สุภารัตถะ บล็อก
Group Blog
 
All Blogs
 
รอยยิ้มภายใน


บทความนี้ อาจต้องใช้สมาธิในการอ่านพอสมควร ค่อนข้างยากสักนิด เป็นเรื่องที่ว่าด้วยลักษณะการถูกกระทบและการกระเทือนกลับของจิตจากสิ่งเข้ามากระทบ ต่างตรงที่ปุถุชนปรุงแต่งต่อ ต้องอาศัยการฝีกสติกำหนดไม่ให้เพริดไป แต่พระอริยะวางลงเสียได้ด้วยเท่าทัน (จิตยิ้มเอง หรือจิตอยู่ในบ้านอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องฝืน เป็นไปโดยอัตโนมัติ)

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ กล่าวถึงอเหตุกจิต 3 ประการดังนี้

1. ปัญจทวารวัชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตามอายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ มี ตา หู จมูก ลิ้น และกาย วิญญาณทั้งห้าอย่างนี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกายตามทวาร ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เพื่อเชื่อมต่อการรับรู้เหตุการณ์ภายนอกเมื่อเข้ากระทบ แล้วส่งต่อไปยังสำนักงานจิตกลางให้รับรู้ เป็นสภาวะธรรมชาติของมันอยู่เช่นนั้น เราจะห้ามมิให้ เกิด มี เป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้ (การป้องกันทุกข์อันจะเกิดจากทวารทั้งห้านั้น จะต้องสำรวมอินทรีย์ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะเหล่านี้ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่นเมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดปรุง ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง ดังนี้ เป็นต้น (ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว))

2. มโนทวารวัชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่มโนทวาร (จิตหรือใจ) มีหน้าที่ผลิตความคิดนึกต่างๆ นานา คอยรับเหตุการณ์ภายในภายนอกมากระทบ (จากข้อ 1) จะดีหรือชั่วก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุกๆ กรณีย่อมไม่ได้ (การป้องกัน ทำได้แต่เพียงเมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใดๆ ถึงวัตถุ สิ่งของ บุคคลอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ว่าจิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา ไม่ยึดถือวิจารณ์ความคิดเหล่านั้น ให้เห็นเป็นปกติของความนึกคิดที่ห้ามได้ยาก ไม่ยึดถือความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์)

3. หสิตุปบาท คือ กิริยาที่จิตยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม หมายความว่าไม่อยากยิ้มมันก็ยิ้มของมันเอง กิริยาจิตอันนี้มีเฉพาะเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในปุถุชนไม่มี

สำหรับอเหตุกจิต ข้อ 1 และ 2 มีเท่ากันในพระอริยเจ้าและในสามัญชน นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เมื่อตั้งใจปฏิบัติตนออกจากกองทุกข์ควรพิจารณาอเหตุกจิตนี้ให้เข้าใจด้วย เพื่อความไม่ผิดพลาด เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว จะพยายามบังคับสังขารไปหมด ซึ่งเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติธรรมมาก เพราะความไม่เข้าใจนั่นเอง

ส่วนอเหตุกจิต ข้อ 3 เป็นกิริยาจิตที่ยิ้มเองโดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม เกิดในจิตของเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น เพราะกิริยาจิตนี้เป็นผลของการเจริญจิตจนอยู่เหนือมายาสังขารได้แล้ว จิตไม่ต้องติดข้องในโลกมายา เพราะความรู้เท่าทันเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งได้แล้ว เป็นอิสระด้วยตัวมันเอง

พระอริยะจะเกิดหสิตุปบาทหลังปัญจทวารวัชนจิตและมโนทวารวัชนจิต เพราะจิตเท่าทันในสมมุติไม่ยึดถือไว้ ส่วนปุถุชนต้องอาศัยการกำหนดสติหรือพาจิตกลับบ้าน(นิพพานชั่วคราว) ไม่ให้ปรุงแต่งความคิดตกอยู่ในมายาสังขารโดยไม่รู้ตัว



Create Date : 11 กันยายน 2548
Last Update : 11 กันยายน 2548 0:35:20 น. 8 comments
Counter : 1099 Pageviews.

 


เพิ่งเห็นอ่านข้อสาม

เคยแต่อ่านเจอแต่ข้อหนึงหรือสอง
ข้อสามนี่เพิ่งเคย
ขอบคุณค่ะที่เอามาฝาก



โดย: อยู่ไกลบ้าน IP: 210.18.17.122 วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:1:53:07 น.  

 
ชอบจังค่ะ


โดย: แม่จัสติน (Baby I love you ) วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:3:17:30 น.  

 
เก็บไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะมาอ่าน ขออนุญาตเซฟ บล๊อค นะคะ



โดย: ตะวันสีชมพู วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:5:35:11 น.  

 
อ่านเข้าใจยากจิง......แต่ก้อเข้าใจครับ


โดย: ครีเอทีฟ หัวเห็ด วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:8:58:42 น.  

 
ขอบคุณครับ


จะนำไปปฏิบัติครับ


เสียใจเรื่องโอโตด้วยนะครับ ผมไม่สบายใจเลย สงสารสัตว์เวลาเค้าป่วยมากๆ เพราะเค้าขะชอบเล่น ชอบวิ่ง การป่วยหนักๆ ทำให้หัวใจรักอิสระของเขาฝ่อไปเลยนะครับ

คุณสุภา ทำใจดีๆไว้นะครับ ถ้าจะเกิดอะไรขึ้น ก็คงจะเป็นทางพ้นทุกข์ของเขาแล้วครับ

ผมจะคอยเอาใจช่วยโอโตด้วยอีกคนครับ


โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:14:21:45 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณสุภาฯ

รักดีกลัวเหมือนกันค่ะ

ถ้าอยู่ยิ้มๆ กลัวคนจะมองว่าเพี้ยนๆ

งานเขียนวันนี้ดีมากค่ะ

รักดีมักจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเสมอ

จดจำคำสอนของท่านพุทธทาส ว่า

อย่าให้ เกิดความอยาก หรือเมื่อเผลอสติ

อยากไปแล้วก็อย่า ตามใจกิเลส

บางครั้งก็เผลอไปเหมือนกัน แพ้กิเลส

บางครั้งพยายามควบคุมได้ ก็โล่งใจไป



ปล. โลโก้ของรักดีรูปนี้ รักดีชอบมากค่ะ

เลยเอามาใช้เป็นประจำ


โดย: รักดี วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:18:50:05 น.  

 
ต้องใช้สมาธิในการอ่าน และค่อยๆ ทำความเข้าใจกับบทความนี้เหมือนกันค่ะ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ที่นำมาแบ่งปันค่ะ


โดย: jan_tanoshii วันที่: 11 กันยายน 2548 เวลา:20:38:05 น.  

 


โดย: rebel วันที่: 13 กันยายน 2548 เวลา:9:28:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

suparatta
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร..
..ท่านนาคารชุนะ..
วิภาษวิธี..เกริ่นนำ..ตอนจบ..

๐ สมุดเยี่ยมและบ่นได้..
**ทางลัด**
๐ สารบัญทักทาย(ทั้งหมด)
๐ ชวนคุย&ฟังเพลงปี48(ทั้งหมด)
๐ นอนดูจันทร์..(ส่วนตัว)

**log in หน่อยน่า..



Google.co.th
Friends' blogs
[Add suparatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.