|
ระวังสถานการณ์ไม่พึงประสงค์
กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองเวลานี้ แม้ กกต.เองจะปลดสลักล็อคเงื่อนไขการสังกัดพรรค 90 วัน เพื่อผ่อนคลายท่าทีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่กระแสกดดันให้ 4 กกต.ลาออก ก็ยังคงดำเนินต่อไปจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะ"ฝ่ายตรงข้าม"พ.ต.ท.ทักษิณ"และพรรคไทยรักไทย
มีสิ่งเคลือบแฝงบางประการที่ได้รับรู้มา เกี่ยวกับสถานการณ์นี้ อาจจะจริงเท็จประการใด คงต้องอาศัยเวลา การกระทำ และผลของมัน เป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป..
ว่ากันว่า ในขณะทั้ง "3ศาล" และ "ฝ่ายพันธมิตร-องค์กรนักศึกษา" รวมถึง พรรคประชาธิปัตย์ และ ฝ่ายค้านพรรคอื่น รวมถึงเหล่าบรรดาอดีต สว.พยายามกดดันไปยัง กกต.
วันสองวันนี้ ได้มีแรงกดดันจาก "บุคคลระดับสูง" มายัง กรรมการ กกต.หลายท่าน กระทั่งในวันนี้(15พ.ค.)เกิดกระแสข่าวหนาหูว่า "พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ" กรรมการ กกต. ตัดสินใจลาออกแล้ว แถมด้วยข่าว "ปริญญา นาคฉัตรี" ก็จะลาออกด้วย
ส่วน "พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ" ประธาน กกต. นั้น ดูเหมือนว่าจะยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ที่เค้ามั่นใจและยืนยันเสมอ ว่าดีแล้ว สมบูรณ์แล้วไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ต่อไป
ทุกคนต่างเชื่อมั่นว่าตนเองได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็น "ฝ่ายไล่" และ "ฝ่ายที่ถูกไล่" รวมถึงบรรดา "หน้าม้า" กองเชียร์ของทั้ง 2 ฝ่าย เว้นแต่พวกที่ได้รับการ "จัดตั้ง" มากระทำการเพื่อเป็นกลเกมการเมือง
สถานการณ์ชิงไหวชิงพริบ ห้ำหั่นกันทางการเมืองเวลานี้ กำลังจะถึง "ขีดจำกัด" ในไม่ช้านี้
ความผิดปกติบางอย่าง ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ "กดดัน" 4กกต.ให้ลาออก มีความคล้ายในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ที่ทุกคนมุ่งที่ "จุดหมาย" ผลสัมฤทธิ์ โดยไม่สนวิธีการ จนเกิดตำนาน "มาตรา7" ต่อท้ายขื่อ ขึ้นมาประทับตราตรึง หลายๆ "ตัวละคร"
บัดนี้แม้ว่าผ่านพ้นจากจุดนั้นมาแล้วด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แต่ได้เกิดความน่าเป็นห่วงที่ พลังกดดัน บนเงื่อนไขความถูกต้องชอบธรรม และเงื่อนไขทางสังคม กับกลไกแห่ง "อำนาจ"
อำนาจ ของ สถาบันตุลาการ ที่มีการยึดโยงเกี่ยวกันทางกฎหมายผ่าน "รัฐธรรมนูญ" กำลังถูก "จับต้อง" จากฝ่ายการเมือง เหมือนดังที่ "ฝ่ายตุลาการ" เข้าไปข้องเกี่ยวจัดการกับ "ฝ่ายการเมือง" จะด้วยรูปแบบความเห็น มติของ "องค์กร" หรือ "บุคคล" ก็ตาม
เริ่มมีเสียงพึมพำอย่างเป็นห่วง ถึงการ "จับต้อง" ที่ว่านั้น
เริ่มมีเสียงแห่งความเป็นห่วงถึง สถานการณ์ถัดไป และผลของมันที่อาจจะหาข้อยุติหรือหาจุดพึ่งพาได้ยากยิ่งเมื่อถึงวันนั้น โดยเฉพาะ ท่าที ของ "คู่ความขัดแย้ง" ที่แท้จริง ที่อยู่เหนือไปจากภาพที่คนทั่วไปเห็น
หลายคนบอกว่าการเอ่ยเอื้อนจะขอเป็น "เสือ" ดีกว่าเป็น "หมา" ของ "ทักษิณ" นั้นมีนัยยะของการ "สู้" ..
ทว่าจะเป็นการสู้กับใครอย่างไร มีเพียง "ทักษิณ-พจมาน" และผู้แวดล้อมใกล้ชิด เท่านั้นที่เข้าใจ
เฉกเช่นกัน กับสัญญานที่ถ่ายทอดจาก "วาสนา" ก่อนหน้านี้ ว่าเขาไม่ใช่ "หมาข้างถนน" ที่ใครจะมาทำอะไรก็ได้
นั่นคือ "ตัวตน" ของ "ทักษิณ-วาสนา" ในเวลา และสถานการณ์เหล่านี้ ที่เขาย่อมรู้ด้วยใจว่าบางครั้ง "ความลับ" อันแสนอึดอัด ที่อยู่ในใจกับเรื่องราวที่ประเดประดังเข้าใส่ จนจุกเสียดไม่สามารถพูดออกมาได้ว่า เพราะอะไร ทำไม และใคร นั้น บางครั้งเมื่อถึงเวลาหนึ่ง สำหรับ "ทักษิณ" มันอาจถูกเปิด หรือสำหรับ "วาสนา" มันอาจถูกบันทึกไว้เพื่อรอการเปิดหลังจากเขาไม่อยู่แล้ว ดังที่เขาประกาศไว้ก็ได้
สัญญานการประกาศสู้ที่ว่า มีนัยยะที่น่าห่วงไปถึงสถานการณ์ถัดไปอันเป็นวังวนเช่นอดีตแห่งผลหลังเหตุการณ์ "แย่งชิงอำนาจ" ในทุกยุคทุกสมัย
"ความน่ากลัว" ที่จินตนาการสู่อนาคต อันนอกเหนือไปจากสถานการณ์ "เสาค้ำอำนาจ" จะเลือกที่จะอยู่ข้างใด ในการรบ และเกิดการปะทะจนเลือดนองระหว่าง "ขั้วอำนาจ" อันเนื่องมาจากความขัดแย้งของ "ชนชั้นปกครอง" แล้ว คือ ถัดจากนั้นจะยุติได้อย่างไร และบ้านเมืองจะมีจุดยึดเหนี่ยวในการจัดการปัญหาโดย "ยุติธรรม" ได้หรือไม่
คนที่รู้ว่าในเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปสู่ "สถานการณ์ไม่พึงประสงค์" จะเป็นอย่างไร และมีผลลงเอยแบบไหน ซึ่งควรที่เขาจะต้องรับผิดชอบถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่มีเพียงแค่ "ทักษิณ-วาสนา" !!!
Create Date : 16 พฤษภาคม 2549 |
Last Update : 16 พฤษภาคม 2549 14:00:09 น. |
|
5 comments
|
Counter : 318 Pageviews. |
|
|
|
โดย: p IP: 203.188.31.187 วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:19:23:15 น. |
|
|
|
โดย: Cooljo IP: 219.93.199.221 วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:21:12:42 น. |
|
|
|
โดย: ต้องการทราบด้วยคน IP: 58.9.79.222 วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:22:53:46 น. |
|
|
|
โดย: สถาปนา IP: 58.8.57.38 วันที่: 17 พฤษภาคม 2549 เวลา:1:55:57 น. |
|
|
|
โดย: BUD IP: 58.147.91.224 วันที่: 17 พฤษภาคม 2549 เวลา:8:40:43 น. |
|
|
|
| |
|
|
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี2475 ถึงแม้ในหลวงรัชกาลที่๗จะมีพระราชดำรัสเรื่องการพระราชทาน รัฐธรรมนูญว่ายินดีมอบอำนาจของข้าพเจ้าให้กับประชาชนโดยทั่วไปแต่ไม่ประสงค์ที่จะมอบให้กับคนหมู่ใดหรือคณะใดเป็นการเฉพาะ แต่อำนาจหรือความเป็นอภิสิทธิ์ชน ได้ตกมาอยู่กับคณะราษฎร์ฯที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างผู้ก่อการเองระหว่างทหารกับฝ่ายพลเรือน แต่โดยส่วนใหญ่ฝ่ายทหารจะเป็นผู้ครองอำนาจมีฝ่ายพลเรือนเข้ามาขัดบ้างเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่อำนาจที่แท้จริงก็ยังตกอยู่กับฝ่ายทหารอยู่ดี เพราะประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองในระบบปฎิวัติเป็นเวลานาน ในสมัยที่ฝ่ายทหารมีอำนาจปกครองแผ่นดิน จึงเป็นอภิสิทธิ์ชนอย่างแท้จริง ตำแหน่งสำคัญต่างๆในบ้านเมืองจะมีทหารเข้าไปคุมไว้หมดสิ้น เจ้ากระทรวงต่างๆแทบจะเป็นทหารทั้งสิ้น แม้กระทั่งมหาดไทย กรมตำรวจ คมนาคม
เกษตร อุตสาหกรรม กรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ต่างๆ ฯลฯ แม้กระทั่งตำแหน่ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆๆ โดยมีนักการเมืองที่หนุนหลังฝ่ายทหาร ข้าราชการและพ่อค้านายทุน เป็นอภิสิทธิ์ชน ลำดับถัดมา สมัยทหารเรืองอำนาจ กลุ่มอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ สามารถนำเฮลิคอปเตอร์ออกไปล่าสัตว์ในเขตป่าสงวนได้ จับจองพื้นที่ป่าสงวนได้ตามอัธยาศัย ทำธุระกิจผูกขาดต่างๆ และมีหุ้นลมอยู่ในบริษัทต่างๆมากมาย แม้กระทั่งอาชีพที่ผิดกฎหมายต่างๆก็จะมีอภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ แทรกเป็นยาดำอยู่แทบทุกแห่ง ตำแหน่งสำคัญต่างๆถ้าพอจะเอาทหารเข้าไปได้จะได้รับการพิจารณาก่อนส่วนที่ฝ่ายทหารไม่ต้องการแล้วก็จะตกถึงมือเหล่าข้าราชการลำดับถัดๆมา จึงทำให้เกิดคอรัปชั่นกันอย่างแพร่หลาย มีการซื้อตำแหน่งกันเอง เล่นเส้นเล่นสาย และข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจ วางตัวเองอยู่เหนือประชาชนตลอดมา สภาวิชาชีพและชมรมต่างๆก็มักมีนักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเครือญาติ เข้าไปกุมอำนาจอยู่แทบทั้งสิน เป็นอย่างนี้มาช้านาน สมัยรัฐบาล พลเอกชาติชาย ได้จัดตั้งพ.ร.บ. สหภาพรัฐวิสาหกิจขึ้นมาทำให้เกิดอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใหม่ขึ้นมาอีกคือกรรมการสหภาพรัฐวิสาหกิจ ขึ้นมาคานอำนาจกับฝ่ายบริหารและอยู่กันมาได้เพราะแบ่งผลประโยชน์กันลงตัว โดยเอาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจในแต่ละแห่งมาแบ่งเฉลี่ยกัน แต่ประสิทธิภาพในการทำงานกลับแย่ลง (ภายหลังกลุ่มนี้ได้จับมือกับกลุ่ม NGOบางกลุ่มด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันแต่เป้าหมายการต่อสู้เดียวกันคือการกดดันรัฐบาลเพื่อให้บรรลุสิ่งที่กลุ่มตัวเองต้องการ) จนกระทั่งเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ สมัยพลเอก สุจินดา อภิสิทธิ์ชน ฝ่ายทหาร ได้ถอนตัวออกไป พรรคประชาธิปัตย์ และชาติไทย เข้ามาเป็นรัฐบาลแทน และรับช่วงตัวแทนอำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนของกลุ่มต่างๆ มาแทนฝ่ายทหาร และอยู่มาได้เพราะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอภิสิทธิ์ชนฝ่ายต่างๆดังกล่าวมาแล้ว ภายหลังเกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจล่มและลอยตัวค่าเงินบาท หลังจากพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารได้ระยะ หนึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ และพรรค ไทยรักไทยได้ก่อกำเนิดขึ้น ได้เสนอนโยบายแนวใหม่ จนโดนใจประชาชน และได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล ในช่วงสมัยแรก ของไทยรักไทย ทำงานได้โดนใจประชาชนมาก และสามารถแก้ปัญหาของชาติได้มากเฉลี่ยผลประโยชน์ตกถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ (แม้ว่าอำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนจะยังอยู่ในกลุ่มของผู้สนับสนุนนายกทักษิณ แต่อำนาจและความเป็นอภิศิษย์ชนจากกลุ่มเดิมๆเริ่มเสื่อมถอยลง)จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างถล่มทลายให้เข้ามาบริหารประเทศอีกสมัยหนึ่ง ในสมัยที่สองหลังจากบริหารประเทศได้เกือบปี ได้เกิดกรณีย์ขัดแย้งผลประโยชน์กับนายสนธิด้วยเรื่องธุระกิจส่วนตัวของนายสนธิ จนกระทั่งนายสนธิได้จัดตั้งเวทีด่าหัวหน้ารัฐบาล ทุกวันศุกร์ (ภายหลังได้แนวร่วมเพิ่มเติมอีก ๔ กลุ่มซึ่งมีวัตถุประสงค์ต่างกันแต่มีเป้าหมายแรกร่วมกันคือต้องเอา นายกทักษิณออกไปก่อนเป็นเป้าหมายแรก)ระหว่างนั้นก็มี อีเมล์ฟอร์เวิดร์ กล่าวร้ายถึงหัวหน้ารัฐบาลจากผู้ที่เสียประโยชน์จากนโยบาล ไทยรักไทย ส่งไปตามที่ต่างๆอย่างสม่ำเสมอ มีนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร ที่เคยหลอกต้มตุ๋นประชาชนและหลบหนีไปสร้างฐานะที่ประเทศอังกฤษ จนร่ำรวยกลับมาหาทางเป็นใหญ่ในประเทศไทยต่อโดยคิดจะซื้อพรรคปชป ด้วยเงินถึง 1000ล้านบาท บังเอิญ เกิดกรณีย์ ขายหุ้นบริษัท ชิน ฯของครอบครัว นายกฯให้กับกองทุน เทมาเซ็ก ของสิงคโปร์ ซึ่ง ได้ติดต่อกันไว้นานแล้วแต่เพิ่งมีผล เนื่องจากการที่นายกและครอบครัวยังถือหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าว ทำให้ฝ่ายค้านมีเรื่องกล่าวหาได้ไม่เว้นแต่ละวัน และการขายหุ้นออกไปจะทำให้ นายกทักษิณ ตัวเบาขึ้น ที่จะบริหารจัดการ เรื่องราวต่างๆของประเทศเกี่ยวกับกิจการสื่อสารของประเทศซึ่งมีปัญหาอยู่มากและจำเป็นต้องได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเรื่องการแปรรูป ทศท กสท และการคัดเลือกตัว คณะกรรมการ กสช และกทช แต่เหมือนฝ่ายค้านจะรู้จึงไม่ยอมปล่อยประเด็นนี้ และพยายาม ทุกวิธี ที่จะเช็คบิล นายกทักษิณประกอบกับเรื่องของนายสนธิกำลังสุกงอม โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่าย ปชป ทั้งทางลับ ทางแจ้ง ฝ่ายสหภาพรัฐวิสาหกิจ ที่ต่อสู้เรื่องการแปรรูป เพราะกระทบถึงประโยชน์ฝ่ายตน ฝ่าย NGO ที่โดนรัฐบาลปรับลดงบประมาณลง เพราะไม่มีโครงการณ์ที่ดีพอ ฝ่ายสำนัก สันติอโศก ที่มีพลตรีจำลองเป็นแกนนำที่มีวัตถุประสงค์ที่จะปักหลักลัทธิโพธิรักษ์ลงมาเป็นคู่แข่งกับฝ่ายมหาเถรสมาคม ฝ่ายอภิสิทธิ์ชน ดั้งเดิม ที่เริ่มจะศูนย์เสีย อำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชนที่เคยมี บวกกับ กลุ่มที่มีปัญหาต่อเนื่องจากเศรษฐกิจล่ม และกลุ่มพ่อค้า สินค้าเถื่อน หวยเถื่อน และกลุ่มค้ายาบ้า บรรดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายที่ได้รับผลกระทบจากการทำงานของ พรรคไทยรักไทย (แต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์ต่างกันทั้งสิ้นและไม่น่ารวมกันได้แต่เนื่องจากมีเป้าหมายร่วมกันคือต้องจัดการนายกฯทักษิณออกไปก่อนเป็นเป้าหมายแรกจึงรวมกันอย่างหลวมๆ)กลุ่มเหล่านี้ได้ถือโอกาสที่ ขบวนการของนายสนธิกำลังดำเนินอยู่ ช่วยกันโหมกระพือแรงต่อต้านนายกทักษิณ จนกระทั่งนายกฯทนกระแสต่อต้านไม่ได้ หลังเข้าพบพลเอก เปรม รัฐบุรุษ ในวันรุ่งขึ้นจึงได้ประกาศยุบสภาฯ และกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ เป็นที่ผิดคาดของทางพรรคฝ่ายค้าน และกลุ่มต่อต้าน ที่ต้องการกดดันให้นายกฯลาออก จึงได้เป็นที่มาของการบอยคอต การเลือกตั้ง เพื่อกดดันให้คนชื่อทักษิณพ้นออกไปจากวงการเมืองไทยให้ได้ แต่ด้วยบารมีขององค์ในหลวง เหตุการณ์จึงเริ่มคลี่คลายลง และเพื่อกู้หน้าของทางซีกฝ่ายค้านจึงต้องหาทางกดดัน กกต ให้พ้นจากหน้าที่ ต่อไปให้ได้ตามที่ได้พยายามสร้างกระแสอยู่ในปัจจุบัน
คุณอภิสิทธิ์หัวหน้าพรรค ปชป จึงนับเป็นตัวแทนฝ่ายอภิสิทธิ์ชน รุ่นเก่า ได้สมชื่อ จริงๆ