Group Blog
 
All blogs
 

มินีซีรีส์ "เผ่นพันลี้"AEAW &CO แบบไม่คั่นโฆษณา

ขออนุญาตคุณเอี๋ยว
นำมาเรียบเรียงวรรคตอนใหม่ เพื่อให้อ่านเข้าใจง่ายๆ
และผมจะขอถามเพิ่มเติมบางอย่าง
สำหรับกระทู้ที่คุณปรัชญาเอ่ยถึง คืออันนี้ครับ
//www.thaivalueinvestor.com/webboard/viewtopic.php?t=2980

๑ คุณเอี๋ยวไปเจอยอดคนอำประกายที่ถ่ายทอดวิชาได้อย่างไร
อัธยาศรัยอันดีงามของคุณเอี๋ยว
ทำให้อาจารย์ยอมถ่ายทอดวิชาให้ ใช้หรือไม่

1.ปี 38 ผมพบเขาโดยเขาย้ายมาที่ธนชาติ มากับเพื่อนผม
ที่เดิมเขาปิดไปตามสมัยนิยม
เราพบกันทักทายแต่ก็ต่างคนต่างเล่น
ผมก็เล่นแบบงี่เง่าเสียเงินไปเรื่อยๆ
ตามแบบฉบับของรายย่อยทั่วไป
หุ้นยังคงตกไปเรื่อยๆพอเวลาลดค่าเงินบาท หุ้นตีกลับ
ผมถือได้5 ซิลลิ่ง ก็ขาย แต่มันไปต่อไม่เลิก
ในที่สุดผมทนไม่ไหวซื้อคืนที่ปลายดอย 55555
รายย่อยก็แบบนี้ ความอดทนและทนอดไม่พอ
ขายในเวลาที่ไม่ควรขายและซื้อในเวลาที่ไม่ควรซื้อ
และในที่สุดผมก็ติดหุ้นอีกแล้ว
จาก700 กว่าจุด ผมมา คัสลอสที่337 จุด
เพราะผมจะไปเที่ยวภูเก็ตกับเพื่อนๆ
ไม่อยากมีหุ้นแต่แล้วช่วงที่ไปเที่ยว
หุ้นกลับตีกลับ ไป400 ผมบินกลับเชียงใหม่ซื้อคืนทันที
ปรากฎว่า หุ้นตกอีก 2 week
ผมเครียดจนต้องเอาหัวไปแนบกับถังน้ำเย็น
เข่าอ่อน ท้อแท้ และโกรธตัวเอง
ในที่สุดตั้งใจถือยาว และแล้วมันก็ตีกลับไป 530
วันนั้นดีใจแม้จะได้เงินคืนเพียงน้อยนิด
วันนั้นคุยกับอาจารย์แบบเพื่อนๆคุยกัน
เราไม่เคยคุยกันเรื่องหุ้นเลยเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเก่งหรือปล่าว
ผมไม่เคยปรึกษาใครตัดสินใจด้วยตัวเองตลอด
อยู่ๆเขาเอ่ยปากถามผมว่า
เฮียเชื่อเราไม๊ ถ้าเชื่อ ขายล้างport เลย
และแม้ว่าจะเตลิดขึ้นไปก็อย่าไปสนใจปล่อยมันไป
เหมือนมีอะไรดลใจ ผมตอบว่า ผมเชื่อครับ
แล้วผม เทขายหมดเลย ตอนเย็นนั้นหุ้นขึ้นต่อ
มันขึ้นต่ออีกเป็นเดือนเกือบ2 เดือน
แต่ไปแค่ 560จุด เพียง 30 จุดเท่านั้น
แล้วเขาบอกให้รอโดยไม่บอกอะไรอีกเลย
นั่งก็นั่งคนละที่ต่อไป แต่กลางวันเริ่มไปกินข้าวและคุยกัน
หลังจากนั้นหุ้นเริ่มตก ผมเฝ้ารอคอย
ในธนชาติมีคนรู้จักมาถามว่าไม่ซื้อหุ้นเหรอ
มันตกต่ำกว่าที่ขายแล้วนะ ผมบอกว่าไม่ครับ
รอ เขาบอกคร่าวๆว่า ดู 400 ก่อน
บอกคนคนอื่นโดนหัวเราะเยาะใส่ 555555
แบบนี้ตลาดก็แตกนะซิ แล้วคนที่พูดก็เดินจากไป
ผมไม่สนใจ ผมเชื่อมั่น
เขาก็นั่งเฉยๆเล่นสั้นในแบบฉบับของเขาไปทุกวัน
แต่ผมไม่ซื้อเลยแม้แต่บาทเดียว
ช่วงนั้นผมหันไปขี่จักรยานออกกำลัง

"ตี4ขี่ขึ้นดอยสุเทพ 7โมงเช้าลงดอยมารับลูกไปส่งโรงเรียน"

แล้วมานั่งหลับในห้องค้า
เมื่อปั่นได้ที่จนเกิดอุบัติเหตุแขนหักทั้ง2ข้าง
เข้าเฝือกไปหลายเดือน หุ้นก็ยังแกว่งตัวลงมาตลอด
ผมนั่งอยู่บ้านอีกเดือนทนไม่ไหว
มาห้องค้าแตกตื่นกันใหญ่เรื่องแขนหัก
เขาทั้งคู่เห็นผมก็เรียก
และบอกให้มานั่งกับเขาแทรกระหว่างตรงกลาง
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาผมนั่งกับเขาตลอด
ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แท่งกราฟก็ไม่เคยดู รู้อย่างเดียว
มันมีแต่แท่งเขียวและแดง
ผมไม่สนใจมัน เขาบอกให้เล่นตามเขาไป
เขาซื้อ ผมก็ซื้อเขาขาย ผมก็ขาย เริ่มได้กำไร
ผมตามเขาไปตลอด เขาดูกราฟตลอดเวลาผมเริ่มสนใจ
ทำอย่างไรถึงจะรู้แบบเขานะ

เขาบอกว่าจงดูไปเรื่อยๆเมื่อสงสัยอะไรก็ให้ถาม แต่เขาจะไม่บอก

ลองคิดดูคนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดูแล้วก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไร
งงอย่างเดียว แต่ก็ซื้อและขายตามตลอด
เมื่อใกล้ 400 เขาบอกว่าห้ามซื้อ มันเอาไม่อยู่
เขาบอก ไป 250 เลย ผมก็เลยรอต่อไปอีกนาน
จนเมื่อถึง250 เขาบอกให้โจมตีซื้อเลย
เราซื้อ เมื่อใกล้ 300 เขาบอกว่ามันแปลกๆ
ให้เททิ้งเขาล้าง port ผม งง
ผมยังไม่ทำตาม เกี่ยงขอขาย bbl ให้มากกว่าเขาอีก 25 สตางค์
ปิดตลาดเที่ยงเราออกไปกินข้าวกัน
ยังไม่ทันเปิดตลาดตอนบ่าย ข่าวออก
อเมริกายิงจรวดโทมาฮ็อกไป72 ลูกเข้าสู่อาฟกานิสถาน
หุ้นตกระเนระนาดทันที
จากกำไร ผมขาดทุนทันที เพราะไม่เชื่อ
หลังจากนั้นเขาก็บอกให้รอ 210 จุดทันที
ผมรอจนใกล้เมื่อ210 มาถึงเขาบอกอย่าพึ่ง ดูอีกนิด
พอไหลมา 204 เขาบอกซื้อทันที เต็มport เลย
หลังจากนั้น ผมเชื่อเขาทุกอย่างทุกคำพูด
แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร
แล้วหลังจากนั้น ดัชนีเล่นตามคำพูดเขาแทบทุกอย่าง เขา
บอกวันนั้นจะเป็นแบบนั้นถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันจะทำอย่างนี้
เขาบอกweekนั้นต้องเป็นแบบนั้น
และ month ต้องเป็นแบบนั้น ไม่อย่างงั้นจะป็นแบบนี้
หรือไม่ก็ไม่ใช่เลย ผมเริ่มรู้ว่ามีคนรู้จริง
เขาบอกผมว่า
เพราะพระเจ้าเมตตาประทานความรู้ให้เขาพบเจอ
ผมอยากรู้บ้างแต่ผมไม่ได้เปลี่ยนศาสนานะครับ
ผมอยากรู้จากเขา ผมไปซื้อ notebook
แล้วติดต่อ irs มาขึ้นมาใส่โปรแกรมที่เชียงใหม่
ผมเริ่มลงทุนเพื่ออยากจะเรียนรู้
เขาให้ผมไปนั่งดูกราฟเอง
โดยห้ามใช้เส้นค่าเฉลี่ยต่างๆ
ผมเจอแต่เขียวกับแดง ไม่รู้เลย
จนกระทั่งลองขยับไปมาแบบเขาแล้วจึงเห็นว่า
มันมีอะไร และพบข้อสงสัยขึ้นเมื่อนำไปถามเขา
พวกเขาหัวเราะ แล้วบอกว่าเจอแล้วหรือ
เมื่อพบและเจอผม ค่อยๆศึกษา
แต่ผมไม่เก่งมีข้อผิดพลาดเยอะงมไปแก้ไขไป
จากซื้อเครื่อง ปี 40 จนงมไปมาผ่านไป5ปี
ปี45 เขาบอกว่ารู้เรื่องเยอะแล้ว
กลางปี46 เขาบอกว่าตอนนี้เราคุยภาษาเดียวกันแล้ว

"แต่ขั้นตอนสุดท้าย เขาบอกว่าต้องตัดสินใจเอง"

ปัจจุบันผมเล่นคนละที่กับเขา

"เพราะผมอยากที่จะตัดสินใจเองแล้ว"

เมื่อหุ้นขึ้นจาก 204 เขาให้เล่นรอบแถว400 เพื่อลดต้นทุน
แล้วซื้อคืนเมื่อลงต่ำ ครั้งสุดท้าย 550
เขาให้ล้าง port แล้วบอกให้ไปรอ 250
ซึ่งเป็นเรื่องอีกเกือบ2ปี
เขาเรียกผมซื้อ nfs ที่3 บาท แล้วไปขายที่ 20 กว่าบาท
แล้วเขาให้ผมมารอรับ ที่ 4 บาท
ปรากฎว่าทุกอย่างที่เขาพูดเป็นจริงครับ
แปลกและมหัศจรรย์มากเลยสำหรับผมในตอนนั้น
แต่สำหรับคนที่ใช้วิชาหรือเครื่องมืออื่น ที่เก่งและชำนาญจริง
อาจไม่แปลก
การถ่ายทอดวิชานั้น อาจารย์ผมบอกว่าไม่สอนใครทั้งนั้น
เขาบอกว่าพระเจ้าเมตตาผมและรักผมมาก
พระเจ้าให้ผมเรียนรู้โดยผ่านเขา
เขาจะพูดยังไงผมไม่รู้ผม
รู้อย่างเดียวว่าเขาเป็นคนที่ถ่ายทอดให้ผม
ผมยังจดจำในบุญคุณนี้ตลอดเวลาครับ

"เขาไม่สนใจเล่น อินเตอร์เนต เขาไม่อยากดัง เขาต้องการสงบและเขารู้จักพอ"

เขาบอกว่าเพราะผมเป็นคนดี ผมไม่รู้ว่าดีตรงไหน
แต่เขาก็ถ่ายทอดให้ผมคนเดียว
ยกเว้นญาติพี่น้องของเขา ถ้าจะเรียนรู้
เขาจะสอนโดยไม่ปิดบังทันที ส่วนคนอื่นผมไม่รู้ครับ



จากคุณ : คลาย เครียด - [ 19 ก.พ. 47 09:21:06 ]




๒ คุณเอี๋ยวได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชา"เผ่นพันลี้"มากี่ปีแล้วครับ

2. การเรียนรู้ก็ประมาณ 6ปีแล้วครับ
ผมยอมรับว่าความรู้นี้กว้างใหญ่
เรียนรู้อย่างไรไม่จบสิ้น
มีรูปแบบและความผันแปรที่พลิกแพลงและพิศดาร
ในรูปแบบของ set index บ้านเรา

"ผมยอมรับว่าขาลงคือโอกาสของการเรียนรู้
ขาขึ้นเล่นง่าย เล่นยังไงก็ได้เงิน
แต่ขาลงยอดฝีมือเท่านั้นถึงจะได้เงิน"

รูปแบบของบ้านเราเล่นยากที่สุดในโลก
ถ้าเป็นประเทศใหญ่ๆ
ผมว่ายอดฝีมือบ้านเรากินเงินง่ายมากครับ
ของเราเล่นนอกตำราเยอะ
เพราะต้องสกัดนักเก็งกำไรซึ่งบ้านเรามีมาก
และประเทศอื่นนักลงทุนจะมาก
ของเรานี่แบบผสมผสานทั้ง ไต้หวัน ฮ่องกง ยุโรป อเมริกา
สรุป เป็นแกงโฮ๊ะครับ

๓ สองสามีภรรยาที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้คุณเอี๋ยว
ยังคงเล่นหุ้นอยู่หรือเปล่า
นับเป็นสุดยอดคนอำประกายจริงๆ
นั่งดูหุ้นที่ห้องค้าได้นานถึงสองปี โดยไม่ได้ซื้อขายเลย

3. สุดยอดฝีมือทั้ง2 ยังเล่นอยู่ครับ

"แต่ตอนนี้ผมก็แยกมาทดลองการเรียนรู้อีกครั้งครับ"

เขาจะลงทุนเมื่อถึงเวลาที่จะได้เงินเท่านั้น
เขาจะขายเมื่อถึงเวลาที่จะลง

๔ หลังจากใช้เคล็ดวิชานี้ พอร์ตเริ่มดีวันดีคืนอย่างชัดเจนหรือไม่

4. หลังจากขาดทุนจนป่นปี้ เงินในกระเป๋า
เลข8หลัก หดเหลือ เลข 6หลัก
หุ้นต้องเริ่มใหม่จากหลัก พันหุ้น
ปัจจุบัน หุ้นในมือ เริ่มเล่นใน8หลักแล้วครับ
ส่วนกำไรขออนุญาตไม่พูด

๕ เคล็ดวิชานี้ ให้ผู้รับการถ่ายทอดปฏิญาณว่า
จะไม่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ใครหรือไม่
มิน่า ถึงไม่ยอมขึ้นเขียง เอ๊ยขึ้นเวทีไปบรรยาย ฮาๆๆ

5. ถูกต้องแล้วครับเฮีย
คงไม่ได้ถ่ายทอดตามความต้องการของอาจารย์
ท่านบอกคนรู้มากความผันแปรยิ่งมากเล่นหุ้นจะยากยิ่งขึ้น
เหมือนที่คุณ think_pos บอก
เป็นเพราะอะไรไม่รู้ยามใดที่ขึ้นกระทู้หรือมาบอกกล่าว
มักไม่เป็นไปตามนั้น
ส่วนถ้าเล่นในใจหรือเล่นเองมักเป็นตามนั้น

๖ แก่นแท้ของเคล็ดวิชานี้คืออะไร

6. แก่นแท้หรือหัวใจคือ

"หุ้นจะขึ้น ต้องมีหุ้นเต็ม port และหุ้นจะลง port ต้องว่าง"

บูชาเงินสดครับ และสิ่งสำคัญ

"ห้ามติดหุ้นอย่าบอกว่าไม่ขายไม่ขาดทุน"

เมื่อมีเงินย่อมมีโอกาสที่จะล้างขาดทุนในสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้น
และห้ามคาดว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จงดูมันทำ

๗ "เผ่นพันลี้" อาศัยการดูแรงกรรมแห่งความโลภและความกลัว
ผ่านทั้งกราฟแบบไหนครับ เมตาสต๊อก แท่งเทียน หรืออีเลียตเวฟ

7. การดูก็แบบแท่งเทียนครับ
แต่ห้ามไปท่องจำแบบของญี่ปุ่น
เช่นรูปแบบอย่างนี้จะเกิดแบบนั้น
การเรียนรู้ต้องอาศัยความเข้าใจ

"รูปแบบเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ว่าตามตำราเป๊ะ
ถ้าตามตำราจริงป่านนี้ทุกคนรวยหมดแล้วครับ"

รูปแบบการเล่นในตัวหุ้นต้อง
เลือกหุ้นที่ถูกกับลักษณะของนิสัยใจคอตนเอง
ตนต้องรู้ตนเอง จะรู้ว่าเมื่อต้องทนถือหุ้นจึงถือได้
และเมื่อจับก็จับได้
เล่นหุ้นที่ขัดกับนิสัยตัวเองโอกาสได้กินยากถือไม่ไหว
เช่นขายแล้วขึ้น ซื้อแล้วลง
จงศึกษาให้ถ่องแท้ก่อนทุ่มเงิน
ไม่งั้นคุณอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวเมื่อผิดพลาด
อาจารย์เขาเมตตาผมถึงรอดไม่งั้นตายไปนานแล้วครับ 55555555555 จบ

จากคุณ : คลาย เครียด - [ 19 ก.พ. 47 09:22:19 ]






ความคิดเห็นที่ 2

ขออนุญาตถามคุณเอี๋ยวเพิ่มเติม
เผื่อนักลงทุนรายใหม่ๆจะได้ประโยชน์บ้าง
ขอแก้ไขเพิ่มเติม โดยใส่คำตอบของคุณเอี๋ยวลงไปด้วย

๑ ก่อนจะใช้วิชา"เผ่นพันลี้"
คุณเอี๋ยวก็สามารถตัดขายขาดทุน
โดยไม่ลังเลอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ครับ
ขนาดตัดขายขาดทุน ยังไปเที่ยวต่อได้ ไม่ธรรมดาแล้ว

๑ ตอนนั้นผมลงทุนตามกฎของผมคือ
ลงเพียง 10% ของสินทรัพย์
ถ้าหมดก้อนนี้ผมจะไม่เล่นหุ้นอีกต่อไป
เพราะแสดงว่ามันไม่ใช่ทางของเราอย่างแท้จริง

๒ ตามวิธี"เผ่นพันลี้"
เลือกเผ่นตอนไหนถือว่าสำคัญกว่ากัน
ก. เผ่นตอนขายหยุดขาดทุน
ข. เผ่นตอนขายทำกำไร

2. กำไรหรือขาดทุนก็ได้ ถ้าผมพบว่า ดัชนีจะลงลึก
และผมสามารถทำช็อตเซล เพื่อลดต้นทุน
และยามรีบาวน์ผมสามารถขายเพื่อล้างขาดทุน
และเริ่มนับ1 ใหม่เพื่อทำกำไรชุดใหม่ครับ

๓ ในกรณีที่ตัดสินใจผิดพลาดจากวิชา"เผ่นพันลี้"
เช่น ตัดขายขาดทุนแล้วหุ้นกลับขึ้น
ขายทำกำไรแล้วหุ้นกลับขึ้น เช่นกัน
ใช้วินัยอันไหนมารับมือกับความผิดพลาดครับ

3. อย่างนี้เรียกว่า ช็อตแพ้
ข้อสำคัญเราต้องดูออกด้วยว่าแพ้จริง
ไม่ใช่แค่รีบาวน์แล้วทุบกลับลงมา
ถ้าช็อตแพ้ต้องยอมซื้อคืนแล้วกินกำไรใหม่ครับ

๔ "ตั้งฐาน"คืออะไรครับ อธิบายพอคร่าวๆ
ในงานมีตติ้ง คุณเอี๋ยวบอกว่าพออ่านกระทู้เจอผมซื้อทุ่งคา
ก็พบว่าทุ่งคา"ตั้งฐาน" ไปเรียบร้อยแล้ว เลยไม่ตาม

4.การตั้งฐานก็คือการสะสมพลังของหุ้น
ตอนทุ่งคาเฮียเข้าใจผิดครับ
คือผมพบแล้วว่ามันตั้งฐานเสร็จเพื่อขึ้น
แต่ผมบังเอิญไปเจอตัวที่ตั้งฐานใกล้เคียง
แต่ดูชื่อชั้นแล้วน่าซื้อกว่าเลยไปเข้าตัวนั้น
เพราะโลภมากครับ ก็ วอร์แรนท์ นะครับเฮีย

ขอบคุณมากๆครับคุณเอี๋ยว
เออ ขอถามหลังไมค์แบบคุณอึ้งฯ
ตอนนั้นเครียดมากๆ
ได้ทำ "Kumpangdin visit"หรือเปล่า ฮาๆๆๆๆๆๆ
แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 47 11:33:37

จากคุณ : คลาย เครียด - [ 19 ก.พ. 47 09:31:16 ]










 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 31 กรกฎาคม 2548 15:46:14 น.
Counter : 390 Pageviews.  

ผลที่ได้ของโมเดลปรากฏว่า

ผลที่ได้ของโมเดลปรากฏว่า ได้หุ้นมามากพอสมควรเมื่อเทียบกับหุ้นเริ่มต้นในมือจำนวน 450,000 ส่วนกำไรตัวเงินนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ และใช้ได้ดีเมื่อเทียบกับการผ่านสภาวะขาลง ถือว่าโมเดลนี้สามารถเป็นตัวเลือกหนึ่ง หรือ หนึ่งในอาวุธให้เราเลือกใช้ได้
แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 48 20:50:18

จากคุณ : MudleyGroup - [ 28 ก.ค. 48 20:48:09 ]




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 2 กันยายน 2548 20:43:02 น.
Counter : 334 Pageviews.  

แนวคิดเกี่ยวกับการทำโมเดล

แนวคิดเกี่ยวกับการทำโมเดล
มีเพื่อนๆถามมาหลังไมค์หลายคนเหลือเกินว่า โมเดล คืออะไร แล้วต้องทำอย่างไร ก่อนอื่น นะครับการสร้างโมเดลที่ดีนั้นตอนแรกเราต้องทำ lab การทดลองเสียก่อน โดย ผมเลือกใช้วิธีการแบบเดียวกับ โซรอส คือทดลอง lab กับตลาดหุ้นของจริง โดยการแบ่งเงินบางส่วนที่เราไม่รู้สึกอะไรหากต้องเสียไป มาทดลองกับโมเดลของเรา (ส่วนการใช้โปรแกรม simulate ดังที่หลายคนถามมานั้น ผมถือว่าอยู่ในขั้นตอนการหา ตัวชี้นำให้กับโมเดลของเรา เพราะเราจะเลือกวัดผลเอากับข้อมูลอดีตที่ผ่านมาแล้วว่าตัวไหนที่สามารถทำกำไรได้ดีที่สุด แต่เมื่อเรามาทดสอบกับห้องทดลองในตลาดจริงของเราโมเดลนั้นอาจจะไม่ work ก็ได้)
ข้อดีของการทดลองทำ lab ในตลาดหุ้นจริงคือ จะช่วยให้เราฝึกฝนด้านจิตใจ และ trader skill ไปในตัว
เพื่อเป็นการอธิบายให้เห็นภาพ ผมได้ใช้เวลาพอสมควรเพื่อทำ lab อันนี้ ซึ่งเห็นว่ากำลังนิยม ก็คือ lab Dsm นั่นเอง (ตัวผมเองนั้นชอบทดลองเอาแนวความคิดของคนอื่นมาผสม เป็นโมเดลทดลองในตลาดหุ้นจริงๆ ) จริงๆว่าจะเอาโมเดลคลายเครียดเรโชมา แต่กลัวเฮียจะบ่น อิอิ
เริ่มต้นการจะทำโมเดลนั้น ขั้นแรกที่สำคัญเลยคือ ตรรกะ ดังนั้นเมื่อผมเลือกเอา concept dsm มาทำโมเดลแล้วผมต้องเข้าถึงหัวใจของมันให้ได้เสียก่อน หัวใจของ Dsm อยู่ที่ไหน(ตามความคิดของผมนะ คนอื่นอาจคิดแบบอื่นก็ได้ ) หัวใจของ Dsm อยู่ที่การสะสมเพิ่มจำนวนหุ้นให้เราให้ได้มากที่สุด ,กระแสเงินสดแฝงหรือขั้นตอนการทำบัญชีหรือแม้แต่วิธีซื้อ-ขาย นั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ และวิธีการที่ให้เราอยู่ในวินัยเท่านั้น
ดังนั้นเราจะได้ ตรรกะหลักของโมเดลเราแล้วคือ การเพิ่มจำนวนหุ้นให้ได้มากที่สุด ขั้นต่อมาคือกระบวนการที่จะช่วยให้โมเดลดำเนินไปตามตรรกะที่เราตั้งไว้ให้ได้ แหมๆถ้าลอกวิธีการซื้อ-ขาย ของพี่เด่นศรีมาหมด มันก็คงไม่แตกต่างอะไร โมเดลก็ไม่สนุก ดังนั้นผมเลยปรับปรุงโดยการใส่ ตรรกะ ความจริงส่วนมาก(คือมีโอกาสเกิด >70%)เข้าไปในโมเดลเพื่อทำการตัดสินใจซื้อขาย เช่น หุ้นจะขึ้นถ้า ....... (อันนี้ทุกคนต้องหาตรรกความจริงแท้ส่วนมากที่หุ้นจะขึ้นเอาเองนะครับ)โมเดลจะทำการซื้อ และ ถ้า ....... (ความจริงแท้ที่มีโอกาสส่วนมากที่หุ้นจะลง) โมเดลทำการขาย
การหาความจริงส่วนมาก หรือ โอกาสส่วนมากนั้น ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ล่ะท่าน ลองมองหาดูนะครับ
ดังนั้นเมื่อเราปฏิบัติตามนี้ตลอดจนชิน ทักษะการเทรด และ จิตใจของเราจะนิ่งไปในตัว และถ้าโมเดลของเรามันโอเค โมเดลตัวนี้หล่ะที่เราทำประโยชน์ให้เราได้มากเลยทีเดียว
หลายคนถามว่าทำไมผมไม่บอกเลยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แน่นอนครับ ถ้าทุกคนเรียนรู้และเข้าใจ ฝึกฝนจนมีทักษะtrader skill จากวิธีการที่ผมบอกขึ้นมาพร้อมๆกัน มันก็จะไม่ก่อให้เกิดส่วนแตกต่างทางทักษะ และก็จะไม่เกิดส่วนเกินทุน(การล่าส่วนเกินทุนเกิดขึ้นได้เพราะความไม่เท่าเทียมของตลาด) ซึ่งจะทำให้วิธีผมใช้ไม่ได้โดยปริยาย แต่ถ้าหากเราเข้าใจconcept และไปพัฒนาทักษะให้เหมาะกับนิสัยเราเองแล้ว เราก้จะสามารถประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่างๆของตลาดได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ความสำเร็จจะอยู่กับความตั้งใจของเพื่อนๆทุกคนในการพัฒนาหรือฝึกฝนครับ ผมก็เป็นเพียงอีกคนหนึ่งที่มานำเสนอแนวความคิดเท่านั้นเองหาได้มีสูตรสำเร็จที่ช่วยให้เราทำกำไรในตลาดได้เสมอ
ท้ายนี้ถ้าตรรกที่เราคิดไว้มันเป็นความจริงแท้ส่วนมากจริงๆ โมเดลของเราจะได้ผลเราจะได้รู้เองครับ ซึ่งเมื่อมันได้ผลเราเอาวิธีที่มันได้ผลนั้นมาเทรดให้เป็นนิสัย เราก็จะมีนิสัยที่เทรดได้กำไร มากกว่าขาดทุนครับ และที่สำคัญ ไม่มีโมเดลใดสมบูรณ์แบบทุกโมเดลล้วนต้องมีจุดผิดพลาด แต่ทุกคนต้องผ่านมันไปให้ได้ บางคนทิ้งโมเดลนั้นไปเพราะเห็นข้อผิดพลาดเพียงบางจุดทั้งที่ โดยรวมแล้วอาจทำกำไรให้เรา 7 ทำเราขาดทุน 3 กล่าวคือข้อเสียของมนุษย์นั่นเองที่ทำให้โมเดลไม่สำเร็จหรือทำตามโมเดลไม่ได้ เพราะจิตวิทยาลึกๆในใจของคนส่วนใหญ่ล้วนต้องการความสมบูรณ์ไร้ที่ติ แต่ถ้าเรามัววิ่งหาจุดนั้นอยู่ ก็คงอาจจะสายเกินไปก็ได้

จากคุณ : MudleyGroup - [ 28 ก.ค. 48 20:48:09 ]




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 2 กันยายน 2548 20:42:37 น.
Counter : 432 Pageviews.  

พี่คัดท้ายสอนน้อง "วิธีที่คัดท้ายซื้อหุ้น"

จริงๆจะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็ไม่ค่อยได้เรียบเรียงความคิดตัวเองเท่าไหร่ เวลาลงทุน เพิ่งรู้สึกเวลาโดนเฮียคลายเครียดให้ไปพูดงานสินธร ถึงได้รู้ว่าเวลาเรานั่งเรียบเรียงสิ่งที่เราทำเป็นข้อๆ มันก็ทำให้เราทบทวนตัวเองเหมือนกัน

ก่อนจะรู้ว่าคนๆนึงจะมีวิธียังไง ผมว่าควรจะต้องรู้ว่า เค้ามีความเชื่อยังไงก่อน .. ผมว่าอันนี้สำคัญมาก อย่างในกระทู้ที่ผมพูดเรื่องการลงทุนแบบบัฟเฟต จะเห็นว่ามีหลากหลายความเห็นและความเชื่อ ซึ่งในความเชื่อที่แตกต่าง วิธีการที่ออกมามันก็จะแตกต่างกันด้วย

ผมเริ่มด้วยความเชื่อของผมก่อนแล้วกันครับ ก็เขียนเท่าที่พอจะนึกออกนะครับ คงเขียนหมดไม่ไหว นึกไม่ออก

ความเชื่อส่วนตัวของผม อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ผมเชื่อแบบนี้

1. ผมมีความเชื่อที่สำคัญที่สุด ... และกฏทุกกฏของผมจะ Relate กับกฏทองข้อแรกนี้ คือ เงินมาจาก กระเป๋าคนอื่น

คนทั่วไปอาจจะบอกว่า เงินมาจากนักลงทุนคนอื่นๆที่เสียให้เรา แต่จริงๆ ผมรวมไปถึง คนซื้อของที่จ่ายเงินให้ธุรกิจที่เราเป็นเจ้าของด้วย

2. คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้น จะเสียเงิน มากกว่าได้เงิน ... กฏนี้เป็นกฏทองข้อที่สองครับ

ถ้าเมื่อใด คนส่วนใหญ่คิดอะไรเหมือนกันหมด ... เห็นดีเห็นงามเหมือนกันหมด ... คิดว่าหุ้นจะขึ้นเหมือนกันหมด ... คิดว่าหุ้นจะลงเหมือนกันหมด ...

มันใกล้จะเป็นจุดหักเหแล้ว ... โดยเฉพาะในมุมมองในแง่ดี

3.เทคนิคอลกราฟ ... ก็ตำราเดียวกัน แตกต่างกันมีบ้าง ... อะไรที่คนรู้มากๆแล้วไม่ปลอดภัย ถ้าเรารู้ คนอื่นรู้ เจ้ามือก็รู้ ... สัญญาณก็จะกลายเป็นกับดัก จะเห็นได้ว่า ข้อนี้ก็เกี่ยวกับกฏทองข้อที่สอง

4. ข่าวดี ข่าวร้าย ส่วนใหญ่ในตลาด ใช้เป้นตัวสร้างโมเม็นตัมของทิศทางราคา ไม่ใช่ทำให้เกิดการไล่ราคา โดยเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง

5. ไม่มีใครรู้จริงเรื่องราคาหุ้น แม้แต่เจ้ามือ ก็เจ๊งบ่อย การบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญ

6. หาหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันแบบยั่งยืนในตลาดหุ้นไทย เหมือนงมเข็ม ในมหาสมุทร ยิ่งถ้าหาโอกาสซื้อในราคาที่มีส่วนลด ยิ่งหนักเข้าไปอีก ...

7. ธุรกิจในเมืองไทย ไม่สามารถขยายตัวได้เท่ากับ ธุรกิจในอเมริกา ทำให้ตลาดไทยมี Cycle ที่สั้นกว่าตลาดอเมริกามาก และไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน

เทียบกันง่ายๆ ส่วนใหญ่หุ้น IPO ที่เข้ามาในเมืองไทย มักขยายตัวไปเต็มพื้นที่ในประเทศ หรือ ใกล้ตันแล้ว (แต่มีบางอันที่ยังมีโอกาสขยายเช่น SE-ED BIGC OISHI ...) ไม่ได้มีพื้นที่ที่จะขยายตัวได้อย่างเหลือเฟือ ..

ถ้าเป็นธุรกิจในอเมริกา ธุรกิจนึงอาจขายดีในระดับรัฐ แล้วก็เข้าตลาดหุ้น เค้าก็สามารถขยายได้อีก 50 รัฐ ... แล้วเมื่อไปทั่วอเมริกา เค้าก็สามารถขยายไปทั่วโลกได้ มีความสามารถในการแข่งขัน

... หุ้นเมืองไทย ไม่ใช่แบบนั้น การจะเอามาเปรียบเทียบกัน ต้องทำด้วยความระมัดระวัง

8. การถือหุ้นของกิจการดี แต่ไม่เติบโตหรือเติบโตน้อย ในราคาที่ไม่มีส่วนลดที่เพียงพอ ไม่ใช่การลดความเสี่ยง เพราะวันใดวันหนึ่งความเสี่ยงก็ย่อมเกิดขึ้นได้

9. การถือหุ้นที่กิจการไม่ดี ในราคาที่ไม่มีส่วนลดที่มากเพียงพอ เป็นการกระทำที่โคตรเสี่ยง

10.การถือหุ้น ที่กิจการกำลังเติบโต ในราคาที่มีส่วนลด เป็นการลดความเสี่ยง

11.กลยุทธและแผนงาน เหนือกว่าความสามารถส่วนบุคคล

12.ผมไม่เคยเชื่อเรื่องธรรมาภิบาล แต่เชื่อว่าคนทุกคนทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าไม่ได้ผิดอะไร แต่ใส่ใจกับเจ้าของที่มีโอกาสทำเลวเกินพิกัด

เมืองไทย ไม่ใช่ประเทศธรรมาภิบาล ... ดูจากสังคม และการเมืองได้ .. ถ้าตลาดหุ้นมันก็น่าจะซึมซับพฤติกรรมมาไม่มากก็น้อย ... ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ...

เป็นคนไทยต้องไม่ประมาท ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ เป็นคนไทยต้องดูแลตัวเอง ..
_________________
"ผมคงจะต้องถือกระป๋อง ขอทานไปตามท้องถนน ถ้าหากว่าตลาดมีประสิทธิภาพ" - วอเรนท์ บัฟเฟต



13. แม้ว่าเราควรจะคิดให้เหมือนเป็นเจ้าของบริษัท แต่เจ้าของบริษัทไม่ได้คิดว่าเราเป็นเจ้าของ ... ดังนั้นข้อมูลที่เราได้ ก็ไม่ใช่ข้อมูลที่เจ้าของได้

14. แม้พี่เจ๋งจะบอกว่า ให้คิดเหมือนเราซื้อทั้งบริษัท ...ผมว่าจริงในแง่การมองมูลค่า ... แต่ความเป็นจริงคือ เราไม่มีตังมากขนาดนั้น และเมื่อเรามีเงินซื้อแค่นั้น สิทธิที่เราได้ก็จะมีเท่าที่เงินของเรา ...

และ หลังจากเราซื้อ เราก็เอาเงินของเรา ไปให้คนอื่นดูแล ...

ให้เปรียบเทียบกับ คุณให้เงินเพื่อนยืมไปทำบริษัท ...

คุณอาจจะบอกว่า จะบ้าเหรอ ให้เพื่อนยืมไปเสี่ยงจะตายชัก

แต่จริงๆ แล้ว เพื่อนยืมเงิน คุณยังไปถามมันได้ว่ามันเอาเงินไปทำอะไร อาจขอไปดูโรงงานมัน ขอเปิดบัญชีดู มอมเหล้ามันให้คายความลับ ... และมันก็ยังอาจจะเกรงใจคุณอยู่บ้าง

แต่เจ้าของบริษัทมหาชน คงไม่สนใจคนที่ถือหุ้น 30,000 หุ้นเท่าไหร่ และเค้าอาจจะหันมายิ้มแล้วตอบคำถามต่างๆ แต่ก็ไม่รู้จะเชื่อคำตอบได้หรือเปล่า ว่านั้นคือความจริง ...


15. ดังนั้น ข้อมูลที่เราได้ ก็จะมาจากข้อมูลวงนอกที่เราพอจะหาได้ได้แก่

- จากงบ เก่าๆย้อนกลับไป
- จากกราฟ
- จากตัวเลขและแนวโน้มของกลุ่มธุรกิจ
- จากส่วนแบ่งตลาด
- ฯลฯ

แต่จากประสบการทำให้ผมเชื่อ เฮียคลายเครียด ขึ้นทุกทีว่า จริงๆ เราเป็นกูไม่รู้ ( Gu(not)ru) คือ เราไม่ได้รู้อย่างที่เราคิดว่าเรารู้

อย่าลืมคิดเรื่องการบริหารความเสี่ยงไว้เสมอๆ เช่น เวลาซื้อหุ้น ควรบอกตัวเองว่า ถ้าเกิด เรื่องที่ไม่คาดฝัน เราจะทำอย่างไร ..

16. หุ้นเมืองไทย ยากนักที่ ราคา (ขอเน้นว่าราคา ไม่ได้พูดถึงมูลค่า) จะสวนกระแสพิษเศรษฐกิจได้ ..

ถ้าไม่ชอบเห็นหุ้นตัวเอง ราคาหายไปครึ่งนึง ... ควรจะคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจด้วย ..

ผมไม่เชื่อว่าหุ้น VI VS VSOP อะไรก็ตามจะต้านภาวะแย่ๆ ได้ ไม่อย่างงั้น VI หลายๆท่านจะมีโอกาสซื้อหุ้นดี ราคาถู๊กกกก ถูกก ... ในรอบที่ผ่านมาได้อย่างไร นั่นแสดงว่าราคามันทรุดลงไป

แต่ถ้าคุณไม่สนใจว่าคุณ ซื้อหุ้น 10 บาท แล้วราคา ลงไป 3 บาท แล้วไม่รู้สึกอะไร ก็ไม่สนใจเรื่องนี้

ด้วยความเชื่อทั้งหมดที่ผมบอกไป ก็เลยเกิดสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำซึ่งก็มาจากความเชื่อ

คือ

ผมจะหาหุ้นที่เน้นว่ามี Downside Risk ต่ำ มี Upside Gain สูง ... และมีสภาพธุรกิจอยู่ในเทรนขาขึ้น (Uptrend)

และผมมักจะถือลงทุนระยะ 6-12 เดือนเป็นส่วนใหญ่ครับ จริงๆไม่มีกฏตายตัวครับ แต่ที่ผ่านๆมา ผมมักจะถือได้เป็นระยะเวลาแค่นั้น แต่จริงๆแล้วไม่มีกฏตายตัวครับ
คือ ถือไปเรื่อยๆ จนกว่ารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยแค่นั้นเอง ..

_________________
"ผมคงจะต้องถือกระป๋อง ขอทานไปตามท้องถนน ถ้าหากว่าตลาดมีประสิทธิภาพ" - วอเรนท์ บัฟเฟต


ส่วนประกอบในการตัดสินใจลงทุน

1. ข้อมูลพื้นฐาน (ผมให้ความสำคัญข้อนี้ที่สุด)
2. ข้อมูลเทคนิค
3. จิตวิทยาและกลยุทธการเข้าซื้อ

การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน

ผมไม่ได้มีความรู้ด้านนี้มากนัก รู้แค่งูๆปลาๆ แต่ผมก็ให้ความสำคัญกับข้อนี้มากๆ ปกติก็จะดูข้อมูลเชิงคุณภาพก่อน และผมมักจะถามความเห็นจากหลายๆท่านที่มีความรู้เรื่องนี้ประกอบด้วย

ผมเชื่อว่า นักการเงิน คนเรียนบัญชี ... และ พนักงานสินเชื่อ ... มีความสามารถในด้านนี้มากกว่าผมหลายเท่านัก และผมว่าคนกลุ่มนี้ก็เล่นหุ้นกันเพียบ ถ้าเพียงแค่การวิเคราะห์งบ จะบอกอะไรได้หมด คงจะไม่ใช่ ไม่งั้นคนกลุ่มนี้ก็รวยกันไปหมดแล้ว มันต้องมีอะไรมากกว่านี้

ผมเชื่อว่าการที่จะทำให้หุ้นมีสภาพ Uptrend อย่างโดดเด่นได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากพื้นฐานอย่างอื่นที่ไม่ใช่งบ เช่น วงรอบธุรกิจ (ปิโตร เรือ) ... การขยายงาน ... การเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุน เช่น กองทุนอสังหา .. ฯลฯ

สำหรับผม การวิเคราะห์งบ ใช้เพื่อบอกว่าธุรกิจมีสุขภาพที่ดี หรือ อ่อนแอ แพงไป หรือ ถูก ในปัจจุบัน แค่นั้นเอง

อีกเรื่องที่ดูคือ ดูความแข็งแกร่งว่าหากโดนคู่แข่งเจาะเข้ามานี่ จะมีความสามารถในการป้องกันแค่ไหน ผูกขาดมั้ย ข้อมูลนี้ ผมใช้ดูว่าผมจะกล้าถือได้นานแค่ไหน ถือแค่เก็งการเติบโต 6 เดือน หรือถือลงทุน 3 ปี เป้นต้น

การวิเคราะห์เชิงเทคนิค

การวิเคราะห์เชิงเทคนิค ผมใช้เพื่อหาราคาที่จะเข้าซื้อครับ

หุ้นที่จะใช้วิธีการนี้ ผมแนะนำว่าควรมีสภาพคล่องนะครับ ข้อมูลทางเทคนิค จะไม่ควรใช้กับหุ้นขาดสภาพคล่อง ไอ้พวกทั้งวัน ซื้อขายไม่กี่ไม้ นี่ไม่แนะนำครับ

ปกติ ถ้าหุ้นมีสภาพคล่อง แล้วมีหุ้นที่สนใจหลายตัว แล้วมองทางพื้นฐานก็ดีเท่ากัน รักพี่เสียดายน้อง ต้องเลือก ซื้อตัวนึงเยอะ ตัวนึงน้อย ผมมักจะชอบหุ้นที่ผมดูแล้วมีพฤติกรรมของผู้ดูแล ที่ไม่นิสัยแย่เกินไป .. โดยดูจากกราฟ ที่ผ่านๆมา หุ้นที่มีคนดูแลนิสัยเข้ากับเราจะเล่นได้สบายใจ แต่เรื่องนี้ VI อาจพูดแล้วไม่เข้าใจนะครับ อย่าไปสนใจเลยครับ

ส่วนใหญ่เทคนิคที่ใช้ ผมจะใช้ในการหาจุดที่เข้าซื้อหุ้น แต่ในความเป็นจริง ... การหาจุดต่ำสุดนั้นยากมากครับ

ราคาที่เหมาะสม ที่คิดได้บางทีมันก็จับต้องยากจัง ผมก็ไม่เก่งพอเสียด้วยที่จะบอกว่า จริงๆมันควรอยู่ที่เท่าไหร่

ผมก็เลยต้องทำข้อที่ 3 ครับ คือ

กลยุทธ และจิตวิทยาการเข้าซื้อ

ผมมีความเชื่อว่า เทคนิคกับพื้นฐาน สามารถใช้คู่กันได้ในการหาจุดเข้าซื้อ

โดยผมจะหาแนวรับในเชิงเทคนิคไว้ก่อน ... แล้ว Map จุดแต่ละจุดดูว่า ค่าที่จุดรับต่างๆนั้น ให้ค่าพื้นฐาน เช่น P/E P/BV อยู่ที่เท่าไหร่ ราคาประเมินเนี่ยถูกหรือแพง ...

แล้วก็ดูว่าแนวรับแต่ละแนวเนี่ย เป็นไปได้มากหรือน้อย แล้วก็ทะยอยรับครับตามจุดต่างๆ ลงมากรับมาก ลงน้อยรับน้อยอะไรแบบนี้

แต่ที่ผมเจอๆมา ผมพบว่า ในสถานการณ์ปกติทั่วไปหุ้นดี เวลาลงมักจะลงไม่ถึงจุดที่ทุกคนคิดว่าถูกมากและปลอดภัยจนต้องซื้อ ครับ มันมักจะไม่ถึง

ผมลืมข้อนึงไปครับ คือ การดูและรักษาปรับพอร์ต และขาย

1. จดจำเหตุผลที่คุณซื้อหุ้นใดๆไว้เสมอ และจำไว้ใช้เวลาขาย

เช่น ถ้าคุณซื้อหุ้นเพราะกราฟ แล้ว ติดดอย คุณห้ามปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร หุ้นพื้นฐานดี อะไรแบบนี้ เพราะเวลาซื้อคุณไม่ได้คิดถึงพื้นฐานมันนะ

ต้องไม่หลอกตัวเอง

2. ขายเมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คุณคิด โดยเฉพาะทางพื้นฐาน ... แยกความรู้ กับ ความหวัง ออกจากกันให้ชัดเจนครับ

3. ขายเมื่อหุ้นได้ถึงเป้าหมายที่คาดเอาไว้ ... อย่าโลภเกินครับ เราหวัง เรารู้แค่ไหน ก็หวังแค่นั้น ผมคิดแบบนั้นนะ หรือไม่ถ้าเกินเป้าหมายแล้ว อยากถือต่อ ก็ควรบริหารความเสี่ยงโดยการทำคลายเครียดเรโช ไปมั่ง

อาจจะดูว่า ผมไม่ให้โอกาสหุ้นได้แก้ตัวเลย เพราะสำหรับผม ผมรู้ตัวว่าเป้นรู้อะไรน้อยมาก ผมเป็น Gu Not Ru ครับ ... ถ้าผิดคาด ผมไปก่อนครับ

สำคัญที่สุด รู้ถูก ไม่เท่าทำถูกเราต้องสร้างวินัย ทำให้ได้ตามกฏที่เราตั้งขึ้นมา

เรื่องการบริหารความเสี่ยง

การบริหารความเสี่ยงนี่ ผมว่าสำคัญมากครับ สำหรับผม ข้อนี้ผมพยายามนึกถึง คำสอนในตำราซุนวู ตลอดครับ เป็นคำสอนที่ผมประทับใจมาก และคำสอนนี้ ทำให้ผมเล่นหุ้นได้ดีขึ้นมากๆ คือ ซุนวูบอกว่า

ขุนศึกที่ชนะ ออกรบเพื่อไปเอาชัยชนะ
ขุนศึกที่พ่ายแพ้ ออกรบเพื่อหวังชัยชนะ

....

จริงๆในตำราซุนวูนี่ ผมว่าเอามาประยกต์เรื่องลงทุนได้เยอะมากๆ ในงานสินธร เพิ่งรู้ว่า คุณหมอ Weekest ก็เป็นแฟนซุนวูเหมือนกัน

ผมว่าเล่นหุ้นไม่ต้องเล่นบ่อยๆ ต้องมั่นใจพอสมควร ไม่จำเป็นต้องลงทุนถ้าเราไม่มั่นใจ รอดีกว่าครับ ถ้าราคายังไม่ถูกใจ พื้นฐานยังไม่ถูกใจ สภาวะยังน่าเป็นห่วง ... ผมถอยครับ ..

บางคนบอกว่าเซียนหุ้นต้องลงทุนได้ทุกสภาวะ แต่ผมไม่ได้เป็นเซียนหุ้นครับ
ผมเป็นแมงเม่า เอาไว้ผมเห็นโอกาส ผมค่อยลงทุนครับ ไม่เน้นเสี่ยงครับ
_________________
"ผมคงจะต้องถือกระป๋อง ขอทานไปตามท้องถนน ถ้าหากว่าตลาดมีประสิทธิภาพ" - วอเรนท์ บัฟเฟต




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2548 11:00:53 น.
Counter : 540 Pageviews.  

oldtee

oldtee




Posts : 1
Replies : 4



« เมื่อ 26/07/2005 , 19:34:18 »
--------------------------------------------------------------------------------
เพราะฝรั่งที่ว่านี้ มันหัวดำๆ มีพูดไทยคล่องกว่า 80% เป็นคนคุมตลาดในช่วงสองปีนี้
โดยยิงออร์เดอร์ผ่าน ฮ่องกง สิงคโปร์ บ้างก็ร่วมกับพวกโปร์ ไต้หวันแล้วออกหุ้นผ่านอีกพอร์ตที่ใช้ชื่อว่า นักลงทุนรายย่อย

สาเหตุที่ทำแบบนี้ได้ เพราะฝรั่งตัวจริงๆ มันเลิกไปนานแล้ว มีแต่พวกลงทุนยาว กับ พวกเห็ดฟันด์ พวกไต้หวัน นิดหน่อย
และกลุ่มนี้คุมการยิงข่าวได้แบบเบ็ดเสร็จ
เอาข้อมูลเฉพาะปีนี้ก็คือ ฝรั่งกลุ่มยุโรปที่เป็นกลุ่มที่ลงทุนหุ้นไทยมากที่สุด ได้ขายย้ายการลงทุนตลอดออกไปตั้งแต่ต้นปี
(สวนกับคำว่า ฝรั่งซื้อแล้ว ซื้ออีก ) ส่วนฝรั่งที่เข้ามาลงทุนเพิ่มคือ พวกกองทุนมะกัน ญี่ปุ่น ซึ่งยังมีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มที่ถอนมาก
แล้ว ไปดู MSCI มีแต่บอกให้ลดน้ำหนัก ในแต่ละครั้งที่ประกาศ ไม่เคยบอกให้เพิ่มเลย
ตลาดเพื่อนบ้าน ได้น้ำหนักเพิ่มเปลี่ยนหน้ากันไป ส่วนไทยคงเดิมหรือลดลงมาสองปีแล้ว
สมัยดัชนี 300 ไป 800 ฝรั่งใช้เม็ดเงินแค่ 30000 ล้านเท่านั้น หุ้นขึ้นสองเท่ากว่า และทำกำไรมากที่สุด

มาตอนนี้ บอกว่าซื้อหุ้นทุกวันเป็นแสนแล้วติดดอยอยู่
อยากขำให้กลิ้งงงง
จะเห็นว่า สองปีมานี้ มีรายย่อยเลิกเล่นหุ้น บ้างก็ติดดอยอยู่เป็นจำนวนมาก จำนวน บช เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง แม้ว่าปีนี้จะจัดงานเรียกลูกค้าสองครั้ง
(เมื่อคนในยังไม่อยากเล่น แล้วไปโรดโชว์ให้ฝรั่งมาเล่น คงยาก )
เม็ดเงินในตลาดหายไปมาก เงินรายย่อยไปอยู่ในมือกลุ่มที่คุมตลาดนี้อยู่
และกลุ่มนี้เป็นใครก็น่าจะรู้ๆกันอยู่ ยิงข่าวร้าย ยิงข่าวดี คุมเอง กินเอง สั่งได้
การที่ต้องไปโรดโชว์ดึงเงินฝรั่งมา ก็เพราะ กำไรของกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นกำไรส่วนใหญ่ในพอร์ต คือ พวกหุ้นIPO อุปการะคุณทั้งหลาย ตัวใหญ่ๆที่เตรียมชงเข้ามาในตลาดนั่นเอง
มันต้องใช้เม็ดเงินสูง ที่จะดึงราคาขึ้นไปได้
แต่ฝรั่งเอง มันคงไม่โง่ หรือบ้าเช๊คราย ชม ว่า" วันนี้ ฝรั่งซื้อหรือขายครับ " เหมือนรายย่อย

ลองเทียบดัชนี เพื่อนบ้านของไทยทุกประเทศ จะเห็นว่าไม่บิดเบือนเหมือนตลาดหุ้นไทย
สิงคโปร์ มาเลย์ อินโด ฮ่องกง ฟิลลิปปินส์ ทุกประเทศเป็นขาขึ้นตลอดสองปีมานี้ ( เช๊คที่ yahoo.com หน้า finance ก็ได้)
ไม่เหมือนตลาดหุ้นไทย เล่นไซด์เวย์ ขึ้นลงไม่เกินร้อยจุด แล้วกินรวบจนรายย่อยตายเป็นเบือ

หุ้นจะเป็นขาขึ้นจริงได้ ก็ต่อเมื่อ ฝรั่งตัวจริงกลับมา ไม่ใช่ฝรั่งหัวดอ อย่างทุกวันนี้


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีที่อยากเล่าให้ฟังอีกเยอะ แต่วันนี้ขอไว้เพียงแค่นี้
ใครใคร่เชื่อ เชื่อ
ใครไม่เชื่อ ก็แล้วแต่ท่าน

เล่นหุ้นใช้สมอง อย่าใช้หัวใจ


coca





Posts : 0
Replies : 13 « Reply #10 เมื่อ 26/07/2005 , 23:28:42 »
--------------------------------------------------------------------------------
ซื้อแล้วโอนหุ้นให้กันก็ได้ผ่านนายหน้า เรื่องแค่นี้คิดไม่ยาก ลองกลับไปคิดนะ
แค่เดือนมกราคมเดือนเดียวต่างชาติซื้อ 1000 ล้านus แต่ดุลบช กับออกมาว่าขาดดุลไปราว 1000 ล้าน us มันหมายความว่าอะไรถ้าจะว่ามาจากน้ำมันก็คงไม่น่ามากมายขนาดนั้น x+1000= -1000 ไปแก้เอาเองแล้วจะเข้าใจเองว่าที่เจ้าของกระทู้พูดมาน่ะมีเหตุผล



lukhoon





Posts : 13
Replies : 89



« Reply #12 เมื่อ 27/07/2005 , 04:49:05 »
--------------------------------------------------------------------------------
มีรุ่นพี่ผมที่พอร์ตค่อนข้างใหญ่ ( 200-300ล้าน ได้ครับ )

เล่าให้ฟังเมื่อตอนต้นปีนี้เองว่า มีโบรกฝรั่ง ( ที่ตอนนี้ Volume Trade ใต่ขึ้นมารวดเร็วมาก )

ส่ง Sale Executive เป็นฝรั่งหัวแดงๆ ตัวเป็นๆ มาหาแกเลย มากินข้าวด้วยกัน

( พวกนี้คงมีการเช็คประวัติ และ size ของพอร์ต ของลูกค้าที่จะคุยมาก่อนแล้ว )

OFFER ให้ว่าจะช่วยเปิดพอร์ต เป็นในนามของ Foreign ให้ โดยจดทะเบียนในรูป

นอมินี , Private Fund หรือ นิติบุคคล ( แล้วแต่เราจะเลือก ) ในต่างประเทศให้ เช่นใน Singapore, HKม เคย์แมน etc. ( แล้วเราแต่จะเลือกอีก )

ค่าใช้จ่าย ประมาณ 2 แสน +/- ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ก็เทรดได้

โดยตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ นั่งสั่งออเดอร์จากกรุงเทพฯ ธุรกรรมเป็นเงินบาท ไม่ต้องเป็น US Dollar แล้วก็จะถูก Classified ว่าเป็น FOREIGN

และที่สำคัญ ตลาด และ กลต. มักจะไม่ตรวจสอบเมื่อถูก Classified ว่าเป็น FOREIGN


นกม. กับพวกแกงค์ทำหุ้น......ใช้บริการกันตรึม...... ล้นหลาม.......


ใครเคยสงสัยบ้างมั๊ยครับเวลาดูยอด NVDR ในตอนเช้าว่า........

ฝรั่งบ้าพวกไหนว๊ะ เจือกซื้อ SOLAR เป็นสิบๆล้านหุ้น......

ซื้อ HEMRAJ, KMC, BLAND, PICNI อย่างเงี๊ยะ etc. ( หุ้นเก็งกำไรทั้งหลายที่ฝรั่งหัวแดงไม่ซื้อแน่ๆ )

นี่แหละครับ..............

ผมว่าช่วงหลังๆ พวกเรามักจะโดน Fund Flow มาเป็นม่านบังตา

เห็น Fund Flow แล้วฮึกเหิม มองหุ้นไปยาวแน่ etc.

ผมว่าเดี๋ยวนี้ถ้าจะดู Fund Flow ต้องดูให้ละเอียดครับ

ว่าชัวร์หรือมั่วนิ่ม








 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2548 14:02:22 น.
Counter : 303 Pageviews.  

1  2  3  4  

สักวันเราคงจะรู้จักกัน
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add สักวันเราคงจะรู้จักกัน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.