My life For myself
Group Blog
 
All Blogs
 
Part 10 :: ความทรงจำ (ตอนจบ)

ความทรงจำ

ผมตัดสินใจเด็ดขาดเลยครับ ว่าจะไปหาแนนให้ได้ ผมถามเพื่อนๆ ผมที่ทำค่ายนั้น กับพี่ google map และก็ได้เส้นทางการเดินทางมาแล้ว จากนั้นผมก็ทำเรื่องลาหัวหน้า 1 วันอ้างว่าจะกลับไปเยี่ยมที่บ้าน แต่ที่จริงขอลาเพื่อไว้ว่าจะกลับทำงานไม่ทันวันจันทร์ หัวหน้าผมก็ไม่พลาดที่จะแซวผมว่า
“โห...ไรเนี้ย ให้ไปทำงานกับพยาบาลวันเดียว จะพาไปไหว้คุณพ่อคุณแม่เลยหรอ” แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับได้แต่ยิ้มๆให้หัวหน้าผม
ก่อนที่ผมจะขับรถขึ้นดอยมีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ลืมคือ ผมจะซื้ออุปกรณ์การเรียนไปแจกเด็กๆด้วย ว่าแล้วก็โทรสั่งจาก Office Mate ให้มาส่งที่บริษัท ดีนะที่เขาจับใส่กล่องมาอย่างดีไม่งั้นเพื่อนๆคนถามว่าผมซื้อดินสอ กับยางลบเยอะขนาดนั้นไปทำไม
พอจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จ ก็ได้เวลาออกเดินทางแล้ว เย็นวันศุกร์ผมกลับจากที่ทำงานมาก็รีบนอน เพื่อตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงคืน พร้อมกับปลุกน้องซิตตี้ ให้พาผมไปที่เชียงราย แต่ก่อนไปผมก็ไม่ลืมให้มันกินนมรสแก๊สโซฮอล์ 95 ก่อน
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไกลๆ การเดินทางไกลสุดที่ผมเคยไปก็แค่บ้านเกิดผม การขับรถไกลๆมันต่างจากการขับรถในกรุงเทพเยอะเหมือนกัน การขับรถในกรุงเทพ ผมรู้สึกว่าเรามีเพื่อนเยอะแยะไปหมด ถ้าเราเหมอลอยหรือทำอะไรผิดพลาดไป ก็จะมีคนคอยบีบแตรให้สัญญาเราเอง หรือบางคนใจดีหน่อยเขาจะใช้สัญญามือโดยใช้นิ้วกลางเป็นการตักเตือน แต่การวิ่งทางไกลหรือวิ่งต่างจังหวัด มันเหมือนผมอยู่คนเดียวยังไงไม่รู้ ถ้าทำไรผิดพลาดไปก็คงกลิ่งอยู่แถวข้างถนน
ผมเข้าใจคนหลายคนที่ชอบแอบง่วงหลับตอนขับรถ ผมสังเกตตัวเองเหมือนกัน เวลาผมขับรถกลับบ้านผมจะไม่ง่วงเลย แต่ขากลับจากบ้านกลับไปที่หอ ผมจะง่วงประจำ ที่มันเป็นอย่างนี้เพราะมันขึ้นกับความรู้สึกที่มีต่อสถานที่ที่เราจะไป
ผมขับรถด้วยความตื่นเต้นตลอดเวลา ด้วยความรู้สึกที่อยากกลับไปเจอแนน จากจังหวัดหนึ่งข้ามไปจังหวัดหนึ่ง ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังวิ่งตามความฝัน และฝันนั้นกำลังเป็นจริงแล้ว
8 ชั่วโมงครึ่งกับการขับรถตลอดคืน ที่ผมก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยกาย แต่ผมไม่เคยเหนื่อยใจ ผมมาถึงที่อำเภอเมืองเชียงรายแล้ว อีก 1 ชั่วโมงกว่าๆ ผมก็จะรู้แล้วว่าฝันที่ฝันมาตลอด 3 ปี ฝันที่ผมกับแนนจะกลับมาเจอกันอีกจะเป็นจริงไหม
ตอนนี้น้องซิตตี้ของผมกลายเป็นตัวประหลาดไปแล้ว ประหลาดที่หนึ่งคือรถผมทะเบียนกรุงเทพมหานครแต่มาวิ่งเล่นไกลถึงเชียงราย ประหลาดที่สองคือระหว่างทางที่ผมไต่ขึ้นดอย ผมไม่เห็นรถเก๋งเลย มีแต่ผมที่ขับรถเก๋งท่ามกลางรถกระบะนับร้อยๆคันที่วิ่งผ่านรถผมไป
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ผมก็ขับรถไปจนสุดถนนยางมะตอย ข้างหน้าคือทางลูกรังที่ผมต้องขับไปต่อ ผมจำได้ว่าตรงนั้นมีร้านโชว์ห่วยร้านหนึ่ง วันนี้มันก็จอดอยู่ที่เดิม มีรถมอเตอร์ไซด์คันเก่าๆจอดอยู่เช่นเดิม และก็มีคุณลุงสองคนนั่งจิบเครื่องดื่มสีเหลืองๆ มีฟองด้วย เบียร์แน่นอน ผมเห็นแล้วก็ยังนึกแอบขำ คุณลุงพวกนี้เคยทำผมกลัวตายมาครั้งนึ่งแล้ว แต่ผมก็ไม่โกรธเขานะ ถือเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่ง วันนี้ผมกลับมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าพวกเขาจำผมได้หรือเปล่า แต่ผมก็อยากจะแซวเขา อยากจะให้เขารับรู้ว่าผมกลับมาที่นี้อีกครั้งแล้ว ผมเลยจอดรถ เปิดกระจกและตะโกนไปว่า
“ลุง...กินเบียร์ผมอย่างเพิ่งขับมอไซด์นะ เดียวตกดอยก่อน”
จากนั้นผมก็ปิดกระจกกลับ คุณลุงเขาก็งงๆนะว่าใครตะโกนเรียกเขา แต่คุณลุงทั้งสองคนยกมือขึ้นมาโบกไม้โบกมือให้ผมนะ เพื่อส่งสัญญาณกลับมาว่าเขารู้แล้ว
จากนั้นผมก็ออกรถเดินทางต่อ ทางที่ผมขับนั้นค้อนข้างยากทีเดียว ผมใช้เกียร์ D2 เพื่อไม่ให้รถไปเร็วเกิน ขับรถอยู่นานทีเดียว จากนั้นผมก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมันก็คือโรงพยาบาลเล็กๆในดอยแห่งนี้ และผมก็คิดว่าแนนคงอยู่ที่นี้ ผมขับรถเข้าไปในสนามหญ้าเล็กๆหน้าโรงพยาบาล
ผมจอดรถไว้แต่ไม่ได้ดับเครื่องเพื่อดูลาดเลาก่อน จากนั้นผมก็เห็นพยาบาลคนหนึ่งมองออกมาจากหน้าต่างของห้องซ้ายสุด ผมเดาได้ไม่ยากว่าพยาบาลคนนั้นก็คือแนน ผ่านไป 3 ปีแล้วแนนยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย
ผมไม่รู้ว่าแนนมองเห็นไหม แต่แนนก็จ้องมาที่รถผมตลอด ผมก็จ้องแนนผ่านทางกระจกหน้ารถผม ผมเห็นแนนแล้วรู้สึกดีใจ ดีใจจนน้ำตาผมไหลออกมา ผมคิดอยากจะเปิดประตูรถ แล้ววิ่งไปกอดแนน กอดแนนให้แน่นที่สุด เพื่อให้แนนรู้ว่า 3 ปีที่แนนหายไปผมคิดถึงแนนขนาดไหน แต่ตอนนี้ผมคงทำไม่ได้
ผมตัดสินใจถอยรถกลับออกมาจากโรงพยาบาล เพราะเกรจใจแนนที่กำลังทำงานอยู่ และอีกอย่างคือผมไม่รู้จริงๆว่าถ้าแนนเห็นหน้าผมแนนจะคิดยังไง บางทีแนนอาจจะทำใจลืมผมไปแล้วก็ได้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ได้ทำสิ่งที่ผมอยากทำไปแล้วหนึ่งอย่าง คือผมได้กลับมาเจอแนนแล้ว
ผมขับรถต่อไปยังเป้าหมายที่ผมตั้งใจไว้ คือนำของมาแจกให้กับโรงเรียนบนดอย ผมขับรถต่อไปอีกประมาณเกือบ 10 นาทีผมก็มาถึงโรงเรียนที่ผมเคยมาออกค่ายครั้งหนึ่งที่นี้ แต่ผมก็ลืมคิดไปวันนี้วันเสาร์หนิหว่า จะมีคนอยู่ในโรงเรียนไหม
ผมดับเครื่องรถยนต์ และเดินเข้าไปในโรงเรียน ผมมองผ่านใต้ถุนของโรงเรียน ผมก็เจอกับถังน้ำที่ผมเคยมาออกค่ายเพื่อสร้างมัน มันยังอยู่ดี ผมยิ้มให้กับถังน้ำใบนั้น เพื่อรำลึกถึงความหลัง
ระหว่างที่ผมกำลังเดินขึ้นไปบนโรงเรียนเพื่อดูว่ามีใครอยู่ไหม ผมก็เจอกับผู้ชายมีอายุ 2 คนเดินออกมา ทั้งสองคนดูหน้าตาแล้วก็คงเป็นคนแถวนี้ ลักษณะการแต่งกายก็เป็นเสื้อยืดเก่าๆธรรมดา
“สวัสดีพ่อหนุ่ม มาทำอะไรที่นี้หรอ” หนึ่งในสองคนนั้นถามขึ้นมา
“เออ...ผมจะมาบริจาคอุปกรณ์การเรียนให้เด็กครับ” ผมตอบกลับไป
ชายหนุ่มสองคนนั้นมองหน้ากัน แล้วทำหน้าประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะบอกผมกลับว่า
“งั้น...พ่อหนุ่มมานั่งคุยกันข้างในก่อนดีกว่า”
จากนั้นผมก็เข้าไปนั่งคุยกันในห้องห้องหนึ่งในโรงเรียน ห้องนั้นเหมือนจะเป็นห้องประชุม เพราะทั้งห้องมีแค่โต๊ะตัวใหญ่ๆตั้งอยู่กลางห้อง และมีรูปของนักเรียนที่นี้ติดอยู่บ้าง
“พ่อหนุ่มชื่ออะไรหรอ” ผู้ชายคนเดิม คนนั้นถามผมก่อน
“ผมชื่อ ปอครับ” ผมตอบกลับไป
“ปอมากันกี่คนหรอ”
“มาคนเดียวครับ” ผมตอบกลับ
“ปอนี้มาแปลกแฮะ ปกติคนที่จะมาบริจาคของที่นี้ จะมากันเป็นกลุ่ม ส่วนใหญ่ที่มาก็จะเป็นเด็กมหาลัย และนานๆจะมีคนมาสักที” ผู้ชายคนนั้นแซวผม ผมก็ยิ้มๆตอบเขา
“โต...ไปหาน้ำให้พ่อหนุ่มคนนี้ดื่มหน่อยละกัน” ผู้ชายคนที่คุยกับผมบอกกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง
จากนั้นผู้ชายอีกคนหนึ่งก็ลุกเดินออกไป ผมสังเกตเขาว่า จังหวะการเดินของเขาไม่เหมือนคนปกติ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องเดินช้า หรือลำบากกว่าคนอื่นมาก
“แล้วปอจะบริจาคอะไรบ้างหรอ” ผู้ชายคนนั้นหันกลับมาถามผม
“ก็มีดินสอ 900 แท่ง ยางลบ กับไม้บรรทัด อย่างละ 100 อันครับ ผมใส่มาที่ท้ายรถผมครับ” ผมตอบ
“แล้วที่เราเอามาบริจาคนี้ มีองกรณ์ไหนเขามาให้การสนับสนุนไหม หรือใช้งบส่วนตัวเราหมดเลย” ผู้ขายคนนั้นถามผมต่อ
“เออ...งบส่วนตัวผมครับ” ผมตอบกลับไป
ผู้ชายคนนั้นทำหน้าตกใจมาก พร้อมกับถามผมอย่างสนใจว่า
“ปอคิดยังไงเนี้ยมาบริจาคของเยอะขนาดนี้ให้กับโรงเรียนเก่าๆของลุง ของทั้งหมดนี้ก็หลายพันอยู่นะ”
ผมตอบตามความจริงไปว่า
“ไม่รู้สิครับ ผมอยากทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง อยากช่วยคนอื่นที่หน้าสงสารกว่าผม ผมก็เลยคิดอยากจะซื้อของมาแจกเด็กๆที่ยากไร้ครับ”
“แล้วทำไมถึงเลือกที่นี้หรอ” ผู้ชายคนนั้นถามผมต่อ
เหตุผลจริงๆที่เลือกที่นี้คือ เพราะผมจะได้เจอแนนด้วย แต่ผมขอตอบไปว่า
“เออ...ผมเคยมาออกค่ายที่นี้ ผมก็เลยรู้จักที่นี้ ก็เลยมาที่นี้ก่อนครับ”
จากนั้นแก้วน้ำ พร้อมกับน้ำก็มาเสริฟให้ผม และก็เสริฟให้กับผู้ชายคนนั้น โดยคุณลุงโต
ผู้ชายคนที่คุยกับผมนั่งคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถามผมว่า
“เราเคยมาออกค่ายอะไรที่นี้หรอ เพื่อลุงจะเคยเห็นหน้าปอมาก่อน”
“ค่ายเมื่อสัก 7 – 8 ปีก่อนที่มาช่วยสร้างถึงเก็บน้ำให้โรงเรียนนี้ครับ” ผมตอบกลับไป
จากนั้นทั้งสองคนก็ร้องอ๋อขึ้นมาพร้อมกัน แล้วก็คุยด้วยภาษาถิ่น ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทั้งสองคนนั้นพูดอะไรกัน สะพักผู้ชายคนที่คุยกับผมก็ ลุกไปหยิบรูปรูปหนึ่งจากตูหลังห้อง และวางรูปใบนั้นที่โต๊ะพร้อมกับถามผมว่า
“ใช่ค่ายนี้หรือเปล่า...”
ผมพิจารณารูปนี้ ก็พบว่าเป็นรูปถ่ายรวมของพวกผม พร้อมกับป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่เขียนชื่อค่ายของพวกผม และถ่ายพร้อมกับครูใหญ่ของโรงเรียน ซึ่งหน้าตาก็เหมือนกับลุงคนที่ผมคุยอยู่
ผมยิ้มๆ และตอบไปว่า
“ใช่ครับ”
ผู้ชายทั้งสองคนทำหน้าดีใจ เหมือนมีอะไรหลายๆอย่างจะถามผม โดยผู้ชายคนที่คุยกับผมถามผมก่อนว่า
“จำลุงได้ไหน ลุงไงที่เป็นครูใหญ่ของโรงเรียน ผ่านไป 7 ปีลุงแก่ขึ้นเยอะเลยเห็นไหม แล้วคนไหนหละปอ ชี้ให้ลุงดูหน่อย”
และแล้วผ้ายคนที่คุยกับมาตั้งนานก็คือครูใหญ่นี้เอง ครูใหญ่ยิ้มด้วยความยินดีมากที่ผมกลับมาที่นี้อีกครั้ง
ผมมองในรูปภาพเพื่อหาว่าคนไหนคือผม จากนั้นผมก็หาเจอ และชี้ไปรูปผมและตอบครูใหญ่ว่า
“นี้ครับ...รูปผมเมื่อ 7 ปีก่อน” ผมตอบพร้อมกับยิ้มๆให้กับความเปลี่ยนไปของหน้าตา และการแต่งกายของผม
“นี้พ่อหนุ่มเองหรอ ลุงขอบใจพ่อหนุมมากนะ ที่วันนั้นมาช่วยลุง ไม่งั้นลุงคงต้องอาการแย่กว่านี้แน่เลย ลุงยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณพ่อหนุ่มเลย ยังไงวันนี้พ่อหนุ่มกลับมา ลุยก็ขอขอบคุณปอนะ”
ลุงโตอยู่ดีๆเขาก็ยกมือขึ้นมาพร้อมกับขอบคุณผม ผมรับยกมือขึ้นมารับไหว้แทบไม่ทัน ตอนแรกผมก็งง ทำไมลุงต้องขอบคุณผมขนาดนั้น ผมเป็นใครหรอ สะพักผมก็คิดออกว่านี้ไงคุณลุงที่ผมเคยช่วยเขา ตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุเมื่อ 7 ปีก่อน
ใจจริงผมอยากจะถามคุณลุงโตนะครับ ว่าแนนเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม แต่ผมเก็บคำถามนี้ไว้ก่อน คงไม่เหมาะที่จะถามตอนนี้
จากนั้นผม ครูใหญ่ และลุงโต ก็ช่วยกันขนของที่ผมนำมาบริจาคจากท้ายรถผม ขึ้นมาไว้ที่โรงเรียน แล้วก็นั่งคุยถามเรื่องทุกข์สุขของแต่ละคนกันอีกนานพอควร ก่อนที่ครูใหญ่จะถามผมว่า
“แล้วปอจะไปไหนต่อหรอ”
คำถามนี้ตอนมาผมก็ไม่ได้คิดถึงเหมือนกัน ผมแค่คิดว่ายังไงขอให้มาเจอแนนก่อนละกัน อย่างอื่นค่อยว่ากัน ผมคิดอยู่แปปนึงก็ตอบไปว่า
“ผมคงขับรถกลับไปที่ตัวเมือง แล้วก็หาโรงแรมพักสักคืนนึง ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพครับ” ผมตอบกลับ
“ถ้าไม่รังเกียจอะไร พักที่นี้ก็ได้ครับ ให้ผมได้มีโอกาสเลี้ยงข้าวขอบคุณคุณปอสักครั้งนะครับ” ลุงโตรีบเอ๋ยปากชวนผม
ผมคิดอยู่พักนึงก็ตอบตกลงไป เพราะบางทีผมก็อยากจะเดินเล่นที่นี้ อยากจะทบทวนถึงภาพวันเก่าๆที่ผมมีความสุขกับแนนที่นี้
ตอนนี้ก็ 11 โมงกว่าแล้ว ลุงโตเลยของให้ผมกลับไปที่บ้านเขาเพื่อนกินข้าวกลางวันที่บ้านของลุงโต ผมก็ตกลงไปกับลุงโต ส่วนครูใหญ่ขอนั่งทำงานที่โรงเรียนต่อ
ผมให้ลุงโตนั่งรถไปกับผม ลุงโตบอกทางผม ลุงโตพาผมเข้ามาในหมูบ้านแห่งหนึ่ง ที่มีเด็กวิ่งเล่นกันมากมาย เด็กทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นรถผม ทุกคนหยุดเล่นกันหมด หันมามองที่รถผม ผมจึงถามลุงโตไปว่า
“ทำไมเด็กที่นี้มองผมแปลกๆหรอครับ”
“ที่นี้ไม่เคยมีรถเก๋งเข้ามาเลย มีก็แค่รถกระบะที่มารับซื้อใบชาของพวกเรา” ลุงโตอธิบายผม ผมก็เข้าใจทันที
จากนั้นลุงโตให้ผมหยุดที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านของลุงโตเอง ผมคุ้นๆกับบ้านหลังนี้มาก คุณลุงชวนผมขึ้นไปบนบ้าน และผมก็เห็นเตียง 3 เตียง ถูกจัดอยู่ แค่ผมเห็นภาพเตียง 3 เตียงผมก็รู้แล้วครับว่าบ้านหลังนี้คือบ้านที่ผมเคยมาพักตอนที่ผมไปเที่ยวเชียงรายกับแนน แต่ที่ห้องนี้เองก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมาก คือมีรูปของพวกผมที่ไปออกค่าย รูปนั้นถูกขยายใหญ่ และใส่กรอบอย่างดี ติดอยู่ที่กำแพงด้านหนึ่งของบ้านหลังนี้ ผมจ้องไปที่รูปนั้นอยู่นานด้วยความสงสัย และหาเหตุผลว่าทำไมรูปนี้จึงมาอยู่ที่นี้
ลุงโตเดินเข้ามาให้คำตอบผมว่า
“รูปนี้ลูกสาวลุง เขาเอามาติดไว้ เขาเพิ่งเอามาติดไว้ตอนที่เขาเรียนจบ เมื่อ 3 ปีก่อนเอง ตอนที่เขากลับมาเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลตรงโน้นอ่า แนนเขาบอกว่า ติดไว้เพื่อให้คิดถึงคนที่เคยช่วยชีวิตพ่อไว้”
คุณลุงพูดมาแบบนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว ว่าที่นี้คือบ้านเกิดของแนน พ่อของแนนก็อยู่ที่นี้ นั้นเองจึงเป็นสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมแนนถึงอยากกลับมาทำงานที่นี้ และก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ เพราะผมเคยให้ความช่วยเหลือพ่อของแนน แนนเลยอาจจะชอบผมก็เป็นได้
ขณะที่ผมยื่นจ้องรูปถ่ายนี้ น้ำตาผมก็ไหลออกมาทันที ผมเข้าใจแล้ว แนนยังคิดถึงผมอยู่เหมือนเดิม ไม่งั้นแนนคงไม่เอารูปนี้มาติดไว้ที่นี้หรอก แนนอาจจะคิดเหมือนผมก็ได้ ที่คิดว่าผมคงลืมแนนไปแล้ว แนนเลยไม่ติดต่อกลับมาเลย เพื่อไม่ทำให้ผมลำบากใจ
ณ ตอนนี้มีเพียงผมกับคุณลุงโตเท่านั้น ผมเห็นคุณลุงโตกำลังนั่งเตรียมกับข้าวอย่างแข็งขัน ส่วนผมทำตัวไร้ประโยชน์โดยการนั่งเฉยๆอีกแล้ว ผมก็เลยติดสินใจไปช่วยลุงโตทำกับข้าวด้วยดีกว่า
ผมเองก็ช่วยได้แต่ช่วยหั่นโน้นหั้นนี้ หยิบโน้นหยิบนี้ให้ลุงโต ผมพยายามทำตัวให้มีประโยชน์มากที่สุด สะพักลุงโตก็บ่นขึ้นมาว่า
“เนี้ยนะ ตั้งแต่พี่สาวลุงเสียไปนะ ลุงก็ต้องให้แนนมาสอนลุงทำกับข้าว ยังไงมือนี้กินกับข้าวฝีมือลุงไปก่อนนะ เดี่ยวมื้อเย็น แนนกลับมาจะให้กินกับข้าวฝีมือลูกสาวลุง” ลุงพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข
พูดถึงพี่สาวลุงโตที่เสียไป ผมก็นึกถึงคุณยายท่านหนึ่งที่ผมเจอตอนที่ผมมากับแนน นึกแล้วใจหายเหมือนกันที่ท่านไม่อยู่แล้ว ผมยังจำคำหนึ่งของท่านที่ทำให้ผมรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านบอกให้ผมรักแนนให้มากๆ แต่ผมก็ทำไม่ได้
ผมกับลุงช่วยกันทำกับข้าวอยู่นานกว่าจะเสร็จ และก็กินข้าวเทียงกับลุงที่บ้านหลังนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่อร่อยเท่าไหร่ก็เถอะ แต่มันก็เต็มไปด้วยความภูมิใจที่อย่างน้อย ส่วนหนึ่งของอาหารมื้อนี้ก็มาจากฝีมือของผมเอง
ตอนบ่ายลุงขอตัวไปเก็บใบชา ลุงก็ชวนผมให้ผมไปด้วย ผมก็ไม่พลาดที่จะไปหรอกครับ ผมอยากจะไปเดินเล่นในสวนใบชาเหมือนกัน ผมกับคุณลุงก็เลยไปที่สวนใบชา โดยคุณลุงขึ้นรถไปกับผม
ผมกับคุณลุงโตก็ช่วยกันเก็บใบชาอยู่นานเหมือนกัน ทำให้ผมได้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆได้เยอะเลย และถึงงานนี้มันจะเหนือยกว่าการเอานิ้วกดแป้นพิมพ์ แต่ผมว่ามันเป็นงานที่ปวดหัวน้อยกว่ากันเยอะ และได้อยู่รอบๆธรรมชาติด้วย มันเป็นงานที่ผมทำแล้วไม่เบือเลย ผมทำไปคุยกับคุณลุงไป หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูก็พบว่าตอนนี้เวลาบ่าย 3 ครึ่งแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนเวรของพยาบาลแล้ว ผมเลยถามคุณลุงไปว่า
“บ่าย 3 ครึ่งแล้ว ไม่ทราบว่าแนนเลิกงานยังหรอครับ ให้ผมไปรับไหมครับ”
“อืม...ก็คงกำลังเลิกแล้วแหละ ถ้าไม่มีคนไข้มาเพิ่มนะ ปกติเขากลับมาถึงบ้านก็ราวๆ 5 โมงเย็นได้ จริงๆไม่ต้องรบกวนปอหรอก เดียวแนนเขาก็กลับมาเองแหละ” คุณลุงบอกผม แต่ผมอยากไปจริงๆ ผมเลยหาข้ออ้างไปว่า
“จริงๆผมอยู่ตรงนี้ ก็ช่วยอะไรคุณลุงได้ไม่เยอะ ผมขับรถไปรับแนนมาดีกว่า แนนจะได้กลับบ้านเร็วๆด้วยครับ”
“งั้นก็ตามใจปอละกัน แต่ถ้าแนนไม่กลับมาด้วยก็ไม่ต้องตกใจนะ เพราะแนนเขาไม่ค่อยยุ่งกับผู้ชายคนไหน เดี่ยวลุงรออยู่ที่นี้นะ อย่าลืมกลับมารับลุงด้วยนะ” คุณลุงบอกผม พร้อมกับหัวเราะนิดๆ กลัวผมจะลืมกลับมารับลุง
“ครับ เดี่ยวผมจะรีบไปรีบมานะครับ” ผมบอกลุงก่อนจะเดินออกมา
ผมกลับมาที่รถ พร้อมกับขับมันไปที่พยาบาล ในใจผมตอนนี้ตื่นเต้น และดีใจมาก ตื่นเต้นที่ผมจะได้คุยกับแนนอีกครั้ง และดีใจที่รู้ว่าแนนยังคิดถึงผมอยู่
ผมขับรถเข้าไปจอดในโรงพยาบาล แล้วดับรถ ผมมองผ่านหน้ากระจกรถเข้าไป คราวนี้ไม่เจอแนนแล้ว เจอแต่พยาบาลสองคนยื่นอยู่บนระเบียงมองมาที่ผม ผมตัดสินใจก้าวออกจากรถ ทันที่ที่ผมก้าวออกจากรถ ผมก็เห็นแนนเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยรวม แนนกับผมยืนจ้องหน้ากัน ผมยืนอยู่ข้างๆรถผม แนนยืนอยู่ด้านบน ครั้งนี้แนนเห็นหน้าผมชัดๆในรอบ 3 ปี ผมเห็นแนนเอามือขึ้นเช็ดบริเวณหน้าของแนน จากนั้นแนนก็เดินลงบันใดมา
แนนเดินตรงมาหาผม ผมเห็นแนนกำลังร้องไห้ ผมเองก็อดกลั้นความดีใจไม่ได้เหมือนกัน ผมเอามือขึ้นมาเข็ดน้ำตาที่ไหนออกมาเหมือนกัน เมื่อแนนเดินมาหยุดต่อหน้าผม แนนก็ถามก่อนว่า
“เป็นไงบ้างปอ ไม่เจอกัน 3 ปี ยังสบายดีอยู่ไหม” แนนถามผมพร้อมกับเอามือขึ้นมาเช็ดหยดน้ำตา
ใบหน้าแนน ยังคงเหมือนเดิม เต็มไปด้วยความน่ารักสดใส ผมดีใจมากที่เห็นแนนยื่นอยู่ข้างหน้าผมอีกครั้ง ผมตอบแนนกลับไปว่า
“ปอก็สบายดีแหละ แล้วแนนหละ” ผมถามแนนกลับ
“แนนก็สบายดีเหมือนกัน รู้ไหม 3 ปีที่ผ่านมา แนนคิดถึงปอเหมือนเดิมนะ แนนขอโทษนะ แนนขอโทษกับเรื่องวันนั้น...”
แนนพูดยังไม่ทันจบ แนนก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่ แนนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา แล้วพูดกับผมต่อว่า
“ปอรู้ไหม...วันนั้น...แนนก็ไม่อยากบอกปอแบบนั้นหรอก...แต่ แนนไม่อยากเก็บมันไว้ให้มันสายไปกว่านี้...แนนเองก็เสียใจ...แนนก็รู้ตัวแนนเอง...รู้ดีอยู่แล้วว่าแนนต้องกลับมาอยู่ที่นี้...แต่แนนก็ตกลงใจเป็นแฟนกับปอ...แล้วแนนก็ยังดึงปอให้มาอยู่กับแนนอีก...แนนมันดื้อเองแหละ...แนนมันเอาแต่ใจเอง...ปอรู้ไหมแนนดีใจแค่ไหน...ที่ได้เห็นปอมาที่นี้...แนนคิดว่าชีวิตนี้แนนจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าปออีกแล้ว...” แนนพูดไปร้องไห้ไป ผมได้ยินดังนั้นผมเองก็เสียใจเหมือนกัน ผมเอามือผมไปจับมือแนนแล้วก็บอกแนนว่า
“ปอเข้าใจแนนหมดแล้วแหละ มันไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูกหรอก แนนไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ปอไม่โกรธแนนหรอก อย่าร้องไห้เลยนะ กลับมาเป็นแนนคนเดิม คนเดิมที่ร่าเริงเหมือนก่อนนะ”
แนนยังคงร้องไห้อยู่ แล้วสะพัก แนนก็พุ่งตรงมากอดผม พร้อมกับบอกผมว่า
“แนนขอบคุณปอนะ”
ส่วนผมเองก็ยืนงง เหมือนกันผมไม่นึกเลยนะว่าแนนจะคิดถึงผมเพียงนี้ ผมว่าบางที่ความรู้สึกที่ผมเศร้า อาจจะไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่แนนเศร้าเลยก็ได้ ผมมองไปเห็นพยาบาลเกือบทั้งโรงพยาบาลมองมาที่ผมกับแนน ผมเลยรีบดึงตัวแนนออกจากผม และบอกแนนว่า
“นี้แนน เลิกร้องไห้ได้แล้ว คนเขามองกันทั้งโรงพยาบาลแล้ว รีบกลับบ้านเถอะ คุณพ่อรออยู่นะ”
จากนั้นสะพักแนนก็หยุดร้องไห้ แต่ตายังบวมอยู่เลย เหอะๆ แต่ แนนก็พยายามทำหน้ามีความสุขและบอกกับผมว่า
“เห็นไหม...แนนกลับมาเหมือนเดิมแล้ว” แนนพูดแล้วก็ยิ้ม
ผมก็ยิ้มตอบกลับแนน และก็บอกว่า
“รีบไปเคลียร์งานไป จะได้กลับบ้านได้แล้ว”
“ปอ...ไปเคลียร์งานกับแนนได้เปล่าหละ” แนนชวนผมไป ผมก็ไม่รีรอที่จะเดินไปพร้อมกับแนน
จากนั้นผมก็เดินเข้าโรงพยาบาลไปพร้อมกับแนน ผมดูเหมือนตัวประหลาดอีกแล้ว พยาบาลคนอื่นที่เห็นผมเขาก็ยิ้มๆให้กับผม และก็ยิ้มให้กับแนนเช่นกัน ผมเข้าใจนะว่าพยาบาลคนอื่นคิดยังไง อิอิ
แนนพาผมขึ้นไปที่ห้องผู้ป่วยรวม แนนเหลือตรวจอาหารคนไข้อีก 3 คนและก็ส่งเวรให้กับพยาบาลอีกคน ผมไปที่นั้นก็ช่วยอะไรแนนไม่ได้มากหรอก ผมได้แต่ดูแนนทำงาน แต่เชื่อไหมแค่ผมมองแนนทำงานผมก็มีความสุขแล้วเหมือนกัน แนนคงคิดเหมือนกับผม ขอให้มีผมยืนอยู่ด้วยข้างๆ แนนก็คงมีความสุขแล้วเหมือนกัน
เมื่อแนนจัดการเคลียร์งานของแนนเสร็จ แนนกับผมก็เดินออกมาจากโรงพยาบาล และก็ขึ้นรถผม
เมื่อขับรถไปได้สักแปป แนนก็เริ่มถามผมว่า
“เออปอ...แนนลืมถามปอเลยว่าทำไมปอมาที่นี้หรอ”
“ปอมาบริจาคของให้โรงเรียนบนดอยนี้อ่า และก็จริงๆอยากจะกลับมาเจอแนนด้วยแหละ” ผมตอบขณะที่กำลังสนใจกับการขับรถบนเส้นทางที่วิบากมาก เลยไม่ได้กันไปดูว่าแนนทำหน้ายังไง
“อือ...แล้วปอรู้จักลุงแนนได้ไงหรอ” แนนถามผมต่อ
จากนั้นผมก็เล่าเรื่องของผมที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้แนนฟัง แนนก็นั่งฟังอย่างสนใจ
ขณะที่ผมกำลังเล่าเรื่องของผม แนนก็บอกให้ผมหยุดรถ ผมก็งงเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
“แนน หยุดรถทำไมหรอ” ผมหันไปถามแนน ขณะที่ผมหยุดรถแล้ว
“แนนว่าจะไปไหว้พี่สาวของคุณพ่อหน่อย” แนนบอกผม
“พี่สาวชองคุณพ่อใช่คุณยายคนที่เราเคยไปนอนที่บ้านเขาหรือเปล่า” ผมถามแนนด้วยความสงสัย กลัวจะเข้าใจผิด
“ใช่แหละ เขาเสียแล้ว แล้วบ้านหลังนั้นก็บ้านของแนนเองแหละ และบ้านหลังนั้นก็คือที่ที่แนนเกิดแหละ จริงๆวันนั้นแนนจัดฉากขึ้นมาทั้งหมดเลยแหละ คนแต่ละคนที่แนนไปคุยด้วย แนนก็รู้จักเขาหมดเลยแหละ” แนนอธิบายผม แล้วก็หัวเราะนิดๆ
“จะวัดใจปออะดิวันนั้น” ผมรู้ทันแนน เลยถามกลับไป
“อืม...ก็ใช่แหละ จริงๆแนนก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าปอเป็นยังไง ไม่น่าลงทุนจัดฉาก ให้แนนเสียใจเล่นเลย” แนนพูดแล้วก็ถอนหายใจ
“เอาหน่าแนนอย่าคิดมากเลย มันผ่านไปแล้ว อย่างน้อยการจัดฉากครั้งนั้น มันก็ทำให้รู้ว่าแนนอยู่ที่ไหน ก็ยังดีกว่าอยู่ดีๆหายไป ปอคงตามรอยแนนไม่ถูกแน่นอน” ผมพูดแล้วก็หัวเราะนิดๆ
“แนนเหมือนเด็กเลยเนอะ ผ่านวันนั้นไป แนนก็คิดเหมือนกันนะ ว่าวันนั้นแนนไม่น่าเลือกตอนจบแบบนี้เลย มันคงทำร้ายจิตใจปอมากเหมือนกัน แนนรู้สึกผิดมาก รู้สึกผิดมาจนถึงเมื่อเย็นวันนี้ รู้ไหมตอนที่แนนได้ยินปอบอกว่า ปอไม่โกรธแนนหนะ มันช่วยให้แนนเอาหินกองใหญ่ที่ทับอกแนนมาตั้ง 3 ปี ออกไปได้” แนนบอกผม
“ปอ...ก็เหมือนกันแหละ ตอนแรกปอก็กลัวนะ กลัวว่าแนนจะลืมปอไปแล้ว แต่พอรู้ว่าแนนยังคิดถึงปอเหมือนเดิม ปอก็ดีใจมากเลยนะ รีบกลับมาหาแนน ตอนแรกเห็นปะที่ปอขับรถไป แล้วขับออกมา ตอนแรกนั้นปอก็อยากจะเข้าไปคุยกับแนนนะ แต่กลัวจะทำให้แนนลำบากใจเลยกลับออกมาก่อนดีกว่า”
“แล้วปอรู้ได้ยังไงว่าแนนคิดถึงปอ” แนนถามผมด้วยความสงสัย
“ก็ปอเห็นแนนเอารูปกลุ่มค่ายของปอไปติดไว้ที่บ้านแนน ก็เลยรู้ว่าแนนยังคิดถึงปออยู่ จริงไหม” ผมถามกลับเพื่อดูว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นถูกไหม
“ก็ถูกของปอแหละ เออ...ถามจริงเถอะนะ ปอไม่เสียใจ หรือโกรธแนนบ้างเลยหรอ ที่แนนทำแบบนั้นกับปอ”
คำถามนี้ผมยินดีตอบด้วยความเต็มใจเลยครับ โดยผมตอบไปว่า
“ปอเสียใจมากด้วย โกรธแนนมากด้วยรู้ไหม ที่แนนทำแบบนั้นกับปอ แต่รู้ไหมมีวันหนึ่ง ปอได้มีโอกาสได้เห็นเหมือนที่แนนเห็น ปอก็เข้าใจความคิดของแนนนะว่าแนนคิดยังไง ปอก็เปลี่ยนจากความโกรธ มาเป็นความเข้าใจแนน และคำขอโทษ”
แนนทำหน้างงๆและถามผมกลับว่า
“ปอพูดอะไรแนนไม่เข้าใจ ปอเห็นอะไรเหมือนที่แนนเห็นหรอ แล้วทำไมปอต้องมาขอโทษแนนด้วย ปอไม่ได้ทำอะไรผิดนะ”
“ปอจะขอโทษที่ปอทำให้แนนผิดหวัง ปอรู้นะทำไมแนนชอบปอ แต่มันคงสายไปแล้วแหละ ปอเพิ่งรู้เมื่อวันที่ปอได้มีโอกาสได้เข้าไปทำงานในโรงพยาบาล ปอเลยรู้ว่าแนนคิดยังไงกับการเป็นพยาบาล และเข้าใจว่าทำไมแนนอยากมาอยู่ที่นี้ ปอรู้ตัวเองดี ตลอดเวลาที่แนบคบกับปอ ปอทำแต่สิ่งที่แนนไม่ชอบ ไม่เคยใสใจในรายละเอียดของแนน ไม่เคยใส่ใจแนนเลยว่าแนนชอบยังไง...” ผมยังพูดไม่ทันจบแนนก็ตะโกนออกมาว่า
“พอแล้วปอ...” จากนั้นแนนก็ร้องไห้อีกแล้ว ผมเงียบทันที
“พอแล้วปอ...เรื่องเก่าๆแนนก็ไม่อยากคิดถึงมันหรอก แนนเองก็ผิดเหมือนกันแหละ ที่ไปกำหนดชีวิตปอ ว่าปอต้องเป็นแบบโน้นแบบนี้ แต่พอมันไม่ใช่ แนนก็ทิ้งปอไปแบบไร้เยื่อใย แนนก็รู้สึกผิดพอกันแหละ รู้สึกผิดจนไม่กล้ากลับไปหาอีกเลย ทั้งๆที่จริงอยากจะไปหาปอใจจะขาด” แนนพูดไปร้องไห้ไป ก็อย่างที่ผมคิด แนนเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าผม
ผมหยิบกระดาษทิชชูไปให้แนนเช็ดน้ำตา และเอามือแตะที่ไหล่แนน พร้อมกับบอกว่า
“อืม...มันผ่านไปละแหละ ตอนนี้ไม่มีใครติดใจใครแล้วนะ”
จากนั้นแนนก็ร้องไห้อีกสะพัก พอแนนเลิกร้องไห้ผมก็บอกแนนว่า
“เรารีบไปไหว้คุณยายกันก่อนเถอะ เดียวจะเย็นเสียก่อน”
จากนั้นผมกับแนนก็ลงจากรถ และกำลังจะเดินขึ้นไปบนเนินเล็กๆแห่งหนึ่ง แนนถามผมว่า
“แนนจับมือปอได้ไหม”
ตอนนี้คำถามของผมข้อต่อไปคือ ผมกับแนนจะเป็นยังไงกันดี ความรู้สึกผมตอนนี้คือ แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว ผมไม่อยากให้มันไปไกลกว่านี้ เพราะมีอะไรหลายๆอย่างที่ผมยังไม่พร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมยังคงต้องกลับไปเผชิญความจริงที่กรุงเทพอีก ผมจึงตัดสินใจตอบแนนไปว่า
“อย่าเลยแนน ตอนนี้เราก็ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว อย่าทำไรให้มันดูเกินเลยกว่าเพื่อนเลยนะ”
“แนนรู้ตัวเองว่าเราคงไม่เหมาะที่จะเป็นแฟนกันหรอก ชิวิตของแนนกับปอมันอาจจะไม่มีวันบรรจบกันหรอก แต่แนนอยากให้ปอรู้ว่า ปอไม่ใช่เพื่อนธรรมดาของแนน ปอทำให้ชีวิตแนนมีความสุข มีความทุกข์ ปอทำให้แนนรู้อะไรมากมาย นานๆปอจะมาหาแนนที ช่วยทำให้แนนมีความสุขหน่อยนะ แค่จับมือกันเองนะ น่ารักดีออกเหมือนเด็กๆ” แนนพูดแล้วก็ยิ้มๆเหมือนเด็กๆจริงๆ
ผมก็รู้สึกดีใจนะที่แนนคิดแบบนั้น มันเหมือนเรื่องทุกอย่างที่ค้างคาใจผมมา 3 ปีมันจบลงแล้ว ผมกับแนนกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไม่สิต้องเป็นเพื่อนที่พิเศษด้วย
ผมจับมือแนนเดินขึ้นเนินดินเพื่อเคารพหลุมศพของคุณยายด้วยกัน ผมเองคิดถึงคุณยายเหมือนกัน ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ผมอยากจะบอกท่านว่า
“ผมขอโทษนะที่ผมไม่สามารถรับแนนได้ตลอด แต่ผมสัญญาว่าผมจะเป็นเพื่อนที่ดีกับแนนตลอดไป...”
เรื่องราวต่อจากนี้ไปก็ไม่มีอะไรมากแล้วครับ ผมก็พาแนนกลับ ไปรับคุณลุง แล้วก็กลับบ้านคุณลุง ช่วยกันทำอาหารตามเคย แล้วก็คุยเล่นกับแนนสักแปปก็เข้านอน
ตื่นเช้ามาแนนก็ทำอาหารมือเช้าให้ผมกิน จากนั้นผมก็ขับรถไปส่งแนน แล้วก็ลาแนนตรงนั้นแหละครับ ก็ถือว่ารักแรกของผมนั้นจบลงแล้วครับ เหลือไว้เพียงความทรงจำดีๆ แต่ยังไงก็ตามผมจะไม่มีวันลืมแนนหรอกครับ ถ้าผมมีเวลาว่าง ผมจะแวะไปหาแนนบ่อยๆ

จะว่าไปเรื่องนี้ผมคงต้องขอบคุณอะไรบ้างหละ คงต้องไล่แต่ขอบคุณคุณลุงโตที่ทำให้แนนได้เจอผม ขอบคุณร้านอาหารหน้ามหาวิทยาลัยผมที่ทำให้ผมได้ท้องเสียจนต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่งั้นผมก็คงไม่ได้เจอแนน ขอบคุณหัวหน้าผมที่ให้โอกาสผมไปทำงานที่โรงพยาบาล ขอบคุณแหม่มที่ทำให้ผมคิดได้ และสุดท้ายผมต้องขอบคุณแนนครับ ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเรียนรู้ความรัก ความเศร้า และมุมมองของชีวิตมากมาย ที่ทำให้มุมมองของชีวิตผมเปลี่ยนไปตลอดกาล...



Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2553 16:47:53 น. 0 comments
Counter : 564 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

M|B
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ไม่มีไรบรรยาย เหอๆๆ
Friends' blogs
[Add M|B's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.