มึนไปตามใจฝัน

6 7 8 เมษา โทรศัพท์ ฟอร์จูน ห้วยขวาง รถเมล์ และคนเอ๋อ



  6 7 8 เมษา ปี 61 นี้ เป็นวันหยุดยาว 3 วัน

โดยปกติผมมักจะไปเที่ยว

บางครั้งก็ไปยาวๆ ควบสงกรานต์

บางครั้งก็สั้นๆ แล้วสงกรานต์ก็ไปอีก

แต่ปีนี้ ไม่ค่อยออกไปเที่ยวไหน

ความขี้เกียจคือคำตอบที่ไม่ต้องการเหตุผลใดสนับสนุน


วันหยุดสามวันนี้สิ่งที่ตั้งใจคือจะทำแผนเที่ยวรัสเซียให้เสร็จ

เพราะ "ขี้เกียจ" มานานมาก ซึ่งมันควรจะเสร็จตั้งแต่มีนา

จะได้จองที่พัก และรถไฟ

แต่แอบส่องอยู่ที่พัก และรถไฟ ยังมีด้วยแหละ ก็เลยติดนิสัยเดิม

คือเอ้อระเหย รอจนใกล้จริงๆ ค่อยรนรานกระตือรือร้น

ซึ่งในวัย 36 ปีนี้นั้น ความน่ากลัวคือนิสัยนี้มากกว่าแต่ก่อนมาก

เมื่อก่อนยังสนุกกับการวางแผนเที่ยว เตรียมการ

หรือบางครั้งก็สนุกในการค้นข้อมูลที่เที่ยวเตรียมไว้เล่นๆ

เคยจินตนาการว่าเราจะมีคลังข้อมูลเพียบ

แต่นั่นแหละ ทำได้สักพัก ก็เหมือนเดิม "ขี้เกียจ"


เล่ามายืดยาว อยากจะบอกว่า ความขี้เกียจ นั้นร้ายกาจมากเลยนะ

เพราะทำให้หยุดสามวันนี้ไม่ได้วางแผนสำเร็จตามที่ตั้งใจ

(แต่เดี๋ยวนะมันใช่เหรอวะ)

ก็ออกจะใจร้ายเกินไปที่จะโทษเพราะความขี้เกียจอย่างเดียว

จริงๆแล้วมันมีตัวแปรสำคัญมากๆ ที่ทำให้สามวันนี้เละเทะไปหมดเลย!

แล้วสิ่งนั้นก็คือ โทรศัพท์ motorola g5s เสียจ้าาาาาาาาาาาาา


"โทรศัพท์เจ้าปัญหา"

เมื่อนึกๆดู ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันแค่โทรศัพท์เสียมันจะสร้างหรรษา ให้ตัวเองได้ขนาดนี้

คือโทรศัพท์มันเริ่มมีอาการเสียมาพักนึงแล้ว

อาการคือ ปุ่มด้านข้าง ที่เป้นตัวเพิ่ม/ลด เสียง และ ปุ่ม เปิด/ปิด เครื่อง มันค้าง

กดไม่ได้ แล้วบางทีก็เหมือนจะกดเอง

แรกๆก็พอทนได้ สักพักมันสร้างความหงุดหงิดเหมือนกัน เพราะจอค้าง(เพราะกดปิดไม่ได้)

ถึงขั้นต้องตั้ง sleep ให้เครื่อง 15 วิ เพื่อให้มันพักหน้าจอ

แต่ถึงจะทำแบบนั้น ในบางครั้งก็ไม่ได้ผล เพราะบางทีมันก็ไม่ยอมพักจอ

เรียกว่า ปัญหาที่ดูเหมือนจะเล็กๆน้อยๆ แต่มันก็ดูน่ากลัวนะ

โทรศัพท์ที่จอทำงานตลอด เพราะมันก็เป็นไปได้สูงว่าอาการนี้จะสร้างความเสียหายอื่นๆกับเครื่อง

ก็คิดว่าหยุดสามวันนี้ หาเวลาไปซ่อมหน่อยละกัน

อันที่จริง เคยอาการเสียมาก่อน แต่หนักกว่า คือไปค้างที่ปุ่มปิด/เปิด

ทำให้เครื่อง restart ตัวเองตลอดเวลา วนไปเรื่อยๆ หลอนเหี้ยๆเลยละ

เลยนำไปซ่อมอยู่ที่ตึกฟอร์จูน

ตอนนั้นรอประมาณ 30 นาที ช่างเขาก็ซ่อมให้ได้ ปุ่มด้านข้างก็นุ่ม ใช้งานได้เป็นปกติ

ครั้งนี้ก็คิดเอาเองว่าเป็นแบบนั้น

เลยไม่ได้โทรไปถามอะไร (แต่ครั้งแรกโทรไปถามก่อน)

ก็เลยชิลมาก นัดเพื่อนกินข้าว เดินเล่น

ตอนบ่ายสี่เพื่อนมาส่งก่อนแยกดินแดง ซึ่งใกล้ฟอร์จูนมากๆ

และแล้วเรื่องที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น...


"13"

ทราบมาว่าชาวต่างชาติมองว่าเลข 13 เป็นเลขอับโชค

แต่สำหรับผมนั้น มันก็แค่ตัวเลข

ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะอับโชคอะไร

แต่เหตุการณ์เมื่อวันก่อน ผมเชื่อแล้วว่าเลข 13 มันเป็นเลขอับโชค!

เพราะว่าผมแค่ขึ้นรถเมล์สาย 13 ความวุ่นวายในชีวิตก็รุมเร้าพากันเข้ามา

ราวกับจะสั่งสอนผมว่า นี่ไงละ ไม่ระมัดระวังเลข 13 คนอย่างมึงต้องโดนซะ

(เอ่อ.. ใครที่อ่านถึงตรงนี้อย่าทะลึ่งเชื่อว่า ผมคิดแบบนี้จริงๆนะครับ -_-')

กลับมาที่วันนั้นต่อ

ตอนที่รถเมล์สาย 13 วิ่งมาจอดที่ป้าย

จริงๆ ตอนจะขึ้นรถเมล์สายนี้

ผมก็ชะงักตรงป้ายข้างรถ พยายามดูว่ามันวิ่งไปที่ไหน

เห็นมันเขียนห้วยขวาง แต่ไม่เขียนที่อื่น

ผมซึ่งเข้าใจไปเองว่า รถมันคงวิ่งตรงไปผ่านฟอร์จูน พระราม 9 และ ห้วยขวาง (คิดแบบรถไฟใต้ดินอะ ซึ่งผิดเต็มๆจ้า)

แล้วคนขับก็ตะโกนมา ขึ้นไหมครับ

เราก็เชื่อคนง่าย ขึ้นเลย และนั่นแหละ มหกรรมหรรษาก็เริ่มขึ้น


"หลงกรุง"

รถเมล์วิ่งตรงไปแล้วก็เลี้ยวซ้าย

แต่ไม่ได้เลี้ยวซ้ายเข้าฟอร์จูน

ไปเลี้ยวเข้าถนนประชาสงเคราะห์ ซึ่งเกิดมาไม่เคยไปย่านนี้เลย

จะว่าชื่อถนนก็ไพเราะ "ประชาสงเคราะห์" แต่ทำไมใจร้ายกับเราวะ ;(

พอรู้ตัวว่ารถผิดทาง

ถ้าเป็นคนปกติ ก็คงลงรถและกลับไปที่เดิม

แต่นั่นใช้กับคนพิเศษ (เพี้ยน ปัญญาอ่อน นั่นแหละ) แบบผมไม่ได้

นั่งต่อจ้า กะว่า ไม่เป็นไร นั่งรถเล่นไปห้วยขวาง แล้วค่อยย้อนมาฟอร์จูนก็ได้

เพราะยังเชื่อว่ามันย่านๆเดียวกัน

จริงๆมันก็ย่านเดียวกันแหละแต่ถนนมันยุบยับ ซอยและชุมชนอยู่เพียบ

ไม่ใช่ถนนหลักแบบที่เราเข้าใจ

ผมนั่งชิลไปสักพัก กระเป๋ารถเมล์ก็บอกว่า "รถหมดระยะ" แล้ว

คุณจะไปลงที่ไหนครับ

ผมก็ตอบไปตามตรงว่า จริงๆขึ้นผิดครับจะไปฟอร์จูน

แต่กะว่าให้รถไปถนนหลัก แล้วค่อยนั่งรถเมล์ย้อน

เขาเลยบอกว่า มันไม่ผ่านนะ ให้ลงและไปขึ้นฝั่งตรงข้ามนั่งสาย 54 ไปรัชดา

ก็ทำตามเขา รอรถสักพัก เปิด Viabus

แอฟ ที่บอกเราว่ารถเมล์จะมาเมื่อไหร่ และไปไหนได้บ้าง

ถึงตอนนี้ผมก็รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต

ทำไมมึงไม่เช็คก่อนขึ้นตั้งแต่แรกวะ -_-'

นั่นสิ ผมก็งงตัวเองเหมือนกัน...

แต่ปัญหามาละเราก็แก้ไป

รถเมล์สาย 54 มี GPS แจ้งในแอฟ แจ้งว่ากำลังมา

พอได้ขึ้นสาย 54 ก็ชิลต่อ รถออกมาสู่ถนนหลัก รัชดา สักพักก็ได้ยินกระเป๋ารถเมล์บอกว่า

รถถึงรัชดาแค่ป้ายนี้นะ

ไอ้นี่ก็ยังชิลๆ

สักพักรถเลี้ยวซ้ายไปถนน เทียมร่วมมิตร

นี่ต้องวิ่งไปกดกริ่งขอลง T_T

สรุปหลงมาตรง ศูนย์วัฒนธรรม

ด้วยความกลัวว่าจะหลงอีก เลยเดินแม่งเลย

(ล้อเล่นนะ จริงๆ ตรงนี้เคยมาเลยรู้ว่าไม่ไกลแล้วละ)



"โทรศัพท์"

ไปถึงฟอร์จูน 5 โมงกว่าๆ หลงไปชั่วโมงกว่าๆ

พอไปถึง ศูนย์โมโตบอกว่า รอเครื่อง 4 ชั่วโมง

ช็อคยิ่งกว่าตอนลืมเปิดแอฟ viabus อีก!

เคยรอรับได้เลย ไม่คิดว่าจะต้องทิ้งเครื่องไว้

เขาบอกว่าเป็นนโยบายใหม่

ตอนนี้รับเครื่องต้อง reset เครื่องด้วยให้แบล็คอัพ

ตอนแรกก็ลังเลว่า มาใหม่พรุ่งนี้ละกัน ไม่ได้เตรียมใจ

คิดไปคิดมา จบด้วยที่คำว่า "ช่างแม่ง"

เลยทิ้งเครื่องไว้ ไม่แบล็คอัพด้วย

ในใจก็คิดว่า ซื้อเครื่องใหม่แม่งเลยละกัน!

(คนมีสติดีๆไม่ควรทำอะไรแบบนี้นะ)



"ไม่หลง แต่จำผิด"

เสร็จจากฟอร์จูน ก็คิดว่าจะไปซื้อโทรศัพท์ที่มาบุญครอง

นี่ก็เป็นนิสัยที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่

คือมักจะติดกับความเคยชิน เคยซื้อที่มาบุญครองแล้วโอเค

ไม่เคยมีปัญหา (ส่วนเครื่องที่มีปัญหานี่ซื้อที่งานมือถือ ศูนย์สิริกิต)

ครั้งนี้ก็เลยเดินทางไปซื้อที่นั่น

ไปยังไง เดินไปจ้า กะว่าจะเดินไปตรงแยกแล้วไปต่อรถเมล์

แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งมัน (จริงๆแม่งไม่ค่อยมีรถเมล์ด้วยแหละ)

ก็เดินไปถึงแยกประชาสงเคราะห์เจ้ากรรมเก่าของเราเมื่อ 2 ชั่วโมงที่แล้ว

คราวนี้มีสาย 54 อันนี้จำได้ว่าผ่านสยาม

เลยขึ้นไป ทุกอย่างก็ไปด้วยดี

แต่อีกแล้วจำผิดครับบบบบบบบบบบบบบ คือรถผ่านสยามจริง

ผมไปจำว่ามันวิ่งสยามแล้วตรงไปมาบุญครอง

จริงๆมันเลี้ยวไปราชเทวี

ก็เอ๋อแดกอีกครั้ง

ก็ต้องเดินย้อนจากราชเทวีมาบุญครอง



"โทรศัพท์ (ใหม่)"

ไม่มีอะไรเล่ามากเล็งอยู่ 30 นาที ไปลองๆจับๆ

ดูสเปค ราคา เอา หัวเหว่ย nova 2i

ราคา 6650 ราคาโอเค ดูน่าใช้

กลับมาบ้านก็วุ่นกับการลงแอฟ ใหม่นั่นนี่

จะว่าไปการมันวุ่นวายอยู่เหมือนกันแฮะ

เพราะต้องล็อคอินใหม่ ทั้ง fb, line และบรรดาแอฟธนาคาร

โดยเฉพาะแบงค์กรุงเทพ ดูวุ่นวายนิดหน่อย คือต้องไปขอโค๊ดกับตู้ ATM

ก็จบไปอีกหนึ่งวัน



"7 เมษา"

ไม่มีอะไรมาก ขี้เกียจ ตอนแรกจะไปรับโทรศัพท์แต่ก็ขี้เกียจ

กลางคืนมาเซิร์ทหาที่เที่ยวรัสเซีย ซึ่งดูเป็นประโยชน์หน่อย

อ้อ ช่วงเย็นมีออกกำลังกายและทดสอบโทรศัพท์ใหม่

ก็ประทับใจดี จบไปหนึ่งวัน


"ห้วยขวางฉันรักแกรรร"

8 เมษา สิ่งที่คิดว่าจะทำ

ออกไปดูหนัง 2 เรื่อง

และไปรับโทรศัพท์

ความเป็นจริงคือ

โอ้เอ้ จนคิดไปดูหนังรอบเช้าไม่ทันแน่ๆ

เลยเปลี่ยนแผนไปรับโทรศัพท์ก่อน แล้วค่อยดูหนังรอบเที่ยง

อันที่จริง จากบ้านมีรถเมล์ถึงฟอร์จูนเลยนะ

สาย 529 แต่มันเป็นสายที่ 1 เดือน คุณอาจจะได้เจอมันสักครั้ง

(แน่นอนสายนี้ไม่ติด gps ในระบบจ้า ไม่รู้เลยว่ามันวิ่งไม่วิ่งหรือจอดเล่นที่ใดในโลกนี้)

แล้วที่ตลกร้ายคือ วันที่ 6 ผมได้ขึ้นมันแล้วนะ ไอ้รถเมล์ในตำนาน 529 เนี่ย

แต่ตอนนั้นไปต่อรถตรงวงเวียนใหญ่ ไม่ได้ไปฟอร์จูนตั้งแต่แรก

ก็เลยนั่งรถ 140 ไปลงประตูน้ำ เพราะรู้ว่าตรงนี้มีหลายสายอยู่

แล้วก็นึกได้ว่า เออ โทรศัพท์ใหม่ยังไม่ได้ลงแอฟ viabus เลยนี่หว่า

รถมาถึง ประตูน้ำ

ก็เปิดกูเกิ้ล จิ้มไปที่ป้ายรถเมล์ตรงฟอร์จูน

กูเกิ้ลบอกว่ามี 73 74 …

เห็น 74 มาพอดี เลยขึ้น

พอขึ้นก็ถามกระเป๋าว่า ผ่านฟอร์จูนไหม

กระเป๋าบอกผ่าน

โอเคสบายใจไป

รถวิ่งมาแล้วเลี้ยวขวาไปอนุเสาวรีย์

ตอนนั้นผมก็ "เอาแล้วไง" กูโดนอีกแล้วใช่ไหม

แต่ก็ยังคิดในแง่ดีว่า คงไม่เป็นไร นั่งรถเมล์เล่นไปละกัน

เดี๋ยวอ้อมมาฟอร์จูนก็ได้ เวลายังเหลือ

รถก็วิ่งไปสะพานควาย ตัดเข้าห้วยขวาง

อันนี้คือแบบ ร้องในใจเลยนะ "เหี้ยยยย ห้วยขวางอีกแล้วเรอะ"

แต่ความเหี้ยไมได้จบที่ในใจ

เมื่อกระเป๋ารถเมล์มาบอกว่า "รถหมดระยะคะ"

เดี๋ยวนะ นี่มันห้วยขวางนะ มันยังไม่ถึงฟอร์จูนที่บอกกูเลยนะเว้ยยย

แต่ก็ยอมแต่โดยดี -_-' คือรู้สึกว่าตัวเองโง่เองแหละ

พอลงมาก็เจอคนใส่ชุดขาว ของ ขสมก

ถามเขาว่าไปฟอร์จูนจากที่นี่ยังไง เขาแนะนำว่าให้เดินไปอีกนิดแล้วขึ้นสาย 73

มันก็เจ็บช้ำเหมือนกันนะ

ที่ประตูน้ำก็มีสาย 73 ให้ขึ้น

ทำไมกูต้องเสร่อมาขึ้นที่ห้วยขวางเนี่ยยยย


"ดูหนัง"

หลังจากนั่ง 73 ก็มาถึงฟอร์จูน รับโทรศัพท์

ที่เขาแจ้งว่าเปลี่ยนฝาหลังให้ทั้งชุดเลย

ก็หวังว่าจะไม่ต้องซ่อมอีกนะ ว่าจะยกเครื่องนี้ให้แม่ใช้

จากนั้นก็นั่งรถเมล์ไปสยาม

โดยเดินออกมา ที่ถนนพระราม 9 และขึ้น 54

มาถึงสยาม ก็ซื้อตั๋วหนัง Snow white เป็นหนังการ์ตูนเก่าคลาสิค

ของโครงการมูลนิธิหอภาพยนตร์ไทย

ตอนแรกว่าจะไม่ดู แต่คิดอีกทีมันหาโอกาสดูยาก

ก็ดูๆไปเหอะ

แล้วก็ซื้อตั๋วโครงการหน้าอย่าง Apocalypse Now


สำหรับ Snow white มีจุดที่ประทับใจคือภาพ

บูรณะภาพได้สวยใหม่มาก

ส่วนเนื้อเรื่องก็นะ สำหรับผมนี่ไม่ได้ชอบเท่าไหร่

บุคคิลของ Snow white กับเจ้าชายนี่ ไม่น่าไปกันได้กับยุคสมัยนี้แล้ว

ยุคนี้คงนิยามง่ายว่า "พวกโลกสวย"

แต่เมื่อคิดๆแล้ว ผมพบว่า บางครั้งเราต้องทิ้งทัศนะคติเดิมของเรา

แล้วรับสาระประโยชน์ หรือคุณค่าด้านอื่นๆ ที่จะหาได้จากภาพยนตร์ที่เราดู

อันที่จริงก่อนฉายเรื่องนี้ มีภาพยนตร์ขนาดสั้น

เป็นโฆษณาของ หอภาพยนตร์

โดยมีภาพจากหนังที่ได้รับขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์รวบรวมไว้

ซึ่งน่าประทับใจมากๆ

….คุณค่าของการดู snow white ในครั้งนี้ก็คือการได้ดูโฆษณาตัวนี้นี่แหละ

(เขียนกระแดะๆไปงั้น จริงๆ Snow white ก็สนุกดีแหละ เด็กๆในโรงก็งอแงบ้างเล็กน้อยแต่ไม่มากนัก)


หนังเรื่องต่อมาที่ดู ตอนแรกลังเลระหว่าง Ready Player One

กับ Quiet Place

เลือก Quiet Place เพราะขี้เกียจรอ นั่นเอง

ถ้าดู Ready ต้องรอชั่วโมงกว่าๆ


ส่วน Quiet Place นี่ก็ชอบนะ

ส่วนตัวคิดว่ามันเป็นหนังทีดูสนุก และโชว์ความสามารถในการเล่าเรื่องของคนทำหนัง

มันคล้ายๆ The Shallows นะ

ในแง่สูตรหนังที่ไม่ได้มีอะไรมาก

คือให้ข้อมูลความน่ากลัว หรือวางระเบิดให้กับคนดู แล้วเล่นกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

ให้คนดูลุ้นว่าระเบิดจะเกิดขึ้นตอนไหน

The Shallows คือฉลามใต้น้ำบ้าคลั่งและนางเอกในติดอยู่กลางทะเล

ส่วน Quiet Place คือเอเลี่ยนที่เราห้ามส่งเสียง และมีครอบครัวตัวเอกดำเนินเรื่อง

ตอนก่อนจะดู มีเพื่อนแซวว่าหนังการเมือง

คือจะคิดในแง่มุมนั้นมันก็ได้นะ ฮ่าๆ


"ตอนจบของวันนี้"

ดูหนังจบสองเรื่อง

ก็กลับบ้าน ตอนแรกกะว่าจะเดินไป ตรงประตูน้ำขึ้น 140 จะได้กลับบ้านไวๆ

เพราะจำได้ว่าช่วงเย็น 141 กับ 21 ตรงสยามคนจะเยอะ

เหมือนช่วงเย็นเขาจะมีแข่งม้าอะ จะมีคนแก่ๆ ขึ้นรถมาเพียบ

แต่ตอนเดินผ่านป้ายรถเมล์ สาย 21 โล่งๆโผล่มา

เลยขึ้นทันที

และแล้วความบ้าบอก็ตามมาหลอกหลอน

รถเมล์โดนชนซะอย่างงั้น

ยังดีที่รอไม่ได้นานมาก ก็มีรถใหม่มา เป็นรถแอร์ด้วย เขาก็เลยให้ขึ้นฟรี

และก็ต่อรถกลับบ้าน

อย่างที่เขียนมายืดยาวววว เรื่องราวมันบ้าบอดีเหมือนกัน

เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ

แต่ถ้าอ่านดีๆ ก็จะรู้ว่าต้นเหตุที่แท้จริงคืออะไร

เลข 13 เหรอ - ไม่!

โทรศัพท์พัง - ไม่!

……จะใครละ ก็กูนี่แหละ ตัดสินใจเองทุกอย่าง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สวัสดี หยุดยาว 3 วันปี 2561!




 

Create Date : 08 เมษายน 2561   
Last Update : 8 เมษายน 2561 21:54:35 น.   
Counter : 4222 Pageviews.  

เขาฉางไป่ Changbaishan National Nature Reserve (长白山自然保护区)

สถานที่ท่องเที่ยว : เขาฉางไป่, China
พิกัด GPS : 42° 0' 14.98" N 127° 55' 54.22" E




สวัสดีครับ เพิ่งกลับจากเที่ยวจีนเต็มๆ 14 วัน ในช่วงเมษาที่ผ่านมา (1-16 เมษา)

โดยเริ่มจาก มาเลย์แล้วต่อเครื่องไปปักกิ่ง (เพราะราคาตั๋วโปรเลยเสียเวลากันพอควรแต่ก็คุ้มดีครับ)

เที่ยวจริงๆจาก ปักกิ่ง (Beijing 北京) - เสินหยาง (Shenyang 沈阳) - ซองเจียเหอ (Songjianghe 松江河) - ไป่เหอ (Baihe 白河) - ฮาร์บิน (Harbin 哈尔)- ตานตง (Dandong ) และกลับมาเที่ยวปักกิ่ง 5 วันก่อนจะบินกลับ



สำหรับตรงนี้ผมจะแนะนำการเดินทาง

ในส่วนของภูเขา ฉางไป่ Changbaishan National Nature Reserve (长白山自然保护区)

ซึ่งอยู่มณฑล Jilin (吉林)

เขาลูกนี้ยังอยู่ระหว่างจีน-เกาหลีเหนือด้วย ทางเกาหลีเหนือจะเรียกเขาลูกนี้ว่า

Baekdu Mountains ครับ


ข้อมูลทั่วไปก่อนการเดินทาง

ที่เขาฉางไป่ จากที่ผมหาข้อมูลมาได้ มีทางเข้า 3 ทาง

คือทางเหนือ ทางตะวันตก และทางใต้

แต่ทางใต้ผมหาข้อมูลเที่ยวไม่ได้ ทราบแค่ว่ามีทางเข้า

จึงไปเพียง ทางตะวันตกและทางเหนือครับ ซึ่งมีข้อมูลภาษาอังกฤษ

ซึ่งทางเข้าทางเหนือ Northern Slope จะอยู่ที่เมือง Baihe (白河) ฝั่งมีวิวเขาฉางไป่จะใกล้ตา และมีที่เที่ยวอื่นในอุทยานที่สวยด้วย

ทางเข้าทางตะวันตก Western Slope จะอยู่ที่เมือง Songjianghe (松江河) วิวเขาฉางไป่จะสวยกว่าวิวจะมองเห็นเขารอบๆมากกว่า

แต่มีที่เที่ยวในอุทยานที่อื่นอีก 1 ที่

ถ้าคนที่คิดจะไปแค่ฝั่งเดียวแนะนำทางฝั่งเหนือครับ


สำหรับคนที่อยากได้เฉพาะข้อมูลการเดินทาง

ผมสรุปเป็นหัวข้อ ดังนี้ กรณีเลือกไปแค่ฝั่งทางเหนืออย่างเดียว

1.จากปักกิ่งไปเมือง เสินหยาง (ใช้เวลา 5 ชั่วโมง) มีรถไฟตลอด แต่ควรจองเพราะมีตลอดแต่ก็เต็มบ่อยเหมือนกัน


2.จาก เสินหยาง ไป ไป่เหอ รถไฟมีวันละ 3 รอบ 09.13 / 18.54 / 20.18 ใช้เวลา 13 ชั่วโมงกว่า

สามารถเช็คราคาและรอบรถไฟที่เว็บ (ควรเช็คเวลารถไฟก่อนจะวางแผนเที่ยวใกล้ๆอีกครั้ง เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะได้จัดการใหม่ได้ถูกครับ)

https://www.travelchinaguide.com/china-trains/display.aspx?tp=9&fs=Shenyang&ts=Baihe+%5BJilin%5D&depDate=04%2F26%2F2017

(เวลาเลือกเมือง Baihe เป็น Baihe (Jilin) นะครับ)

ตรงนี้ก็อยู่ที่ว่าเวลาของแต่ละคน ถ้าอยากพักก่อนก็มานอน เสินหยาง 1 คืน

และเลือกรถไฟรอบเย็นของอีกวันก็ได้เพื่อไปไป่เหอก็ได้

แนะนำรถไฟรอบ 18.54 จะถึง ไป่เหอ 08:36


3. ที่ไป่เหอ มีรถแท็กซี่ จากสถานี หรือจะเดินออกมาจากสถานีรถไฟทางไปขวา(หันหน้าออกสถานี)

ฝั่งตรงข้ามจะเป็นสถานีรถบัส ที่นั่นก็มีรถแท็กซี่ จะนั่งแท็กซี่เข้าเมือง (จะเดินก็ได้ประมาณ 3 กิโล เดินราวๆ 30 นาที)

เพื่อหาที่พัก เก็บกระเป๋า

หรือจะเลือกเดินทางไปเขาฉางไป่เลยก็ได้ สำหรับคนที่คิดว่าจะไม่พักที่นี่จะเลือกเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นในช่วงเย็น

สำหรับราคาแท็กซี่ ควรได้ราคา 60 หยวนต่อเที่ยว (ไม่ใช่ต่อคนนะ ไปหลายคนแชรกันได้ต่อรองเขาได้)

ให้ไปส่งที่ทางขึ้นฉางไป่ หรือย้ำกับเขาว่าเราจะไป "เทียนฉือ" (ทะเลสาปสวรรค์)

ใช้เวลาเดินทางไปสถานีรถของอุทยานประมาณ 1 ชั่วโมง


4. กรณีอยากจะพักที่เมืองนี้ ที่พักที่ทางด่านเหนือ เมือง Baihe

ให้ค้นหาจากเมือง Antu, Jilin ครับ และอาจจะเช็คจากแผนที่อีกที

ว่าอยู่ในรัศมี สถานีรถไฟ Baihe (白河) นะ ไม่ใช่ไปจองผิดเมืองนะ


5. ก่อนที่รถจะมาส่งที่อุทยาน ถ้าเป็นช่วงนี้หิมะเยอะๆ เขาจะพาเรามาเช่าชุดเสื้อ รองเท้า และพวกอุปกรณ์กันหนาว

แต่ถ้าของเราโอเคอยู่แล้วก็ไม่ต้องครับ

ส่วนค่าใช้จ่ายในอุทยาน ค่ารถในอุทยาน 85 ค่าเข้าอุทยาน 125

และจะมีค่าขึ้นยอดเขาอีก แยกต่างหาก 80 (จ่ายตอนรถพาไปส่งแล้วจะมีให้เลือกว่าจะไปหรือเปล่า)


6. รถจะพาส่งตรงจุดกลาง ซึ่งถ้าเราจะไปชมเทียนฉือ จะต้องเสียอีก 80 หยวน แต่ถ้าไม่ ก็เดินไปชมสระมรกต


7. รถพาไปส่งเทียนฉือ มีจุดให้เดินชมยอดเขารอบๆ ระหว่างทางสวย ควรนั่งริมหน้าต่างถ่ายรูป แต่ถ้าเป็นคนเมารถง่ายอาจจะต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวนิดนึง เพราะทางโค้งเยอะและเหวี่ยงใช้ได้เลยละ

ส่วนตอนกลับก็มารอจุดที่รถมาส่งครับ


8. รถจะมาส่งที่จุดกลาง พาไปชมสระมรกตต่อ (เดินไปกลับไม่ถึง 1 กิโล) ชมเสร็จ ก็จะขึ้นรถไปอีกที่ นั่งรถสั้นๆครับ ไปชมน้ำตกฉางไป่ อันนี้จะเดินเยอะนิดนึงแต่สวยคุ้มค่ามาก ไม่ควรพลาด!


9. รถจะพาไปส่งที่เที่ยวสุดท้ายเป็นป่า อันนี้เดินเยอะ ถ้ามีเวลาเหลือแน่ๆ และชอบเดินก็ลุย แต่ถ้าไม่มีเวลาและไม่ชอบเดิน ตัดไปก็ได้ครับ เพราะเดินไปกลับ มี 1 ชั่วโมงขึ้นครับ จากนั้นก็มารอรถฝั่งตรงข้ามเพื่อกลับไปที่ท่ารถอุทยาน


10. ที่อุทยาน ไม่ต้องกลัวรถกลับ ปกติจะมีแท็กซี่มาหาลูกค้าอยู่แล้ว ลองต่อรองราคากันดู จะหาคนแชร์ค่ารถกลับไม่ยาก


11. ในกรณีที่กะไปเที่ยวแค่ฝั่งเดียว ก็นั่งรถไฟกลับ เสินหยาง มีรถไฟ 3 รอบ 17.35 / 18.53 /23.10



กรณีไปเขาฉางไป่ทางฝั่งตะวันตกอย่างเดียว หรือจะไปทั้งสองฝั่งต่อกันให้เลือกวิธีนี้ครับ

1.จากปักกิ่งไปเมือง เสินหยาง (ใช้เวลา 5 ชั่วโมง) มีรถไฟตลอด แต่ควรจองเพราะมีตลอดแต่ก็เต็มบ่อยเหมือนกัน


2.จาก เสินหยาง ไป ซองเจียเหอ

รถไฟมีวันละ 3 รอบ 09.13 / 18.54 / 20.18 ใช้เวลา 11ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ

(จะเห็นว่ารถไฟเหมือนกับไป่เหอ ก็เพราะเส้นทางเดียวกันครับ แต่ซองเจียเหอจะถึงก่อนครับ)


3. มาถึงซองเจียเหอ (ถ้ามารอบ 18.54 จะถึง 06.41 /ถ้ามารอบ 20.18 จะถึง 07.31)

มาถึงก็จะหาที่พักเพื่อเก็บกระเป๋า กรณีที่กะว่าจะไปเที่ยวเมืองอื่นต่อ ก็ควรหาที่พักที่นี่ครับ

แต่ถ้าจะมาแค่เที่ยวฝั่งนี้แล้วกลับเสินหยางก็แบกเป้ไปเที่ยวเลยครับ แต่หาข้าวและซื้อน้ำ ขนมปังเตรียมไว้ก็ได้

ยังไม่ต้องรีบไปอุทยานเพราะเปิด 8.30 ครับ


4. ที่พัก ควรเตรียมล่วงหน้ามาไว้ก่อน ให้ค้นหาที่พักเมือง Fusong, Jilin ครับ

ควรดูแผนที่ให้ดีว่าอยู่ในรัศมีรถไฟ Songjianghe (松江河) นะ


5. จากสถานีรถไฟ หรือรถบัส(อยู่ใกล้ๆกัน ฝั่งเดียวกัน ถ้าออกมาจากสถานีรถไฟ สถานีรถบัสอยู่ทางขวาเดินไป 200 เมตร)

นั่งรถเมล์สีเขียวสาย 1 ราคาค่ารถ 1 หยวน ใช้เวลา 20 นาทีโดยประมาณ

รถจะไปส่งที่อุทยาน จุดสังเกตุ รถจะวิ่งเข้าเมืองผ่านชุมชนต่างๆ

วิ่งจนรถจะมาออกถนนใหญ่อีกครั้ง ฝั่งริมประตูจะมีตึกสีน้ำตาลเยอะๆเหมือนโครงการหมู่บ้านอะไรแบบนั้น

ที่นั่นจะมีสถานีรถอุทยานฉางไป่ทางตะวันตก ให้ลงรถตรงนั้น

เดินเข้าไปตามป้ายไม่หลงครับ ที่อุทยานจะเปิด 8.30


6. ค่าใช้จ่าย ค่าเข้า 125 ค่ารถในอุทยาน 85

รถจะวิ่ง 1 ชั่วโมงและไปต่อรถอีกคันวิ่งอีกราวๆ 1 ชั่วโมง(ไม่เสียเงินเพิ่ม) (คือนั่งรถไกลกว่าทางเหนือ)


7. ที่ยอดเขาชม เทียนฉือ ตรงนี้อาจจะมีการแตกต่างกัน

ช่วงที่ผมไปที่ลานบนเขาเป็นหิมะหมด จะมีค่าเจ็ทสกีพาส่งขึ้นยอดเขา 135 หยวน

แพงแต่ก็คุ้มดี เพราะตื่นเต้นดีครับ ถ้ามีกล้องติดที่หัวจะดีมาก ราคานี้เป็นราคาไปกลับ

ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นช่วงอื่นที่ไม่มีหิมะจะเป็นรถอย่างอื่นหรือยังไง แต่ถ้ารถอื่นไม่น่าจะราคานี้นะเพราะทางไม่ได้ไกลมาก

แต่ก็ไม่มีทางให้เดินเองนะ


8. เจ็ทสกีพามาส่งที่ยอดเขาต้องเดินขึ้นยอดเองอีก 1 กิโล แต่เป็น 1 กิโลที่ขึ้นอย่างเดียวครับ หนักอยู่


9. ตอนลงมาก็รอเจ็ทสกีพาลง และมารอรถในอุทยาน


10. อุทยานจะพาไปส่งที่เที่ยว 1 ที่ Jinjiang Canyon เดินไม่ได้ไกลมาก วิวก็สวยดีครับ

จากนั้นก็รอรถไปส่งที่จุดกลางและรถจะไปส่งที่สถานีอุทยานอีกที ตรงนี้จะเสียเวลารอรถมากกว่า


11. จากอุทยานนั่งรถเมล์สาย 1 ฝั่งตรงข้ามเข้าเมืองและสถานีรถไฟ


12. กรณีจะกลับเสินหยาง มีรถไฟ สองรอบ19.25 / 20.53


13. กรณีจะเที่ยวฝั่งเหนือต่อ ให้ค้างคืนซองเจียเหอ และเช้านั่งรถไฟไปไป่เหอ Baihe (Jilin) มี 3 รอบ แต่ควรไปรอบแรก 06.47

(เพราะรอบต่อมาแพง ส่วนอีกรอบราคาถูกแต่ก็เที่ยง)

พอถึง ไป่เหอ ก็อ้างอิงแผนจากข้างบนเที่ยวฝั่งเหนือได้เลยครับ

ทั้งหมดนี้ก็จะเที่ยวเขา 2 ฝั่งในเวลา 2 วัน 1 คืนได้ครับ






 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2560   
Last Update : 2 พฤษภาคม 2560 22:57:47 น.   
Counter : 1729 Pageviews.  

CIMB > TMB > SCB > CIMB > CIMB



CIMB > TMB > SCB > CIMB > CIMB
นี่ไม่ใช่โค๊ดลับรหัสเกม
แต่เป็นชื่อย่อธนาคาร ที่เมื่อวาน ผมเหมือนไอ้บ้าที่เดินวนไปวนกับเหล่าธนาคารเหล่านี้

แรกเริ่ม เจ้านายส่งเมล์มาให้ปรินท์เมล์ที่เขาส่งให้และเดินไปหาที่โต๊ะเพื่อสั่งงาน
งานที่เขาให้ ก็คือให้ช่วยโอนเงินไปต่างประเทศ ซึ่งเรียกรูปแบบนี้ว่า MoneyGram
ซึ่งผมก็ไม่เคยทำ แต่ดูแล้วก็ไม่น่ายาก
เจ้านายให้พี่อยู่ผู้รับ แล้วก็ธนาคารที่จะให้ไปจัดการ
แล้วก็มีเงื่อนไขนิดหน่อย ตรงที่เขาอยากให้ชื่อผู้ส่งเป็นเขา
ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า ผู้รับจะได้รู้ว่ามาจากใคร
ผมก็รับปากเจ้านายว่าจะจัดการให้
ว่าแล้วก็รีบไปดำเนินการ โดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าชีวิตในวันนั้นมันช่างเหลือจินตนาการ

"ลางร้ายมาเยือน"
ที่อยู่ที่เจ้านายให้มา เป็นธนาคาร CIMB ซึ่งผมก็ไม่เคยรู้จักเลย
แต่ดูจากตึกแล้วเซิร์ทในกูเกิ้ล มันอยู่หัวมุมสีลม
ตอนแรกก็ยังไม่ทันคิดอะไร เดินไปจนถึงแล้วก็พบว่า เอ่อ….
ตึกนี้มันปิดแล้วนี่.....
เลยลองเซิร์ทในกูเกิ้ล ว่ามีสาขาอื่นอีกป่าว จริงๆ จุดแรกมันบอกอยู่อีก 100 เมตร
แต่ผมเข้าใจว่ามันคือจุดที่ผมอยู่ละมั้ง
ส่วนอีกจุด มันดันไปบอกว่าอยู่ตึกเอ็มไพร์
ซึ่งห่างไปพอควร
ก็เลยลองเซิร์ทอีกว่า moneygram สีลม เพื่อหาธนาคารอื่นที่น่าจะทำได้
ในกูเกิ้ลขึ้น CIMB เป็นที่แรก ลำดับต่อมาเป็น TMB
ผมก็คิดว่า มันน่าจะทำได้ แต่เดี๋ยวกลับออฟฟิศไปบอกเจ้านายอีกที
ถ้าเป็นธนาคารอื่นเขาโอเคหรือเปล่า
เพราะผมก็ไม่รู้ว่า ต้องเจาะจงธนาคารนี้ ด้วยเหตุผลอื่นๆของเขาหรือเปล่า
ผมก็ไม่คิดจริงๆว่าหลังจากนี้จะบ้าตายกับเหล่าธนาคารอื่นๆอีก
ถ้าตอนนั้น ที่ริมถนน มีเพลงของอำพล ดังขึ้นมา ผมคงเอะใจได้ทัน
ไอ้เพลงที่มันร้องว่า ลางร้าย บอกให้รู้ให้เตรียมใจ อะไรร้ายๆ ให้ระวังให้ดี
ผมควรโทษรัฐบาลใช่มะ โทษคสชดีไหม ที่ไม่ให้ขายของริมถนน (ไม่เกี่ยวละ)


"TomorrowMayBe"
หลังจากกลับออฟฟิศไปถามเจ้านาย เจ้านายก็บอก แบงค์อื่นก็ได้ที่เป็นระบบนี้
ก็โอเค
เลยพักกินข้าวที่ออฟฟิศ เดี๋ยวบ่ายไปจัดการงานหมูๆนี้ให้จบๆกันไป

หลังจากเช็คแล้วแบงค์ TMB ใกล้สุดคือตรงซอยคอนแวน
ซึ่งหาไม่ยาก
แต่พอไปแล้วคนดันเยอะเลย
รอตั้ง 20 คิว ก็เอาวะ รอหน่อย
รอไปประมาณ 20 นาที ก็ถึงเวลาที่รอคอย
พนักงาน "มาทำธุรกรรมอะไรคะ"
ผม "มาโอนเงินไปต่างประเทศครับ MoneyGram ครับ"
พนักงาน "ไม่ทราบว่า มีบัญชีของธนาคารหรือเปล่าคะ"
ผม "อะ ไม่มีครับ ว่าแต่ต้องใช้ด้วยหรือครับ ผมอ่านในเน็ตเห็นบอกไม่ต้องก็ได้นี่ครับ"
พนักงาน "ใช่ค่ะ ไม่ต้องมีบัญชีก็ได้ แต่ทีนี้ตอนนี้ระบบที่ไม่ต้องใช้บัญชี มีปัญหาคะ มันสิ้นเดือน ก็เลยขัดข้อง ต้องขออภัยจริงๆนะคะ"
ผม เอ่อ….. (แต่ในใจคิดเดี๋ยวนะ แล้วที่กูรอมันคืออารายยยยยยยยย) ว่าแต่แล้วผมสามารถทำระบบนี้ที่ไหนได้บ้างครับ
พนักงาน "สามารถใช้ SCB ที่อยู่ข้างๆกันได้คะ"
ผม ขอบคุณมากๆครับ (ตอนนั้นไม่ได้ประชดนะ เออ ยังดีที่เขาแนะนำ)


"หอยหลอด"
จริงๆ ผมก็ไม่ได้ชอบกินหอยหลอดนะ
แล้วก็ไม่คิดว่า ทำไมหอยหลอด มันจะต้องเข้าในชีวิตวันนี้ละเนี่ย
นั่นแหละเนอะ ใครจะรู้ละอนาคต

หลังจากเสียเวลาไปเปล่าๆ กับแบงค์ผู้น่ารัก
ก็ได้เวลาปิดงานนี้เสียที
ปรากฏว่าที่ SCB ตรงตึกนี้ไม่มีที่กดบัตรคิว คนก็นั่งเรียงๆกัน
เราก็เอะ ยังไงดีวะ ไปเข้าแถวช่องจ่าย โอนเงินปกติละกัน (คิดว่ามันคงไม่น่าจะยากละมั้ง)
รอไปประมาณ 10 นาทีถึงคิวเรา
พนักงานก็บอกข่าวร้ายกับฉันเลย บอกว่าเธอนั้นไม่มีใจ....
คือเธอบอกว่า ขออภัยค่าาาา moneygram ต้องทำตรงที่เคาท์เตอร์นั่งโต๊ะ
โอเค๊ หอยหลอดดดดดดดดดด มันโผล่มาเลยจ้าาาาาาาา

คือพี่กีบที่ออฟฟิศ เวลาเจอเรื่องป่วงๆ ประสาทๆ เธอจะชอบตะโกน หอยหลอดดดด
ซึ่งเวลาฟังนั้นมันช่างสะใจ และเห็นภาพความบัดซบในสิ่งที่เจอจริงๆ
แต่ไม่คิดจริงๆว่า กูต้องมา หอยหลอดดดดดดดดดดดดดด
นั่นแหละหลังจากเจออันนี้ถึงกับต้องพิมพ์ไลน์ไปหาพี่กีบ
"พี่กีบแม่งโคตรหอยหลอดดดดดดดเลยยยย"
พี่กีบถึงกับ แกติดโรคฉันแล้วเหรอออ
;p

โอเค มันคงไม่มีเรื่องบ้าๆบอๆอีกแล้วละมั้ง
ก็จัดการไปรอที่โต๊ะ ซึ่งก็ไม่นานนะ
ราวๆ ไม่เกิน 10 นาทีได้
(แต่ถ้ารวมกับรออันแรกมันก็นานแหละ ;p)
พอไปที่โต๊ะ สิ่งที่ผมคิดในใจคือ ทุกสิ่งมันต้องจบได้แล้วนะเว้ยยย เบื่อแล้วววววโว้ย

แต่พนักงานก็หักดิบความคิดด้วยการถามพนักงานข้างๆว่า "เอะ แบงค์เราทำได้ด้วยเหรอ"
กูนี่แบบ เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย อัลไลของแกรรรรรรรร
พนักงานข้างๆบอกได้สิ แต่ต้องมีเอกสาร มีอินวอย บลาๆๆๆ
ตอนนี้เลเวลของ หอยหลอดดดดดด  มันเอาไม่อยู่แล้วละ
มันคงต้อย ควววววววววววววววววววววว……
นี่แค่จะโอนเงินแค่ 5000 บาทนะโว้ยยย

หลังจากรู้ว่าต้องมีเอกสารนั่นนี่ ผมก็ว่ามันไม่ใช่ละ
แล้วก็พอจะรู้ละ ทำไมเจ้านายระบุ CIMB
คือเข้าใจได้ว่ามันคงจะง่ายสุดแล้วละ


"เท่ากับที่เดิมอย่าเริ่มดีกว่า"
โอเค ตอนนี้ผมมีเป้าหมายว่า เอาวะ กูจะต้องไปแบงค์ CIMB นี่แล้วละ เพื่อจบเรื่องบ้าๆนี่เสียที
เลยเซิร์ทกูเกิ้ลอีกทีว่าตรงไหนมันใกล้สุด
มันก็แจ้งพิกัดตรงรถไฟฟ้าศาลาแดง
ผมก็คิดอยู่ว่ามันมีหรือวะ แต่พออ่านรายละเอียด
อ่อมันอยู่บนสถานีเลย (แต่อีนี่ก็ไม่เคยสังเกตุอะนะ ผ่านบ่อยๆแท้ๆ)
พอไปถึง เจอแล้ว CIMB สีแดง
แต่ด้านหน้าติดป้าย พักเบรก มาอีกที 14.30
ตอนนั้น 14.20 โอเค อีก 10 นาทีเอง สบายๆ
เลยซื้อน้ำชาบ๊วยของ ตรามือ กินให้ชื่นใจ จบภารกิจนี้แน่ๆ

พอพนักงานมา พนักงานบอกว่า moneygram ของจุดนี้ทำได้แต่รับ
ถ้าจะส่งต้องไปอีกที
โอ้ยยยยยยยย อะไรของพวกมึงวะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ก็เลยถามคำถามน่ารักๆ ไปว่า "มีจุดไหนแนะนำบ้างไหมครับ"
พนักงานก็บอกว่ามีที่ตึกยูไนเต็ด ซึ่งจริงๆ เลยซอยคอนแวน ไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร
เฮ้อออ แล้วเราจะย้อนมาศาลาแดงทำไมเนี่ย T_T


ผมไปที่ตึกยูไนเต็ด
ตอนไปก็เห็นป้ายที่หน้าตึกว่ามี CIMB
ก็อุ่นใจว่า เอาวะ งานนี้ชัวร์แน่นอน
แต่แล้ว (อีกแล้วเหรอวะ) ที่ตึกนี้เป็น CIMB ที่เป็นเกี่ยวกับหุ้น ไม่ใช่แบงค์
ตอนนั้นคิดแล้วละ กูไม่บ้าบอกับเรื่องนี้อีกแล้ว จะไปตึกเอมไพร แล้ว ไม่ทนอีกแล้ววววว
แต่พนักงานก็บอกว่า จริงๆ ธนาคารอยู่ถัดไปอีกสองตึกเองอยู่เลยธนาคารกรุงเทพฯ

แล้วก็ไม่ต้องเดาว่า ผมจะเสร่อแวะธนาคารกรุงเทพฯอะนะ
(แม้คนที่อ่านถึงบรรทัดนี้จะรู้สึกว่า มึงยังเสร่อไม่พออีกเหรออ)
คือที่ออฟฟิศแต่ละคนได้เจอกับปัญหาของธนาคารนี้
ผมก็ว่า อย่าได้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจ บั่นทอนพลังในตอนนี้เล้ยยยย กูไม่ไหวแล้ววว

และแล้วก็มาถึงซักที ไอ้ธนาคาร CIMB
เหมือนจะเป็นสาขาใหญ่ด้วย
ที่น่าตลกคือกูไม่เคยสังเกตุเห็นการมีอยู่ของมันเล้ยยยยยยยยยย
มัวไปเสียเวลาบ้าบอคอแตกไปจะ 2 ชั่วโมงแล้วมั้งนั่น

พอมาถึงก็คิดว่า จบแล้วสิ
แต่ก็ยังไม่วาย ต้องมีเรื่องอีก
อันแรกคือ ชื่อผู้ส่งต้องเป็นคนที่มาเขียนใบส่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้คนอื่นแทนได้
ก็เลยโทรไปหาที่ออฟฟิศ เพื่อถามเจ้านายก่อน ซึ่งก็โอเค
ทีนี้ก็มาเจอปัญหาที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน
ก็คือ ที่อยู่ที่เจ้านายให้มา
ผมไม่รู้ว่ามันคือประเทศอะไร
คือเขาเขียน ลงท้ายว่า west indies
ผมก็เขียนตาม แล้วพนักงานก็บอกว่า ไม่มีนะครับ ประเทศนี้...
ผมก็เอ่อ...... อะไรกันโว้ยยยยยย
เลยโทรไปถามอีกที
เจ้านายบอก Saint Lucia (ตอนเขียนที่อยู่ให้ เจ้านายเขียน St. Luica, West indies ผมเลยเข้าใจว่าประเทศคือ West Indies)

ตอนนั้นผมก็เหวอๆนะ ประเทศอะไรวะ Saint Lucia
ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ส่วนพนักงานก็ไม่ได้ทำให้ผมอุ่นใจเล้ยยยยย
เพราะพี่แกก็บอกว่า ผมไม่เคยได้ยินเหมือนกัน ต้องเช็คก่อนว่ามีในระบบหรือเปล่า
ตอนสะกดทีละตัว S A I N T L U C I A นี้ลุ้นฉิบหายเลยขอบอกก
สุดท้ายแม่งมี
ตอนนั้นนี่แทบจะอยากจุดพุลฉลอง
จบซะทีโว้ยยยยย
น้ำตาแห่งความปลื้มปิติวีระ มานี ชูใจ จะร่วงหล่นบนพื้นดินสีลม ;p

พอกลับมาออฟฟิศ ถึงกับต้องเซิร์ทว่า siant lucia น่าตาเป็นไง
ก็พบว่า เออ มันก็สวยน่าไปแฮะ ฮ่าๆๆ

ปล. เอาจริงๆ ถ้าตูมีสติตั้งแต่แรกเรื่องนี้คงจะไม่เกิดเล้ยยยย เฮ้อ ให้กับความป่วงของตัวเอง และของบางธนาคาร
ส่วนธนาคาร CIMB นี่น่ารัก คราวหน้าถ้าได้ทำ money gram อีกคงสบายๆ ชิลๆไม่มีเรื่องป่วงๆมาเล่าแล้วละ

ปล2. ภาพ Saint Lucia จากในเน็ต





 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2559   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2559 10:54:48 น.   
Counter : 1623 Pageviews.  

Bumblefoot in Bangkok 2016

12 Feb 2016ได้ไปดู Bumblefoot ซึ่งเป็นอดีตมือกีตาร์ของ Guns N’ Roses ในยุคสุดท้าย2006 - 2014 Bumblefoot หรือชื่อเต็ม Ronald Jay "Ron" Blumenthal จึงต้องทำงานในชื่อของตัวเองและมีเพลงออกมาให้ฟังด้วย
ตอนแรกผมก็ไม่รู้จัก Bumblefoot เหมือนกัน เพราะว่ากันจริงๆ ผมไม่ใช่แฟนของวง Guns n’ rose และผมเองก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษกับแนว Rock n’ Roll ด้วยซ้ำไปแต่เห็นว่า งานจัดใกล้ที่ทำงาน คือที่ร้าน Whiteline สีลมซอย 8แถมค่าบัตรก็ไม่แพงมาก 400 บาท ก็เลยแวะไปดูดีกว่าซึ่งก่อนไป ผมก็ลองฟังเพลงของ Bumblefoot สองเพลง ก็เพราะดีนะซึ่งใน facebook ของงาน แจ้งเวลาว่า วงแรก Degaruda เล่น 20.30 (เล่นจริงๆ 20.45ได้ ซึ่งคนยังไม่ค่อยมาเท่าไหร่)วงนี้เป็นวงไทย ซึ่งผมก็อยากดูมานานละ วงนี้สมาชิกเก่ามาจากวง Eastbound Downers ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนผมเคยได้ดูและก็ชอบวงนี้ด้วยซึ่งตอนไปถึง วงมีทดสอบเสียง ซึ่งตอนแรกผมก็คิดแล้ว “ที่นี่ห่วยจัง”แต่พอเล่นออกมาจริงๆ มันก็ไม่เลวร้ายนะ พอได้ แล้วงก็เล่นสนุกด้วย มีโอกาสคงตามดูวงนี้อีก เล่นมันดีสำหรับแนวเพลงของ Degaruda ก็ประมาณ Hard core, Screamo, Emo ซึ่งผมขอเสริมแบบบ้านๆ จากที่ตัวเองฟังมาคือวงเนี่ย ชอบเล่นเพลงแนวตามที่เขาแจ้งมานั่นแหละแต่ก็มีสกิลการแต่งเพลงและเล่นกีตาร์ แบบใส่เมโลดี้เพราะๆ บางท่อน ที่เล่นเมโลดี้ นี่ยังนึกว่าเล่นแบบ post rock ด้วยซ้ำเพราะงั้นมันเลยออกมาเหมือน Emo มีจังหวะสนุกๆ มันๆ ติดหูง่ายบางท่อนก่อนจะแหกปากก็เหมือนผสม post rock ซึ่งก็ทำให้เพลงมันทั้งมีอารมณ์ที่ลอยๆมันๆ อยากกระโดดและก็อยากแหกปากมากกว่าจะยืนโยกหัวแบบฟัง post rock วงต่อมา The Ginkz สำหรับวงนี้เคยฟังเพลงมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ชอบมากชอบงาน แปลงซะเสีย ที่นักร้องออกมาทำฮามากกว่า (เป็นการเอาเพลงสากลมาใส่เนื้อไทยแบบฮาๆ)แล้วที่ตลกคือ วงแปลงซะเสีย เอาเพลง Welcome To The Jungle ของ Guns N’ Roses มาแปลงเป็น ขอต้อนรับสู่ร้านเน็ต แล้วตอนระหว่างก่อน The Ginkz เล่นเขาเปิดต้นฉบับผมก็ฟังแล้วนึกแต่เนื้อร้องภาษาไทย ขอต้อนรับสู่ร้านเน็ตตตตต ฮ่าๆ เรียกว่าติดหูกว่าต้นฉบับซะอีก
ส่วนงานของ The Ginkz วันนี้สำหรับผมไม่ค่อยโอเคนะ คือเขาไม่ได้เล่นแย่ จริงๆ สมาชิกเล่นกันเก่งเลยละแต่มันคงไม่ใช่แนวทางของเราเลยสำหรับวงนี้คงไม่ตามดูอะนะ ได้ฟังเพลง “ปลิงดอง” สดๆ ครั้งเดียวก็พอละ (ฮ่าๆ คือมันเป็นเพลงแบบดนตรีผสมหลากหลายแนว แล้วใส่เนื้อเพลงประหลาดๆ อย่าง ปลิงดอง ปลิงดอง ลิงมันยังกินปลิงดอง)มาถึง Bumblefoot เล่นประมาณ 4 ทุ่มครึ่งได้ซึ่งในตอนแรกวงเล่นเพลงของ Guns N’ Roses เปิดมาก็ Welcome to the Jungle เลย คนมาดูส่วนใหญ่ก็เป็นชาวต่างชาตินะ อายุนี่แก่ๆทั้งนั้น ฮ่าๆตัววงก็แก่ๆ ด้วยเช่นกัน นักดนตรีส่วนใหญ่อายุนี่ 40 -50 ขึ้นแน่ๆ ยกเว้นมือกีตาร์คนนึง เป็นคนไทยส่วน Bumblefoot เขาไม่ได้ร้องนะ เขาให้คนอื่นร้อง ซึ่งก็ร้องดีเหมือนกันวงเล่นได้สักสามเพลง Bumblefoot ดูจะมีปัญหากับแอมป์ของงานซึ่งมันก็มีปัญหาจริงๆแหละ เพราะบางจังหวะมีเสียง “จี่” และเสียงช็อตของเครื่องด้วยแต่เขาก็พยายามเล่นต่อ (พอจังหวะเล่นรวมๆ มันก็พอฟังได้อะนะ เพราะมีเสียงดนตรีอื่นมากลบ)พอมาถึงเพลง Don't Know Who To Pray To Anymore ซึ่งเป็นเพลงของเขาเองมีเพิ่มเติมนิดนึง ตอนเล่นเพลงของตัวเอง เขาจะเปลี่ยนมือกลอง เป็นวัยรุ่นๆหน่อยด้วยนะ
เล่นเพลง Don't Know Who To Pray To Anymore เล่นท่ามกลางคนดู
สำหรับผมแล้วช่วงเล่นเพลง Don't Know Who To Pray To Anymore นี่ประทับใจสุดแล้วละบรรยากาศที่มันแย่ๆ ทั้งหลายดูผ่อนคลายทันที รู้สึกเราพร้อมให้อภัยมันทุกอย่างเลย(งานนี้นอกจาก ซาวด์จะแย่แล้ว ผู้คนก็มีห่วยๆ 2 คน คือฝรั่งเมา และโวยวาย กับอีกคนชอบไปยืนเบียดคนอื่นจนต้องให้ฝรั่งอีกคนมาดึงตัวออกมา)จากนั้นก็ ก็แก้ปัญหาความแย่ของกีตาร์ตัวเอง ด้วยการใช้กีตาร์ของอีกคนส่วนคนนั้นก็เล่นแต่กีตาร์โปร่งแทนซึ่งช่วงนี้ก็จะเล่นเพลงของ Guns N’ Roses อย่าง Don't Cry, Sweet Child'O Mineและก็เพลงอื่นๆอีก ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้จัก ซึ่งก็เป็นสไตล์ Rock n’ Roll แฟนเพลงที่มาส่วนใหญ่ก็สนุกกับมันและร้องตามได้เกือบหมดเลยแต่ที่สังเกตคือแกจะไม่ค่อยโซโล่ เข้าใจว่าไม่ถนัด หรือคุ้นชินกับกีตาร์หรือเปล่าก็ไม่รู้อย่างมีเพลงนึงเห็นพอดี คือแกส่งสายตาให้กีตาร์คนไทย โซโล่แทนงานนี้โดยรวมก็มีอะไรๆฮาๆ ให้จดจำเยอะดีนะอย่างตอนก่อนที่ Bumblefoot แกจะเปลี่ยนกีตาร์ แกบ่นๆ อะไรสักอย่าง (เราฟังไม่ออกเอง)แล้วก็ทำตัวอย่างให้ดูว่า เวลาเขาดีดกีตาร์ และใกล้ไมค์ มันจะมีเสียง “บึดดดดดด” แกเอามาล้อจนแทบจะเป็นเพลง บึดดด บึดด บึดดดดด
ในงานมีร้องเพลง อมพระมาพูด ร้องโดยฝรั่งที่เล่นกีตาร์โปร่ง งานนี้คนเฮเยอะมาก ส่วนเราเหรอ เอิ่มมมมมมมมมมมมมม (แต่ฝรั่งร้องชัดใช้ได้เลยนะ)และก็มีคนที่เป็นคนดูแลเรื่องเสียง อันนี้ไม่แน่ใจว่าของทางวงเอง หรือของทางร้านขึ้นมาแจมเล่นกีตาร์ให้สรุปงานวันนั้นผมก็สนุกนะ ตัว Bumblefoot ดูเป็นคนที่ nice มากเลยเป็นกันเอง บรรยากาศงานก็กันเองๆดีแต่แย่ตรงซาวด์ไม่ดีเท่าที่ควรคือถ้ามีงานดนตรีร็อคมาเล่นที่นี่ ถ้าไม่ใช่วงที่่น่าดูมาก คงขอผ่านอะ ครั้งเดียวเข็ดเลย




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2559   
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2559 19:29:44 น.   
Counter : 1465 Pageviews.  

ประสบการณ์การดูวงดนตรี Braids Live in Bangkok

ตอนที่ทราบข่าวว่าวง Braids จะมาเล่นนั้น ในตอนแรกไม่ได้สนใจ

เพราะวงนี้เป็นดนตรี Electronic ซึ่งผมไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่


จนวันนึงไปอ่านบทความที่เขาเขียนแนะนำว่า ในเดือน July นี้

ที่กรุงเทพฯมี Event อะไรที่น่าสนใจบ้าง

ซึ่งก็มีคอนเสิร์ต ของ Braids แนะนำด้วย

เห็นเขียนราคาบัตร 500 บาท

ก็เลย เออ ก็น่าลองแฮะ

จึงเข้าไปในเพจของ Mind the Gap ซึ่งเป็นผู้จัดงานนี้ในไทย

แล้วเขาลงคลิปที่วง Braids ไปเล่นในรายการวิทยุ KEXP

พอดูเท่านั้นละ รีบติดต่อซื้อตั๋วทันที

คือการแสดงดนตรีของวงนี้มันไม่ธรรมดาเลย

เครื่องดนตรี อิเลคทรอนิค มี 3 ชิ้น

แต่ละคนคอยใช้งานและแต่ละคนก็จะมีเครื่องดนตรีอีก 1 ชิ้นอีกด้วย

อย่างนักร้อง Raphaelle Standell-Preston

ซึ่งเสียงของเธอไพเราะมากกกกกกกกกก

เธอก็จะมีอุปกรณ์อิเลคทรอนิค (ผมไม่ทราบจะเรียกมันว่าอะไรเหมือนกัน เป็นสี่เหลี่ยมๆ

แต่สร้างเสียงแบบคียบอร์ดและเสียงวนลูปของดนตรีที่เล่นออกไป)

และเธอก็จะมีกีตาร์ผสมเสียงเอฟเฟค ซึ่งคอยเล่นเมโลดี้เพราะๆอีกต่างหาก


ส่วน Austin Tufts จะเล่นกลองและมีตัวอิเลคทรอนิค คอยสร้างเสียงวนลูปร้องประสานของตัวเอง


อีกคน Taylor Smith จะเล่นกีตาร์ และเบส (แต่วันที่มาแสดงจะเล่นแต่กีตาร์)

และยังมีอุปกรณ์สร้างเสียง ซึ่ง Taylor จะเล่นเป็นหลัก


อย่างที่บอกไป เห็นจากคลิปก็คิดว่ามันแปลกมาก

และด้วยราคาบัตรที่ไม่แพง จึงคิดว่ามันไม่สมควรพลาดที่จะไปดู



สำหรับวันที่แสดงจริงนั้น เล่นกันที่ร้าน Moose ซึ่งเป็นผับอยู่ซอยเอกมัย 21

ซึ่งบรรยากาศร้านสวยดี แต่แอบหวั่นใจว่า มันจะเหมาะกับเล่นคอนเสิร์ตไหม


เวลา 4 ทุ่ม ก็มีวงเปิด เป็นวงไทย ชื่อ Monomania ซึ่งก็เล่นได้ดีมากนะครับ

เรื่องซาว์น ตำแหน่งที่อยู่ ดันอยู่หน้าไปหน่อย จะได้ยินเบสกับกีตาร์ฝั่งซ้ายชัด แต่ขวา ได้ยินไม่ชัดนัก เพราะตำแหน่งที่ยืนผมอยู่ใกล้เขามาก

ซึ่งอันนี้ผมคิดว่ามันก็ยังโอเคนะ ไม่เลวร้ายมาก

แต่กว่าจะได้เล่นก็ใช้เวลานานมาก เลทไป 1 ชั่วโมง จากที่งานได้แจ้งไว้

(งานแจ้งว่าเล่น 3 ทุ่ม แต่เล่นจริง เกือบ 4 ทุ่ม)


ส่วน Braids เล่นจริง 5 ทุ่ม

ซึ่งบรรยากาศที่ร้าน Moose นั้นจากตอนแรกคนก็เยอะประมาณนึง

กลายเป็นแน่นร้านเลย

ผมออกไปเข้าห้องน้ำ พอกลับมา ไปไหนไม่ได้เลยคนแน่นมาก

ก็เลยยืนมันตรงนั้น ซึ่งอยู่หลัง Taylor Smith แบบใกล้ชิดมาก

ไม่เคยดูคอนเสิร์ตที่ใกล้ขนาดนี้มาก่อน ฮ่าๆ

ส่วนซาว์นก็ว่าแล้วละต้องมีปัญหา (ด้วยตำแหน่งที่เรายืนนะ)

คือได้ยินเสียงร้องแบบไม่เต็มเสียงนัก

เพราะเจอกลองและซาว์นของ Taylor กระหน่ำมาก

แต่ตอนนั้นมันไปไหนลำบากละก็เลยตามเลย


อีกอันที่ประทับใจดี คือตอนมาเซทซาว์น ด้วยความที่เป็นงานเล็กๆ

ทางวงก็เลยมาเซ็ทกันเอง น่ารักเป็นกันเองดี


พอถึงเวลาจริง นักร้อง Raphaelle Standell-Preston

มีพูดทักทาย แต่ผมฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่

เสียงตอนเธอพูดเบาอะ (ต่อให้พูดดัง ก็ไม่แน่ใจว่าเราจะฟังรู้เรื่องป่าว ฮ่าๆ)

จากนั้นวงก็กระหน่ำเพลงยาวต่อเนื่อง แทบไม่พักเลย

ซึ่งใช้เวลา 1 ชั่วโมง

และมันเป็นเวลา 1 ชั่วโมงที่โคตรพีคของผมเลย

คือเสียงร้อง Raphaelle Standell-Preston เธอเพราะจริงๆ

เสียงสวยมาก แล้วเวลาเธอร้อง เธอก็เหมือนสนุกกับจินตนาการในเพลงของเธอ


อีตา Austin Tufts มือกลองผมเป๋สุดเท่

ก็ไม่รู้แกไปโกรธอะไรใครมา

แกตีกลองได้หนักฉิบหายวายป่วง

ตีแบบดุเดือด บ้าระห่ำมาก

ซึ่งถ้าเราฟังเพลงของ Braids

เพลงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย

แต่พอถูกตีด้วยจังหวะกลองที่หนักหน่วงในวันนั้น

มันจึงเป็นการแสดงที่มีพลัง มีความบ้า เกรี้ยวกราด แต่ก็สวยงามด้วยเมโลดี้ และเสียงร้องที่งดงาม

ข้อเสียอย่างเดียว ที่ผมรู้สึก คืองานนี้เล่นในร้านอาหาร

บางจังหวะที่เรารู้สึกว่ามันควรจะเงียบ มันก็จะมีเสียงเจาะแจะ

เสียงจาน ชาม กระทบกัน

ซึ่งกวนอารมณ์ผมนิดๆ แต่ก็ไม่ได้มากมาย เพราะการแสดงของวงมันมีพลังมาก


เพลงที่ถูกเล่นต่อเนื่องของ Braids เป็นเวลา 1 ชั่วโมง

ผมไม่รู้ว่าวงเล่นเพลงอะไรบ้าง

แต่มันเพราะ มันสนุก มันทำให้เราโคตรรู้สึกล่องลอยไปกับเพลงของพวกเขา


วันนั้นพอวงเล่นจบ ผมเอาแผ่นเสียงไปให้นักร้องเซ็น

จริงๆ อยากให้เซ็นทุกคน แต่เหมือนจะวุ่นๆกับการต้องเก็บอุปกรณ์ของตัวเอง (ฮ่าๆ น่าสงสารจริงๆ)

จึงได้แค่ถ่ายรูป และลายเซ็นของนักร้องคนเดียว

แต่ก็โคตรประทับใจ

ต้องขอบคุณคนจัดงาน Mind The Gap Thailand มากๆ

ที่นำวงนี้มาเล่นได้ ต้องขอขอบคุณจริงๆครับ

ขอบคุณวง Braids ที่สร้างงานที่ดีมากๆๆๆ ให้เราได้ฟังครับ

และสร้างประสบการณ์ดูดนตรีอีกขั้นให้ชีวิตของผม





 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 19 กรกฎาคม 2558 21:24:58 น.   
Counter : 1610 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  

วัชเจียเหว่ย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add วัชเจียเหว่ย's blog to your web]