น ก ก ร ะ จิ บ เ ล่ า เ รื่ อ ง
ธรรมะเป็นคำตอบของคนหนุ่มสาว
Group Blog
 
All Blogs
 

ปัญญาอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม (ภาวนามยปัญญา)

ใครสักคนอาจจะเคยอ่านหนังสือจนหมดห้องสมุด
ใครบางคน อาจจะศึกษาธรรมะมาตลอดชีวิต
ใครอีกคน ขบคิดปรัชญาจนกลายเป็นคนแข็งกระด้าง
ใครอีกหลายๆ คนเลือกวิธีการเก็บประสบการณ์จากการเดินทาง
ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ศึกษาจบมหาวิทยาลัย ระดับสูงสุด
แต่ .. ก็ยังไม่ค้นพบคำตอบที่เป็นคำตอบสิ้นสุด
หรือจุดจบสิ้นแห่งความรู้


ฉัน ... เคยเป็นอีกคนหนึ่งที่พยายามศึกษา ค้นคว้า เกี่ยวกับความเป็นไปของจิต ชีวิต สังคม โลก และจักรวาล
และเป็นผู้เคยทระนงตนว่า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แบกความรู้ไว้มากมายนัก


ฉัน ... จึงมีอะไรเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด
พร้อมที่จะถกเถียงปัญหาต่างๆ กับใครๆ
และชอบที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ความคิด


นานเนิ่นมาแล้ว ...
ที่ความรู้หลากหลายอันเกิดจากการคิดค้น การอ่าน การฟัง มากมาย
พยายามทรงจำ ขบคิด และหลายหนที่ปัญญาเฟื่องฟูมากมาย


จิตใจไม่เคยสงบสุขได้เลยในวันเวลาที่ผ่านมา
ฉันเสาะค้นครูบาอาจารย์ และพร้อมที่จะตั้งคำถามเอากับท่าน
สุดท้ายแห่งการจบบทสนทนา
ฉันกลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย


ฉัน ... หาทางเดินทางเพื่อค้นหาประสบการณ์ชีวิต
จดบันทึก ถ่ายภาพ เขียนเล่า บอกกล่าว
ดูเหมือนยิ่งทำสิ่งเหล่านี้ ทำให้ฉันรู้สึกว่า ปัญญาของฉันมากมาย
ฉันมีความฉลาดเสียเหลือเกิน


จนกระทั่ง ฉันพบประสบการณ์ทางจิตใจ
ด้วยการเจริญกรรมฐาน
ดำรงกายให้ตรง ตั้งสติให้มั่น แล้วทำสมาธิให้แน่วแน่
กายคงที่ไม่กระสับกระส่าย ใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
แล้วฉันก็พบว่า ความรู้ที่ฉันเคยรู้เหล่านั้น เป็นสิ่งที่ขัดขวางการเจริญภาวนาอย่างยิ่งยวด


เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ฉัน "คิดนำ" หรือ "ตั้งข้อสงสัย" เพื่อหาคำตอบ ค้นหาความจริง
สมาธิของฉันจึงหยุดนิ่ง ก้าวไปข้างหน้าได้ไม่ไกล ด้วยความสำคัญตนว่า เป็นผู้ฉลาด ผู้รู้แล้ว แล้วยึดมั่นความรู้นั้นไว้แนบแน่น


เป็นความเดียวดาย ... ที่ฉันต้องปฏิบัติกรรมฐานเพียงลำพัง และด้วยความสำคัญผิด ยึดตัวตนของตัวเอง ด้วยถือว่า ฉันนั้นเก่งนักหนา

ตัวตนอันแสนหนักหน่วง ... เมื่อมีอะไรมากระทบ ฉันย่อมหวั่นไหวได้ง่ายๆ
ด้วยตัวตน เป็นสิ่งที่ฉันรักและหวงแหนยิ่งนักนั่นเอง


จนกระทั่งวันหนึ่ง ... ฉันเพียรปฏิบัติกรรมฐาน
ฉันขาดความคงที่ จึงทำให้ฉันเจริญสมาธิยาก
ดีที่กรรมฐานที่ฉันฝึกปฏิบัติ เป็นเสมือนหลัก ราว ให้จับได้
ฉันจึงรู้ได้ว่า ฉันปฏิบัติกรรมฐานพลาดเพราะอะไร


ด้วยความคิดฟุ้ง ติดความฉลาด ติดปัญญา ติดสงสัย ติดความคับข้อง
สมาธิที่เป็นอยู่จึงยากที่จะเจริญได้


กรรมฐานที่ทรงนิมิตไว้ เป็นเครื่องวัดอย่างดีว่า แท้จริงแล้วฉันเป็นคนอย่างไร
และควรทำอย่างไรให้กรรมฐานทรงได้ดีๆ


ฉันจึงต้องทำการหยุดนึกหยุดคิด
ในลำดับแรก เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด
ฉันเพียรคิดหาอุบายแก้ไขความคิดของฉัน
จนค้นพบอุบายที่เยี่ยมยอดที่สุด นั่นก็คือ การดูความคิดตัวเอง แล้วทรงกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น จิตใจไม่หวั่นไหว ทำสมาธิให้แน่วแน่
แล้วฉันก็เห็นความคิดลอยมากระทบ แล้วมันก็หายไป
จึงค่อยๆ สงบลงไม่ยากนัก


ความรู้มากมายของฉันทำให้ฉันสติไม่มั่น ไม่สมบูรณ์
หลายครั้งที่ฉันยึดหลักความรู้เอามาใช้ในกรรมฐาน
จึงไม่อาจจะเข้าใจหรือรู้จริงได้


กว่าจะผ่อนคลายความคิดติดยึดนั่นลงไปได้ ฉันต้องบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก
โดยการทำสมาธิแล้วนิ่งดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามสภาวะที่ควรจะเป็น


จึงแจ่มแจ้งกับความเป็นไป ได้รับคำตอบทั้งในเรื่องของจิตใจ ชีวิต สังคม โลก จักรวาล ดังใจปรารถนา

ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ เยี่ยมยอดเหลือเกิน ...
แม้จะมีปัญญา 2 ฝ่าย คือ โลกียปัญญา (ปัญญาทางโลก ที่เกิดขึ้นได้ทั้งปุถุชน และ อริยะ) และ โลกุตตรปัญญา (ปัญญาที่เกิดกับพระอริยะเท่านั้น)
เกิดขึ้นอย่างที่ไม่มีตัวใดวัดได้ เป็น "ปัจจัตตัง" ที่ต้องรู้ด้วยตนเอง
จะบอกเล่าหรือแสดงให้คนอื่นรู้ คนอื่นก็พิสูจน์ไม่พบ
มีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ต้องให้เขาพิสูจน์ให้เห็นชัดด้วยตัวของเขาเอง


ปัญญาที่เกิดจากจิตที่คงที่นิ่งสงบ ทำให้เข้าใจชีวิตอย่างแจ่มชัด
ฉายภาพตัวตน ตัวคนอื่น และสังคมอย่างกว้างขวาง ลึกซึ้ง ยิ่งใหญ่ แสนไกล


ปัญญาอื่นๆ เป็นเพียงเครื่องเล่นเครื่องสนุก ไว้ขบคิดไม่รู้จบสิ้น
แต่ปัญญาจากสมาธิ เป็นเครื่องเกาะไปสู่การหยั่งรู้ตัวเอง
มีอิทธิฤทธิ์พอที่จะถอนรากเหง้ากิเลสออกจากจิต


อยากให้ทุกท่าน ลองเพียรปฏิบัติกรรมฐาน และเจริญสติ เพื่อเข้าถึงความรู้อันยิ่งยวด
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม สาธุ ...




 

Create Date : 06 มกราคม 2549    
Last Update : 6 มกราคม 2549 20:14:44 น.
Counter : 880 Pageviews.  

ความสำคัญแห่งกรรมฐาน

ฉัน ... เพียรบอกใครต่อใครว่า กรรมฐานสำคัญกับชีวิตมากเลยนะ

ใครๆ อาจจะได้ยินคำว่า กรรมฐาน แล้วนึกถึงการเคร่งเครียด นั่งสมาธิ หลับตา เอาเป็นเอาตาย ให้ได้มาซึ่งสิ่งมหัศจรรย์อันเร้นลับ เหนือวิสัยคนทั่วๆ ไปจะทำได้

แต่ฉันขอยืนยันว่า ไม่ใช่เลยสักนิดเดียว

กรรมฐาน เป็นเรื่องง่ายๆ ธรรมดา สำหรับคนทุกคนจริงๆ เหมือนๆ กับที่คนทุกคนกำลังหายใจเข้าออกอยู่นั่นแหละ

แปลกดีไหม ... ถ้าเรามีงาน มีหน้าที่ที่ต้องทำ คือการหายใจเข้าออกอยู่ทุกวินาที แต่แล้วทำไม เราจึงลืมลมหายใจ ลืมศึกษาลมหายใจ

ทั้งที่เราก็ใช้ชีวิตอยู่กับร่างกายของเราเอง คือ กายเนื้อกายนี้ แต่แปลกไหม? ที่เราไม่เคยสนใจดูแลเลยว่า ร่างกายของเรามีอวัยวะแต่ละส่วนกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่

เราจึงกลายเป็นคน "ลืมกาย" "ลืมใจ" "ลืมตัว" วันๆ หนึ่งนับครั้งไม่ถ้วน


นี่แหละ ... เป็นสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกถึงความสำคัญของกรรมฐานว่า เป็นสิ่งใกล้ตัวสักแค่ไหน

ไม่ใช่สิ่งเหนือวิสัยอะไรเลย กับการที่เราจะเจริญสติเพื่อที่จะเข้าถึงความรู้ตัวตลอดเวลาโดยที่เราไม่ต้องตั้งใจรู้ตัว เราจะระลึกถึงกายได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด และเราจะรู้ทั่วพร้อมว่า เราควรทำอะไร เพื่อเหตุใด และเพื่อผลอันใด


เราจะก่อประโยชน์แก่ตนเองและประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ง่ายยิ่งนัก และอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เมื่อเราฝึกกรรมฐาน

กรรมฐาน คือ พื้นฐานแห่งการกระทำทั้งหลายทั้งปวง สำคัญที่สุดคือการดำรงสติ

ในแต่ละวัน สติเราก็หลุดไปกับสิ่งต่างๆ ที่มากระทบ กาย ตา หู จมูก ลิ้น และความคิด ความรู้สึกต่างๆ ก็เข้ามากระทบใจของเรา ก่อให้เกิดอารมณ์


ถ้าเราลองเจริญสติในระยะแรกๆ โดยการนึกถึงกายของตัวเอง และลมหายใจเข้าออกทั่วกาย ทุกครั้งที่นึกได้ และเพื่อไม่ให้การรับรู้ของเราหดแคบเข้าจนเก็ก เกร็ง เราก็ต้องขยายการรับรู้ไปถึงแผ่นดินกว้างๆ และท้องฟ้าสว่างๆ ทั่วๆ ให้จิตใจเราสบาย เราจึงจะเฝ้าดูกาย ดูลมได้อย่างสบายๆ

เราก็จะระลึกรู้ตัวเราเอง ไม่ว่าเรากำลังขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปในท่าใด เรากำลังคิดหรือรู้สึกอะไร

อาจจะยังไม่เป็นธรรมชาตินัก ก็ให้เวลาตัวเองในระยะแรกๆ สัก 15 นาทีต่อวัน ต่อมาก็ 30 นาที แล้วก็เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง จนสติมั่นแนบที่กาย เราจะไม่ไขว่คว้าอนาคต ไม่วิตกกังวล เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ปัจจุบันอย่างละเอียดถี่ถ้วน และดีที่สุด


ปัญญาของเราจะเกิดมากมายมหาศาล เราจะเรียนรู้การทำงานของร่างกายและจิตใจของเราได้อย่างแจ่มกระจ่าง เราจะเข้าใจปัญหา และจบปัญหาทุกอย่างอย่างง่ายดายขึ้น

เราก็จะใกล้เข้าถึงความเป็นผู้เจริญ ... และเมื่อสติเจริญไปพร้อมๆ กับ สมาธิ ปัญญา ความเพียร และความศรัทธาในวิถีแห่งความเป็นจริง เราก็จะถึงความเป็นอริยะได้ไม่ยากเลย

กรรมฐาน เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำพาให้เราพบความสุขอย่างแท้จริง ที่ไม่ใช่การไขว่คว้าเอาสิ่งภายนอกมาเป็นอารมณ์

แต่เป็นการนิ่งคงที่ที่กาย ที่จิต ที่พร้อมรับรู้กับสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวน เสื่อมสลาย พร้อมรับรู้ความเป็นไปแห่งตัวตน


กรรมฐาน เป็น เรื่องใกล้ตัวที่สำคัญยิ่ง ...
เป็นสิ่งที่ฉันเพียรอยากจะให้ทุกคนหันมาสนใจ กรรมฐาน เพื่อเข้าถึงความสุขอันนิรันดร์ยิ่ง


ขอให้ทุกท่านพบสันติสุขภายในจิตใจ และเรียนรู้กรรมฐานของพระพุทธองค์ เป็นสิ่งวิเศษยิ่งนักที่ควรค่าแก่การพิสูจน์ให้พบเห็น รู้แจ้งด้วยตัวเอง และด้วยความเคารพยิ่ง




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2548    
Last Update : 27 ธันวาคม 2548 1:50:18 น.
Counter : 410 Pageviews.  

กรรมฐาน กับ การดำรงสติ

สิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินรอยตามพระพุทธองค์
ถามใครสักคนว่า ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อเหตุอันใด?
บางคนตอบว่า เพื่อให้ใจสงบ
บางคนบอกว่า เพื่อได้อภิญญา
บางคนบอกว่า สบายใจ
บางคนบอกว่า ไม่รู้
บางคนตอบตรงจุดว่า เพื่อถึงพระนิพพาน หรือ เพื่อพ้นทุกข์ เพื่อถึงความสิ้นทุกข์ เพื่อมรรคผล

หลายต่อหลายคนจึงเดินหลงทาง ...
คิดว่า สมาธิทำให้ตนเก่ง เกิดการเพ่งสมาธิ ปฏิบัติจนฌานแข็ง และเกิดเป็นมิจฉาฌาน เกิดการ "ถือตน" ขึ้นมาอีกมากมาย

สำคัญว่า ตนเก่ง ตนสำเร็จแล้ว ใจฟูไปตามกำลังสมาธิของตน

หลงฌานว่า ฌานทำให้เกิดความสุขอย่างยิ่งที่สุด และฌานที่ตนได้คือการดับแล้วซึ่งกิเลส

หารู้ไม่ว่า ฌานของตนข่มกิเลสเอาไว้มิด จนไม่รู้จักกิเลสที่แท้จริงเลย

อย่างที่หลวงปู่เจือ สุภโร ท่านเคยเปรียบเทียบให้ฟังว่า พระที่ฌานเก่งๆ ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในป่า ไม่เห็นกิเลสตัวเอง สำคัญว่า ตัวเองสิ้นกิเลสแล้ว

แต่เมื่อออกจากป่า พบสิ่งกระทบจิตมากมาย จึงรู้ตัวว่า กิเลสซ่อนอยู่ในจิต แต่ไปเพ่งจิต จึงไม่พบกิเลสที่อยู่ในจิต จึงบำเพ็ญเพียรใหม่โดยการทำสมาธิยิ่งๆ ขึ้น แล้วทำให้กว้าง นิ่ง เบา เจริญสติสัมปชัญญะแนบที่กายที่จิต ชัดเพียงพอที่วิปัสสนาจะเกิดขึ้น โดยไม่ต้องนั่งคิดถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เลย แต่สว่างพอที่จะพบความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน ด้วยปัญญาของตนเอง แล้วเจริญต่อไปจนกระทั่งพบมูลเหตุหรือรากโคนแห่งกองทุกข์ อันเรียกว่า "อุปาทาน" คือ ความยึดมั่นในขันธ์ทั้ง 5 จนกระทั่งอุปาทานดับลงทีละขั้นๆ แล้วถึงที่สุดแห่งกองทุกข์อย่างแท้จริง

โลกธรรมใดๆ จึงกระทบท่านแล้วทำให้ท่านไหวสะเทือนไม่ได้

เมื่อเช้า ... ฉันได้คุยกับญาติธรรมท่านหนึ่ง เปรยให้ฉันฟังว่า
"สมาธิวิธีของหลวงปู่เจือท่านเป็นอุบายที่ดีเหลือเกิน ผมขุ่นเคืองใจ คับข้องใจ ไม่ชอบใจ หรือคิดฟุ้งซ่าน เมื่อแผ่กระแสจิตกว้างๆ นึกถึงท้องฟ้าสว่างๆ โปร่งๆ กว้างไกล อารมณ์ที่รบกวนเหล่านี้ดับหายไป นิวรณ์ดับไป ความขัดข้องทั้งหมดทั้งสิ้นก็หายไป ไม่เคร่งเครียด ไม่เคียดขึ้ง มีความสุขดีเหลือเกิน"

เขาได้ฌานระดับหนึ่งโดยที่เขาไม่รู้ว่าเป็นฌาน ฌานที่เกิดจากสมาธินิ่งแล้วจิตไปเพ่งโดยที่ไม่ตั้งใจ ฌานข่มกิเลสอันมัวหมองของจิตให้หายไป แล้วทำให้ชีวิตของเราปลอดโปร่งขึ้น

เมื่อก่อน ฉันเคยเหงา เศร้า ท้อแท้ หดหู่ อย่างบ่อยๆ เมื่อมาปฏิบัติกรรมฐานวิธีนี้ การปฏิบัติขั้นต้นก็คือ ท่านให้นึกท้องฟ้ากว้างไกลใหญ่ไพศาล สีขาวสว่างราวท้องฟ้ากลางวัน เรานั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้มิได้ไปอยู่ที่ท้องฟ้าตรงนั้นด้วย ลมหายใจไหลเข้าออกทั่วกาย กายโปร่งเบา จิตปลอดโปร่ง แล้วตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าฉันจะทำกิจใดๆ ฉันก็นึกถึงท้องฟ้าตลอดเวลา ความเคร่งเครียด คับข้องหมองใจ ความเหงา เศร้า ซึม ไขว่คว้าหาคนมาดูแล ไขว่คว้าหาที่พึ่งเหล่านั้นหายไปสิ้น ฉันได้รับเพียงความเบิกบาน สว่างแจ้ง ตื่นใจตลอดเวลา

นี่คือ การบริกรรม "พุทโธ" ทางลัดนั่นเอง ... พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ยิ่งเจริญสมาธิขั้นต่อๆ ไปครบทั้ง 8 ขั้นตอนด้วยแล้ว ฉันยิ่งพบความสุขยิ่งๆ ขึ้นตามลำดับฌาน ซึ่งฉันไม่เคยใส่ใจสักทีว่า ฉันดำรงอยู่ฌานใดแล้ว

ถ้าตั้งใจเพ่งมาก ฉันกลับปฏิบัติได้ยากขึ้น ไม่ค่อยสบาย เพราะไปกด เก็ก เกร็ง
ทุกสิ้งที่เกิดขึ้นจึงเป็นปกติธรรมดาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของฉันไปแล้ว

สติ ... เป็นสิ่งสำคัญ
หลายคนปฏิบัติกรรมฐานแล้วได้อภิญญา ลืมคำสอนของพระพุทธองค์ที่เคยสั่งนักสั่งหนาว่า จงดำรงความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

ทำอย่างไรจึงเรียกว่า ดำรงความไม่ประมาท?
ก็คือ การดำรงสติ

เมื่อได้อภิญญาแล้ว หลายคนหลงสติ มีการถอดจิตจากกาย ไม่รู้กายตน
เมื่อไม่รู้กายตนแล้ว ก็สำคัญว่า ตนไม่ยึดมั่นถือมั่นในกาย ทั้งที่ ตนยังถือกายอยู่โดยไม่รู้ เป็นการหลงยึดในความไม่ยึด

เมื่อสติไม่อยู่กับกาย เราจะรู้จักกายได้อย่างไร
ปัญญา คือ ความรู้รอบ ก็ไม่เกิดขึ้น
ปัญญา 11 อย่าง อันได้แก่ รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต ไกล ใกล้ หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ภายใน ภายนอก
เรารู้ไม่รอบ เราก็ถึงความเป็น วิชชา ไม่ได้ รังแต่หมักหมมอวิชชาเข้ามาครอบงำจิต บังจิตบังใจ ไม่ให้เห็นทุกข์ ไม่ให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ เราไม่เห็นอริยสัจ เราก็ไม่มีวันเข้าถึงความสุขอย่างเยี่ยมยอด ไม่ถึงการสิ้นทุกข์ได้

สติ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
อินทรียสังวร จึงเป็นเหตุแห่งสติ ทำให้ศีลเราบริบูรณ์ ทำให้สมาธิของเรามั่นคง เป็นสัมมาสมาธิ
ทำให้เราถึงปัญญา และถึงวิชชาและวิมุตติ

ทำยังไงจึงถึงพร้อมซึ่ง "สติ"
ก็ต้องเจริญสติ (ตอบแบบกำปั้นทุบดิน)
เจริญสติโดยการรู้กายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปยังไง ก็รู้อยู่เห็นอยู่ รู้อย่างทั่วพร้อม
การรู้กายตัวเอง มีเครื่องมือรู้กายคือการดูกายภายใน กายภายนอก ทุกส่วนของอวัยวะในร่างกายให้ชัดเจน แล้วดูลมไหลผ่านทั่วกาย โดยใช้นิมิตลมขาวๆ เป็นเครื่องมือ หายใจเข้า ลมออกทุกรูขุมขน หายใจออก ลมเข้าทุกรูขุมขน

จากนั้น เราก็ขยายกายให้หลวมให้เบา โดยใช้นิมิตท้องฟ้าเป็นกสิน ดูนิมิตลมทั่วฟ้า แผ่นดิน ท้องฟ้าจรดดิน แผ่นดินกว้างเรียบสม่ำเสมอ แล้วสมาธิของเราก็จะเป็นสัมมาสมาธิ มีลักษณะนิ่ง เบา กว้าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ที่กายที่จิต สติปัฏฐาน 4 จึงเกิดขึ้นง่ายๆ อันจะเป็นบันไดไปสู่มรรคผลโดยเร็ว

เป็นวิธีง่ายๆ อุบายดีๆ ที่ทำให้เจริญ อานาปานสติ ได้ง่าย คล่องแคล่ว มากยิ่งขึ้น ข่ม "มานะ" คือ ความถือตนได้ดี ไม่ทำให้มานะฟูฟ่อง หรือแฟบลง

สติ เป็นองค์ประกอบสำคัญของทุกกิจการงาน ขอให้ทุกท่านแสวงหาวิธีเจริญสติโดยทั่วกัน เพื่อสนองคุณของพระบรมศาสดา กว่าที่พระองค์จะค้นพบเส้นทางสู่การสิ้นทุกข์ได้ ฝ่าฟันบำเพ็ญบารมีมายาวนาน แต่เราได้รู้จากพระองค์โดยง่ายดาย เราควรบูชาพระองค์โดยการปฏิบัติตามด้วยความเคารพ

ไม่ว่าท่านจะปฏิบัติกรรมฐานเพื่อผลอันใด ขอให้ท่านจงดำรงสติไว้ สติทำให้เราไม่วิปลาสผิดเพี้ยน ไม่เป็นบ้า

บางคน สติไม่แนบกับกาย กลายเป็นคนทรง ปล่อยให้จิตอื่นมาใช้กายโดยไม่รู้กาย เป็นอันตรายมากมายมหาศาล เราควรรักกายตัวเองและเรียนรู้กายตัวเอง มิควรที่จะปล่อยสติหลุดจากกาย แล้วเราจะเข้าใจว่ากายไม่ใช่ตนอย่างไร เราต้องรู้กายว่า เรายังเห็นว่ากายเป็นตนก่อน

ขอให้ทุกท่านถึงความสันติสุขในจิตใจโดยเร็ววันด้วยเทอญ.




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2548    
Last Update : 20 ธันวาคม 2548 19:11:41 น.
Counter : 680 Pageviews.  

มาประกาศสงครามกับกิเลสกันดีกว่า ...

วิธีการข่มกิเลสให้สงบราบคาบ
แรกสุดเลย ... เราใช้วิธี นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว โดยเอา "ศีล" เข้าข่ม

กิเลสยังคอยราวี จี้เส้นให้เราอยากทำอะไรไม่ดี แต่เราก็มี "กรอบ" แห่งศีล คอยสะกัดกั้นกิเลส แต่วิธีนี้ได้เพียง "พฤติกรรม"

อันดับต่อมา ... เราต้องใช้การสงบระงับภายในใจเรา สำรวมกาย วาจา และใจให้นิ่งสงบ กิเลสถูกข่ม ค่อยๆ เบาบางลง

กิเลสมา เราก็ใช้ "สมาธิ" ใช้สติ จับตาจ้องดูมันซะ มันก็ค่อยๆ หมดฤทธิ์ แล้วก็สงบราบคาบ ซ่อนอยู่ภายในจิตใจ เพราะอำนาจฌานข่มกิเลสไว้ไม่ให้ออกฤทธิ์

จึงดูเหมือนเราไม่มีกิเลสเนาะ ... แต่ยังหรอก สักวัน ถ้าฌานเสื่อม มันจะเล่นงานเราหนักกว่าเดิมอีกนัก

วิธีที่ขมังที่สุด ... หลังจากที่กิเลสถูกข่มเงียบสนิทดีแล้ว มันไม่แผลงฤทธิ์ให้เห็นแล้ว เราก็เจริญสมาธิต่อไปอีก เจริญสติ และสำรวมอินทรีย์ให้กายคงที่ จิตคงที่ไว้

แล้วเมื่อทุกสิ่งคงที่ดีแล้ว เราก็จะเห็นกิเลสที่ซ่อนตัวอยู่ภายในจิตใจของเราชัด กำลังสมาธิเรามากพอที่จะถอดถอนกิเลสให้หลุดออกไปทั้งรากทั้งโคนเลย กายก็จะเบาโหวง กิเลสก็จะไม่มาเล่นงานอีก

เพราะ รากโคน ของกิเลสถูกถอดถอนหมดแล้ว เราเกิด "วิชชา" ขึ้นมา เป็นแสงสว่างไสว แล้วถอนอุปาทานในขันธ์ 5 แล้วก็ กิเลส กองทุกข์ และกรรม ก็หลุดไปทั้งยวง

"ปัญญา" เราเกิดขึ้นครบแล้ว .... เราก็ไม่ต้องตกเป็นทาสของกิเลสอีกต่อไป

สงครามนี้ เราก็ชนะง่ายๆ ด้วยกรรมฐานของพระพุทธองค์ ... เราต้องอดทน และเจริญบารมีขั้นสูงสุด ยอมตายเพื่อกรรมฐานได้

เป็นปรมัตถบารมี ... เราก็จะพบความสุขแท้จริงที่อยู่ภายในจิตใจของเรา

อย่าลืมตระหนักว่า บางทีความฉลาดเราก็ไม่ทันอำนาจกิเลสของเรา เราจึงต้องใช้กรรมฐานเป็นเครื่องมือต่อสู้กับกิเลส และให้ "สติ" เป็นแม่ทัพกองหน้า

ขอให้ทุกท่านประกาศสงครามกับกิเลส แล้วชนะมันได้ เพื่อเข้าถึงธรรมะอย่างแท้จริง และพบความสุขสงบของพระนิพพานในเร็ววัน ด้วยเทอญ สาธุ : )




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2548    
Last Update : 11 ธันวาคม 2548 22:40:14 น.
Counter : 419 Pageviews.  

ทรงโปรดแสดงธรรม ตามจังหวะ

ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งจริง
สิ่งจริง เป็นสิ่งที่รู้ได้ยากยิ่ง หากจิตยังไม่นิ่งเป็นสมาธิเพียงพอ ก็จะไม่สามารถพบสิ่งจริงทุกๆ อย่างได้

ฉันเคยเปรียบการรับรู้ของจิตคนไว้ว่า เป็นเหมือนน้ำ
น้ำที่อยู่ในภาชนะ มีตะกอนขุ่นแตกต่างกันไป
หากจิตยังไม่นิ่งเป็นสมาธิเพียงพอ ตะกอนขุ่นเหล่านั้นก็จะถูกกวนให้ฟุ้งกระจาย
ไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในน้ำได้

จิตที่เป็นสมาธิมั่นคงเพียงพอ เปรียบเหมือนน้ำนิ่ง ตกตะกอนอยู่ภายในก้นภาชนะ
แจ่มกระจ่างพอที่จะรู้เห็นอะไรที่มีอยู่ภายในน้ำและภายในภาชนะนั้นๆ

ถ้านิ่งจนกระทั่งตะกอนตกผลึก สามารถตักช้อนตะกอนออกจากภาชนะนั้นได้ก็เป็นดีเลยทีเดียว
เป็นการทำให้กิเลส (คือตะกอน) เหล่านั้นละจากจิตไปได้โดยถาวร

วิธีแสดงธรรมของพระพุทธองค์
ไม่เคยปรากฏว่า พระองค์จะประกาศพระศาสนาในแนวทางการตลาดหรือประชาสัมพันธ์แบบในยุคสมัยนี้ เนื่องจากพระองค์มิได้ปรารถนาผลกำไร หรือ ผลประโยชน์ใดๆ นอกเหนือจากพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่ยิ่งที่จะประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้รู้แจ้งเห็นจริง แล้วหาทางหลุดพ้นจากวัฎฎะ พ้นจากห้วงมหาสมุทรแห่งทุกข์อย่างแท้จริง

จึงปรากฏให้เห็นว่า พระองค์จะแสดงธรรมโดยการหยั่งรู้สภาวะจิตของผู้นั้นๆ ว่า สมควรได้รับธรรมอันใด

ฉันจึงอดคิดไม่ได้ว่า การแสดงธรรมผ่านทางสื่อต่างๆ จะได้ผลเพียงใดกัน หากกมลสันดานของมนุษย์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การรับรู้สารแห่งธรรมะย่อมแตกต่างกันด้วย

คนหนึ่ง กำลังประสบปัญหาอย่างหนึ่ง สมควรแก่การแสดงธรรมอย่างหนึ่ง แต่อีกคนกลับไม่ใช่

สำคัญที่สุดตรงที่ผู้แสดงธรรมนี่เอง ... ถึงความจริงเพียงใดแล้ว

แล้วเข้าใจสภาพความเป็นจริงเพียงพอที่จะพาผู้คนให้พ้นจากห้วงมหาสมุทรแห่งทุกข์หรือยัง?

หรือเป็นเพียงแต่ท่องตำราแล้วนำมาแสดงสืบมา ... คลาดเคลื่อนผิดเพี้ยน นำพาให้ปฏิบัติกันอย่างไขว้เขว

ระลึกถึงคุณพระพุทธองค์ด้วยความเคารพ

ข้าพเจ้าตระหนักล้ำ ............ พุทธคุณ
ผู้ประกาศเกื้อหนุน .......... สัตว์พร้อง
ชี้แจ้งแจ่มเจือจุน ............. ทางสว่าง
พร่างอริยสัจก้อง ............. โปร่งสร้างความจริง

หวังใจนิ่งมั่นคล้อง ............ กงธรรม
หมุนจักรดำรงนำ ............... กระจ่างแจ้ง
สนองคุณแห่งหลักคำ ........ พระพุทธ
ชี้ก่องแก้วกล่อมแกล้ง ......... กลบกล้ำกลืนหาย

ถวายบุญพระพุทธเจ้า ....... บูชา
ปฏิบัติเพื่อนบพา ................ จิตน้อม
แสวงสุขแห่งธรรมา ............ เกื้อกอบ
ดิ่งสู่อริยมรรคพร้อม ............. เพื่อแพร้วแผ้วผล

ขอสมาธิดลแจ่มแจ้ง ............. พร่างใจ
ขอปฏิสัมภิทาใน .................. หยั่งรู้
ขอเดชฤทธิ์ป้องภัย ............... หนุนแนบ
ขอจิตพร้อมสู่ผู้ ..................... เลิศด้วยอภิญญา

เพื่อช่วยพาเหล่าพร้อง .......... เพรียงธรรม
หลุดสู่ห้วงสุขนำ .................. เลิศแท้
คือแดนนิพพานกรรม .......... ทุกข์ปลด
โปรดสถิตหยั่งรู้แม้ .............. ตบะนั้นข้าเพียร

ร่ำเรียนเพื่อหนึ่งล้ำ ............ อริยผล
รู้หยั่งปัญญาดล .................. มั่นล้ำ
เพียงพอที่นำพล ................. พลังพร่าง
สนองพุทธคุณค้ำ ...............โลกร้อนผ่อนคลาย.




 

Create Date : 04 ธันวาคม 2548    
Last Update : 4 ธันวาคม 2548 21:05:53 น.
Counter : 406 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

แดดเช้า
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[จะเป็นสะพานพาคนให้พ้นทุกข์]
...........................................................
หวังเกื้อกูลพระศาสนา
จึงตั้งค่าการหยั่งรู้ สู่มรรคผล
เพื่อรู้แจ้ง แห่งสัจธรรม นำใจคน
พาหลุดพ้น เป็นคันฉ่อง ครรลองธรรม : )

เกิดตายมาหลายหนจนนับไม่ถ้วน
ชาติหน้า หน่ายแล้ว ไม่อยากเกิดอีกแล้ว )

..............................................................
นาม ฉันนั้นแดดเช้า ........... ทอทอง
รูป แจ่มสดใสมอง ................ สุขล้ำ
จุดหมาย ดั่งครรลอง ............. หวังวาด
คติ แน่นในเนื้อน้ำ .......... ดิ่งซึ้งรสธรรม

หวัง นำชนสู่เป้า ................... แดนฝัน
กิจ ที่อธิษฐานพลัน ............... หยั่งรู้
ใน ชีวิตคิดสรรค์ .................... สร้างโลก
ธรรม สถิตมั่นสู้ ........... ปราบสิ้นกิเลสมาร

สานชีวิตแดดเช้า .................... หยาดอรุณ
มองโลกเพื่อเจือจุน ................. แหล่งหล้า
อาบอุ่นประกายคุณ .............. ไตรรัตน์
เพียงนบสนองแกล้วกล้า ..... แจ่มแจ้งปัญญา

ค่าแห่งอุดมคติเน้น .............. ตรงธรรม
ประกาศศาสน์น้อมนำ ........ อริยะแจ้ง
ฉุดผองเหล่าชนถลำ ............ จมทุกข์
ชี้ฝั่งให้เห็นแห้ง ......... แห่งห้วงทะเลกรรม

จึงบำเพ็ญตบะกล้า ......... ทางใจ
เพื่อมรรคผลอำไพ ........... จิตแจ้ง
เห็นอริยสัจจ์สว่างใส...... ทุกข์ปลด
แล้วจึ่งล้างขัดแย้ง .......... เบิกฟ้าสันติธรรม

หวังนำคุณพระแพร้ว......... ชี้ทาง
สถิตจิตในสิ่งวาง ............. มั่นเข้า
แผ่คุณเมตตาถาง .............. อุปสรรค
สู่ทุกจิตค่ำเช้า ........... พบแผ้วผ่องใส.

Friends' blogs
[Add แดดเช้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.