น ก ก ร ะ จิ บ เ ล่ า เ รื่ อ ง
ธรรมะเป็นคำตอบของคนหนุ่มสาว
Group Blog
 
All Blogs
 

จดหมายถึงพระจันทร์ ฉบับที่ 3

18 เ้มษายน 2548



พระจันทร์ที่รัก
วันนี้ สมาธิฉันดี แต่ฉันคิดเยอะอีกแล้ว...

ฉันเก็บทุกอย่างมาใคร่ครวญหมดเลย
ไม่รู้เป็นบ้าอะไร
สงสัยจะเป็นโรคหลงความฉลาดของตัวเอง
ฉันมี "ความหลง" เยอะแยะมากมายเสียจริง
แก้ไม่ค่อยจะหาย ....

ฉันรู้ทั้งรู้ว่า การคิด ไม่ใช่ทางไปให้ถึงการสิ้นทุกข์ได้
แต่กลับทำให้กิเลสของฉันยิ่งขุ่นฟุ้งขึ้นมา

พระจันทร์ที่รัก
วันนี้ ฉันพยายามนั่งสมาธิสักสองชั่วโมง
แต่ฉันก็ทำได้แค่ 15 นาที
หลวงปู่บอกว่า ปรมัตถบารมีของฉันยังไม่เกิด
ฉันยังไม่ยอมตายเพื่อสมาธิได้

ฉันขุดคุ้ยกิเลสขึ้นมาจนขุ่นเต็มไปหมดเลย
ทำสมาธิแล้วกิเลสนองก้น ฉันก็ยังไปดูกิเลสมัน
จนมันฟุ้งขึ้นมา แต่ไม่หาวิธีทำให้กิเลสมันหมดไป

มันนองก้นแล้ว ฉันก็ยังไปดูมันจนมันกระเพื่อม
แล้วก็เบื่อ หน่าย เหนื่อยกับตัวเอง ทำไมมันเยอะอย่างนี้

หลวงปู่บอกว่า ให้ฉันดูด้วยสมาธิ
อย่าให้มันฟุ้งไปกับกิเลส
ฉันหายใจเยอะๆ แต่ดูเหมือนไม่มีลมหายใจ
ทั้งที่หายใจมากแล้ว แต่ทำไมเหมือนกับว่า ต้องหายใจมากกว่านี้อีก

เฮ้อ ...เหนื่อยกับตัวเองเหลือเกิน
ทำ พูด คิด เจือไปด้วยกิเลสทั้งหมด
เบื่อความเป็นปุถุชนของตัวเอง
มันสกปรกเหลือเกิน

หลวงปู่บอกว่า เห็นกิเลสแล้วต้องหาทางแก้ไข
อย่าไปฟุ้งกับมัน

วันนี้ ฉันแพ้กิเลสของตัวเองอีกแล้วล่ะ พระจันทร์ที่รัก
ตอนนั่งสมาธิ ฉันกะว่าจะให้มันตายไปพร้อมกับอาการเมื่อยขา เมื่อยหลังของฉัน
ดูสิว่า จะตายไปกับกิเลสหรือเปล่า
จะตายในกรรมฐานหรือเปล่า
ในที่สุด ฉันก็ต้องแพ้มัน ล้มตัวลงนอนจนได้

ไว้วันดีคืนดี ฉันจะต้องชนะมันให้ได้
บารมีของฉันยังน้อย
โดยเฉพาะ ปรมัตถบารมี

พระจันทร์ที่รัก
มีแต่คนชอบบ่อยว่า บารมีคงยังไม่ถึง คงไปถึงการสิ้นแห่งกองทุกข์ไม่ได้
ฉันว่า ไม่จริงหรอก
บารมีน่ะเป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าบารมีถึงแล้วทำไม่ถูกอุบาย ก็ไปถึงไม่ได้
ถ้าบารมีไม่ถึง ทำถูกอุบาย ก็สั่งสมบารมีจนถึงการสิ้นแห่งกองทุกข์ได้

บางคนบอกว่า สมถกรรมฐาน ได้แค่โลกียสมาธิ
วิปัสสนากรรมฐาน ไปถึงพระนิพพานได้
แต่ความเป็นจริงก็คือ วิปัสสนาจะเกิดได้ต่อเมื่อสมาธิถึงที่แล้ว
ถ้าสมาธิไม่ถึงที่ แล้วไปพิจารณา ไปเพ่งดูกาย ก็ได้แค่สมถะ
ยังไม่ถึงวิปัสสนาได้

วิปัสสนา คือ ปัญญาที่จะเกิดขึ้น
ทำให้เราเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องไปครุ่นคิด ไม่ต้องไปพิจารณา
เราเห็น ไม่ใช่เรารู้
ที่จริง เราก็รู้อยู่แล้วว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
ถ้าเราเอาหลักนี้มาพิจารณา เราก็จะถูกขวางด้วยความรู้ของเรา
แต่ถ้าเราทำสมาธิให้นิ่ง มั่น แล้วดูเฉยๆ ถึงที่สุดแล้ว วิปัสสนาจะเกิดขึ้นมาเอง
ในที่สุด เราก็จะเห็นกายของเรา เห็นจิตของเรา เห็นความไม่เที่ยง แล้วก็เห็นทุกข์ ขึ้นมา สุดท้ายเราก็จะเห็นว่า ไม่ใช่ตนของเราด้วย รวมไปถึงการเห็น ตน ด้วย

ฉันเคยทรงสมาธิจนกระทั่งเห็นตัวเองเป็นหุ่นยนต์ จิตอยู่ท่ามกลางอก จิตกับกายแยกกัน
นั่นคือ วิปัสสนาขั้นต้นเกิดขึ้นแล้ว
แต่ฉันยังคงที่ไม่พอ วิปัสสนาขั้นต่อไปก็ยังไม่เกิดขึ้น
กิเลสของฉันจึงหลุดไปไม่ได้ เพราะฉันยังไม่เห็นทุกข์ชัด

พระจันทร์ที่รัก
บางที ฉันก็เห็นว่า หลายคนปฏิบัติแบบผิดๆ นะ
แต่ฉันพูดไม่ได้หรอก ... ฉันจะชี้ให้เขาเข้าใจสิ่งถูกไม่ได้
ขอให้ฉันแตกฉานมากกว่านี้ก่อนเถอะ

บางอย่างฉันรู้อยู่เต็มหัวอก แต่ฉันก็ได้แต่นิ่ง ....
ถ้าฉันพูดอะไรออกไป ก็ยังเจือไปด้วยกิเลสของปุถุชนอยู่ดี
แม้จะหวังดี อยากให้เขาปฏิบัติให้ถูกอุบาย
ลึกๆ ของฉัน ก็ยังมีความรู้สึกอยากเอาชนะเขา มานะของฉันพุ่งฟู และข่มเขาอยู่ในที
รวมไปถึงนึกเคืองและดูหมิ่นเขาอีกว่า ทำไมไม่รู้ความจริงสักที ทำไมโง่อย่างนี้
ตรงนี้... ถ้ามันยังอยู่ในจิตในใจของฉัน ยังหลุดไม่ได้
ฉันก็ไม่ควรจะแสดงธรรมะกับใครเลย
แทนที่จะเกิดประโยชน์ ชี้ความจริงให้เขาเห็นชัดๆ
กลับกลายเป็นเสียไปซะแล้ว

มันกระอักกระอ่วนจริงนะ ... พระจันทร์ที่รัก
ฉันรู้อยู่เต็มหัวอกว่า สิ่งถูกคืออะไร
แต่ฉันไม่อาจพูดได้แสดงออกมาได้
ทั้งที่ในใจกิเลสของฉันก็ร่ำร้อง อยากจะพูด อยากจะบอก เสียเหลือเกิน
อยากจะอวดเสียเหลือเกินว่า ฉันรู้มากกว่า นะ
ตัว "ฉันๆๆๆ" มันเยอะแยะ เพิ่มพูน

เวลาฉันเขียนจดหมายถึงเธอนี่นะ
ฉันต้องใช้สมาธิในการเขียนอย่างมาก
ใคร่ครวญ ระวัง เป็นอย่างมาก
แผ่เมตตาฌาน เป็นอย่างมาก
ชำระกิเลสให้มันจมนองก้นไปซะ
เขียนด้วยสมาธิว่างๆ เปล่าๆ ไปอย่างนั้นแหละ
เพื่อที่จะไม่ให้ "ตัวตน" ของฉันเพิ่มพูนขึ้น
แล้วเกิดเป็นมานะ ดูหมิ่นใครๆ

มานะ 3 ตัว อาการ 9 อย่าง พระพุทธองค์แสดงไว้แล้ว
เราดีกว่าเขา เห็นว่า เราดีกว่าเขา
เราดีกว่าเขา เห็นว่า เราเสมอเขา
เราดีกว่าเขา เห็นว่า เราเลวกว่าเขา

เราเสมอเขา เห็นว่า เราดีกว่าเขา
เราเสมอเขา เห็นว่า เราเสมอเขา
เราเสมอเขา เห็นว่า เราเลวกว่าเขา

เราเลวกว่าเขา เห็นว่า เราดีกว่าเขา
เราเลวกว่าเขา เห็นว่า เราเสมอเขา
เราเลวกว่าเขา เห็นว่า เราเลวกว่าเขา

ตัว "เรา" ตัว "เขา" นี่น่ะ
ฉันยังมีอยู่เต็มๆ เลย
ต้องยอมรับให้ได้ว่า ฉันยังมีเยอะแยะ
เพื่อที่จะได้ปรับปรุงให้มันค่อยๆ จางไป

พระจันทร์ที่รัก
เดี๋ยวฉันจะไปซื้อเทปมาสักม้วนสองม้วนนะ
ฉันจะอัดเสียงตัวเอง
อ่าน "กุณฑริยสุตตกถา" ที่หลวงปู่เคยแสดงไว้แล้วมานั่งฟังเสียงตัวเองดู
ฉันเคยทำ ฉันเห็นกิเลสและตัวยึดอยู่ในเสียงของตัวเอง
ฉันเปิดฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก
เหมือนที่หลวงปู่ท่านติเตียนฉันทุกอย่างเลย
"พูดไม่จบเป็นคำๆ พูดเสียงสูงๆ ต่ำๆ ให้ฟังดูดี พูดอารมณ์ไม่สม่ำเสมอ ไม่คงที่ พูดเพื่ออวด"
เป็นหมดเลย ฉันเห็นกิเลสของตัวเองอยู่ในนั้น
มันยึดอยู่แน่นกับตัวตนของฉัน

ฉันต้องฝึกพูดบ่อยๆ
เพื่อที่ว่า จะได้จัดการอาการบ้ากามของฉันให้หมดไป
ฉันเล่าให้หลวงปู่ฟังว่า ฉันรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนบ้ากามจริงๆ
สำเร็จความใคร่ด้วยการพูด

ท่านหัวเราะชอบใจ
บอกว่า ไอ้รุ่งมันไม่เอาผู้ชายแล้ว
แต่มันยังชอบพูด มันเอาอารมณ์บ้ากามมาใส่การพูดของมัน
ท่านชอบใจมากที่ฉันเห็นตัวเองได้อย่างนี้
และฉันจะพยายามทำให้ดีขึ้น

กิเลสมันฟุ้งๆ ให้ฉันเห็นซะเรื่อย ...
ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์ที่ดีคอยแนะคอยบอกว่า ฉันติดตรงไหนบ้าง
ฉันคงหลงตัวหลงตนอยู่นั่นแล้วว่า ฉันเป็นคนดี ฉันเป็นคนเก่ง

พระจันทร์ที่รัก
ฉันช่างเป็นคนโชคดีเสียเหลือเกิน
แล้วฉันจะตั้งใจเขียนบันทึกธรรมะอีกนะ
มีคนสนับสนุนให้ฉันรวมเล่ม
หลวงปู่ถามว่า คนนั้นเขาติดใจอะไรที่ฉันเขียน
ฉันบอกว่า เขาชอบที่ฉันเขียนคอลัมน์ ไหว้ครู หลวงปู่เจือ สุภโร และสนใจจะไปกราบท่าน
ฉันจะเขียนในส่วนนั้นเพิ่มอีก
แต่ฉันยังนึกไม่ออกว่า จะเขียนอะไรดี
ฉันต้องเขียนด้วยความเคารพอย่างสุดหัวใจทีเดียว

เอาละ .. พระจันทร์ที่รัก
หมดเวลาของเธอแล้วนะ
ฉันคุยกับเธอแค่นี้ก่อนล่ะ
ไว้มีอะไรจะมาเล่าให้เธอฟังอีกนะ

หวังว่า วันหนึ่ง อาการบ้ากามของฉันจะลดลงด้วย
แล้วจะมาเล่าให้เธอฟังอีกว่า เกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง

ขอให้เธอมีความสุขตามสภาวะที่เธอเป็น

ยังรักเธอเหมือนกับรักโลก
นกกระจิบฟองน้ำ




 

Create Date : 18 เมษายน 2548    
Last Update : 19 เมษายน 2548 0:35:39 น.
Counter : 289 Pageviews.  

จดหมายถึงพระจันทร์ ฉบับที่ 2

17 เมษายน 2548



พระจันทร์ที่รัก
วันนี้ ฉันมีเรื่องเล่าให้เธอฟังอีกแล้ว
ฉันไปหาหลวงปู่มา
วันนี้ ฉันเล่าเรื่องที่ฉันคุยกับใครๆ ให้ท่านฟังด้วยแหละ

ฉันบอกว่า เมื่อคืนฉันคุยกับเพื่อนฉันคนหนึ่ง
ฉันถามเขาว่า เขาอยู่กับลูกๆ หรือ?
เขาตอบว่า เขายังไม่แต่งงาน แต่เขาอยากแต่งงาน
ฉันไล่ต้อนคำถามกับเขาว่า ดีจัง ไม่แต่งงานน่ะ เป็นบุญ
เขาบอกว่า เขาจะแต่งแล้ว
ฉันบอกว่า อยู่ดีไม่ว่าดีหรือไง หาเรื่องใส่ตัว แกว่งเท้าหาเสี้ยน
เขาก็บอกว่า ความรักมีทั้งทุกข์ทั้งสุข
ฉันแย้งว่า ในโลกไม่มีความสุขแท้หรอก มีแต่ความทุกข์ ทุกข์ปกปิด กับ ทุกข์ไม่ปกปิด
เขายังเชื่อว่า ความรักเป็นทั้งทุกข์และสุข อย่าไปคิดว่าเป็นภาระสิ อย่าไปหนีมัน อย่าคิดว่าทุกข์แล้วไปท้อแท้กับมัน
ฉันก็บอกเขาว่า ฉันไม่เคยท้อแท้กับทุกข์หรอก เพราะทุกข์เป็นปกติของโลกอยู่แล้ว โลกไม่มีอะไรเป็นสุขแท้ และก็ฉันจะชี้ความจริงให้เห็น
เขายังย้ำกับฉันว่า จริงๆ แล้ว ความรักก็มีทั้งทุกข์และสุข
ฉันก็โต้เขากลับไปอีกว่า ไม่หรอก ความรักไม่ใช่สุข เราหลงทุกข์สำคัญว่าเป็นสุข เหมือนแมลงวันตอมขี้ เราคิดว่า กิเลสเป็นของหอมหวาน ทั้งที่มันสกปรก
ดูเหมือนเขาจะอึ้งๆ และก็เข้าใจได้
แต่ไหง ... ในที่สุด เขาก็ยังคิดว่า ความรักมีทั้งทุกข์ทั้งสุขอยู่ดี

ฉันจึงเรียนถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่เจ้าคะ รุ่งไปบอกเขาว่า เหมือนแมลงวันตอมขี้นี่เหมาะสมหรือไม่ประการใดเจ้าคะ
ท่านตอบว่า ถ้าเขาไม่โกรธ มันก็ไม่น่าจะไม่เหมาะสมหรอกนะ

แต่ระหว่างที่ฉันเล่าๆๆ
ท่านก็ทำสีหน้านิ่งเฉย ไม่ยินดีด้วย
เหมือนท่านจะดุอยู่ในทีว่า ฉันเล่าเพื่ออวด

ฉันก็อยากอวดอยู่ดีแหละว่า ฉันพูดธรรมะกับคนอื่นด้วยนะ
มันอดไม่ได้จริงๆ

ฉันเล่าให้ฟังว่า ฉันคุยกับพี่คนหนึ่ง
พี่คนนั้นถามฉันว่า ธรรมะคืออะไร
ฉันบอกว่า ธรรมะอยู่เต็มโลกไปหมดเลย
พี่เขาบอกว่า สมาธิในวันนี้ของฉันนิ่งดี
ฉันก็บอกว่า นิ่งก็งั้นๆ แหละ สมาธิก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวนิ่งได้ เดี๋ยวก็ฟุ้งได้
เขาบอกว่า ให้ทำให้สงบ นิ่งๆ เข้าไว้
ฉันตอบเขาว่า นั่นมันก็ติดฌาน ติดความสงบ ติดสมาธิ นั่นสิ มันไม่เที่ยง แต่เราไม่เห็นมัน
เขาก็แนะฉันว่า ก็ทำให้ไม่ติดก็ได้
ฉันก็โต้กลับไปอีกว่า ถึงทำให้ไม่ติดได้ คิดว่าเราไม่ติดแล้ว ไม่ติดแล้ว แต่ความจริงเราก็ยังติดอยู่ โดยที่เราไม่รู้ว่า เรากำลังติด
เขาก็อุทานว่า โอ้ววว น้องรุ่งพูดได้ยังไง คิดว่าไม่ติด แต่ไม่รู้ว่าเรากำลังติด

ฉันยินดีมากๆ ที่พูดให้เขาเข้าใจได้ ฉันจึงเล่าให้หลวงปู่ฟัง
ท่านก็ฟังนิ่งๆ
สรุปว่า ฉันก็ยังขี้โม้อีกตามเคยนะ พระจันทร์ที่รัก

พระจันทร์ที่รัก
วันนี้ สมาธิฉันดีขึ้นเยอะเลย แต่ฉันก็ยังเบื่อกิเลสตัวเองเหมือนเดิม
หลวงปู่ท่านบอกว่า ไอ้รุ่งมันทำกรรมฐานกลัวตาย พออึดอัดหน่อย ก็เลิกทำ ท่านบอกว่า อะไรเกิดขึ้นก็ให้มันเกิดไป จะไปท้อแท้กับมันทำไม อย่าไปยอมมัน
ฉันก็คิดว่า เป็นจริงอย่างที่หลวงปู่ว่าทุกประการ

วันก่อน ฉันอึดอัด กิเลสมันโผล่ขึ้นมา
ฉันนั่งเพ่งจ้องมัน มันยึดจนเจ็บปวดไปหมดเลย
ฉันอึดอัด และก็จะเป็นจะตาย
ฉันคงที่ไม่ไหว ฉันจึงหยุดเสีย

เป็นเช่นนี้ประมาณสี่ห้าครั้งแล้ว
อาการอย่างนี้ ... แต่ฉันไม่มั่นพอ
ฉันจึงไม่สามารถรู้แจ้งเห็นอะไรได้

พระจันทร์ที่รัก
วันนี้ ฉันฟังหลวงปู่แสดงธรรมหลายเรื่องเลย
ฉันฟังแล้วสงบดีจริงๆ
แต่แปลกจัง ... ทำไมฉันถึงทบทวนเอามาเล่าให้เธอฟังทั้งหมดไม่ได้
มันซึมเข้าไปในจิตในใจจนไม่อาจจะถ่ายทอดออกมาได้

ฉันเขียนจดหมายถึงเธอ
เพื่อต้องการถ่ายทอดธรรมะ
แต่บางคนเขาคิดว่า ฉันฟุ้ง ฉันเพ้อ
ฉันไม่สนใจหรอก...
ถ้ามันเกิดประโยชน์ต่อใครๆ ได้ ฉันก็จะทำ
ฉันไม่สนใจว่า อะไรจะเกิดกับฉัน
ของมันเป็นประโยชน์ ยังไงๆ ก็ยังคงประโยชน์

พี่คนหนึ่งมักจะบอกว่า ฉันเหงา
ฉันเองก็ทบทวนเสมอว่า เหงาจริงอย่างนั้นไหม
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงใช่อยู่หรอก
ฉันมักจะอารมณ์เหงาเสมอๆ เวลาค่ำคืน หลังฝนตก
และมันเจ็บปวดข้างใน
ฉันเรียกอารมณ์นี้ว่า อารมณ์เปลี่ยว

แต่ตอนนี้ ...
ฉันพยายามทำตัวเองให้เหงาๆ
ฉันกลับทำไม่ได้สักที
ฉันทรงสมาธิแล้วฉันก็สบาย ฉันรู้สึกว่า สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ตรงนี้เอง
สติที่ทรงไว้กับกายกับจิต
ไม่ต้องไปหาที่ยึดที่เหนี่ยวจากที่ไหน

เมื่อก่อน ฉันต้องการใครสักคน
ใจฉันลอยไปไกลสุดขอบฟ้าเพื่อหาใครที่ฉันจะรัก ฉันจะห่วงได้
แต่ตอนนี้ ฉันคิดว่า อะไรๆ ก็ไม่สำคัญเท่าตัวฉันเอง
เท่ากับการรู้ความต้องการของตัวเอง ณ เวลานี้ ขณะนี้

ฉันพยายามลองเหงาดูอีกสักครั้งนะ ...
แม้อารมณ์ยามเย็นๆ มันจะเงียบเหงา
มันเคว้งคว้าง มันโพล้เพล้ มันวังเวง
แต่ฉันกลับสงบใจดีเหลือเกิน

ลำพัง ... แต่ไม่โดดเดี่ยว
อยู่เพียงลำพัง .... สบายดีเหลือเกิน
แต่ความโดดเดี่ยวนี่ เหมือนไม่มีใคร ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนเข้าใจ มันโหยหา
ฉันลองโหยหาดูดีกว่า

ฉันก็ทำไม่ได้ ....
เพราะฉันเข้าใจความจริงอย่างหนึ่งว่า ใครๆ ก็เข้าใจฉันไม่ได้เท่าตัวฉันเองหรอก
จิตของเขา เขาต้องดูแลเอง
จิตของฉัน ฉันต้องดูแลเอง
ถ้าฉันคิดว่า จะให้ใครมาสนองความต้องการ สนองกิเลสของฉันให้ถูกใจฉัน ฉันคงเป็นทุกข์ให้ตายไปเลย
แค่กิเลสของคนที่ต้องการให้ฉันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามอำนาจอารมณ์ของเขา ฉันต้องอดทนกับมันพอแล้ว
แล้วยังจะต้องมาอดทนกับอำนาจกิเลสของตัวเองที่ให้ทุกสิ่งเป็นดังใจตัวเองอีกหรือ?

วันนี้หลวงปู่พูดเรื่องการทำย้อนกลับ
ฝรั่งเขียนหนังสือบอกว่า ถ้าจะให้เราคิดถึงช้าง เราจะนึกไม่ออก
เราต้องทำย้อนกลับว่า เราจะไม่นึกถึงช้าง เราจะเห็นภาพช้างชัด
กรรมฐานก็เหมือนกัน ...
มีคนฝึกกรรมฐานกายคงที่ จิตคงที่
แล้วเจอผู้หญิง ก็ยังยินดีกับผู้หญิงอยู่
พยายามข่มจิตไม่ให้ยินดี ก็ทำไม่ได้
ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

จึงใช้อุบายใหม่ ...
เอ้า .. คิดเข้าไป
คิดถึงผู้หญิงคนนั้นอีก ปรากฏว่า เห็นผู้หญิงเป็นเพียงภาพภายนอก
แต่ภายในก็มีตับไตไส้พุงสกปรกเหมือนๆ กับเขานี่แหละ

พอนึกถึงผู้หญิง ก็นึกถึงตัวเอง
กรรมฐานก็เกิดขึ้นชัด เห็นชัดจนกระทั่งบรรลุธรรม
ด้วยการทำย้อนกลับเช่นนี้เอง

พระจันทร์ที่รัก
เมื่อวานฉันลืมเล่าให้เธอฟังว่า ฉันก็ใช้วิธีนี้อยู่เหมือนกัน
ฉันคิดฟุ้งจนหยุดไม่ได้
หลวงปู่สั่งว่า ให้หยุดนึก หยุดคิด
ฉันทำได้ชั่วเวลาขณะหนึ่ง
แล้วอาการฟุ้งของฉันก็กลับมาใหม่อีก

ฉันจึงใช้วิธีนี้ มันรำคาญเหลือเกิน
เอ้า ... อยากจะคิดก็คิด คิดซะให้พอ
ฉันพยายามคิด ทันทีที่ฉันจะคิดฟุ้ง
ฉันกลับไม่คิดมันซะนี่
เออ .. ทำไมไม่คิดวะ
นิ่งได้เป็นนานเลย

นี่แหละ เขาเรียกว่า ปฏิโลม
การที่เราคิดตามความเป็นจริง เรียกว่า อนุโลม
หลวงปู่ท่านแปลให้ฟังว่า ปฏิโลม มาจากคำว่า ปฏิ แปลว่า ขน โลม แปลว่า ขน คือการกลับขน
อนุโลม เป็นการลูบตามขน
ถ้าเราลูบกลับขนได้ เราก็ถอนขนได้ง่ายกว่าการลูบคลำขนใช่ไหม

ฉันเปลี่ยนท่วงทำนองการเขียนจดหมายถึงเธอซะใหม่นะ พระจันทร์ที่รัก
เพื่อไม่ให้เป็นการเพ้อเกินไป
จุดประสงค์ที่แท้จริงของฉันที่เขียนจดหมายถึงเธอก็เพื่อการถ่ายทอดการปฏิบัติธรรม
ให้คนอ่านอ่านแบบง่ายๆ ไม่รู้สึกว่า อ่านธรรมะ
ให้เหมือนๆ อ่านวรรณกรรม

แต่ผลเสียที่เกิดขึ้นตามมา ...
ฉันเห็นว่า กลายเป็นว่า ฉันเขียนเพื่อเพ้อ เพื่อระบาย
ฉันเกรงว่า ประโยชน์จะไม่ได้เต็มที่
ฉันอยากให้คนทั่วๆ ไปอ่านธรรมะได้
เพราะธรรมะอยู่เต็มโลก

ฉันเพียรหาสื่อต่างๆ นำเสนอความจริงของโลก
ประกาศให้คนเข้าถึงอย่างง่ายๆ เป็นเรื่องใกล้ตัว
ฉันไม่จำเป็นต้องมาเพ้อให้เธอฟังหรอก
เพียงแต่การเขียนจดหมายเช่นนี้ จะทำให้สะท้อนอะไรออกมาได้ชัด
เห็นความสมจริงมากกว่าการที่ฉันจะบอกอะไรใครตรงๆ

การสื่อสารนี่สำคัญ...
บางที หลวงปู่ก็เสียงดังใส่คนหลงผิด
บางที หลวงปู่ก็พูดเป็นเชิงไม่มีสาระ
บางที หลวงปู่ท่านก็นิ่งเฉยเสีย
และบางที หลวงปู่ท่านก็หัวเราะ
แล้วแต่สถานการณ์นั้นๆ ที่เกิดขึ้น ...
เป็นอุบายในการแสดงธรรมของท่านให้เหมาะกับเหตุการณ์ บุคคล และกาล

ฉันก็คิดเช่นนั้น
ความจริงบางอย่าง เหมาะจะใช้สื่ออย่างนี้ สำหรับคนกลุ่มนี้
ความจริงบางอย่าง ไม่เหมาะจะพูดให้ใครฟังเลย
ความจริงบางอย่าง เหมาะจะพูดในเวลานี้เท่านั้น
ต้องทำให้เหมาะสม ....

ฉันเป็นปุถุชน
ฉันไม่รู้หรอกว่า ฉันควรพูดให้เหมาะสมได้อย่างไร
แต่ฉันต้องตั้งสติมากๆ เวลาที่จะถ่ายทอดอะไรออกไป
เพราะธรรมะบางอย่าง เป็นเรื่องที่ยากจะรู้ได้
ต้องตั้งสติมากๆ ว่า ที่แสดงออกไปต้องการให้คนชื่นชม หรือ ต้องการให้คนได้ประโยชน์

แต่ฉันมั่นจิตไว้ว่า ฉันเขียนหนังสือทุกถ้อยคำในบล็อกนี้เพื่อเอื้อประโยชน์ทางธรรม
อยากให้คนศึกษาธรรม อยากให้คนปฏิบัติกรรมฐาน อยากให้คนเข้าใจความจริง
มันเป็นความปรารถนาที่เป็นไปตามธรรม
ไม่ใช่เพื่อสนองกิเลส

สิ่งที่ฉันพิจารณาเสมอๆ นะ พระจันทร์ที่รัก
นั่นก็คือ ฉันทำไปนั้น เป็นไปตามธรรม หรือ เป็นไปเพื่อกิเลส
ฉันจึงค่อนข้างใคร่ครวญอย่างไม่หยุดนิ่งสักที

เฮ้อ ... ฉันชักจะห่วงคนอื่นมากไปเสียแล้ว
ฉันขอตัวไปทำความเพียรก่อนนะ พระจันทร์ที่รัก
ขอให้เธอปฏิบัติภาระหน้าที่เป็นไปตามวาระของเธอ
ส่วนฉันก็จะปฏิบัติภาระหน้าที่เพื่อเป็นไปตามวาระของฉัน
ฉันจะไปทำความเพียร ไปซักผ้า ไปล้างจาน ไปเก็บห้องให้เรียบร้อยสักที
ฟุ้งในกรรมฐานซะจนไม่ทำกิจของตัวเองให้เรียบร้อยมาหลายวันแล้ว

ลาไปก่อนนะ พระจันทร์ที่รัก
ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเล่าให้เธอฟัง ฉันคงหายไปบ้าง
ไม่มีการผูกขาดว่า จะเขียนถึงเธอทุกวัน
ไม่มีการผูกมัดว่า ฉันจะต้องเอาเรื่องราวที่หลวงปู่สอนมาบอกกับเธอ
ไม่มีการผูกพันว่า ทุกเรื่องในชีวิตของฉันจะต้องบันทึก
ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรม ไม่ใช่สนองกิเลสหรือความต้องการ

ขอให้เธอมีความสุขในทุกคืนนะ พระจันทร์แสนรัก
นกกระจิบฟองน้ำ




 

Create Date : 17 เมษายน 2548    
Last Update : 17 เมษายน 2548 19:08:04 น.
Counter : 284 Pageviews.  

จดหมายถึงพระจันทร์ ฉบับที่ 1

16 เมษายน 2548 (วันนี้เป็นวันพระ)



พระจันทร์ที่รัก
หัวค่ำวันนี้ ดูเหงาๆ นะ ...
เหงาจนกระทั่งฉันคิดว่า ฉันสงบ นิ่ง พอที่จะไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจ
แต่มันเป็นความหลง

พระจันทร์คืนขึ้น 8 ค่ำ วันนี้คล้ายผลแตงโมเลย
เธอรู้ไหมว่า ฉันหลงโลก เหมือนหลงเธอ
หลงว่า เธอเป็นพระจันทร์จริงๆ
หลงจนฉันต้องเขียนจดหมายถึงเธอ

ฉันหลงว่า ฉันเป็นคนดี ทำสมาธิได้ดีๆ
ฉันหลงว่า ฉันมีความรู้ทางธรรมะดี หลงว่า ฉันเข้าใจชีวิตดี มีมุมมองเกี่ยวกับชีวิตที่ดี
ฉันหลงว่า ฉันเป็นคนมีเมตตา ฉันรักคนอื่น
ฉันหลงในความเป็นฉัน

วันนี้ ฉันไปทำบุญมา
ฉันหลงคิดว่า ฉันเป็นคนเข้มแข็ง ฉันอยู่เพียงลำพังได้ ฉันไม่ต้องการให้ใครมาดูแลหรือเอาใจใส่ฉัน
ฉันไม่ต้องการเสพกาม ฉันไม่ต้องการมีสามี
แต่ฉันก็ยังถูกหลวงปู่ดุฉันอีกว่า ฉันบ้ากาม
เพราะฉันพูดมาก

หลวงปู่ท่านดุฉันว่า การพูดมากนั้น เป็นกามอย่างหนึ่งเหมือนกัน
เพราะฉันอยากพูด ฉันพูดแล้วมีความสุข ที่จริงไม่ใช่ความสุขหรอก มันเป็นความหลงทุกข์
สำคัญว่ามันเป็นความสุข

ฉันคิดถึงหลักของซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่บอกว่า คนเราอยู่ด้วยสัญชาตญาณทางเพศ
พอท่านดุฉันว่า ฉันบ้ากาม ฉันจึงเข้าใจว่า ฉันคงเป็นโรคสำเร็จความใคร่ด้วยการพูดแน่ๆ เลย
เธอรู้ไหมว่า ฉันอึดอัดเพียงใดกับการที่ฉันไม่ได้พูดคุยกับใคร
ไม่ได้สื่อสารอะไรกับใคร
ฉันจะกระอักอกตายเสียให้ได้

มันเป็นทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ นะนั่น ....
พระจันทร์ที่รัก ... เธอคงเข้าใจฉันดี
ชีวิตฉันในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับเวลาราตรี
ที่รอให้ถึงเวลาแจ้งแจ่มแห่งแสงตะวันเพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากความสลัวลาง ความไม่ชัดเจน และความโง่เขลามืดมนในจิตใจ

พระจันทร์ที่รัก ....
ความหลงของฉันนั้นมีมากเกินบรรยาย
ฉันหลงตนเสมอ และในทุกๆ ครั้งที่ได้รับคำสรรเสริญ
ใครสักคนเข้ามาอ่านบล็อกของฉันแล้วชมว่า ฉันเขียนดีเหลือเกิน ฉันดีใจลึกๆ
ฉันพยายามคงที่ที่กายที่จิต ฉันพยายามหายใจลึกๆ ฉันพยายามนึกท้องฟ้ากว้างๆ สว่างๆ ขาวๆ ฉันพยายามนึกแผ่นดินเรียบเสมอทั่วทั้งหมด ฉันพยายามแผ่กระแสจิตไปทั่วโลก
แต่ฉันก็ยังมีหลงตัวหลงตน สำคัญตนว่า เป็นคนเก่งอยู่นั่นแล้ว

พอฉันถูกใครติเตียนขึ้นมา
แม้ฉันจะนิ่งเฉยได้ ฉันสงบได้ เหมือนๆ ฉันยอมรับมันได้
แต่ลึกๆ ของฉันเกิดอาการทุกข์ขึ้นมาแทบที่จะไม่รู้ตัว
ฉันเจ็บปวดลึกๆ บางทีฉันก็ตอกย้ำตัวเองว่า คงเป็นแบบนั้นจริงๆ
บางทีก็ปกป้องตัวเองว่า ฉันดีอยู่แล้ว คนอื่นไม่เข้าใจฉัน
นี่แหละ ... กิเลสที่ฉันเกือบเห็นตามไม่ทันมัน

เธอรู้ไหม?
สิ่งเหล่านี้มันเป็นทุกข์ในใจ เป็นทุกข์ที่ปกปิดซ่อนเร้น
ฉันเบื่อโลกเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ฉันหลงโลกอยู่อย่างนี้นี่แหละ
ฉันหลงว่า โลกเป็นสิ่งจริง คำสรรเสริญ คำติเตียนเป็นสิ่งจริง .... มันช่างโง่เสียเหลือเกิน
ฉันนี่ ร้ายกาจนักนะ มีทั้งความโง่ บ้า หลง ครบสูตรเลยทีเดียว

พี่ปราณีบอกกับฉันในวันนี้ว่า ฉันไม่ควรจะพูดไปติดหัวเราะไป เวลาพูดอะไรให้ยิ้มๆ ไว้
พี่อำนาจก็เพิ่งเตือนฉันไปหยกๆ เมื่อไม่นานเท่าไหร่ในเรื่องเดียวกัน
หลวงปู่ท่านติเตียนฉันในเรื่องนี้เป็นประจำ
แม่สุภัทรก็ติงฉันในเรื่องสติอยู่เสมอมา
พี่วิบอกให้ฉันรู้จักละเอียดในการทำสิ่งต่างๆ
แต่ฉันก็ยังคงที่ไม่พอ ฉันไม่สามารถที่จะแก้ไขตัวเองได้ตลอดเวลา

การติดนิสัยนี่ เป็นผลเสียอย่างร้ายกาจทีเดียว
พระจันทร์ที่รัก ... ฉันอยากเปลี่ยนตัวเองใหม่
ฉันอยากเป็นคนดีกว่านี้
ฉันอยากเอาความขี้เกียจหลุดจากตัวฉันออกไปให้หมดเลย
โอย ... กิเลสของฉันเยอะเหลือเกิน ฉันรำคาญเหลือเกิน ฉันอึดอัดเหลือเกิน ฉันทุกข์เหลือเกิน

มันเจ็บปวดลึกๆ เหมือนกันนะ
เมื่อกิเลสมันปรากฏตัวให้ฉันเห็นชัดๆ อย่างนี้
ฉันต้องทนดูมันเฉยๆ ฉันจะทิ้งมันก็ไม่ได้ เอาไว้ก็ไม่ได้
ฉันจะต้องรู้จักกับมันให้ได้

แต่ตราบใดที่ฉันยังไม่นิ่งพอ
ตราบใดที่ฉันยังไม่คงที่ที่กายที่จิตพอ
ยังมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งกายและจิตไม่ได้
ฉันก็จะรู้จักกิเลสเหล่านี้ไม่ได้

การรู้จักกิเลสเหล่านี้ เหมือนแสงตะวันที่สาดลงมาที่จิต
กิเลสคือความโง่งมที่ฉันยังไม่เคยเห็นมัน มันมืดสนิท มันก็จะหายไปทันที
มันคงหายวับไปเหมือนเอาแสงไปสาดความมืดละมัง
ฉันอยากให้ถึงเวลานั้นเร็วๆ จัง

ฉะนั้น ... ฉันควรทำอย่างไรดี?
ฉันต้องกลับไปทำสมาธิ
ทรงนิมิตท้องฟ้ากว้างๆ จรดขอบฟ้า
แผ่นดินเรียบเสมอ
กายตัวเองทั้งด้านหน้า ด้านหลัง
กายภายนอก กายภายใน
ลมหายใจที่ผ่านทุกรูขุมขน
ลมหายใจทั่วโลก ทั่วแผ่นดิน แผ่นฟ้า
แผ่นดินแผ่นฟ้าที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริง
ทรงนิมิตไว้ให้ครบ ... เพื่อที่ว่า แสงแห่งปัญญาจะสาดส่องให้ฉันเห็นแจ้งอะไรชัดๆ ขึ้นมา

หลวงปู่บอกว่า นิมิตเป็นที่อยู่ของสมาธิ
กสิน 10 กอง พระพุทธองค์ตรัสไว้แล้ว
แต่การเพ่งกสินจะต้องทรงสติสัมปชัญญะไว้ด้วย
สติจะต้องทั่วพร้อมที่กายที่จิต
ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปไหนจะต้องรู้
และลมสั่นสะเทือนภายในก็ต้องรู้

ฉันทรงได้ไม่ตลอดเวลาหรอก
วันนี้ หลวงปู่ท่านดุฉันอีกเรื่องนะ พระจันทร์ที่รัก
ท่านบอกว่า ฉันฟุ้งซ่าน
ฉันหยุดนึกหยุดคิดไม่ได้
พี่ณาเคยบอกว่า สมาธิของฉันแทนที่จะเกิดวิปัสสนา ก็จะกลายเป็นวิปัสสนูปกิเลส
มีโอกาสทำให้คิดฟุ้งหลงคิดไปว่า เราบรรลุธรรมแล้วก็ได้

การหยุดนึกหยุดคิดได้ ทำให้เราไม่หลง
ทำให้เราเห็นชัด
ความคิดความนึกของฉันนี่นะ ... ทำให้ปัญญาถูกบดบังไปหมด

ฉันเข้าใจดีว่า การเจริญกรรมฐาน ไม่ใช่การใช้สมองคิด
แต่ต้องใช้จิตในการดู ดู ดู และก็ ดู
ไม่ใช่การคิดพินิจพิจารณาให้ฟุ้งไป

ความคิดที่ฟุ้งๆ นี่น่ารำคาญเสียเหลือเกิน
เมื่อเช้าฉันก็รู้สึกว่า ฉันทุกข์เพราะความคิดของฉัน
ฉันหยุดมันยากมาก ฉันจึงใช้อุบายใหม่
"เอ้า ... อยากคิดก็คิดซะให้พอ"
มันหยุดคิดได้ด้วยแฮะ ...

หลวงปู่ท่านเคยบอกว่า กรรมฐานช่วยทำให้ความคิดดีขึ้น ปัญญารุ่งเรืองขึ้น
แต่การคิดฟุ้งทำให้ฉันโง่งม
พระจันทร์ที่รัก ... เธอพอเข้าใจไหม
ฉันหมายความว่า การเจริญกรรมฐานแล้วคิดอะไรแล้วจะทำให้เกิดเป็นปัญญา เพราะความคิดเป็นระบบ
แต่ความคิดฟุ้งๆ นอกกรรมฐานของฉันนี่สิ มันขวางปัญญา

ฉันเหนื่อยเหลือเกินพระจันทร์ที่รัก ...
ถ้าวันหนึ่ง ถึงเวลาเช้าของฉันเมื่อจิตของฉันรู้แจ้งแล้ว
ฉันคงไม่มีอะไรคุยกับเธออีกแล้ว
ในยามที่ฉันสลัวลางในยามราตรี ฉันมีเธอนี่แหละที่อยู่ในภาวะเดียวกับฉัน
เดี๋ยวบางคืนเธอก็เต็มดวงแจ่มกระจ่างเหมือนมีปัญญาสว่าง
บางคืน เธอก็มืดดับไปทั้งดวง
ไม่ต่างอะไรจากจิตของฉันหรอก

บางวัน ฉันก็โล่งโปร่ง สมาธิดีเยี่ยม มีปัญญาที่จะเห็นอะไรต่ออะไร
แต่บางวัน กลับหม่นหมอง เห็นอะไรผิดเพี้ยนผิดพลาดไปเสียทั้งหมด
ปุถุชนก็เป็นเช่นนี้แหละนะ

พระจันทร์ที่รัก ....
จิตของพระอริยะ เหมือนท้องฟ้ายามเช้า ยามสาย ยามเที่ยง
เหมือนใบบัวที่มีหยดน้ำหยดลงแล้วไม่สามารถทำให้ใบบัวนั้นเปียกได้ นอกจากกลิ้งอยู่บนใบบัว
เหมือนน้ำใสสะอาดที่ปราศจากตะกอน กระเพื่อมยังไงก็ยังใสสะอาดอยู่อย่างนั้นนั่นแล้ว

ไม่เหมือนจิตของปุถุชนอย่างฉัน
เหมือนท้องฟ้ายามพลบค่ำ ยามหัวค่ำ ยามค่ำคืน
เหมือนกระดาษที่ซับน้ำได้เสมอ
เหมือนน้ำที่แม้ใสสะอาดก็ยังมีตะกอนนอนก้น กระเพื่อมแรงก็มีความขุ่นมัว นิ่งได้ก็ใสราวกระจก

วันนี้ ฉันเหนื่อยแล้วพระจันทร์ที่รัก
ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนของฉันให้ฉันระบายความใคร่ในจิตในใจ
ให้ฉันได้ระบายข้อความและเขียนอะไรออกมาบ้าง
ถ้าฉันหลุดจากความใคร่ เลิกบ้ากามอย่างที่หลวงปู่ท่านติง
ฉันคงไม่มีอะไรเขียนให้เธออ่านยาวๆ อย่างนี้หรอก

ขอให้เธอมีความสุขนะ ... พระจันทร์ที่รัก
ขอให้ฉันมีความสุขด้วยนะ
ขอให้คนที่เข้ามาอ่านจดหมายของฉันมีความสุขทุกคนนะ

ยังรักเธออยู่นะพระจันทร์เพื่อนร่วมทุกข์แสนรัก : )
นกกระจิบฟองน้ำ




 

Create Date : 16 เมษายน 2548    
Last Update : 17 เมษายน 2548 18:57:29 น.
Counter : 285 Pageviews.  

1  2  3  

แดดเช้า
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[จะเป็นสะพานพาคนให้พ้นทุกข์]
...........................................................
หวังเกื้อกูลพระศาสนา
จึงตั้งค่าการหยั่งรู้ สู่มรรคผล
เพื่อรู้แจ้ง แห่งสัจธรรม นำใจคน
พาหลุดพ้น เป็นคันฉ่อง ครรลองธรรม : )

เกิดตายมาหลายหนจนนับไม่ถ้วน
ชาติหน้า หน่ายแล้ว ไม่อยากเกิดอีกแล้ว )

..............................................................
นาม ฉันนั้นแดดเช้า ........... ทอทอง
รูป แจ่มสดใสมอง ................ สุขล้ำ
จุดหมาย ดั่งครรลอง ............. หวังวาด
คติ แน่นในเนื้อน้ำ .......... ดิ่งซึ้งรสธรรม

หวัง นำชนสู่เป้า ................... แดนฝัน
กิจ ที่อธิษฐานพลัน ............... หยั่งรู้
ใน ชีวิตคิดสรรค์ .................... สร้างโลก
ธรรม สถิตมั่นสู้ ........... ปราบสิ้นกิเลสมาร

สานชีวิตแดดเช้า .................... หยาดอรุณ
มองโลกเพื่อเจือจุน ................. แหล่งหล้า
อาบอุ่นประกายคุณ .............. ไตรรัตน์
เพียงนบสนองแกล้วกล้า ..... แจ่มแจ้งปัญญา

ค่าแห่งอุดมคติเน้น .............. ตรงธรรม
ประกาศศาสน์น้อมนำ ........ อริยะแจ้ง
ฉุดผองเหล่าชนถลำ ............ จมทุกข์
ชี้ฝั่งให้เห็นแห้ง ......... แห่งห้วงทะเลกรรม

จึงบำเพ็ญตบะกล้า ......... ทางใจ
เพื่อมรรคผลอำไพ ........... จิตแจ้ง
เห็นอริยสัจจ์สว่างใส...... ทุกข์ปลด
แล้วจึ่งล้างขัดแย้ง .......... เบิกฟ้าสันติธรรม

หวังนำคุณพระแพร้ว......... ชี้ทาง
สถิตจิตในสิ่งวาง ............. มั่นเข้า
แผ่คุณเมตตาถาง .............. อุปสรรค
สู่ทุกจิตค่ำเช้า ........... พบแผ้วผ่องใส.

Friends' blogs
[Add แดดเช้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.