อ๋อ มันบอกเป็นเวกเตอร์นี่เอง

สัมผัสสะพานท้าวเทพกษัตรีย์...พระอาทิตย์ตรงหัวพอดิบพอดี แวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ระหว่างสะพานเก่า (สารสิน) ที่กำลังจะปลดระวางกลายเป็นสะพานคนเดินในไม่ช้า



นัดเจอคุณนก แห่ง SNL phuket ที่โลตัส เพื่อนำพาไปยังที่พักสุด Hip เช่นเดิม...เห็นปุ๊บชอบปั๊บ The sky hotel

ปล.ทางขึ้นที่จอดรถชันมั่กๆ

กำหนดการเดิมคือเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ แต่โรงแรมก็สวย แถมคุณนกยังบลิวท์ว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ถ้าอยู่ต่ออีกวัน พรุ่งนี้น่าจะมีเพื่อนพาขี่เที่ยวรอบเกาะเยอะ ถ้าวันนี้ก็จะมีเพียงคุณนกคนเดียว ...ว่าแล้วจะปฏิเสธไปใยรีบโทรไปลางานเพิ่มอีกวันอย่างไม่มีอิดออด เป็นอันว่าอยู่เที่ยวเพิ่มอีกนึงวัน


วิวจากห้องอาหารที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม...เบื้องหน้าคือเขารัง


สภาพภายในห้องที่มีลักษณะเหมือน penthouse มีชั้นลอยและโถงล่างใหญ่



แต่นี่สิ...ที่น่าว้าวววว อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ครบทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่เครื่องซักและอบผ้า เรียกว่าใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ต้องพึงโลกภายนอกยังได้เลย

บ่ายวันนี้จึงชิวๆ ...ทำธุระปะปังให้เสร็จ ที่ว่าทริปเสียของนั้น ยังมีอีกหลายเรื่องราว ต่อด้วยพื้นรองเท้าของคุณนพ (สมาชิก The Gang ที่เดินทางมาด้วยกัน) นั้นเริ่มอ้า ทั้งๆ ที่เพิ่งซื้อมาไม่กี่เดือน เดือดร้อนต้องหาที่ซ่อมเป็นการด่วน (น่าจะเดาได้ไม่ยากว่าซื้อมาจากที่ไหน) แถมเสื้อแจ็คเก็ตก็เริ่มปริขาด ต่อมาก็นำ F800GS ไปเข้าศูนย์ตั้งโซ่ เพราะเริ่มตกท้องช้าง ผลจากการใส่น้ำมันโซ่น้อยไปทำให้โซ่ยืดก่อนกำหนด (กลับไปก็เสียตังด์อีกแล้วเรา)

อากาศร้อนสมกับเป็นเดือนเมษายน จึงแวะกินโอ้วเอ๋ว ขนมน้ำแข็งใสพื้นเมืองที่มีขายที่ภูเก็ตเพียงทีเดียว ที่เกือบจะอดกินเพราะหมดพอดี แต่ชาวบ้านเจ้าถิ่นใจดี...เสียสละ ซื้อกลับบ้านน้อยถุงลงเพื่อให้พวกเราได้กินเป็นสามถ้วยสุดท้าย ดูเผินๆ หน้าตาก็เหมือนวุ้นบ้านเรานั่นเอง แต่ว่าไม่ใช่ ร้านเก่าแก่ดั้งเดิมก็คือร้านโอ้เอ๋วแป๊ะเอ้ง อีกร้านก็คือโอ้เอ๋วโกโรจน์ ทั้งสองร้านตั้งอยู่ติดกันในซอยสุ่นอุทิศ


หน้าตาขนมโอ๋วเอ๋ว [Credit: //www.nairobroo.com]



จากนั้นจึงขี่ไปร้านอาหารแถวๆ สะพานสารสิน เพื่อตามหาเรือเจ็ตโบ๊ตในภาพ เปลี่ยนบรรยากาศมาดริฟเรือกันบ้าง เอาหน้าปะทะลมทะเลยามเย็น...ผ่อนคลายสุดยอด เล่นได้เพียง 15 นาทีน้ำมันหมด ยังไม่ค่อยมันสะใจเท่าไหร่เลย



มื้อค่ำ...เหล่าบรรดา SNL รวมพลต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเกือบ 10 ชีวิต ณ ร้านอาหารน้ำย้อยของคุณมะเดี่ยว หนึ่งในสมาชิก SNL เช่นกัน google map ร้านนี้จัดว่าเป็นร้านอาหารชื่อดังในจังหวัดเลยค่ะ


ต่อด้วยการดื่มน้ำขมกับน้ำอ้อยต้ม เสมือนกันรับน้อง


และแวะไปชิวต่อที่ ร้านเหล้าเพลินจิต ยอดฮิตของคุณเอก

ฟ้าหลัวกลัวฝนตก...จึงเคลื่อนทัพขี่ขึ้นไปยังจุดชมวิวเขารัง ก่อนแยกย้ายกันไป บางส่วนแวะขี่มาส่งถึงที่พัก ทำหน้าที่เจ้าถิ่นได้อย่างน่าประทับใจ กับความมีน้ำใจและเอาใจใส่อย่างเต็มที่ มิตรภาพที่ดีก่อกำเนิด ทำให้รู้สึกว่าต้องกลับไปรบกวนอีกอย่างแน่นอน (ไม่ได้มีเกรงใจกันเลยเรา) อ่านเรื่องราวในช่วงภูเก็ตบางส่วนได้จากกระทู้นี้ค่ะ ---> stormclub.com



เช้าวันที่ 5 เรามีนัดกับ SNL เพื่อขี่รถเที่ยวรอบเกาะ เจ้าถิ่นเสนออาหารเช้ามาให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์ แต่ดูเหมือนว่าโรตีแกงจะเข้าตามากที่สุด



Atom (จุ๊บ SNL) บอกว่าจะพาไปยัง “หรูดหอย พานหิน” เขาว่าเป็นวงเวียนที่ครั้งยังเด็ก...เลิกเรียนแล้วคิดไม่ออกว่าจะไปไหนต้องมาเริ่มต้นด้วยการขี่รถวนรอบ แล้วถึงจะรู้ว่าจะไปไหนต่อดี

รูปร่างมันเหมือนหอยจริงๆ ด้วย...มันคือ อุปกรณ์ในเรือขุดแร่โบราณ นอกจากนี้มันยังเอาไว้เป็นสไลด์เดอร์ที่เหล่า SNL เคยมาเล่นเมื่อตอนเด็กๆ ...!!! แต่ตอนนี้โตเกินไป มันเลยเป็นอย่างที่เห็น



ระหว่างที่เฮฮาอยู่นี้ ก็ได้ยินเสียงดังโครม มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นใกล้ๆ...มอเตอร์ไซด์ขี่มาชนท้ายรถที่จอดอยู่ในวงเวียน แต่เป็นเพราะรถจอดใกล้แยกเกินไป สรุปรถผิดไปตามระเบียบ



จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คุณนพเริ่มคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง รีบบึ่งไปรับรองเท้าที่ซ่อมไว้มาใส่ในบัดดล



ขี่ไปแวะไป เพราะร้อนเหลือหลาย...ต้องแวะเติมน้ำให้กับร่างกายคนบ้าง ไม่งั้นเดียวจะเฉาได้เช่นกัน

หาดแรกที่แวะ จำชื่อไม่ได้...ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ และก็มีเรือประมงขนาดเล็กจอดอยู่ จึงไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หาดนี้


ร้อนแค่ไหน พวกเราก็ไม่ได้เกรงกลัว ลั่นล้าเดินออกไปถ่ายรูปได้ตลอด


ปรกติถ้าเจอผู้หญิง...แหววจะยุให้ขี่ เพราะอยากให้ผู้หญิงมาขี่ BB เยอะๆ แต่กับ atom ไม่คิดแม้ซักนิด เป็นสก๊อยถ่ายรูปต่อไปอ่ะดีแล้ว เพราะรูปสวยดี ^^


ขี่ลัดเลาะชายทะเล มายังจุดชมวิวสามอ่าว อ่าวกะตะน้อย-กะตะ-กะรน ลมตึง...พัดผ่านตัวเปียกๆ เย็นสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


เน้นขี่รอบเกาะ ไม่เน้นแวะ... ดังนั้นก็ขี่ไปเรื่อยๆ ชื่นชมแบบไกลๆ หาดไหนที่พลุกพล่าน...เราไม่สน
หาดยอดฮิตอื่นๆ เช่น ป่าตอง เรามิได้เฉียดใกล้ ไม่ไปผจญรถติดให้เมื่อยตุ้ม


แวะพักกินน้ำกันที่หาดในทอน


อยู่ๆ ก็มีคุณแม่ลูกสามหุ่นเช้งกระเด๊ะมายืนออกกำลังในชุดบิกินีต่อหน้าต่อตา ทำเอาหนุ่มๆ กำเดาเกือบกระฉูด
แถมคุณสามีเห็นด้วยนะว่าพวกเรายืนดูอยู่...กลับเอาแต่หัวเราะซะงั้น อย่างว่ามีของดีมันคงก็น่าภูมิใจเป็นธรรมดา




ออกไปยืนถ่ายรูป กระโดดเหยงๆ ไปมา เพราะทรายร้อนฉะมัด ทำเอาบาทาแทบสุก


เวลายังเหลือ ไม่น่าเชื่อว่าโปรแกรมขี่รถรอบเกาะได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ...หาอะไรทำต่อไปดีละหว่า งั้น...หาอะไรเย็นๆ ลงท้องกันดีกว่า ระหว่างทางขี่ผ่านสนามบิน มีเครื่องบินกำลังลงจอด พวกเราจึงแวะชื่นชมใกล้ๆ สักหน่อย




เข็นรถ...สุภาพบุรุษกันทั้งน้าาาน ไม่ช่วยเล้ยยย


มีผู้คนสงสัยมากมาย ว่ารถใหญ่กว่าตัวขนาดนี้เอาอยู่จริงๆ เหรอ ตอบว่าพอไหว ช่วยตัวเองได้ ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน หรือเป็นภาระ แต่ในบางสถานการณ์อาจต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งเราต้องเรียนรู้ตรงนั้นและหลีกเลี่ยงค่ะ


รถคันนี้สูงมากจริงๆ เอาเป็นว่าถ้าต้องขี่แต่ในเมืองขอบายค่ะ ไม่สู้ ดังนั้น...บางครั้งต้องขอตัวช่วย เวลาติดไฟแดงก็ไปใกล้ขอบทางแบบนี้นั่นเอง


แวะไปกินกาแฟกันที่ เรือนไม้แก่น (ออกจากเกาะภูเก็ตไปทางพังงา) ดับร้อนและฆ่าเวลารอพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ก่อนจะย้อนกลับไปแหลมพรหมเทพอีกครั้ง


แวะ วัดฉลอง นมัสการหลวงพ่อแช่ม เพื่อความเป็นสิริมงคล



ขณะกำลังถอดเสื้อแจ็คเก็ต ก็เอากล้อง DSLR วางบนเบาะ เดินเอาเสื้อไปเก็บ คุณนพผู้หวังดีช่วยกดเสื้อเพื่อปิดกล่องท้ายรถ ด้วยน้ำหนักตัว (คนกด) อันน้อยนิด กล้องน้อยกลอยใจจึงร่วงลงสู่พื้น เลนส์กระจายออกเป็นสองส่วนในทันที ปิดตำนานทริปเสียดายของ กับการสูญเสียกล้องไปสามตัว ภาพหลังจากนี้จึงมาจาก iPhone ล้วนๆ T_T หลังจากกล้องตัวสุดท้ายตก คุณนพรีบเดินไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้พระกันเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ไม่ว่าที่ผ่านมาจะแวะวัดใดๆ ก็จะไหว้ด้วยใจเพียงเท่านั้น แถมยังเดินไปเอาน้ำมนต์มารดอีกต่างหาก

ไปถึงแหลมพรหมเทพด้วยความเซ็งจิต เฝ้ารอคอยเวลาอาทิตย์อัสดง พร้อมกับผู้คนมากมาย มาภูเก็ตก็หลายที แต่ไม่เคยได้เที่ยวในเกาะเลย ครั้งนี้จึงพลาดไม่ได้อีกที่จะต้องมาจุดเก็บ RC นี้


ถึงปั๊บ...ก็หาอะไรกินก่อนเลย ว่าแล้วก็...น้ำมะพร้าว




ระหว่างรอ...ก็หาอะไรทำกันไป





แก๊งค์ Snail Line Phuket เหล่าบรรดาทากน้อยที่ให้การต้อนรับขับสู้และดูแล ทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างดีเยี่ยมและเต็มกำลัง ความจริงใจที่สัมผัสได้เหล่านี้ ก่อกำเนิดเกิดเป็นมิตรภาพและความทรงจำที่แสนดี ยากจะลืมเลือน แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราได้พบปะพูดคุยทำความรู้จักกันก็ตาม...ขอบคุณค่ะ


ระหว่างที่อาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ก็มีเรือคาตามารันลำนี้...เล่นผ่าน ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กลับกลายเป็นพร๊อบในการถ่ายภาพเป็นอย่างดีเลยทีเดียว


วันที่หก ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกลา และแล้วก็ถึงวันที่ต้องเดินทางกลับบ้าน ...กับการยิงยาวกลับกรุงเทพฯ ออกจากภูเก็ต 8 โมงเช้า พอพ้นเกาะ มุ่งหน้าตามป้ายกระบี่ (402,4) นั่นหมายความว่าเรามุ่งหน้าเข้าสู่ถนนเลียบฝั่งทะเลอ่าวไทย แต่เราต้องการไปทางเขาสก ไหนๆ ใครๆ เขาก็ว่าสวย...อย่าให้พลาด จึงกลายเป็นว่าเป็นการวกกลับโดยผ่านตามเส้นทางสุราษฎร์ (415)เลี้ยวซ้าย (401) วกเข้าพังงา(ตะกั่วป่า) จะผ่านเขาสกดังใจหวัง เข้าสู่ถนนเพชรเกษม (4) อีกครั้ง แต่เป็นการเลาะทะเลฝั่งอันดามัน เรียกได้ว่าเห็นทะเลลิบๆ ดังภาพ


ถนนเลาะฝั่งอันดามัน


ทางสวยเป็นช่วงๆ มีโค้งให้เล่นสนุกๆ แต่คงต้องทำใจกับรถราซักเล็กน้อย เพราะรถค่อนข้างเยอะ ทั้งรถบรรทุกทั้งเล็กใหญ่ รวมทั้งมอเตอร์ไซด์ที่วิ่งออกจากซอกซอยได้อย่างน่าหวาดเสียง เล่นเอาผู้ร่วมทางใจแป้วไปหลายครั้ง เพราะเขาเป็นด่านหน้าวิ่งตะลุยไปก่อน เลยเจอเรื่องหวาดเสียงอยู่คนเดียว วิ่งผ่านสุราษฏร์-ระนอง เข้าสู่ชุมพรจุดที่เส้นทางสาย 4 ทั้ง 2 เส้นมารวมกันเป็นเส้นเดียว จอดเติมน้ำมันที่ศูนย์บริการทางหลวงเขาโพธิ์ ปรากฏว่า ER-6n ยางรั่ว โชคดีที่มีร้านปะอยู่ใกล้ เสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง แวะหม่ำข้าวเย็นที่หัวหิน ท้ายที่สุด...ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิ์ภาพเกือบ 5 ทุ่ม ระยะทางขากลับเกือบพันโล หย่อนไปแค่ 10 กิโลกว่าๆ เท่านั้นเอง

จบทริป...แบบสะบักะบอมเล็กน้อย แต่ไม่รู้ทำไม...ขี่เท่าไหร่ไม่เคยพอ ยังไงก็ยังเหมือนไม่อิ่ม ว่าแล้วคิดทริปต่อไปเลยดีกว่า...อย่าช้า

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ


ทริปนี้ภาพจากกล้องของตัวเองมีน้อยนัก เพราะกล้องเล็กหายหมด แถมกล้องใหญ่ก็พกลำบากหยิบยาก เลยไม่ค่อยมีรูปภาพวิวข้างทางขณะขับขี่สักเท่าไหร่ สงสัยคราวหน้าต้องหาแท็งค์แบ็คสักใบน่าจะดี ^^

Credit ภาพในช่วงภูเก็ต: Atom และ XI friday




 

Create Date : 08 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 23:59:20 น.
Counter : 2455 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.