น ก ก ร ะ จิ บ เ ล่ า เ รื่ อ ง
ธรรมะเป็นคำตอบของคนหนุ่มสาว
Group Blog
 
All Blogs
 

อานุภาพของ สัจจะบารมี

ตั้งสัจจะไว้ผิด ชีวิตต้องวิบัติวอดวาย
มีคนๆ หนึ่ง ตั้งสัจจะไว้ว่า จะจองเวรหลวงปู่
เขามีอาชีพเป็นคนทรง และตั้งใจแน่วแน่ว่า ยังไงก็ต้องเล่นงานหลวงปู่เพื่อจะเอาชนะให้ได้

หลวงปู่ไม่ได้มีคาถาอาคมใดๆ เลย
ท่านมีแต่คุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อันหาประมาณมิได้คุ้มครองปกป้องอยู่

คาถาอาคมใดๆ ที่เข้ามาทำร้ายหลวงปู่ ก็เพียงแค่ทำให้ท่านระคาย รำคาญเท่านั้นเอง
ท่านให้ลูกศิษย์ดูและแก้ไขให้

วันหนึ่ง .... แดดเช้าดูเห็นว่า คนๆ นี้เอาอาคมมาใส่หลวงปู่อีกแล้ว
หลวงปู่พูดคุยและแสดงธรรมกับเขาหลายคำ
เหมือนๆ จิตของเขาจะยอม
แต่ "สัจจะ" ที่เขายึดไว้กับจิตนี่มั่นคงเหลือหลาย

เขาจึงมีอาการแปรปรวนไปมา
เดี๋ยวก็ไม่อยากทำแล้ว เดี๋ยวก็ไม่ได้ ตั้งใจไว้แล้ว
เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวสักพักก็โมโห
เดี๋ยวก็นิ่ง เหมือนขี้เกียจคุยด้วย
เดี๋ยวสักพักก็รำคาญโวยวาย
เหมือนคนบ้าไม่มีผิดเลย

ยังไงๆ เขาก็ไม่ยอมสักที
หลวงปู่บอกว่า นี่แหละ อานุภาพของสัจจะ แรงเหลือหลายเช่นนี้
แต่เป็นสัจจะในทางที่ผิด
ทำให้เขาหลงผิดยากที่จะกลับใจ

แดดเช้าก็พลอยระอาใจไปด้วย
เพราะเขายึดสัจจะมั่นเสียเหลือเกิน
เลยทำให้เขาดื้อรั้นและแข็งกร้าว

สัจจะที่ตั้งไว้ในทางที่ผิด ก็ทำให้เขาประสบความวิบัติได้
เพราะเพียงสัจจะอย่างเดียวที่ผิดพลั้ง ทำให้เขาเกิด "มิจฉา" ในทุกๆ ด้าน
โดยเฉพาะ มิจฉาทิฐิ ยึดมั่นในความเห็นผิดๆ

ณ ขณะนี้ ..... เขาได้รับความวิบัติ
จิตของเขาไม่อยู่กับกายแล้ว
ด้วยบาปของเขาเอง ทำให้จิตของเขาถูกทำโทษในนรกหมกไหม้มาเนิ่นนานหลายเดือน

จองเวรอะไรกับหลวงปู่
หลวงปู่เคยเกิดเป็นเจ้าแผ่นดินมาหลายชาติ
ชาติหนึ่ง มีชายามาก
และคนทรงผู้นี้ ก็เป็นหนึ่งในชายาของหลวงปู่ด้วย

หลวงปู่รักมเหสีมาก ไม่ค่อยสนใจชายาอื่นๆ
เธอจึงจับกลุ่มกับชายาอื่นๆ อีก 2-3 คน
คนหนึ่ง กลับชาติมาเกิดเป็นเพื่อนเธอ อาชีพคนทรงเหมือนกัน
อีกคนหนึ่ง คือ พี่สาวของเธอ
ชาตินี้ ทั้งสามคนจึงจองเวรหลวงปู่ ร่วมมือกันทำอาคมมาลงหลวงปู่ให้หลวงปู่รู้สึกระคายรำคาญ

แดดเช้าเป็นพระธิดาที่เกิดกับมเหสี ก็พลอยถูกคนสามคนนี้แกล้งไปด้วยในชาตินั้นๆ
พวกเขาทั้งรักทั้งแค้นหลวงปู่

แดดเช้าจึงต้องมาร่วมวงแก้ไขอาคมให้กับหลวงปู่ด้วยประการฉะนี้ ....

บนบานศาลกล่าวอะไร ต้องรักษาสัจจะ
เพื่อนสาวของแดดเช้าคนหนึ่ง พาพ่อกับแม่มาหาหลวงปู่
ถามแดดเช้าว่า ทำไมท้องของแม่ถึงมีอาการแปลกๆ เหมือนมีอะไรดิ้นๆ อยู่ในท้อง
แดดเช้ากราบเรียนหลวงปู่ หลวงปู่ให้ช่วยๆ กันดู

ตอนแรก แดดเช้าเห็นเป็นเวรกรรม
เป็นงูดำๆ ออกมา แค้นมากที่จับเธอมาฆ่ากิน
กำลังแก้ไขให้เธอได้สิ้นทุกข์
พี่คนหนึ่งซึ่งรู้เห็นอะไรได้กระจ่างชัดมากๆ บอกว่า
"ฉันเห็นเป็นเรื่องของการบนอะไรไว้ แล้วไม่ยอมไปแก้บน"

เป็นเรื่องจริงที่แม่ของเพื่อนคนนี้ชอบตระเวณไปบนไว้หลายๆ ที่
แล้วที่ไม่ได้ไปแก้บนก็ด้วยเหตุว่า บนแล้วไม่ได้
"ที่ไม่ได้เพราะว่า บนเกี่ยวกับที่ ขอให้ขายที่ได้ ตั้งราคาไว้อย่างหนึ่งเวลาบน แต่เวลาขายไปขายอีกราคาหนึ่ง จึงทำให้ไม่สำเร็จ"

"เคยไปบนไข่ไว้ร้อยฟองที่ไหนสักแห่งด้วย และบางที่ ท่านดุมากๆ ท่านบอกว่า ถ้ายังไม่รักษาสัจจะอีก จะทำให้ป่วย แล้วเอาถึงตาย เอามาเป็นบริวารรับใช้ ท่านไม่ปล่อยไว้หรอก"

หลวงปู่จึงเจรจา ถามว่า ทำเช่นนี้แล้วได้บาปไหม
ท่านๆ ทั้งหลายก็ตอบว่า ลืมนึกถึงเรื่องบาปไปเลย เพราะอยู่อย่างนี้บารมีมากขึ้น มีบริวารมากขึ้น
บางท่านบอกว่า ต้องทำให้เขารู้จักสำนึกเรื่องการรักษาสัจจะซะบ้าง

เจรจาไป เจรจามา จึงยอมให้ขอขมา ....
หลวงปู่จึงโปรดท่านๆ เหล่านั้นให้ถึงมรรคผลชั้นสูงกัน เพื่อจะได้ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นอย่างทรงอานุภาพได้มากกว่าเดิม

รู้สึกว่า แม่ของเพื่อนคนนี้ จะเข็ดขยาดกับการบนบานหลายๆ ที่อีกนานเท่านาน
แดดเช้าพูดเสริมในภายหลังว่า ไม่มีอานุภาพใดยิ่งใหญ่หรือเทียบเสมอคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ และการปฏิบัติกรรมฐานหรอกนะคะ การปฏิบัติกรรมฐานและการทำความดี จะทำให้เราสำเร็จผลในสิ่งที่มุ่งหวังได้ด้วยนะคะ

ถ้าแม่อยากจะสำเร็จอะไรได้ดังใจ .... ก็ให้แม่อธิษฐานขอพรจากอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วตั้งจิตอธิษฐานจะทำความดี และทำตามที่ตั้งใจไว้ให้ได้ด้วยนะ

ถ้าเราทำผิดต่อคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เราสำนึกผิดแล้วควรขอขมา เพื่อที่จะได้คลายเวรกรรม และสำรวมระวังในการทำความดีต่อไป เราก็ไม่ต้องติดสินบนใครด้วย

แดดเช้าบำเพ็ญสัจจะบารมี ..... มุ่งหวังว่า จะเดินกรรมฐานสิบกว่ากิโลให้ได้
แดดเช้าคิดว่า การเดินนี่ทำให้สติคงที่กับกายกับจิตได้ดี
ถ้าเราเดินไกลๆ ก็ยิ่งทำให้เราชำนาญในการเจริญสติ และสติเราจะคงที่ได้มากขึ้น ....

แดดเช้าจึงตั้งใจไว้ตั้งแต่เย็นวันหนึ่งว่า พรุ่งนี้ แดดเช้าจะตื่นแต่เช้า แล้วจะเตรียมตัวเดินไปหาหลวงปู่ เริ่มตั้งแต่โลตัสแจ้งวัฒนะเลย

คืนนั้นทั้งคืน แดดเช้าลังเลใจ
แดดเช้าถามตัวเองให้ชัดๆ ว่า จะทำหรือไม่ทำ
แดดเช้าตอบตัวเองหนักแน่นว่า จะทำ

แดดเช้าก็มานั่งนึกอีกว่า จะไหวหรือเนี่ย .....
นึกไปนึกมา หวั่นๆ มันไกลเหมือนกันนา
อีกใจหนึ่งตอบว่า แค่นี้เอง เดินทำสมาธิไปด้วย ไม่ไกลสักเท่าไหร่หรอก
อีกใจหนึ่งก็บอกว่า จะไหวเหรอ เหนื่อยนะ
ใจหนึ่งบอกว่า พระธุดงค์ท่านยังเดินไหวเลย พระพุทธเจ้าท่านยังโปรดคนอื่นๆ ท่านยังไหวเลย
ใจหนึ่งก็บอกว่า เอาแน่เหรอ ถ้าป่วยขึ้นมาล่ะ
ใจหนึ่งก็บอกว่า ให้มันป่วยตายไปกับกรรมฐานนี่แหละ
แล้วแดดเช้าก็ถามตัวเองชัดๆ ว่า จะเอายังไง
จึงได้คำตอบหนักแน่นว่า ตั้งสัจจะไว้แล้ว ต้องทำ!!!

ตื่นเช้าขึ้นมา .....
ไม่ค่อยสบาย ปวดฟัน จะเป็นไข้ จะเดินอีกเหรอ
เดิน!!!

แล้วแดดเช้าก็ตัดสินใจอาบน้ำ แล้วเดินไปขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์
ไปลงที่บิ๊กซีแจ้งวัฒนะ
แล้วเดินต่อมา .... ผ่านโลตัสแจ้งวัฒนะ ก่อนถึงคลองประปา
เดินฝั่งที่ไม่มีรถก่อนเลย เพราะเช้านัก คนขับรถไปทำงานกันเป็นแถวเหยียดยาว

อีกฝั่งหนึ่ง แดดก็ร้อน รถก็เยอะ
ฝั่งนี้ กำลังสบาย
เดินๆ ไปถึงทางตัน
แล้วแดดเช้าก็เลาะทางแคบๆ เล็กๆ ที่ติดกับน้ำและชายป่าไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านคน

ข้ามสะพานมาเดินอีกฝั่ง
เกือบครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้ว ยังเดินไหว
ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เรานี่ก็ใจเสาะตั้งแต่ยังไม่เดินซะแล้ว

ทุกสิ่งเกิดจากความคิดทั้งหมด
ถ้าเรามุ่งมั่นต่อ "สัจจะ" ของเรา
อะไรๆ ก็สำเร็จผลได้

เคยตั้งสัจจะคล้ายพระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้
เมื่อก่อน แดดเช้าทำสมาธิแล้วเกิดอาการกลัว
แดดเช้าออกอุบายให้ตัวเองว่า พระพุทธองค์ยังตั้งพระทัยว่า
"ถึงเลือดเนื้อจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังห่อหุ้มกระดูกก็ตามที ถ้ายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เราจะไม่ลุกจากบัลลังก์นี้"

แดดเช้าก็เลยเจริญรอยตามพระพุทธองค์ แต่ตั้งปณิธานตามกำลัง
"เราจะนั่งสมาธิให้ถึงเวลานั้นๆ ถึงเราจะเหน็บเจ็บปวด จะเป็นจะตายยังไง ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่กำหนด เราจะไม่ลุกจากการบำเพ็ญเพียร"

นั่นทำให้แดดเช้าทำอะไรแล้วสำเร็จด้วยอานุภาพของสัจจะบารมีจริงๆ

เพราะแดดเช้าก็เป็นคนช่างท้อถอย ไม่ค่อยสู้กับอะไรเลย
นิดๆ หน่อยๆ ก็ยอมแพ้ซะแล้ว
แดดเช้ามักจะถูกหลวงปู่ติเตียนเสมอว่า ไม่ยอมสู้เลย มัวแต่ท้อ แล้วจะชนะได้อย่างไร
ทั้งที่แดดเช้ามีอานุภาพคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คอยคุ้มครองปกป้องอยู่ ไม่มีสิ่งใดเอาชนะได้ แล้วยังท้อแท้ง่ายๆ อีก

แดดเช้าเชื่อมั่นในคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ แต่ถ้าแดดเช้าขาด "สัจจะ" แดดเช้าก็ทำอะไรไม่สำเร็จได้เหมือนกัน
สัจจะ เป็นสิ่งที่เสริมกำลังของเรา ทำให้เราเกิด วิริยะ และ สติ กับ สมาธิ ของเราก็จะเข้มแข็งมั่นคง

ถ้าคุณท้อแท้ ....
ถ้าคุณรู้สึกล้มเหลว ....
ถ้าคุณรู้สึกหมดกำลังใจ ....
ถ้าคุณรู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง ....
ตั้ง "สัจจะบารมี" กันดีกว่านะคะ
แล้วคุณจะรู้ด้วยตัวคุณเองว่า "วิริยะบารมี" ของคุณจะตามมา
สุดท้าย ..... เมื่อปณิธานของคุณสำเร็จลง ทุกสิ่งก็จะสัมฤทธิผลเป็นไปตามความตั้งใจ

แดดเช้าขอเป็นกำลังใจให้กับคุณทุกคน

ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ บุญกุศลใดๆ ของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจทำขอยกมอบให้กับผู้อ่านทุกๆ ท่าน ขอให้เกิดเป็นกำลัง "สัจจะบารมี" และ "วิริยะบารมี" อันเข้มแข็ง สถิตอยู่ในทุกดวงใจ เพื่อให้ทุกๆ ท่านปฏิบัติในสิ่งที่ถูกที่ควร ที่เป็นสัมมาทิฐิ และไปถึงจุดมุ่งหวังดังตั้งใจ ขอให้ความปรารถนาอันดีของข้าพเจ้านี้ จงสัมฤทธิผลเป็นสิ่งที่ดีด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยเทอญ สาธุๆๆ




 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2548 22:01:43 น.
Counter : 1147 Pageviews.  

เดินกรรมฐานกลางเมือง

นิราศโลตัสบางเขน ถึง นิราศบิ๊กซีสะพานใหม่
คงสงสัยละซีว่า นึกยังไงถึงเดินทางไกล
ก็นั่งสมาธิอยู่เฉยๆ มันไม่เจริญ
อยู่นิ่งๆ สมาธิก็นิ่ง
แต่เราไม่สามารถรู้กายรู้จิตตัวเองในหลายๆ อิริยาบถ
และเราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า อิริยาบถไหนของเราสติไม่มั่น ไม่ละเอียดบ้าง
การที่เราทำสมาธิในอิริยาบถอื่นๆ เป็นการฝึกให้สมาธิเราเจริญขึ้น
สติละเอียดขึ้น ความคงที่เราจะมากขึ้น
ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ

แดดเช้าก็เลยคิดว่า เอาละ ... จะเดิน
เดินในห้องก็วนไปวนมา
งั้นกำหนดจุดหมายไกลๆ แล้วกัน
เดินจากที่พักไปโลตัสบางเขน
แล้วเดินจากโลตัสบางเขน ไปบิ๊กซีสะพานใหม่

เดินตั้งนานแล้ว .... ก็ยังส่ายไปส่ายมา
เห็นความไม่คงที่ของตัวเองชัด --- นี่แหละ ประโยชน์ของการเดิน
พอเดินจะถึงจุดหมายแล้ว แดดเช้าก็นิ่งลง
เห็นกายตัวเองเดิน เห็นจิตอยู่กลางอก
เหมือนกายเป็นหุ่นยนต์เดินได้ เบา นิ่ง อย่างนั้นแหละ
นิมิต 5 อย่าง - ท้องฟ้า ขอบฟ้า แผ่นดิน กาย ลม ก็ไม่หายด้วย

เดินกลับ - ยังคงสติที่กายที่จิตเอาไว้
ฝุ่นควันเยอะเหลือเกิน .....
แต่แดดเช้าก็ยังทรงสติที่กายที่จิตไว้
เดินกลับไปจนถึง โลตัสบางเขน

แดดเช้าคิดว่า ไปเดินสนามหลวงดีไหม
กำหนดดู ..... ไม่ควรไป
จึงถามตัวเองว่า ไปแล้วจะเป็นยังไง
ตอบว่า ก็ได้เดินเอาอากาศดีๆ
แล้วเสียเงินค่ารถไปกลับไหม
เสียเงินสิ ... ไปทำสมาธิบนรถด้วยไง
แล้วบนรถคนเยอะไหม นั่งบนรถเฉยๆ สองชั่วโมงไปสนามหลวงแล้วได้อะไร
จนใจที่จะตอบตัวเอง

ถ้าไปถึงสนามหลวงแล้วจิตใจจะเป็นยังไง
เห็นเลยว่า ตัวมานะฟูขึ้น
ที่นี่ถิ่นเก่าของเรา ที่นี่อากาศดี ที่นี่ควรมาทำสมาธิ
แล้วมันได้อะไร
ได้กิเลสให้เราหลงเพลิดเพลิน ได้เสียเงินค่ารถ ได้เสียเวลา
งั้นไม่ไปดีกว่า

เดินต่อไปถึงเซ็นทรัลรามอินทรา
นั่งพักดูคนเดินไปเดินมาที่หน้าห้างนั้น
นิ่งดีจัง คงเป็นเพราะนั่งเฉยๆ ด้วยมั้ง

นั่งเฉยๆ บางคนอาจจะคิดว่า สมาธิละเอียด
แต่ที่จริง เป็นเพราะว่า ระหว่างที่เราทำอย่างอื่น เราไม่ได้ทำสมาธิจริงจัง เราไม่คงที่ เราไปอยู่กับสิ่งภายนอก เราเพลินกับสิ่งภายนอก พอเราได้นั่ง เราจึงรู้สึกถึงความสงบ เราจึงคิดว่า การนั่งทำให้สมาธิละเอียดขึ้น
อันที่จริง สมาธิควรทำในทุกอิริยาบถ ยิ่งอิริยาบถหลากหลาย ยิ่งดีเลย ..... ยิ่งเราไม่คงที่ เราก็ต้องหาอุบายทำให้สมาธิเราคงที่ขึ้นมา

แดดเช้าจึงผุดความคิดขึ้นมาว่า .....
ถ้าอยากเดินที่สนามหลวง เดินไปหาหลวงปู่ดีกว่า
เดินไกลๆ จากโลตัสแจ้งวัฒนะ ปากคลองประปา ไปสุดสายคลองประปานั่นเลยดีไหม

ลูกบ้าแดดเช้ายิ่งเยอะๆ อยู่ด้วย
เลยคิดจะทำจริงๆ

เริ่มกรรมฐานทางไกล
แดดเช้านั่งรถมาลงที่บิ๊กซีแจ้งวัฒนะ ข้ามสะพานลอยมา แล้วเดินไปถึงโลตัสแจ้งวัฒนะ
แล้วก็เดินเลียบคลองประปาไป เดินอีกฝั่งหนึ่งที่ไม่มีรถ
หมดทางแล้ว เห็นเป็นป่า มีทางให้เดิน สะพานข้ามไปอีกฝั่งก็ไม่มี
รถก็เยอะนะอีกฝั่ง ฝั่งนี้ดีกว่า....

แดดเช้าก็เดินเลียบคลองประปา ข้างขวามือเป็นป่า ข้างซ้ายมือเป็นน้ำ
บางทีต้องผ่านต้นไม้ริมน้ำ ก็ต้องเดินระวัง เพราะทางลาดๆ เดี๋ยวไหลตกน้ำ
แดดเช้าบอกกับตัวเองว่า ตกลงไปก็ไม่ตายหรอก
เดินเหมือนเดินป่าดีออก

เดินเลาะไปเรื่อยๆ เห็นสะพานข้ามไปฝั่งโน้นแล้ว
แต่ก่อนจะถึงสะพาน ก็ผ่านบ้านคน
เจ้าหมาตัวเล็กตัวใหญ่ ก็ชอบวิ่งมาทักทายจัง
เจ้าของบ้านต้องคอยห้ามไว้
เขาบอกว่า "เดินฝั่งโน้นรถก็เยอะเนาะ"

ข้ามไปฝั่งโน้น ....
รถเต็มเลย คนไปทำงานกัน
แดดเช้าก็ลำบากนิดนึงตรงที่เดินต้องระวังหลัง รถวิ่งผ่าน วูด วูด เร็วมาก
ทรงสมาธิเอาไว้ หายใจไม่ค่อยสะดวก มีแต่ฝุ่น ควัน

หลวงปู่เคยบอกว่า ให้นึกสูดแต่อากาศดีๆ เข้าไป
แดดเช้าทำไม่ได้สักที

ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ใกล้จะถึงแยกทางด่วนศรีสมาน
แดดเช้าเดินเลียบคลองประปา
แดดร่มมากเลย เหมือนมีก้อนเมฆก้อนใหญ่ๆ มาคลุมดวงอาทิตย์อยู่
เปิดช่องวงกลมเป็นฟ้าใสๆ เอาไว้เป็นรูตรงกลาง
มีลำแสงสีขาวๆ พุ่งมาเป็นทางที่เมฆด้วย

แดดร่ม ไม่ร้อน ไม่เหนื่อย
แดดเช้าเดินฝั่งโน้น เห็นเทวดาต้นไม้ ทักแดดเช้าแล้วบอกว่า สาธุ อนุโมทนา ผู้ทำความเพียร
มาฝั่งนี้ เห็นซากเต่า ซากงู ซากหนู ซากกบ สารพัดซากระหว่างทาง แบนราบกับพื้น
คงถูกรถทับแบน
ขนาดเดินอยู่ริมๆ ทางแท้ๆ ยังต้องตาย
แผ่กระแสจิตให้พวกเขาตลอดทาง
แล้วเขาก็แปลงร่างเป็นเทวดาทันทีที่ได้รับกระแสจิตของแดดเช้า
สาธุค่ะ ....

ขอขมานะคะ ไม่ได้พูดคุยด้วย ไม่ได้สอนกรรมฐานให้พวกท่านสิ้นทุกข์
เพราะมัวแต่ตั้งใจเดินอยู่

อีก 4 กิโล จะถึงสำนักของหลวงปู่
เลยแยกทางด่วนศรีสมานไป แดดจ้าขึ้นๆ
แดดเช้าก็หยิบเอาหมวกมาใส่
เดินๆๆ

มีมอเตอร์ไซค์หลายคันวิ่งผ่าน ถามว่า จะไปไหม
แดดเช้าส่ายหน้า บอกว่า ไม่ไป

มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง เคยไปส่งแดดเช้า
จอดรถมาจะรับแดดเช้าไปส่ง
แดดเช้าบอกว่า ไม่ไปหรอก
เขาถามว่า จะไปไหน ไปส่งไหม ไม่เป็นไรหรอก จะไปบ้านใหม่พอดี เป็นทางผ่าน
แดดเช้าบอกว่า จะไปหาหลวงปู่
เขาบอกว่า อีกไกลนะ ไปเถอะ
แดดเช้าบอกว่า ไม่หรอก จะเดินไป จะเดินกรรมฐาน
เขาก็ยิ้มๆ แล้วก็ไป

แดดเช้าก็เดินๆ ทำสมาธิไปด้วย
เดินเหมือนเดินเล่นๆ เลย
จนถึงสุดทางคลองประปา สิ้นสุดถนนลาดยาง
ก็เห็นป้ายซอยร่วมสุข

แดดเช้าหิวน้ำมากเลย ....
แวะข้างทางซื้อน้ำมาหนึ่งถุง
แล้วเดินดื่มไป จนถึงสำนักของหลวงปู่

ท่านบอกว่า ไปกินข้าวในครัวซะ
ก็นั่งกินๆ เหนื่อย แต่ไม่หอบ
และกำลังจิตนิ่ง มีกำลัง เข้มแข็ง เบิกบานมากๆ เลย

เหมือนแค่ยกของหนักนิดหน่อยเอง
ไม่เหมือนเดินไกลเป็นโยชน์ๆ

หลวงปู่บอกว่า เดินไกลเกินไป
หลวงปู่ท่านถามว่า เดินมาจากไหน
ก็เล่าให้ท่านฟัง ท่านก็บอกว่า เดินไกลเกินไป

หรือคะ ... แต่เอ ทำไมเราไม่คิดว่า ไกลเลย
มันไกลจริงนะ แต่เวลาเดินเสร็จแล้ว ไม่ค่อยจะไกล
แดดเช้านึกในใจ

เหนื่อยแค่ร่างกายแหละนะคะ .....
ทั้งล้า ทั้งเหนื่อย แต่เหมือนเป็นปกติทุกอย่าง
สมาธิทำให้ดีอย่างนี้นี่เอง

แดดเช้าคิดว่า มีโอกาสจะเดินอีก
แต่จะเดินจากแยกทางด่วนศรีสมานไปหาหลวงปู่
ไม่เดินไกลขนาดนั้นแล้ว

เพราะเดินไกลขนาดนั้น ....
ร่างกายคงรับไม่ค่อยจะไหว
แต่มันทำให้เราหลับได้ดีเหลือเกิน

การเดินนี่ดีนะคะ
สุขภาพก็แข็งแรง
ปอดก็ทำงานดี
ร่างกายก็ได้ยืดเส้นยืดสาย
เลือดลมก็ได้ออกกำลังกับเราไปด้วย
หัวใจก็ได้สูบฉีดอะไรได้ดีขึ้น
สมาธิเราก็ดีด้วย
แถมได้ดูสติของตัวเองด้วยแหละ

กำลังกายเข้มแข็ง
กำลังจิตก็เข้มแข็ง
กำลังปัญญาก็เข้มแข็ง

ดีไปซะทุกอย่างเลย .....

สนับสนุนให้ทุกท่านเดิน เดินด้วยกรรมฐานนะคะ
แล้วจะเห็นโลกเปลี่ยนไป จะมองปัญหาต่างไปจากเดิม
ปัญญาจะละเอียดขึ้น แยบคายมากขึ้น
ชีวิตของท่านจะสมดุล

ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอให้บุญกุศลทั้งหลายของข้าพเจ้าที่ตั้งใจบำเพ็ญเพียรและตั้งใจอุทิศธรรมทานนี้ มอบให้แด่ผู้อ่านทุกท่าน ได้รับความสุขโดยทั่วหน้ากันด้วยเทอญ สาธุๆๆ




 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2548 12:49:01 น.
Counter : 375 Pageviews.  

กรรมฐานระหว่างเจ็บป่วย

หายไปเกือบสัปดาห์เลยนะคะ ...
วันนี้ กลับมาพร้อมกับเรื่องเล่าให้ฟังหลายเรื่อง

ที่หายไป ...... ไปทำอะไรบ้าง
เริ่มไม่ติดต่อกับใครๆ ยกเว้น หลวงปู่ ก็ประมาณวันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์
แดดเช้านั่งสมาธิทั้งวัน และก็ปวดฟันมากๆ
แก้มบวมตุ่ย ร้อนใน เป็นไข้ด้วย

แล้วแดดเช้าก็สติส่ายไปส่ายมา
คิดโน่นคิดนี่ไม่จบไม่สิ้นสักที
"หยุด!! หยุดคิดสักที"
นิ่งได้สักพัก ก็คิดต่อ

มันยังไงกัน!!
นั่งดูมันไป ....
อ้อ จิตของเรายังยึดอยู่กับกาย
กายนี้เป็นของเรา เราเจ็บ เราจะตายไหม แก้มบวมตุ่ยเลย ร้อนในด้วย ทำไมทรมานอย่างนี้ เมื่อไหร่จะหาย
มันคิดโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะคิด
เพราะเราสำคัญคิดว่า กายเป็นของเรา

เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่า เราสำคัญว่า กายเป็นของเรา
เรารู้ทั้งรู้ว่า กายนี้ไม่ใช่เราหรอก รู้โดยอาศัยความรู้
แต่เราไม่เคยเห็นว่า จิตยึดกายเป็นของเรา

ก็เลยทำการ "หยุดนึก หยุดคิด" ให้ได้
สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง
สำเร็จเมื่อไหร่ ก็หลับได้เมื่อนั้น
ไม่สำเร็จ ก็ต้องคิดจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน

กำหนดทุกข์ยามป่วย
เย็นแล้ว แดดเช้าเห็นแสงอาทิตย์สาดเข้ามาในห้อง งามดี ....
นั่งสงบใจให้ได้ ทรงนิมิตสมาธิ 5 อย่างไว้
"ท้องฟ้า ขอบฟ้า แผ่นดิน กาย ลม"

ความคิดเจ้ากรรมก็เข้ามา
ไม่ได้คิดเรื่องป่วย แต่คิดสารพัน
ไปเรื่องนั้นที ... เรื่องนี้ที
ยากที่จะนิ่งได้

เวลาความคิดเข้ามา แดดเช้าจึงใช้วิธีดูมันแล้วตวาดมันแรงๆ
"ไปๆๆ ไม่เอา ไม่คิด คิดทำไม"
พอจะคิด ก็ไล่ความคิดไปให้พัน
ไม่หลงเพลินไปกับมันอีกแล้ว

ก็มันเป็นแค่ "ความคิด" นี่นะ

โอเย .... แล้วแดดเช้าก็ทำสำเร็จ
นิ่งแล้วก็หลับลงไปได้

ดูจิตตัวเองไว้ด้วยนะ
หลวงปู่ท่านโทร.มาประมาณหัวค่ำ
ถามว่า รุ่งเป็นไง
แดดเช้าก็บอกว่า กำลังนั่งดูอาการปวดฟันอยู่เจ้าค่ะ
พูดไม่ค่อยจะไหว

ท่านก็ยังให้ดูโน่นดูนี่
ดูเวรกรรม ดูคนโน้นคนนี้
ในใจไม่อยากดู ก็นิ่งไว้
ทำตามที่ท่านบอกให้ทำ

สติอยู่ที่กายดี ท่านย้ำว่า ดูไปก็ดูจิตตัวเองไปด้วยนะ
"เจ้าค่ะ"

ประมาณสักเกือบสองชั่วโมง ท่านจึงวางสาย
แดดเช้าก็ดูจิตตัวเอง
ดูนิมิต ดูความเจ็บปวด ดูกาย ดูลม
ทรงไว้อย่างนั้น

หลับไป ... กายพัก
แต่จิตดูกายตัวเอง และยังดูทุกสิ่งทุกอย่างอยู่

ความเจ็บปวดทางกาย แค่นิดเดียว ..... ถ้าจิตตั้งมั่น
เช้าวันอาทิตย์ แดดเช้าลุกขึ้นมาหุงข้าว ทำกับข้าวแต่เช้ามืด
เตรียมอาหารจะไปใส่บาตรหลวงปู่

ปวดฟันก็ปวด แต่ตั้งใจจะไป
วันนี้มีหลายคนนัดแดดเช้าไปที่นั่น

แดดเช้าไปแต่เช้า ถึงที่นั่นประมาณเจ็ดโมง
หลวงปู่เดินมา แดดเช้าออกจากครัว
ท่านมองหน้าแดดเช้า แดดเช้านมัสการท่าน
ท่านคุยหลายเรื่องกับแดดเช้า

แดดเช้านั่งทำสติตลอดเวลา
"หยุดนึก หยุดคิด"
ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง
แต่ก็ยังทำ...

วันนี้ มีคนมาเยอะ
มีคนมีปัญหาเยอะ
ต้องช่วยแก้ไขกันเยอะ
โชคดีที่มีพี่ๆ มากันอีกหลายคน
แดดเช้าจึงไม่ต้องดูอะไรนัก
เพราะพี่ๆ เหล่านี้ท่านดูได้แม่นยำ และรอบคอบกว่าแดดเช้าเยอะ
แดดเช้าก็นั่งฟัง มีบ้างที่บางทีหลวงปู่จะถามแดดเช้า
แดดเช้าก็ดูไปตามที่เห็น

วันนี้รุ่งมันนิ่งทั้งวัน เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว
จะลาหลวงปู่กลับ
แดดเช้ากราบหลวงปู่ ขอพรหลวงปู่
หลวงปู่ก็บอกว่า
"วันนี้ เห็นคงที่ได้ทั้งวัน ดีตั้งแต่เช้าแล้ว"
"หนูก็ยังแว่บๆ ส่ายๆ อยู่บ้างค่ะ แต่เริ่มนิ่งตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพราะนั่งดูอาการปวดฟันของตัวเองทั้งคืนเลย"
ท่านก็นิ่ง

อาการไข้ชอบเข้ามาเล่นงานเหลือเกิน
แดดเช้าก็ต้องดูมัน แล้วทำลมออกทั่วกาย
ดูนิมิตลมไว้ ดูกายไว้
ทำจิตให้มั่นๆ เข้าไว้
จิตที่อยู่กลางอก .... ไม่เห็นมันจะเป็นไข้เลย
ไม่เห็นจะเจ็บปวดไปด้วยเลย
ไม่เห็นจะรับรู้อารมณ์อะไรเลย
จิตก็อยู่เฉยๆ อย่างนั้นแหละ

แต่อารมณ์ต่างๆ ต่างหากที่เข้ามากระทบจิต
และจิตก็มีตัวอะไรไม่รู้ไปรับรู้ขึ้นมา
แล้วมีตัวอะไรไม่รู้ไปสำคัญคิดว่า จิตเป็นนั่น จิตเป็นนี่
เราเป็นนั่น เราเป็นนี่

กายเราก็เหมือนกัน
มันก็แค่ธาตุมันเปลี่ยนแปลง
แล้วมีอาการบวมตุ่ยๆ ขึ้น
แต่กระแสการรับรู้ของจิตไปติดอยู่ที่ตรงนั้น
ทำให้คิดว่า เป็นกายของเรา

อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้น มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นแหละ
แต่อะไรก็ไม่รู้ไปทำให้จิตคิดว่า เราเจ็บปวด
และก็คิดต่อๆ ไปว่า เราเจ็บๆๆ
ยิ่งคิด เราก็ยิ่งเจ็บทวีความรุนแรง

ถึงสมองจะสั่งว่า เราไม่เจ็บ
แต่จิตก็ยังคิด ....
เรารู้ไม่ทันความคิดที่รวดเร็วอย่างนั้นหรอก
ถ้าเราไม่ดูให้ดีๆ
ไม่นิ่งๆ ไม่ดูเฉยๆ

การออดอ้อนกันของกายกับจิตนี่นะ
เป็นเรื่องที่ละเอียดที่สุดเกินกว่าที่ตาจะเห็นได้
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องฝึกสมาธิให้เกิดอภิญญา
อภิญญาบางตัวเป็นเครื่องทำให้เรามองเห็นกิเลส
อันจะทำให้เราไปถึงการดับกิเลสได้เร็วขึ้น

ทิพยจักขุญาณ เป็นอภิญญาหนึ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ
ความเชื่อผิดๆ ที่แดดเช้าเองเคยได้ยิน และเคยเชื่อเมื่อก่อน ก็คือ ความเชื่อที่ว่า พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมอภิญญา ไม่สนับสนุนในเรื่องฤทธิ์

แต่หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าสรรเสริญผู้ที่มีทิพยจักขุญาณ
ท่านเล่าเรื่องพระโมคคัลลานะ ลงไปนรก แล้วนรกคลายความทุกขเวทนา สัตว์นรกมีความสุข
ท่านเล่าว่า สัตว์นรกบางตัวฝากข่าวให้พระโมคคัลลานะไปบอกญาติพี่น้องด้วย

ใครไม่รู้ .... ไปบอกว่า พระพุทธเจ้าติเตียนพวกมีอภิญญา -- ไม่จริงเลย
ไม่เช่นนั้น ท่านจะตั้งเอกัตทัคคะทางด้านต่างๆ ไว้ทำไม
ผู้เป็นเลิศทางด้านฤทธิ์
ผู้เป็นเลิศทางด้านมโนมยิธิ
ผู้เป็นเลิศทางด้านทิพยจักขุญาณ
ผู้เป็นเลิศทางด้านอภิญญา
ผู้เป็นเลิศทางด้านบุพเพนิวาสานุสติญาณ
ฯลฯ

เพราะอภิญญาเหล่านี้ สามารถช่วยเหลือคนได้มาก
สามารถทำให้คนถึงมรรคผลได้
ไม่ได้เป็นอันตรายอะไรเลย

ยกเว้นแต่ มิจฉาฌาน ที่พระเทวทัตมี
พระเทวทัตต้องตกนรกนาน
ทั้งที่ก็มีอภิญญาเหมือนกัน

แต่ถ้าปฏิบัติถูกต้องตามธรรมตามวินัยแล้ว การใช้อภิญญาไม่ใช่เรื่องเสียหาย
กลับยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นมากมายมหาศาล

ถ้าแดดเช้าไม่มีอภิญญา
แดดเช้าก็คงปวดฟันทุรุนทุราย
นิ่งดูความเจ็บปวดอย่างนี้ไม่ได้เป็นวันๆ หรอก

เดินกรรมฐานยามป่วยไข้
วันต่อมา แดดเช้าก็นั่งสมาธิ
สมาธิไม่เจริญเลย
จึงเดิน

เดินจากที่พัก คือ โลตัสบางเขน ไปถึง บิ๊กซีสะพานใหม่
ไปกลับเกือบๆ สามกิโล
ทำสมาธิไปด้วย
ระยะทางประมาณ 3-4 ป้ายรถเมล์

ยังไม่สาแก่ใจ
อยากจะเดินต่ออีก ....
แต่เย็นมากแล้ว
จึงเดินไปทางหมู่บ้านอัมรินทร์นิเวศน์
นั่งดูผู้คนผ่านไปผ่านมาที่หน้าห้างเซ็นทรัลรามอินทรา

นึกในใจและตั้งสัจจะไว้ว่า วันพรุ่งนี้จะตื่นแต่เช้า เดินจากโลตัสแจ้งวัฒนะไปหาหลวงปู่ที่สำนักปฏิบัติธรรม!!!

ไกลเหมือนกันนะ .... แต่คิดทวนไปทวนมา
ตกลงใจว่า จะทำ
แต่ก็ยังลังเล

ความมุ่งมั่นชนะทุกที

ไปหาหลวงปู่ก็ยังไม่หายเจ็บป่วย
ยังไม่หายป่วย แดดเช้าก็เดินทางไกลก็ประมาณ 1 โยชน์ (16 กิโลเมตร)
ไปหาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็แสดงธรรมให้ฟังหลายเรื่อง
แล้วปล่อยให้แดดเช้าทำความเพียรบนศาลา

แดดเช้าเหนื่อย และ ล้า
แต่จิตใจมีกำลังมากๆ
เหมือนๆ ไม่เหนื่อยเลย

นั่งสมาธิแล้วก็ให้กายพักสักหน่อย
แต่จิตยังทำสมาธิอยู่
นึกสั่งให้กายหลับ ให้หัวใจเต้นช้าๆ ให้สมองทำงานน้อยๆ
ให้อวัยวะทุกส่วนทำงานเหมือนตอนนอนหลับ
แต่ยังหายใจทั่วกาย ยังดูกาย ยังดูลม
จิตยังดูทุกๆ อย่าง

พอตกเย็น
หลวงปู่ท่านก็มาถามว่า
"เป็นไงบ้าง"
แดดเช้าก็บอกว่า
"ร่างกายเหนื่อยเหลือเกินเจ้าค่ะ เลยทำสมาธิแล้วให้ร่างกายหลับ ได้ไหมเจ้าคะ"
"ได้"

กลับมาถึงบ้าน .... แดดเช้าก็เตรียมนอนแผ่เลย
แต่ก็นอนไม่ค่อยจะได้

พรุ่งนี้ .... วันมาฆบูชา
จะมีคนนำพระพุทธรูปปางมารวิชัยมาให้แดดเช้า
แดดเช้าต้องไปหาหลวงปู่

หน้าผ่องใสวันมาฆบูชา
แดดเช้าพยายามทำกายคงที่ จิตคงที่ ตลอดเวลา
แล้วแดดเช้าก็ไปหาหลวงปู่
ไปสายหน่อยนึง .... ไม่เคยไปสายขนาดนี้มาก่อนเลย
แต่แดดเช้าไม่สบาย

แดดเช้าครั่นเนื้อครั่นตัว แต่เป็นเรื่องของกาย
แดดเช้ายังเดินไหว แดดเช้าปวดขา ก็เป็นเรื่องของกาย
แดดเช้ายังมาหาหลวงปู่ไหว แดดเช้ายังปวดฟัน ก็เป็นเรื่องของกาย
แดดเช้ายังทำอะไรต่ออะไรไหว แดดเช้าอ่อนเพลีย ก็เป็นเรื่องของกาย
แดดเช้าก็ยังมีกำลังจิตพอที่จะทำกรรมฐานไว้

แดดเช้าเหมือนไม่เป็นอะไรเลย
นั่งคงที่ให้ได้
เวลาอาการร้อนจากไข้ขึ้นมาที่กาย แดดเช้าก็ดูลมให้ทั่วกาย
ทำกสินลม เอาลมไล่ความร้อนออกจากกายซะเลย

เวลาปวดฟัน แดดเช้าก็นึกเอาน้ำรดความร้อนในที่แก้มบวมตุ่ยๆ นั่นซะ
อาการก็ทุเลา

กินข้าวแทบไม่ได้ แต่แดดเช้าก็ยังกิน
อาการเหมือนตอนไม่ป่วยทุกอย่าง
แดดเช้ารู้สึกได้เลยว่า เหมือนแดดเช้าไม่เป็นอะไรเลย

พี่คนหนึ่งทักว่า "วันนี้หน้าตาผ่องใส"
แดดเช้าบอกว่า "วันนี้ป่วยมั้ง เลยต้องทำลมออกเยอะๆ ทำสมาธิเยอะๆ ถ้าเผลอไม่คงที่ เดี๋ยวจะยิ่งไม่สบาย"
พี่เขาก็พูดว่า "แต่ดูผ่องใสจริงๆ"
"สาธุค่ะ"

วันนี้ เหมือนๆ จะไม่เป็นอะไรมากแล้วนะคะ
จึงคิดว่า น่าจะมาเขียนอะไรให้อ่านได้แล้ว
เพราะหลายคนติดต่อแดดเช้ามา บอกว่า ไม่เห็นมีเรื่องใหม่เลย
กำลังรออ่านอยู่เหมือนกัน

ถ้าแดดเช้าเขียนไปแล้วเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน
พอจะนำข้อปฏิบัติไปใช้ได้บ้าง ก็อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ

ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอให้บุญกุศลทั้งหลายทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรนี้มอบให้แด่ทุกท่านที่ตั้งใจมาอ่านเพื่อนำข้อปฏิบัติ เพื่อความรู้ เพื่อความเป็นธรรม จากบันทึกของข้าพเจ้านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น ขอให้ทุกท่านจงประสบความสุข ความเจริญ ความสำเร็จทุกสิ่งทุกประการ ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยเทอญ สาธุๆๆ




 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2548 11:31:58 น.
Counter : 379 Pageviews.  

ลาหายไปสักระยะ .... นะคะ : ) -- ดูความ "หยุดนึก-หยุดคิด" ของตัวเอง

เมื่อเช้า .... ถามหลวงปู่เกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐาน
"หลวงปู่เจ้าคะ ... รุ่งไปบอกใครๆ ว่า
สิ่งทั้งหลายเป็นทุกข์
ุทุกข์ ไม่มีความคงที่
ถ้าเราทำความคงที่ ที่ กาย ที่ จิต
เราจะเห็นทุกข์ที่ไม่คงที่ชัด
อย่างนี้ .... ได้ไหมเจ้าคะ หลวงปู่"

ท่านตอบว่า
มันยังอธิบายไม่ชัด ปฏิบัติให้ถึงมรรคผลเสียก่อนเถอะ จะอธิบายได้ดีกว่านี้

มัวแต่คิดพล่านอยู่นั่นแหละ ....
หยุดนึกหยุดคิด ซิ
แล้วทำความ "หยุดนึก - หยุดคิด" ให้คงที่ไว้
ดูความ หยุดนึก หยุดคิด นั้นไว้ด้วย

ทำกายให้คงที่เป็นแบบอย่างของจิต
กายไม่นึก ไม่คิด จิตก็จะไม่นึกไม่คิด

ทำไว้นะ ....

..........
เจ้าค่ะ ....

งั้น แดดเช้าอาจจะหายไปหลายวัน จะไปดูความ หยุดนึก หยุดคิด ของตัวเอง
และทำให้มันคงที่

เพื่อที่ว่า ถ้าปัญญาของแดดเช้าแจ้งมากกว่านี้
แดดเช้าจะนำธรรมะดีๆ ง่ายๆ มาบอกเล่าให้คุณได้ปฏิบัติกันอีกนะคะ

ขอตัวก่อนละค่ะ : )

อีกไม่กี่วันจะมาค่ะ ... แหะ แหะ แบบว่า เป็นพวกพุทธิจริต คิดฟุ้ง คิดเยอะ เลยต้องไปหยุดมันไว้ก่อน

คิดถึงกัน ก็เข้ามาตอบในนี้นะคะ
เดี๋ยวจะมาอ่านค่ะ

ขอให้ทุกท่านยินดีในการปฏิบัติธรรมนะเจ้าคะ

ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอให้ข้าพเจ้าได้ดวงตาเห็นธรรมในเร็ววัน เพื่อจะเกื้อกูลประโยชน์ต่อพระศาสนาและนำข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ง่ายดาย มาเล่าให้บุคคลทั้งหลายได้เข้าใจ ด้วยความปรารถนาอันดีงามครั้งนี้ของข้าพเจ้า ขอให้คำอธิษฐานจงสัมฤทธิผลทุกประการ ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ นี้ด้วยเทอญ สาธุๆๆ




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2548 16:11:22 น.
Counter : 367 Pageviews.  

ขออย่ายอมแพ้ .... อย่าท้อแท้ ระย่นย่อ -- คิดเถิดว่า คุณก็ทำได้!!!

หนทางปฏิบัติธรรม อย่าคิดว่าบารมีไม่ถึง จึงเป็นของยาก
ที่เขียนบทบันทึกนี้ขึ้นมาเพราะว่า ฟังเพื่อนๆ บ่นว่า ....
ปฏิบัติกรรมฐานยากจัง!!!
สงสัยเราคงทำไม่ได้
ทำไมทำแล้วก็ยังทำไม่ได้
เราจะทำได้จริงๆ หรือ?
คงไม่มีบุญเก่ามาหรอก
ฯลฯ
โอ๋ๆๆๆ อย่าคิดมากน่า เดี๋ยวแดดเช้าจะเล่านิทานอะไรให้ฟัง ....

วันหนึ่ง คุยกะพี่คนหนึ่ง ท่านเล่าให้แดดเช้าฟังว่า มีคนบอกว่า ท่านผ่องใสและมีความสุขเหลือเกิน เขาคงปฏิบัติธรรมไม่ได้แน่ๆ เพราะบารมีไม่ถึง

พี่คนนี้ตอบกลับไปว่า
"ฉันก็มีกิเลสเหมือนๆ กับเธอ มีขา มีแขน มีมือ มีเท้า มีหน้าตาเป็นแบบเดียวกับเธอ พระพุทธเจ้าพระองค์แตกต่างจากเราสักแค่ไหน แต่ท่านก็ยังปฏิบัติจนถึงความสิ้นทุกข์ได้

พระอริยะ ท่านก็ถึงความสิ้นทุกข์ได้ แม้ว่าท่านจะมีรูปร่างหน้าตาไม่ต่างอะไรจากพวกเราเลย
แล้วทำไมเธอจึงคิดว่า เธอทำไม่ได้"

ฟังเช่นนี้แล้วได้กำลังใจขึ้นเยอะเลย ....

ชะตากรรมก็อยู่ส่วนของชะตากรรม การปฏิบัติให้ถึงการสิ้นทุกข์ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจอีกเรื่องหนึ่ง...
แดดเช้าเห็นว่า อริยบุคคลบางท่าน ปฏิบัติได้เป็นอริยบุคคลชั้นสูงแล้ว ท่านเหมือนคนมีความรู้มาก มีความสุข มีสง่า เหมือนมีการศึกษาสูง มีศักดิ์ศรี น่าเลื่อมใส

คุยไปคุยมา พบว่า บางท่านไม่มีโอกาสเรียนระดับสูงๆ เลย จบเพียงประถม 4
บางท่านผ่านมรสุมชีวิตมามากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
บางท่านประสบปัญหาต่างๆ ตามชะตากรรม แต่ทำไมดูท่านยังงามจัง

กรรมก็อยู่ส่วนกรรม ..... การปฏิบัติธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จริงๆ

ถ้าปฏิบัติให้ถึงที่ เวรกรรมบางอย่างก็จะไม่ต้องพบพาน
หลวงปู่เคยถามคนที่มาหาว่า
"จะแต่งงานไหม ไม่ต้องมีผัวก็ได้นะ"
"ค่ะ หนูก็คิดว่า จะไม่มี แต่ถ้าจะต้องเจอล่ะคะ"
"ปฏิบัติกรรมฐานไป ถ้าเวรกรรมจะมี ก็ต้องเจอ แต่ถ้าทำกรรมฐานจนถึงขั้นอนาคามี เวรกรรมเรื่องคู่ก็จะหมดไป"

บางที ... เรื่องราวต่างๆ เราต้องพบพาน
แต่ถ้าเราสามารถสร้างกรรมใหญ่พอ ก็จะสามารถตัดรอนในสิ่งที่เราจะพบเจอได้
และที่สำคัญ การถึงมรรคผล ก็คือการสร้างอนันตริยกรรมฝ่ายดี ที่จะปิดกั้นนรก เปรต อสูรกาย เดรัจฉานได้

อนันตริยกรรม ฝ่ายชั่ว จะกั้นความดีงาม เวลาตายไปก็ต้องตกนรก ไม่สามารถขึ้นไปเสวยบุญได้ ต้องใช้กรรมนี้ก่อนเป็นอันดับแรก

อนันตริยกรรมฝ่ายดี จะกั้นสิ่งชั่ว ทำให้เราไม่ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีก .... ดีไหมคะ?
ถ้าดีเช่นนี้แล้ว ฉะนั้น เราควรปฏิบัติกรรมฐานให้ถึงมรรคผลกันดีกว่า ใช่ไหมล่ะคะ...

ที่จริง เรื่องของ "กาย" กับ "จิต" เป็นสิ่งธรรมดา .... การดูแล กาย กับ จิต ก็เป็นเรื่องสามัญธรรมดา
ไม่ต้องคิดว่า ต้องนั่งหลับตา ขัดสมาธิแต่อย่างไรเลยนะคะ

เราทำได้ตลอดเวลาตราบเท่าที่เรายังมีกายและจิตอยู่กับตัวเรา
เราทำอะไรก็ตาม เราก็เฝ้าดูกายและจิตตัวเองอย่างเป็น "ผู้ดู" นิ่งๆ อย่างนั้นแหละ ....
แล้วเราก็จะคงที่ เห็นความขับเคลื่อนไปของกาย และสิ่งที่กระทบจิต

ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่ใครๆ เข้าใจ
ไม่ต้องเข้าวัดไปนุ่งขาวห่มขาวหลายๆ วัน
ไม่ต้องเข้าป่าไปบำเพ็ญบารมี เผาผลาญกิเลส

ท่านบอกว่า "ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่ละ"
ดี ก็ ดู ดู ดู ดูไว้
ชั่ว ก็ ดู ดู ดู ดู ไว้
ดูอย่างเดียว เดี๋ยวจะเกิดปัญญา
กิเลสจะละจากเราไปเอง ไม่ต้องคิดละกิเลส
ไม่ต้องตัดกิเลส แต่กิเลสจะถอนรากถอนโคนจากจิตของเราเอง
และจิตของเราก็จะผ่องใส สว่างใสว ไม่มัวหมอง

ธรรมะเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเราต้องดูแล "กาย" กับ "จิต" ของเรา
หยุดคิดกันได้แล้วว่า ธรรมะเป็นของยาก เราต้องอยู่กับทางโลก
เราอยู่กับทางโลก เราก็ปฏิบัติธรรมะได้ ได้อย่างดียิ่งด้วย
และเราก็สามารถทำกิจทางโลกให้ดำเนินต่อไปได้อย่างเรียบร้อย ได้รับการไว้วางใจ และมีสิริสง่า

อริยบุคคลที่ปฏิบัติภารกิจทางโลกหลายคน ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ได้ต้องการโภคทรัพย์เกินความจำเป็น ไม่ได้สนองกิเลส
แต่ยศถาบรรดาศักดิ์ คำสรรเสริญ โภคทรัพย์ต่างๆ ไหลมาสู่ท่านเอง
และท่านก็รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า โลกธรรมเหล่านี้ เป็นของเปล่าๆ ว่างๆ เท่านั้น
ไม่ได้มีอะไรน่าครอบครองเป็นของท่านเลย
ท่านได้มา ก็ได้มาตามธรรม

สงบ สบาย ดีไหมล่ะคะ? ถ้ารู้สึกได้อย่างนั้นจริงๆ
โดยไม่ได้ตั้งใจคิดเลย แต่ท่านจะเป็นไปตามจิตรู้ของท่าน

แดดเช้าเอง ยังเป็นปุถุชน
ถึงแดดเช้าจะรู้ดีว่า สิ่งต่างๆ เป็นของเปล่าๆ ว่างๆ
พยายามข่มจิตข่มใจข่มกิเลสไว้ด้วย "ศีล"
แต่แดดเช้าก็ยังมี อุปาทาน ยึดความเป็น "เรา" เป็น "เขา" อยู่

แม้อุปาทานยังไม่ดับ อวิชชายังไม่ดับ ปัญญารู้แจ้งยังไม่เกิด
แดดเช้าเข้าใจได้อย่างนี้ แดดเช้าปฏิบัติธรรม ข่มจิตข่มใจ เข้าใจธรรมด้วย "ความคิด"
แดดเช้าก็สงบ สบายได้
ง่ายดีไหมล่ะคะ?

และการรู้จักข่มกิเลสตรงนี้แหละ .... จะทำให้กิเลสค่อยๆ เบาบางลง
แล้วสมาธิจะเกิดง่ายๆ ทำให้แดดเช้าเข้าถึงมรรคผลได้เร็ววัน
สาธุ ...

ความจริง ไม่ใช่ ความคิด ความจริง คือ ความจริง ความคิด คือ ความคิด
หลายครั้ง ... ปุถุชนอย่างเราๆ มักจะคิดหาเหตุผล
เรายังไม่เห็นทุกข์แท้ๆ หรอก เราเห็นด้วย "ความคิด" ของเราต่างหาก
เราใช้สมองมากไป เราไม่ค่อยใช้จิตในการดู
เรายังคงที่น้อย เวลาความคิดเข้ามา เราก็สำคัญเป็นว่า เราคิด
ทั้งที่ "จิต" ต่างหากเป็นผู้ทำงาน

จิตสั่งให้สมองคิด
แล้วถ้าสมองคิด โดยที่เราขาดสติ ขาดความคงที่
เราหลงเพลินไปกับความคิด
ทั้งคิดดี คิดไม่ดี
เราก็หลงไปกับความคิด
จิตเราก็ยึดความคิดเป็นของเรา

ฉะนั้น การมีสติอยู่กับกายกับจิตให้คงที่
เราจะเข้าใจเองว่า แม้แต่ความคิด ก็ไม่ใช่จิต
ความคิดปรุงแต่งให้เราติดอยู่กับสมมตินาม
แล้วหลงไปกับอารมณ์ต่างๆ เป็นอารมณ์ที่เราติดอยู่กับสมมตินาม

โลกนี้ ... เป็นของสมมุติ
เราเป็นก้อนโลก ... เราอาจจะคิดได้
แต่เรายังไม่อาจเห็นได้
ถ้าจะให้เรามีปัญญาเห็นได้ เราต้องปฏิบัติกรรมฐาน

เป็นของไม่ยากเกินไปค่ะ ...
กรรมฐานทำให้เราหยุดนึก หยุดคิด รักษาอาการฟุ้งซ่าน สงสัย
แล้วเราก็จะพบความจริง เมื่อทุกสิ่งสงบลง
ไม่คิด ไม่นึก เห็นด้วยอาศัยตา ได้ยินด้วยอาศัยหู ฯลฯ
แล้วเราคงที่อยู่ได้ เราจะเข้าใจสรรพสิ่ง
ได้ยินเสียงของสรรพสิ่ง ได้เห็นความแปรปรวนของสรรพสิ่ง
เป็นเสียงที่ไม่เงียบแต่อยู่บนความเงียบสงัด
เป็นความไม่มีแต่อยู่บนสิ่งต่างๆ มากมายก่ายกอง

ปฏิบัติกรรมฐานกันเถอะ แล้วคุณจะเข้าถึงสัจธรรม
ไม่ยากสำหรับคุณเลย ... อย่าท้อแท้สิ
อย่าด่วนประเมินค่าตัวเอง
แดดเช้ายืนยันอีกเสียงหนึ่งว่า "คุณทำได้"
และทำได้อย่างดีด้วย

ถ้าคุณทำได้ คุณก็จะสามารถช่วยใครต่อใครได้มากมาย
เพราะสมาธิสามารถแก้เวรกรรมได้ สามารถรักษาโรคได้ สามารถแก้ปัญหาได้ สามารถทำให้คุณมีปัญญารู้เห็นสิ่งต่างๆ ได้ สามารถทำให้คุณช่วยกิจทางศาสนาได้อีกเยอะ กลับใจคนคิดไม่ดี ให้เป็นดีได้ ฯลฯ

ทุกคนเป็นคนดีนะ แดดเช้าคิดเช่นนั้น ....
เพียงแต่ ยังไม่ถึงจุดที่จะเป็นคนดีโดยสมบูรณ์ได้
เพราะจุดของแต่ละคนแตกต่างกันไป

คุณสนใจเข้ามาอ่านบันทึกธรรมะของแดดเช้า
นั่นก็แสดงว่า คุณมีหวังที่จะปฏิบัติได้แล้ว
และคุณมีหวังที่จะมีความสามารถในการช่วยเหลือคนอื่นๆ เหมือนๆ กับผู้ที่พอจะช่วยได้
เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไปนัก!!!

รักคุณนะ .... อยากให้คุณได้พบสิ่งดีๆ
ถ้าคุณปฏิบัติกรรมฐานอย่างถูกวิธี
ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับคนอย่างคุณ!!!

ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ บุญกุศลต่างๆ ของข้าพเจ้าที่ได้บำเพ็ญมาทั้งหมด ขอมอบให้ผู้อ่านทุกท่าน ให้มีกำลังใจในการปฏิบัติกรรมฐานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยปราศจากการระย่อท้อ เพื่อถึงมรรคผลในปัจจุบันชาติด้วยเทอญ

ขอให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงเป็นจริงทุกประการ ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยเทอญ สาธุๆๆๆ




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2548    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2548 18:56:46 น.
Counter : 382 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

แดดเช้า
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[จะเป็นสะพานพาคนให้พ้นทุกข์]
...........................................................
หวังเกื้อกูลพระศาสนา
จึงตั้งค่าการหยั่งรู้ สู่มรรคผล
เพื่อรู้แจ้ง แห่งสัจธรรม นำใจคน
พาหลุดพ้น เป็นคันฉ่อง ครรลองธรรม : )

เกิดตายมาหลายหนจนนับไม่ถ้วน
ชาติหน้า หน่ายแล้ว ไม่อยากเกิดอีกแล้ว )

..............................................................
นาม ฉันนั้นแดดเช้า ........... ทอทอง
รูป แจ่มสดใสมอง ................ สุขล้ำ
จุดหมาย ดั่งครรลอง ............. หวังวาด
คติ แน่นในเนื้อน้ำ .......... ดิ่งซึ้งรสธรรม

หวัง นำชนสู่เป้า ................... แดนฝัน
กิจ ที่อธิษฐานพลัน ............... หยั่งรู้
ใน ชีวิตคิดสรรค์ .................... สร้างโลก
ธรรม สถิตมั่นสู้ ........... ปราบสิ้นกิเลสมาร

สานชีวิตแดดเช้า .................... หยาดอรุณ
มองโลกเพื่อเจือจุน ................. แหล่งหล้า
อาบอุ่นประกายคุณ .............. ไตรรัตน์
เพียงนบสนองแกล้วกล้า ..... แจ่มแจ้งปัญญา

ค่าแห่งอุดมคติเน้น .............. ตรงธรรม
ประกาศศาสน์น้อมนำ ........ อริยะแจ้ง
ฉุดผองเหล่าชนถลำ ............ จมทุกข์
ชี้ฝั่งให้เห็นแห้ง ......... แห่งห้วงทะเลกรรม

จึงบำเพ็ญตบะกล้า ......... ทางใจ
เพื่อมรรคผลอำไพ ........... จิตแจ้ง
เห็นอริยสัจจ์สว่างใส...... ทุกข์ปลด
แล้วจึ่งล้างขัดแย้ง .......... เบิกฟ้าสันติธรรม

หวังนำคุณพระแพร้ว......... ชี้ทาง
สถิตจิตในสิ่งวาง ............. มั่นเข้า
แผ่คุณเมตตาถาง .............. อุปสรรค
สู่ทุกจิตค่ำเช้า ........... พบแผ้วผ่องใส.

Friends' blogs
[Add แดดเช้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.