น ก ก ร ะ จิ บ เ ล่ า เ รื่ อ ง
ธรรมะเป็นคำตอบของคนหนุ่มสาว
Group Blog
 
All Blogs
 

ใดใดในโลกล้วน ทุกขัง ... ทุกข์เปิดทุกข์ปิดบัง มากล้วน

ใดใดในโลกล้วน..........................ทุกขัง
ทุกข์เปิดทุกข์ปิดบัง.....................มากล้วน
โลกที่ว่าสุขยัง.............................ทุกข์ปิด
โลกที่เข็ญยากถ้วน.......................ทุกข์แท้อบาย

กามาวจรวุ่นคล้าย........................มัวเมา
ปกปิดทุกข์คนเขลา......................โง่ดิ้น
หลงติดกามติดสุขเกลา................กล่อมจิต
ฌานที่ติดอยู่สิ้น..........................ล้วนทุกข์อุปาทาน

ทุกข์ในโลกมี 2 อย่าง คือ ทุกข์ปกปิด กับ ทุกข์ไม่ปกปิด --- ปุถุชนไม่เคยพบความสุขที่แท้จริงเลย
บางที อ่านหัวข้อว่า "ใดใดในโลกล้วน ทุกขัง" แล้วอาจจะงง ...... ทำไมถึงทุกข์กันได้ มีอะไรน่าทุกข์อีก โลกออกจะรื่นรมย์มีแต่สิ่งที่น่าสุขสันต์

อาหารอร่อยๆ รูปงามๆ สมบัติมากมาย คล้ายกับเป็นความสุข แต่ท่านว่าเป็น "ทุกข์ปกปิด"

หลวงปู่เจือ สุภโร ท่านมีปกติสอนว่า ปุถุชนไม่เคยรู้จักกับความสุขอันที่แท้เลย หลงไปคิดว่า ทุกข์ปกปิดคือความสุข แล้วเสาะแสวงหามาซึ่งสิ่งที่ตัวหลงว่าเป็นความสุขนั้นๆ

ครั้งแรก แดดเช้าก็ไม่เคยเข้าใจเลยว่า ทำไมหนอ สิ่งที่แดดเช้าต้องการอยากได้จึงกลายเป็นทุกข์ไปด้วยเล่า ในเมื่อชีวิตของแดดเช้าก็มีความสุขดีอยู่แล้ว

แดดเช้าฝึกกรรมฐานด้วยวิธีง่ายๆ คือผลของกรรมฐานของแดดเช้าก็คือ นิ่ง เบา กว้าง ปฏิบัติได้ตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ทรงฌานอยู่เช่นนั้น นิมิตที่แดดเช้าทรงไว้ไม่ได้หายไปไหน ดูไว้ตลอดเวลา เมื่อสมาธิเกิด แดดเช้าจึงมีปัญญาละเอียดผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ

เริ่มแรก แดดเช้าเห็นว่า เรามีสิ่งต่างๆ มากมาย เช่น บ้านหลังใหญ่ๆ เงินเดือนสูงๆ มีรถหรูๆ แล้วก็เริ่มคิดติดยึดว่า เป็นของของเรา หวงแหน ห่วงใย ผูกพัน ทุกข์ก็เริ่มเกิด เกิดที่จิตที่ไปหลงติดว่า นี่เองนะ ของของเรา

บางทีไม่ได้อะไรดังใจ ก็ดิ้นรนแสวงหาจนรู้สึกว่า เราอยากได้นั่น อยากได้นี่ ทุกข์ก่อตัวขึ้นแล้วในจิต

หรือบางทีหน่ายเหลือเกิน ไม่อยากได้อะไรเลย ไม่พึงพอใจในสิ่งใดๆ เลย ทุกข์ก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะเราไม่อยากให้เกิดขึ้นกับเรา

กว่าจะเห็นความเป็น "เรา" ความเป็น "ตน" ขึ้นมาได้ เราก็หลงไปกับสิ่งต่างๆ มากมาย อึดอัดคับข้อง สุขสม อารมณ์หลากหลายเข้ามากระทบ เราก็หลงเคลิ้มยินดีกับทุกๆ อารมณ์เหล่านั้น ไหลไปกับกระแสของอารมณ์

ทั้งที่ "กาย" กับ "จิต" อยู่ด้วยกันแท้ๆ ทีเดียว .....

มีผัว ก็ตกเป็นทาสของผัว มีเมีย ก็ตกเป็นทาสของเมีย
หลวงปู่เจือมักจะแสดงธรรมว่า ชีวิตคู่ใช่ว่าเป็นสิ่งสุขอะไรนักหรอก เมื่อมีสามี เราก็ต้องคอยดึงสามีไว้ให้อยู่กับเรา กายกับจิตของเราก็ไม่เป็นอิสระกับตัวเองแล้ว มีภรรยาก็ต้องคอยดึงภรรยาไว้กับเรา กายกับจิตก็ไม่เป็นอิสระกับตัวเองแล้ว

เพราะความเป็นสามี ความเป็นภรรยา เป็นความรัก เป็นความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

จริงๆ แล้ว เราก็เป็นเพียงก้อนโลก
ก้อนโลกเล็กๆ หนึ่งก้อนที่มีจิตเป็นผู้รู้ เกิดขึ้นมาสร้างบทบาทมากมาย
นอนหลังทาบกับพื้นดิน แล้วมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนกว้างไกล มีกระดุมดาวดวงเล็กๆ อยู่บนฟากฟ้า เราจะค้นพบความจริงว่า เราเป็นเพียงอณูฝุ่นดินของโลกเท่านั้นเอง

แต่หลงตัวหลงตนให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นผู้ยิ่งใหญ่

เทวดาบนสวรรค์ พรหมปุถุชนบนพรหมโลก ก็ใช่ว่าจะเป็นสุขแท้
สวรรค์มีสิ่งที่น่ารื่นรมย์ แต่ถ้าเราเอาสติมาอยู่ที่กายที่จิตจริงๆ เราก็จะพบว่า เราไหลเคลิ้มไปติดอยู่กับสิ่งภายนอกที่เป็นอารมณ์อันน่ายินดี แล้วก็ยึดไว้เป็นตัวเป็นตน เป็นของๆ เขา

พรหมบนพรหมโลกนั่งนิ่งสงบอยู่ในฌาน มีความสุขในอารมณ์ฌานเฉยอยู่เช่นนั้น ถูกฌานขังเอาไว้ ...... แล้วหลงเคลิ้มมีความสุขไปกับอารมณ์ของฌาน

พอฌานเสื่อม หมดบุญ ก็ลงมาเกิดตามกระแสกรรม เช่นเดียวกับเทวดา หมดบุญก็ลงมาตามกระแสกรรมเช่นกัน

แล้วมีอะไรที่เป็นของจีรังบ้าง? ลองหาคำตอบดู

ฝึกกรรมฐานสิคะ? แล้วคุณจะพบคำตอบในสักวัน .....

ดาว กับ ฝุ่นดิน
เธอรู้ไหม? ละอองดาว พร่างพราวลง
เป็นหยาดหลง "น้ำค้าง" ค้างยอดต้น
สะท้อนแสงแดดเช้า ... เหมือนดาววน
ไว้อาลัยดาวบน ... ที่ห้วงฟ้า

เธอรู้ไหม? อณูดาว ที่พราวพร่าง
หล่นมาวาง เป็นเมล็ดพันธุ์ ที่เลอค่า
หนึ่งกลีบดอกบอกความหมาย ... คล้ายสมญา
ดาวร่วงลง เพื่อบอกว่า ... "โลกยังงาม"

เด็ดกลีบดาว เด็ดกลีบดอก เด็ดชีวิต
หยาดหลง น้ำค้างประดิษฐ์ เคยคิดถาม
ถ้าโลกนี้ ... เป็นหนึ่งดาว ที่พราววาม
มวลดอกไม้ ... ทุกรูปนาม คงเป็นดาว

เธอรู้ไหม? ฉัน-เธอ ใช่เลอเลิศ
เป็นดาวเกิด อณูฝุ่น เล็กเกินกล่าว
เล็กเพียงผง .. หลงวน เพียงหนคราว
หลงเรื่องราว ตัวตน จนโตเกิน

ละอองดาว .. เช้านี้ ที่ร่วงโรย
ในคนโหยแสวงหา ค่าสรรเสริญ
ดาวที่ฝุ่นคลุ้งภาพ ... เพียงทาบเพลิน
คนยังเดินแหงนหน้า ... อยากคว้าดาว

ขอให้ทุกท่านได้พบความจริงแห่งกองทุกข์ คือ ทุกข์อริยสัจ และพบความจริงแห่งเหตุแห่งกองทุกข์นั้นว่า อุปาทานในขันธ์ 5 นั้นเป็นเช่นใด เพื่อที่จะดำเนินทางไปสู่การดับทุกข์และถึงการสิ้นทุกข์ได้ ถึงความเป็นอริยบุคคล และมีดวงตาเห็นธรรมที่จะเข้าถึงกระแสธรรมได้ในเร็ววัน ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยเทอญ

สาธุ .....




 

Create Date : 24 มกราคม 2548    
Last Update : 24 มกราคม 2548 23:05:43 น.
Counter : 384 Pageviews.  

หลวงปู่แสดงธรรมเรื่อง สมาธิ ปัญญา และฌาน

วันหนึ่ง แดดเช้าไปทำบุญกับหลวงปู่เจือ สุภโร ท่านแสดงธรรมให้ฟังถึงเรื่องต่างๆ แล้วท่านก็ถามเด็กหญิงคนหนึ่งว่า

"พลอย ..... ปัญญา คืออะไร"
"ปัญญา คือ การรอบรู้ ความฉลาดค่ะ"
"มันยังไม่ชัด ท่องตามตำรามานี่ ..... มันคืออะไร? ไหนตอบใหม่ซิ"
พ่อของน้องพลอย ก็เอามือมาชี้ที่ศีรษะวนๆ น้องพลอยก็มองตามมือคุณพ่อ แล้วนิ่งคิด (นั่น ... มีตัวช่วยด้วยนิ)
"ปัญญา คือ ความรู้ที่เกิดจากการใช้สมองคิดค่ะ"
"มันก็ยังไม่ถูกดี ฟังนะ
ปัญญา คือ ความรู้ทั่ว
ความรู้ทั่ว คือ รู้ยังไง
คือ รู้ใกล้ รู้ไกล รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต รู้หยาบ รู้ละเอียด รู้ประณีต"

แล้วท่านก็แสดงธรรมเรื่องอื่นๆ ต่อไป หันมาถามอีก
"พลอย สมาธิคืออะไร"
"สมาธิ คือ ความตั้งมั่น ค่ะ"
"ยังไม่ถูกนี่ ..... จำตำรามา
ฟังนะ สมาธิ คือ การตั้งอยู่
การตั้งอยู่ของจิต ไม่ว่าจิตไปตั้งอยู่ที่ไหน ก็เกิดเป็นสมาธิแล้ว"

ท่านก็แสดงธรรมต่อเนื่องไป แล้วหันมาถามน้องพลอยอีกว่า
"พลอย ปัญญา คือ อะไร"
"ปัญญา คือ รู้ใกล้ รู้ไกล รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต รู้หยาบ รู้ละเอียด รู้ประณีต ค่ะ"
"นั่นมันคำขยายความ เอาความหมายสั้นๆ ซิ"
น้องพลอยนิ่งคิดตั้งนาน หลวงปู่ท่านก็หัวเราะ
"ปัญญา แปลว่า ความรู้ทั่ว ถ้าใครสงสัยว่า รู้ทั่วยังไง จึงต้องอธิบาย"
สักพัก ท่านก็แสดงธรรมอื่นๆ ไปเรื่อยๆ แล้วถามว่า
"พลอย สมาธิ คืออะไร"
"สมาธิ คือ การตั้งอยู่ค่ะ" เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว

พ่อกับแม่ของน้องพลอย จะพาน้องพลอยกลับบ้านแล้ว ก็กราบลาหลวงปู่ ท่านก็ถามอีกว่า
"พลอย ปัญญา คือ อะไร"
"ปัญญา คือ ความรู้ทั่ว ค่ะ"
"สมาธิ คือ อะไร"
"สมาธิ คือ การตั้งอยู่ค่ะ"
เริ่มท่องได้ซะแล้ว

พอช่วงบ่าย พวกเรายังนั่งคุยกันอยู่ที่ศาลา แล้วพี่คนหนึ่งไม่เข้าใจคำว่า ฌาน ทั้งที่สมาธิพี่คนนี้ดีมากๆ แต่เขาไม่เคยรู้ตัวเลยว่า สมาธิดี ตั้งมั่นดี

แดดเช้าจึงถือโอกาสเรียนถามหลวงปู่ว่า
"หลวงปู่เจ้าคะ พี่เขายังไม่เข้าใจคำว่า ฌาน หนูขอเรียนอาราธนาให้หลวงปู่แสดงความหมายเรื่องฌานสักนิดหนึ่งค่ะ"
"ฌาน คือ การเพ่งของจิต แต่เราไม่ต้องไปตั้งใจเพ่งอะไรหรอก มันจะเพ่งของมันเอง"

เป็นความหมายที่แจ่มชัดมาก สมาธิ คือ การตั้งอยู่ของจิต ฌาน คือ การเพ่ง(เอง) ของจิต

สมมติว่า เรานั่งอยู่ตรงนี้ เราเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา สมาธิเราไปตั้งอยู่กับสิ่งนั้น
แต่ฌานจะเกิดได้เมื่อเรานึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น เรานึกท้องฟ้า รู้สึกเบาสบาย ปฐมฌานก็เกิดขึ้น แต่ถ้าสมาธิตั้งอยู่มีกำลังพอ ก็จะเกิดฌานระดับต่อไป

ถ้านิมิตของเราครบ แล้วเราทรงนิมิตอยู่ได้ ฌานก็จะเลื่อนขึ้นๆ มีการเพ่งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจเพ่ง เราทรงฌานอยู่เช่นนั้น

นี่คือ เรื่องราวเกี่ยวกับ ปัญญา สมาธิ และฌาน




 

Create Date : 24 มกราคม 2548    
Last Update : 24 มกราคม 2548 16:04:46 น.
Counter : 406 Pageviews.  

วิธีทำน้ำมนต์ให้ศักดิ์สิทธิ์ .... ไม่มีอานุภาพใดเหนือคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์

ไม่มีอานุภาพใดยิ่งใหญ่ไปกว่า คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์อีกแล้ว

วันหนึ่ง ได้ยินญาติธรรมเล่าเรื่องของท่านให้พวกเราฟังว่า

"มีคนมาขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากดิฉัน ดิฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ดิฉันก็จึงนำน้ำนั้นมาตั้งจิตเป็นสมาธิ ทำจิตให้ใส แล้วอธิษฐาน ขออานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ แผ่ลงมาในน้ำนี้ ขอให้น้ำนี้มีคุณสมบัติที่จะบำบัดรักษา และประสิทธิผลให้ผู้ใช้หรือดื่มน้ำนี้สำเร็จดังใจปรารถนาทุกประการ ปรากฏเห็นผลว่า โรคภัยทั้งหลายของผู้นั้นชะงักทันที ดิฉันเองไม่มีอานุภาพอะไรเลย เพียงแต่บอกเขาว่า เขาก็สามารถทำน้ำมนต์วิเศษได้ด้วยตัวของเขาเอง ด้วยอานุภาพจิตของเขาเอง"

แดดเช้าฟังญาติธรรมท่านนี้เล่าเรื่องให้ฟังแล้วรู้สึกตื้นตันใจ อยากกราบลงแนบพื้น นอบน้อมต่อคุณพระรัตนตรัยที่มีคุณอันหาประมาณมิได้นี้เสียจริง เหมือนขนลุกวาบไปทั้งกาย ปีติเกิดขึ้น

หลวงปู่เจือ ท่านเคยแสดงธรรมให้แดดเช้าฟังว่า ฌานอันเกิดจากเมตตาฌาน เป็นฌานอันศักดิ์สิทธิ์อันหาประมาณมิได้ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ถ้าผู้ใดทำสมาธิด้วยเมตตา แล้วเสกอะไร อธิษฐานอะไร อวยพรใครด้วยเมตตา คำอวยพรนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

เวลาแดดเช้าจะอธิษฐานอะไรเพื่อให้ใครเข้าใจคำสอนและเข้าถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ แดดเช้าก็จะทำกระแสจิตที่มากด้วยเมตตา แผ่ออกไปถึงบุคคลผู้นั้น นำพากระแสจิตของเขาให้เข้าถึงธรรม แล้วเขาก็จะเข้าใจคำที่แดดเช้าอธิบายอย่างง่ายๆ

ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เผลอหลงไปตามกิเลส ทิฐิมานะที่เห็นว่าตัวเองเก่งกว่า รู้มากกว่า ดีกว่า ผลที่ออกมาจากการให้ความรู้ของแดดเช้าก็คือ การต่อต้าน

เมตตาเป็นธรรมสูงสุดที่จะทำให้คนเข้าถึงธรรมจริงๆ
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมทุกครั้ง กระแสจิตของพระองค์ที่มากด้วยเมตตาก็นำพากระแสจิตของผู้ฟังธรรมไปถึงจุดหมายก่อนแล้ว ในสมัยพุทธกาล จึงมีผู้บรรลุธรรมกันอย่างง่ายดาย เพราะกระแสพระมหากรุณาธิคุณที่มากประมาณมิได้นี้

ทันทีที่บุคคลเข้าเฝ้าหน้าเบื้องพระพักตร์ ก็จะได้รับความสงบ สมาธิก็เกิด และปัญญาจะตามมาเมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรม นั่นเอง

การทำน้ำมนต์ทิพย์นี้ก็เช่นกัน อธิษฐานด้วยจิตบริสุทธิ์ ทำสมาธิให้เกิด ฌานเกิดด้วยเมตตา ปรารถนาดีอยากให้น้ำมนต์เกิดประโยชน์มหาศาลต่อเพื่อนมนุษย์ สื่อกระแสลงไปที่น้ำ สื่อกระแสจากเบื้องบนลงมาด้วยตามกำลังสมาธิ แล้วทุกท่านจะได้น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยเจือจุนให้ร่างกายและจิตใจปรับสภาพได้เป็นอย่างดี

ขออานิสงส์แห่งธรรมทานครั้งนี้ ถ้าบังเกิดประโยชน์แก่ผู้ใด อุทิศให้ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า คือ หลวงปู่เจือ สุภโร และให้ญาติธรรมผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่บันดาลความรู้ครั้งนี้ให้แดดเช้านำมาเผยแพร่ และแผ่กุศลใดๆ ที่เกิดขึ้นนี้ไปสู่ดวงจิตทุกดวงในโลกหล้า ทั้งจักรวาลและสุดขอบจักรวาล ขอให้ทุกดวงจิตจงมีความสุข ปลดเปลื้องจากกองทุกข์ในเร็ววันด้วยเทอญ

ขอให้ลองทำน้ำมนต์ทิพย์มาใช้ เพื่อเป็นการเจริญเมตตา เจริญสมาธิ และนอบน้อมถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อันมีอานุภาพที่หาประมาณที่สุดไม่ได้ โดยทั่วกัน

สาธุ ..... กับบุญใดๆ ที่ท่านตั้งใจปฏิบัติ

อนุโมทนาบุญ ........ ขอให้โลกจงพบกับสันติสุขด้วยเทอญ




 

Create Date : 24 มกราคม 2548    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2548 14:23:55 น.
Counter : 3876 Pageviews.  

มาลองนั่งกรรมฐานง่ายๆ กับยัยฟองน้ำ

แดดเช้าจะชวนกันมานั่งกรรมฐานแบบเบาๆ สบายๆ เหมือนกับว่า เรากำลังนั่งเล่นกันก่อนดีกว่า

กรรมฐาน ทำให้กรรมหนักเบาบางลง ทำให้กรรมใหญ่เป็นกรรมเล็ก ทำให้กรรมไม่ดีกลับคลี่คลายลง ทำให้ความทุกข์ที่หนักอึ้งกลายเป็นทุกข์น้อยลง

เริ่มจากตรงนี้เลยสมมุติว่า คุณนั่งอยู่ในที่โล่งๆ มีท้องฟ้ากว้างๆ ข้างหน้า ข้างหลัง ให้เสมอกัน กลางทุ่งหญ้าเขียวๆ (หรือใครชอบทะเล ก็เปลี่ยนเป็นนั่งอยู่บนเกาะกลางทะเลก็ได้ หรือจะนั่งอยู่กลางทะเลทราย ก็ได้ ตามใจชอบเลยนะคะ หรือว่า จะนั่งอยู่บนก้อนเมฆสวยๆ ก็แล้วแต่ใจ ...... ยังไงก็ได้ ขอให้มีท้องฟ้ากว้างๆ นะคะ)

พอท้องฟ้ากว้างๆ โล่งๆ ก็เห็นขอบฟ้าริมๆ สุดลูกหูลูกตา

แล้วไล่เรียงมาถึงที่ที่เรานั่งอยู่ สำคัญว่า เรานั่งอยู่กลางโลก แล้วจิตเราอยู่ท่ามกลางอก ท้องฟ้าที่เราเห็น ขอบฟ้า แผ่นดินที่เรานึกเห็น เป็นเพียง "กระแสจิต" ของเรา

เป็นยังไงบ้างคะ รู้สึกสบายดีไหม? สมาธิเกิดแล้ว ฌานเบื้องต้นเกิดแล้ว ท้องฟ้าสว่างแสดงว่า บุญมาก แต่ถ้าไม่สว่าง ไม่ชัด ก็ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องทำให้ชัดนะคะ ดูไว้เฉยๆ เดี๋ยวจะชัดเอง

ในกรณีที่ยังเห็นท้องฟ้าไม่ได้ ก็ลองนึกดูว่า เรานึกถึงหลังคาบ้าน นึกถึงหน้าคนรู้จักได้ไหม ถ้านึกได้ ก็นึกท้องฟ้าในลักษณะเดียวกับที่เรานึกถึงบุคคลและสิ่งต่างๆ ทั้งหลายเหล่านั้นแหละค่ะ

เราสบายๆ กับการเห็นท้องฟ้าแล้วนะคะ ต่อมา ก็มาดูกายของตัวเองกันดีกว่า......
ดูใบหน้า ศีรษะ นัยน์ตา ใบหู เส้นผม ท้ายทอย บ่า ไหล่ หลัง เอว สะโพก ลองดูให้เห็นนะคะ
เมื่อเห็นครบตามนั้นแล้ว ก็ดูกายด้านหน้าให้ถ้วนทั่วเลย ดูให้เห็นถึงเล็บมือ เล็บเท้าด้วยนะคะ และท้องฟ้าก็อย่าให้หายไปไหนด้วย

เห็นกายครบหรือยังคะ..... เป็นยังไงบ้างเอ่ย?
สติเราดูกายทั่วแล้ว ทีนี้ มาดูที่ปลายจมูกด้วย ที่ปลายจมูกเห็นสีของลมหายใจหรือยัง
เป็นสีอะไรเอ่ย?

นึกให้เป็นสีหมอกขาวๆ หรือควันบุหรี่ได้ไหมคะ?

แล้วให้ลมไหลจากจมูก ไปถึงปาก ลำคอ หลอดลม ผ่านไปถึงปอด ถึงท้อง แยกออกไปถึงปลายเท้าทั้งสิบ
ลมออกปลายเท้ายังไง ให้ออกอยู่เช่นนั้น .......
แล้วท้องฟ้าก็ยังไม่หายด้วย

ต่อมา ลมหายใจไหลออกบ่าทั้งสองข้าง ไปปลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้ว
ท้องฟ้าก็อย่าให้หายไปไหน นึกเบาๆ กันนะคะ ขอย้ำนิดนึง

นึกเช่นนี้ได้แล้ว ก็ให้ลมไหลออกหน้าให้ทั่ว ที่เคยเห็นอะไรมาก่อนหน้า ก็ให้เห็นอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ต้องเพ่งให้ชัดนะคะ เห็นกันแบบสบายๆ

ออกหน้าทั่ว ก็ออกใบหูด้วย ออกโคนผมและเส้นผมทุกเส้น
แล้วก็ออกให้ทั่วแผ่นหลัง เอว สะโพก ลมทั่วกายเลย

นั่นแหละค่ะ ..... สบายดีหรือยังคะ ไม่ต้องกด ไม่ต้องเก็ก ไม่ต้องเกร็ง นะคะ

ท้องฟ้าก็ไม่หาย ขอบฟ้าแผ่นดินก็ยังไม่หาย กายทั่วกายก็ยังไม่หาย ลมทั่วกายก็ยังไม่หาย เบาสบายดีเหลือเกิน

หยุดนึกหยุดคิดอะไรได้เยอะเลยทีเดียว .......

ต่อมา ให้นึกเห็นลมทั่วแผ่นดิน ไปถึงขอบฟ้า ลมทั่วโลกนะคะ

จิตอยู่ท่ามกลางอก สติแผ่ออกไปทั่วๆ ต่อมาก็ดูกระดูกของตัวเองให้หมดเลย ทั้งฟัน กราม ขากรรไกร กระดูกหน้าผาก กระโหลกศีรษะ ดูมันสมอง ดูให้ครบเลย กระดูกทุกส่วน แล้วก็ดูเส้นเอ็นรึงรัดกระดูกเหล่านี้ด้วย เห็นให้ทั่วกาย แล้วจึงมาดูปอด หัวใจ ม้าม ตับ ไต ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก อาหารในลำไส้ อาหารในกระเพาะอาหาร ดูเส้นโลหิตทุกเส้น และดูโลหิตในเส้นโลหิตด้วย

ทำสิ่งที่เห็นให้โปร่ง ลมผ่านได้ เบาสบาย

จากนั้นจึงนึกดูโลกตามความเป็นจริง เราอยู่ตรงนี้ ดูแผ่นดินรอบโลกไปถึงทวีปต่างๆ ดูให้เห็นบ้านเรือน แม่น้ำ ภูเขา ดูให้ทั่วทั้งหน้าหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา โดยรอบเลย เห็นทวีปต่างๆ แล้วหรือยัง เห็นเรือเดินสมุทรด้วยไหม เห็นปลาในน้ำด้วยไหม เห็นเครื่องบินบนฟ้าด้วยหรือเปล่า

ดำรงนิมิตทั้งหมดนี้ได้ตลอดเวลา ทั้งตื่นและหลับ ทั้งเวลาทำงาน ทั้งเวลาขับรถ

ลืมบอกเคล็ดลับดีๆ ไปว่า ต้องทำกรรมฐานเวลาลืมตา แล้วจะดีมากๆ เลย ..... ผ่อนคลาย สบาย และไม่เกร็งเครียด

นิมิตที่เห็นนี้ จะชัดหรือไม่ชัด อย่าไปกังวล สงบหรือไม่สงบ ก็อย่ากังวล ฝึกดูให้ครบบ่อยๆ ให้ชำนาญ นิมิตทรงไว้ แล้วดูอยู่ทุกๆ เวลา

ตื่นเช้ามา หรือ ก่อนเข้านอน อย่าลืมร้องเพลงว่า
"เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ"

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับความผ่อนคลายโดยถ้วนหน้ากัน สาธุ .....




 

Create Date : 24 มกราคม 2548    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2548 12:02:18 น.
Counter : 486 Pageviews.  

ที่มาของสมญานาม "ยัยฟองน้ำ"

ทุกคนมีคุณสมบัติพิเศษของตัวเอง
เมื่อสิบปีที่แล้ว แดดเช้าไปตั้งสมญานามเพื่อนคนหนึ่งว่า "ยัยหอยเสียบ" เพราะรู้สึกว่า เธอเหมือนหอยเสียบจริงๆ
เนื่องจาก เธอจะชอบอยู่ในโลกส่วนตัว และอินเข้ากับเรื่องราวต่างๆ

ทุกๆ ครั้งที่แดดเช้าไปเรียกเธอว่า ยัยหอยเสียบ
เธอก็ตอกกลับแดดเช้าว่า "ยัยฟองน้ำ"

พอได้สมญานามใหม่ แดดเช้าก็ร้อง อ๋อ ขึ้นมาทันที

คุณสมบัติของฟองน้ำ
1. ความที่รับอะไรได้ไวๆ แม้กระทั่งความเป็น "ยัยหอยเสียบ" ที่แดดเช้ารับรู้ได้
2. ความเป็นเรดาร์ที่รู้ได้ทันทีว่า ที่ไหนมี วิญญาณอยู่บ้าง แต่ไม่เคยรู้สึกกลัว เพียงแต่สัมผัสกระแสได้
3. รับพลังอะไรบางอย่างจากเครื่องรางของขลัง อาคม ได้ แต่แดดเช้าจะรู้สึกกระทบอย่างรุนแรง
4. รับรู้ได้ด้วยว่า ณ ขณะนี้ มีใครคิดถึงแดดเช้าบ้าง
5. ถ้าให้ความช่วยเหลือใคร แล้วเขามีอะไรไม่ดีๆ แดดเช้าก็ซึมซับเข้ามาในตัวเอง แล้วก็นั่งสมาธิให้ของไม่ดีนั้นหลุดออกไปจากความรู้สึกและจิตใจ
6. เวลาเรียนรู้อะไร ก็จะเข้าใจอะไรได้เยอะดี จนมีอะไรเต็มหัวสมองไปหมดเลย ต้องนั่งสมาธิแก้อีก เพื่อให้หลายสิ่งหลายอย่างในสมองมันเข้าที่เข้าทาง

คุณสมบัติพิเศษของยัยฟองน้ำ ทำให้ข้าพเจ้าต้องหายใจเยอะๆ แล้วเฝ้ามองดูกายตัวเองให้ถ้วนทั่วทุกครั้ง โดยเฉพาะการมองเข้าไปในกายภายในของตัวเอง ดูอวัยวะทุกส่วนของร่างกายว่า มีอะไรผิดปกติแปลกปลอมบ้างหรือเปล่า

ดูความคิดจิตใจของตัวเองว่า ซึมซับอะไรเข้ามาบ้าง มีความไม่สบายใจตรงไหน ก็บีบมันทิ้งไปซะเลย

แล้วเมื่อดูกาย ดูจิตจนรู้สึกคับแคบอึดอัด ก็ขยายความรับรู้ออกไปกว้างๆ ทั่วแผ่นดิน ท้องฟ้าโล่งๆ โปร่งสบาย ขยายไปถึงสุดขอบจักรวาล

แผ่กระแสจิตออกไปสู่ทุกดวงวิญญาณให้ได้รับความสุขโดยทั่วกัน

หายใจทั่วกาย ทุกวัน .... ทุกวัน

เพื่อบีบฟองน้ำให้สิ่งที่ซับๆ เอาไว้ออกไปสู่ภายนอก ฟองน้ำจะได้ซับอะไรได้ดีๆ และช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกเยอะๆ

ขอให้ทุกท่านจงมีความสุขกับการฝึกจิต ทำอารมณ์ให้ผ่องใส ทำสมาธิให้เบิกบาน ทำจิตใจให้โปร่งสบาย ดูกายให้ครบถ้วน เพื่อจะให้สติอยู่ทั่วกายเป็นอย่างดี

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่คิดดี พูดดี ทำดี

ขอให้โลกสงบสุข สาธุ.......




 

Create Date : 24 มกราคม 2548    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2548 0:11:12 น.
Counter : 501 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

แดดเช้า
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[จะเป็นสะพานพาคนให้พ้นทุกข์]
...........................................................
หวังเกื้อกูลพระศาสนา
จึงตั้งค่าการหยั่งรู้ สู่มรรคผล
เพื่อรู้แจ้ง แห่งสัจธรรม นำใจคน
พาหลุดพ้น เป็นคันฉ่อง ครรลองธรรม : )

เกิดตายมาหลายหนจนนับไม่ถ้วน
ชาติหน้า หน่ายแล้ว ไม่อยากเกิดอีกแล้ว )

..............................................................
นาม ฉันนั้นแดดเช้า ........... ทอทอง
รูป แจ่มสดใสมอง ................ สุขล้ำ
จุดหมาย ดั่งครรลอง ............. หวังวาด
คติ แน่นในเนื้อน้ำ .......... ดิ่งซึ้งรสธรรม

หวัง นำชนสู่เป้า ................... แดนฝัน
กิจ ที่อธิษฐานพลัน ............... หยั่งรู้
ใน ชีวิตคิดสรรค์ .................... สร้างโลก
ธรรม สถิตมั่นสู้ ........... ปราบสิ้นกิเลสมาร

สานชีวิตแดดเช้า .................... หยาดอรุณ
มองโลกเพื่อเจือจุน ................. แหล่งหล้า
อาบอุ่นประกายคุณ .............. ไตรรัตน์
เพียงนบสนองแกล้วกล้า ..... แจ่มแจ้งปัญญา

ค่าแห่งอุดมคติเน้น .............. ตรงธรรม
ประกาศศาสน์น้อมนำ ........ อริยะแจ้ง
ฉุดผองเหล่าชนถลำ ............ จมทุกข์
ชี้ฝั่งให้เห็นแห้ง ......... แห่งห้วงทะเลกรรม

จึงบำเพ็ญตบะกล้า ......... ทางใจ
เพื่อมรรคผลอำไพ ........... จิตแจ้ง
เห็นอริยสัจจ์สว่างใส...... ทุกข์ปลด
แล้วจึ่งล้างขัดแย้ง .......... เบิกฟ้าสันติธรรม

หวังนำคุณพระแพร้ว......... ชี้ทาง
สถิตจิตในสิ่งวาง ............. มั่นเข้า
แผ่คุณเมตตาถาง .............. อุปสรรค
สู่ทุกจิตค่ำเช้า ........... พบแผ้วผ่องใส.

Friends' blogs
[Add แดดเช้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.