STAND UP PLEASE ! ลำแข้งเค้ามีไว้ให้ยืน !
Group Blog
 
All blogs
 

ขนมโตเกียว ช่วงที่ 9 : Cheezzzzzzzzzzzzzzzzzzzz...........zu !

ใครๆ ก็ไปวัดอาซากุสะกันทั้งนั้น



ใช่ว่าจะมีแต่คนไทยที่ไปกัน

นักท่องเที่ยวชาติไหนๆ เค้าก็ไปกัน

ยูยะ บ้านอยู่ชิเรโตะโกะ ไม่เคยมาโตเกียว มันก็บอกอยากไป

ยูยะไหน ?

เอาเป็นว่า คนญี่ปุ่นที่ไม่เคยไป ก็อยากไปด้วยเหมือนกัน

.....

เสมือนหนึ่งไปเที่ยวกรุงเทพฯ ก็ควรต้องไปเยือนวัดพระแก้วให้ได้ฉันใด
การมาเที่ยวโตเกียวของใครๆ ก็ควรต้องไปเยือนวัดอาซากุสะให้ได้

ฉันใดก็ฉันนั้น และฉันเอง



ก็จะไปด้วยเหมือนกัน

.....

บางคนบอกว่าวัดอาซากุสะโหลไป ไม่ต้องไปก็ได้

ไม่เป็นไรเราชอบของโหล

ถ้าโหลแล้วดี

......

และวันนี้เรากับนูมะซังก็กำลังจะไปเที่ยวที่โหลๆ ที่ใครๆ เค้าก็ไปกัน

ไม่ใช่เพราะว่าใครๆ ก็ไป เราเลยต้องไป

แต่ที่ไปก็เพราะว่ามันน่าไปจริงๆ

เหตุผลหนึ่งคือวัดอาซากุสะ เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว

แค่นี้พอที่จะทำให้อยากไปได้หรือยัง ?



......

ใครๆ ก็เรียกวัดแห่งนี้ว่าวัดอาซากุสะ แต่จริงๆ วัดอาซากุสะ ไม่ได้ชื่อว่าวัดอาซากุสะ เพียงเพราะตัววัดตั้งอยู่ในเขตอาซากุสะ เลยถูกเรียกว่าเป็นวัดอาซากุสะ แต่ชื่อจริงๆ ของวัดแห่งนี้คือ วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple หรือ Asakusa Kannon Do)



ตามตำนานกล่าวไว้ ในช่วงปี ค.ศ. 628 มีสองพี่น้องชาวประมงตระกูล Hinokuma ที่ออกไปหาปลาที่แม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) ปกติทุกวัน วันหนึ่งเกิดเก็บเอาเทวรูปองค์หนึ่งได้ที่แม่น้ำสุมิดะ แต่ทั้งสองไม่คิดจะเก็บไว้กับตัว จึงได้นำเทวรูปกลับไปคืนยังแม่น้ำสุมิดะตามเดิม แต่ภายหลังก็กลับมีเหตุให้เทวรูปองค์นั้นกลับมาอยู่ในมือสองพี่น้องครั้ง และไม่ว่าจะทั้งสองจะนำมันกลับไปไว้ที่เดิมอีกสักกี่ครั้ง แต่จนแล้วจนรอด เทวรูปองค์เดียวกันนี้ก็กลับมาอยู่ในครอบครองของสองพี่น้องอีกจนได้

จากความพิศวงสงสัย กลายเป็นความเลื่อมใสศรัทธา

ในที่สุด วัดเซนโซจิจึงเกิดขึ้นและสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 645 จากความเลื่อมใสศรัทธาของสองพี่น้องและชาวบ้านแถบนี้ เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานสำหรับเทวรูปองค์นั้น

เรียกสั้นๆ ว่า Kannon

องค์เทพแห่งความเมตตา

หรือที่บ้านเราเรียกขานชื่อของท่านว่า

เจ้าแม่กวนอิม

......

วัดเซนโซจิมีทางเข้าได้หลายทาง

แต่ทางเข้าจริงๆ จะเป็นทางที่ต้องเดินทะลุผ่าน 2 ซุ้มประตูใหญ่

คือซุ้มประตูที่มีโคมไฟอันใหญ่ยักษ์สีแดงสดตัดกับตัวอักษรสีดำ

ซุ้มประตูแรก ชื่อ Kaminari Mon มีความหมายว่า ประตูสายฟ้า



ซุ้มประตูที่สอง ชื่อ Hozo Mon มีความหมายว่า ประตูขุมทรัพย์



……

ส่วนซีนบังคับที่หลายคนมักจะไม่ค่อยพลาดกัน จะอยู่ที่ซุ้มประตูแรก

หรือประตู Kaminari Mon



ตัวโคมไฟใหญ่ยักษ์อันนั้น มีขนาดกว้าง 3.3 เมตร สูง 3.9 เมตร

และหนักถึง 700 กิโลกรัม !

รู้แล้วเสียวเล็กๆ แฮะ เวลายืนอยู่ข้างใต้

……

นอกจากขี้ก้อนนั้นของ Phillippe Starck แล้ว



นี่คืออีกหนึ่งซีนบังคับของการมาเยี่ยมเยือนโตเกียวที่หลายคนมีสะสมไว้ในคอลเลคชั่น



ส่วนลูกทัวร์ที่ดีอย่างเรา

ก็ไม่ยอมพลาดกับเค้าด้วยเหมือนกัน

......

เอาล่ะ

พร้อมนะ

Cheezzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzz………….…….…..zu !





 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2553 20:06:52 น.
Counter : 961 Pageviews.  

ขนมโตเกียว ช่วงที่ 8 : อร่อยมั๊ย ?

เช้านี้เราจะไปหาราเมนกินกันแถวๆ นี้

ราเมนร้านนี้มาซะซังแนะนำเรามา เค้าว่าแนะนำแบบไม่อวย ร้านนี้ถือเป็นร้านทงคตสึราเมนที่อร่อยที่สุดในโตเกียวแล้ว !

หากพูดถึงทงคตสึราเมนก็ต้องเป็นที่เมืองฮากาตะ จังหวัดฟุกุโอกะของเกาะคิวชู เพราะนี่คือถิ่นกำเนิดราเมนน้ำซุปกระดูกหมูสีขาวข้นที่ต้องอาศัยเวลาเคี่ยวนานหลายชั่วโมง กว่าที่กระดูกจะแตกมันสีขาวๆ ด้านในออกมา

หรือที่เรียกว่า “ไพตัน”

และเพราะมาซะซังเป็นชาวคิวชูแท้ๆ เพราะบ้านเกิดแกอยู่นางาซากินู่น แถมยังเคยทำงานอยู่ในร้านราเมนมาก่อน เลยทำให้ลมปากของเขายิ่งดูน่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่

ในนิตยสาร Meshitomo นิตยสารที่ว่าด้วยเรื่องของอาหารเพียวๆ ในแต่ละเดือนจะมี Theme เกี่ยวกับอาหารแต่ละชนิดประจำเดือนนั้นๆ เนื้อหาหลักจะว่าด้วยเรื่องของการจัดอันดับสุดยอดร้านอาหารในแต่ละประเภท และในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 2010 นี้ จะว่าด้วยเรื่องของราเมนล้วนๆ

จากการแอบตระเวนไปชิมแบบไม่ทำให้ไก่ตื่นไม่ต่ำกว่า 500 ชามของนักชิมราเมนทั้งหลาย

ในที่สุดก็ได้ 100 อันดับของร้านราเมนที่เด็ดที่สุดในโตเกียว (เค้าว่าอย่างนั้น)

และร้านนี้คือร้านที่ได้อันกับหนึ่งประจำปีนี้ !



ร้านนี้ชื่อ Inoue

ราเมนเส้นเล็กเหนียวนุ่มแบบฮากาตะแท้ๆ กับน้ำซุปโครงกระดูกหมูที่ต้มรวมกับข้อต่อในส่วนต่างๆ นานเป็นวัน จนกลายเป็นน้ำซุปสีขาวข้นที่ทั้งหวานและมัน

ราคากำลังดีอยู่ที่ชามละ 650 เยน



……

“เป็นไง ทงคตสึราเมนอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นประจำปี 2010 อร่อยมั๊ย ?”

บอกได้เลยว่า...

“ไม่ !”

“ไม่อร่อยเหรอ ?”



“ไม่อิ่ม !”


......


ถ้ายังไม่อิ่มงั้นไปกินเกี๊ยวซ่ากัน

……

ร้านนี้เป็นร้านอาหารจีน

ความน่าสนใจของมันอยู่ที่การทำเกี๊ยวซ่าด้วยมือทุกชิ้น

แปลกตรงไหน เกี๊ยวซ่ามันก็ต้องด้วยมืออยู่แล้วไม่ใช่เรอะ ?

นูมะซังบอกเกี๊ยวซ่าสมัยนี้ส่วนใหญ่เค้าใช้เครื่องช่วยทำกันหมดแล้ว แต่ร้านนี้ยังคงรักษามาตรฐานเกี๊ยวซ่าทำมือไว้อยู่ในทุกขั้นตอน

ที่รู้เพราะเค้าเขียนบอกแบบนี้ไว้หน้าร้าน



ชื่อร้าน Kyosakan

......

“ยินดีต้อนรับค่ะ นี่เมนูค่ะ”

“ไม่เป็นไร เอาเกี๊ยวซ่ามาจานนึง”

“แล้วก็...อะไรอีกคะ”

“แค่นี้พอละ”



“ไม่สั่งอาหารอย่างอื่นเพิ่มเหรอคะ”

“ไม่ล่ะ มากินเกี๊ยวซ่าอย่างเดียว”

“งั้น...เกี๊ยวซ่าที่นึงนะคะ”

“อ้อ สั่งเพิ่มอีกอย่างก็ได้”

“ค่ะ นี่เมนูค่ะ”

นูมะซังเปิดเมนูดูไปจนถึงหน้าสุดท้าย

“อืม...แล้วก็...เบียร์สดอีก 2 แก้ว”

……

ความคิดเห็นหลังกิน...

อร่อยมั๊ย ?

ความเห็นนูมะซัง : เกี๊ยวซ่าร้านนี้ จะกินก็ได้ ไม่กินก็ไม่น่าเสียดายเท่าไรนะ

งั้นๆ ก็แล้วกัน

ความเห็นเรา : ยังไม่อิ่ม !



*** เกี๊ยวซ่าราคาจานละ 500 เยน




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2553 14:03:14 น.
Counter : 920 Pageviews.  

ขนมโตเกียว ช่วงที่ 7 : 10 rules To Be Cleaning Staff !

041010

เช้านี้เรามีนัดตอนแปดโมงเช้ากับมาซะซัง

มาซะซังเป็นเหมือนกับผู้จัดการสาขาของข้าวสารเกสต์เฮ้าส์ของที่นี่ทั้งหมด ส่วนเจ้าของจริงๆ แอบหนีงานไปอยู่อยู่ไหนก็ไม่รู้ เห็นว่าน่าจะอยู่เบปปุ
บางคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องเป็นข้าวสารเกสต์เฮ้าส์ มันเกี่ยวอะไรกับข้าวสารที่เมืองไทยหรือเปล่า ?



ก็ไม่มีอะไรมาก แค่คุณเจ้าของแกเคยมาเที่ยวที่เมืองไทย แล้วติดใจบรรยากาศของถนนข้าวสารที่บ้านเรา วันดีคืนดีเลยคิดอยากเปิดเกสต์เฮ้าส์ดูบ้างในโตเกียว เลยขอเอาชื่อมาใช้ซะเลย ด้วยความที่ถนนข้าวสารบ้านเรามันมีภาพของสถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวกระเป๋าเบาที่ชัดเจนอยู่ในตัวเองแล้ว แถมนักท่องเที่ยวในแนวทางนี้ส่วนใหญ่ก็รู้จักถนนข้าวสารบ้านเราดีอยู่แล้ว เลยไม่ต้องไปเสียเวลาโปรโมทอะไรให้ยุ่งยากมากมาย แค่ได้ยินว่าเป็นข้าวสารปุ๊บ ก็เป็นอันรู้กันว่าน่าจะถูกแน่ๆ

เช้านี้เราจะมาคุยกับคุณมาซะซังเรื่องกฎกติกามารยาทต่างๆ ที่ควรจะรู้ไว้ของการเป็นสมาชิกใหม่ของที่นี่ เพราะก่อนหน้านี้เราแทบจะไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรบ้าง รู้แต่ว่าถ้ามาเป็น Cleaning Staff ของที่นี่…..

แล้วจะได้พักฟรี !

ได้ยินคำว่าฟรีเข้าหน่อยเป็นไม่ได้ ใจง่ายจริงๆ เลยเชียว กระทั่งลืมนึกไปว่า

ของฟรีไม่มีในโลก !

......

มาซะซังไม่ได้มาคนเดียวแต่มากับเคียวโกะ เคียวโกะน่าจะเป็นเหมือนเลขาอะไรประมาณนี้ เธอมาพร้อมกับภาษาอังกฤษไฟแล่บ เพื่อที่จะอธิบายให้เราฟังว่าการเป็น Cleaning Staff ที่ดีของที่นี่

เค้าทำกันอย่างไร ?

10 Rules To Be Cleaning Staff !

1. ทำงาน 5 วันในหนึ่งสัปดาห์ วันละ 3 ชั่วโมง

2. คุณจะต้องไปทำงาน 3 ที่ คือ Khaosan Original, Khaosan Samurai, และ Khaosan Annex จริงๆ มี 4 ที่ คือ Khaosan Smile อีกที่ แต่มันถูกรวมไว้เป็นที่เดียวกับ Khaosan Annex เพราะมันอยู่ติดกันเลย

3. ทุกครึ่งเดือนจะมีตารางงานออกมาให้ว่าคุณจะได้ไปทำงานที่ไหน และต้องทำงานกับใครบ้างในแต่ละวัน โดยตารางงานจะออกมาทุก 15 วัน

4. คุณสามารถเลือกวันหยุดได้ แต่คุณต้องแจ้งล่วงหน้า 5 วัน ก่อนที่ตารางงานของครั้งถัดไปจะออกมา

5. ส่วนตารางงานแจ้งไว้ว่าใครจะได้ไปทำงานที่ไหนและกับใครบ้างในแต่ละวัน อันนี้เลือกไม่ได้ เค้าจะเลือกให้เอง

6. เวลาทำงานของคุณคือ 11.00-14.00 น. ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเวลาหลังจากที่แขกเพิ่งจะเช็คเอาท์ไป

7. ที่พักของ Cleaning Staff ไม่ได้อยู่ในเกสต์เฮ้าส์ แต่มีบ้านที่แยกออกมาต่างหากสำหรับ Cleaning Staff โดยเฉพาะ

8. คุณจะต้องจ่ายเงินมัดจำไว้ก่อนคนละ 5,000 เยน หากคุณทำทุกอย่างตามเงื่อนไขที่กำหนด คุณจะได้รับเงินคืนวันที่คุณจะย้ายออกจากที่นี่

9. การเบี้ยวงาน มาสาย ลาไม่บอก อู้งาน เอาเปรียบเพื่อน ลักไก่ ขี้เกียจ ทำงานชุ่ย มักง่าย เหล่านี้ มีผลต่อการพ้นสภาพ Cleaning Staff ในทันที แถมยังสิทธิ์ชวดเงินมัดจำอีกต่างหาก

10. การจะมาเป็น Cleaning Staff ที่นี่ คุณต้องมีเวลาสำหรับการทำงานและพักอาศัยอยู่ที่นี่ อย่างน้อยที่สุด 1 เดือน

......

จริงๆ ยังมีอะไรยิบย่อยอยู่อีกหน่อย แต่หลักใหญ่ใจความเท่าที่จำได้ก็ประมาณนี้

“ถ้าเข้าใจเงื่อนไขต่างๆ แล้ว ช่วยเซ็นชื่อตรงนี้นะคะ”

เคียวโกะยื่นเอกสารใบหนึ่งมาให้เราเซ็นต์

เอ้า เซ็นต์ก็เซ็นต์ กลัวที่ไหน !

“ขอเงินอีก 5,000 เยน ด้วยค่ะ”

เอ้า จ่ายก็จ่าย กลัวที่ไหน !

“เราจะเก็บเงินของคุณไว้ในซองนี้ และถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไข คุณ
จะได้รับเงินคืน ตกลงนะคะ”

เอ้า ตกลงก็ตกลง กลัวที่ไหน !

……

ส่วนใครที่กำลังสงสัยว่า Cleaning Staff จะต้องทำอะไรบ้างนั้น รายละเอียดของงานที่ทำ เดี๋ยวจะค่อยๆ สาธยายให้รู้กันในอีกวันสองวันนี้

แต่เท่าที่ได้ฟังคร่าวๆ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าไม่ธรรมดาอยู่

ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น Cleaning Staff

ฉะนั้นงานที่ Staff จะต้องทำก็คือการ Cleaning !

Cleaning ทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในเกสต์เฮ้าส์

……

ขอย้ำว่า....ทุกอย่าง !

……

(ดนตรีบรรเลง เสียงกีต้าร์อะคูสติกของพี่ธีร์ ไชยเดช ค่อยๆ ดังขึ้นมา...)

ตึ่ง ตึง ต่ง ตึ๊ง ตึ่ง ตึง ต่ง ตึ๊ง .....

ดอกไม้ ประตู แจกัน ดินทราย ต้นไม้ใหญ่

แก้วน้ำ จานชาม บันได โคมไฟที่สวยงาม

ขอบรั้วและริมทางเดิน ต้นหญ้าที่ในสนาม

เกสต์เฮ้าส์จะงามยังไง ถ้าไม่มี......

Cleaning Staff !

......

ยัง ยังไม่หมด ยังมี.....

โต๊ะ ตู้ เตียง ที่นอน หมอน ผ้าห่ม เก้าอี้ โซฟา หน้าต่าง พื้น พรม แอร์ ช้อน
ส้อม ฝาท่อ ไมโครเวฟ ตู้เย็น อ่างล้างหน้า ที่เขี่ยบุหรี่ ตู้วางรองเท้า กระจก ถุงขยะ ถังขยะ ชั้นหนังสือ ห้องอาบน้ำ และ...

ยังมีอีก แต่ขี้เกียจจะนึกแล้ว

แต่ที่ขาดไม่ได้เลย นั่นก็คือ......

……

การล้างส้วม !

……

อย่างที่ใครบางคนกล่าวไว้

ของฟรีไม่มีในโลก

ไม่ใช่สิ ! ที่ถูกต้องพูดว่า

……

ของฟรีไม่มีในโตเกียว
……

หมายเหตุ***

เปิดเพลง “Home” ของพี่ธีร์ ไชยเดช อัลบั้ม Bakery Y2Gether ฟังคลอไปด้วย แล้วอ่านใหม่อีกหน จะได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2553    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2553 14:50:25 น.
Counter : 1106 Pageviews.  

ขนมโตเกียว ช่วงที่ 6 : ATM

ร่ำลากับคุณอ้วนเรียบร้อย เราก็ลากลับ ส่วนเรโกะก็กำลังจะขอแยกตัวกลับไปก่อน เพราะต้องรีบตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ เรโกะเลยไม่ได้ไปต่อกับเราด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก นี่ถ้าเรโกะรู้ว่านูมะซังจะเลี้ยงเบียร์คืนนี้ เรโกะอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ เราก็ดันลืมบอกเรโกะไป

ส่วนเรากำลังนูมะซังกำลังจะไปต่อกัน แต่ไม่ได้ไปต่อกันแค่สองคน ยังมีอีกคนที่จะไปต่อกับเราด้วย

และคนๆ นั้นคือ พี่นากาดะ

เราไม่ได้สนิทกับพี่นากาดะมากนัก เพียงแค่รู้จักกันคร่าวๆ แม้จะเคยเจอกันบ้างก็แบบฉิวเฉียด ไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกันมากมาย เรารู้ว่าพี่นากาดะคือใคร และพี่นากาดะก็พอจะรู้ว่าเราคือใคร นั่นก็เพราะมีนูมะซังเป็นตัวกลางช่วยประสานความสัมพันธ์ให้

พี่นากาดะเป็นผู้ชายที่เซอร์ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากคนหนึ่งที่เรารู้จัก ไม่ได้พยายามเซอร์เหมือนดารานักร้อง

แต่เป็นเซอร์แบบปล่อยวาง

ดูเหมือนพี่นากาดะแกจะสละแล้วซึ่งเสื้อผ้าหน้าผม
(แซวเล่นนะครับพี่ ^^!)

อย่างเดียวที่แกไม่เคยคิดจะปล่อยวางก็คือ……

งาน !

พี่นากาดะไม่ได้ทำงานกับเราโดยตรง แต่ก็เกี่ยวพันอยู่กับงานที่เราทำเนืองๆ แต่นั่นก็เป็นแค่งานส่วนหนึ่งที่แสนจะยิบย่อยของแก เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่นากาดะทำงานอะไรบ้าง อะไรเป็นงานหลัก อะไรเป็นงานรอง รู้แต่ว่าทำงานเยอะ เพราะพี่นากาดะแกเป็นคนที่ชอบทำงาน อะไรทำได้ก็ทำ ลองทำ ลองถามนูมะซังแกก็ว่าไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าทำหลายอย่าง

พอลองเอางานตัวเอง เทียบกับงานที่พี่นากาดะทำ เลยทำให้เรารู้สึกได้เลยว่าตัวเองช่างขี้เกียจซะเหลือเกิน

การที่พี่นากาดะมาในวันนี้ นอกจากจะเป็นการนัดเจอเพื่อสังสรรค์กันตามธรรมเนียมของคนคุ้นเคยกับนูมะซังเป็นการส่วนตัวแล้ว อีกเหตุผลหนึ่ง นั่นเป็นเพราะว่าเรามีเรื่องที่อยากจะให้พี่นากาดะช่วยหน่อย

เราปรึกษานูมะซังว่า การที่เราต้องมาอยู่โตเกียวนานถึงสามเดือน จำเป็นที่จะต้องนำเงินติดตัวมาด้วยก้อนหนึ่ง ซึ่งจริงๆ มันอาจจะไม่เยอะเท่าไรสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเรามันสำคัญมากพอที่จะต่อชีวิตเราให้อยู่ในโตเกียวได้ถึงสามเดือน สำหรับคนอื่นอาจจะแก้ปัญหาด้วยการพกบัตรเครดิตติดตัวมาด้วย แต่เราไม่เคยมีบัตรเครดิตมาก่อนเลยในชีวิต และโดยส่วนตัวก็ไม่คิดอยากที่จะทำเท่าไร และถึงอยากทำก็ไม่รู้ว่าเค้าจะทำให้ด้วยหรือเปล่า เราเลยใช้วิธีกำเงินมาเลยทั้งก้อน เงินที่จะใช้อยู่ในโตเกียวทั้งสามเดือนนี้แหละ นูมะซังบอกการกระทำเช่นนี้ดูจะเป็นอะไรที่หวือหวาเกินไป แถมที่ๆ เราจะไปพักอยู่ก็เป็นที่พักแบบแชร์รูมอีก ใครเข้าใครออกก็ตั้งเยอะแยะ หรือหากจะพกเงินสดทั้งก้อนนั้นติดตัวไปไหนต่อไหนด้วย ก็ดูน่าหวาดเสียวเกินไป ไปไหนมาไหนก็คงไม่สบายตัวแน่ๆ เพราะมัวแต่คอยพะวงอยู่แต่กับเงินในกระเป๋า

นูมะซังเสนอไอเดียให้ว่า ถ้าอย่างนั้นทำบัตร ATM เลยดีไหม เราบอกบัตรเอทีเอ็มเราก็มีแล้ว แต่ไม่ค่อยอยากจะกดใช้บ่อยๆ เพราะไม่อยากโดนชาจน์เงินเยนไปเปล่าๆ ปรี้ๆ นูมะซังบอกว่าไม่ใช่บัตร ATM ของคุณ แต่หมายถึงบัตร ATM ของญี่ปุ่น

และนี่คืออีกเหตุผลที่พี่นากาดะมาเจอกับเราในคืนนี้

พี่นากาดะจะทำบัตร ATM ให้เรา

……

เรานัดเจอกับพี่นากาดะที่ร้านอิซากายะแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับสถานีอาซากุสะ คิดว่าหลายคนคงรู้แล้วว่าร้านอิซากายะเป็นยังไง แต่ก็คิดว่าอีกหลายคนคงยังไม่รู้เหมือนกัน

ร้านอิซากายะเป็นร้านนั่งกินนั่งดื่มแบบญี่ปุ่น ซึ่งนอกจากจะเต็มไปด้วยนานาอาหารญี่ปุ่นหลากชนิด ทั้งต้มผัดปิ้งย่างแล้ว ยังเต็มไปด้วยเหล้าเบียร์และเครื่องดื่มอีกหลากหลายชนิดด้วยเช่นกัน แถมยังเป็นที่สังสรรค์กันของลูกค้าหลายช่วงวัย โดยเฉพาะเหล่าบรรดา Salary man ทั้งหลาย ที่มักจะชอบมาชุมนุมกันอยู่ในร้านแบบนี้หลังเลิกงาน

หากใครที่เคยได้ดูซีรี่ย์ญี่ปุ่นมาบ้าง คงพอจะนึกภาพออก บรรยากาศร้านอิซากายะจะดูยุ่งเหยิงวุ่นวายหน่อย แต่ละโต๊ะก็จะมีคนมานั่งล้องวงกันหลายๆ คน มีโต๊ะยาวๆ ที่ติดกับเคาท์เตอร์บาร์ มีควันจากอาหารปิ้งย่างลอยฟุ้ง ผู้คนพูดคุยกันเจี๊ยวจ๊าว และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ

ต้องมีคนเมา !

ร้านที่พี่นากาดะพาเราไปคือร้าน Kin No Ku Ra



แต่เรียกกันเองง่ายๆ ว่าร้าน 270 เยน เห็นพี่นากาดะก็เรียกแบบนี้ เพราะที่นี่มีจุดขายอยู่ว่าอาหารทุกเมนูขายในราคาเดียวกันคือ 270 เยน

เห็นว่ามีอยู่หลายสาขาอยู่เหมือนกัน แต่สาขาที่เรามานี้อยู่บนชั้น 4 ของตึกที่อยู่ตรงข้ามฝั่งสถานีอาซาคุสะ แค่ข้ามถนนมาก็ถึงเลย



และสำหรับใครที่ไม่ประสีประสาภาษาญี่ปุ่นแบบเรา และขี้เกียจจะเล่นเกมส์ใบ้คำกับเด็กเสิร์ฟที่ร้าน ที่นี่น่าจะพอแก้ปัญหาให้คุณได้ เพราะเค้ามีเมนูภาษาอังกฤษไว้บริการด้วย แต่คุณต้องสั่งอาหารเองทั้งหมดด้วยตัวของคุณเอง ผ่านมอนิเตอร์ที่อยู่บนโต๊ะของคุณ



เป็นมอนิเตอร์ระบบจิ้มกระจก (เค้าเรียก Touch Screen ใช่ป่ะ แบบเดียวกับไอโฟนอ่ะ)



จากรูป พี่นากาดะกำลังสอนวิธีจิ้มอย่างถูกวิธี พี่นากาดะบอกวิธีการใช้งานง่ายมาก แค่เอานิ้วชี้จิ้มลงไปเบาๆ

ขอบคุณครับที่บอก

นี่ถ้าไม่บอกเราอาจจะเอาข้อศอกจิ้มไปแล้วนะเนี่ย

วิธีใช้ก็ไม่มีอะไรมาก เลือกเมนูภาษาอังกฤษแล้วก็จิ้มๆ เอา ทั้งอาหารและเครื่องดื่มนั่นแหละ กินเสร็จก็เดินไปจ่ายตังค์เอง ไม่ต้องคุยอะไรกับใครทั้งสิ้น

ชอบไหมแบบนี้

คิดว่าหลายคนคงจะชอบเพราะมันก็สะดวกดีจริงๆ มองๆ ไปก็เห็นลูกค้าเค้าเยอะอยู่ แต่เรากลับไม่ค่อยชอบเท่าไร

จริงอยู่แม้จะสื่อสารกันไม่ค่อยจะได้ แต่การได้แลกเปลี่ยนรอยยิ้มให้กันบ้าง ก็ดูจะน่าชื่นใจกว่า

ส่วนอาหารในร้าน เราก็ไม่ค่อยจะชอบเท่าไรเหมือนกัน

เราสั่งพวกซูชิมาลอง 3-4 อย่าง



พี่นากาดะบอกว่า เพราะเค้าขายราคาเดียวและค่อนข้างถูก (สำหรับคนญี่ปุ่น) ฉะนั้นถ้าจะไปสั่งอาหารที่ปกติมันแพง ก็จะได้เกรดอาหารที่ลดลงมาแทน แต่ถ้าสั่งอาหารเมนูกลางๆ ที่ปกติก็ราคาประมาณนี้ ก็ถือว่าโอเคอยู่

ถึงจะออกตัวว่าไม่ชอบเท่าไร แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากให้แวะเวียนมาลองกัน

......

กินไปสักพัก นูมะซังก็ชวนไปต่อร้านอื่น พี่นากาดะแนะนำให้ไปอีกร้านที่อยู่ใกล้ๆ กัน อยู่ห่างจากสถานีอาซากุสะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเพียงไม่ถึง 30 ก้าว



ร้านนี้ชื่อร้าน Sakura อ่านได้แค่นี้ ด้านหลังเป็นคันจิมั้ง อ่านไม่ออก

บนป้ายร้านเขียนภาษาอังกฤษเอาไว้ตัวเบิ้มๆ ว่า เค้าขายถูกทุกวัน

จริงๆ เห็นพี่นากาดะแนะนำมาแต่ร้านแบบนี้ หมายถึงร้านที่เน้นขายถูก ไม่ได้หมายความว่าพี่นากาดะจะจนหรือขี้เหนียวแต่ประการใด แต่เพราะเราขอไปแบบนี้เองว่าอยากให้พี่นากาดะช่วยแนะนำร้านที่มันไม่แพงเกินไป แต่น่าสนใจและเอาอร่อยๆ ด้วย

นูมะซังถามว่าอยากกินอะไร

มาญี่ปุ่นทั้งที ขอกินอะไรที่เป็นฉายาเมืองหน่อย

เมืองปลาดิบ !

นูมะซังบอกทันที

“จัดไป !”

แล้วคุณพนักงานเสิร์ฟก็จัดมาให้ทันใจ เป็น Sashimi ชุดใหญ่เต็มโต๊ะ



ทั้งปลาดิบ ปลาหมึกดิบ เครื่องในดิบ ผักดิบ

และม้าดิบ !



เป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดคุมาโมโต้ ที่อยู่แถวๆ เกาะคิวชูนู่น

ฟังแล้วอาจจะรู้สึกบรึ๋ยๆ หน่อย แต่กลับอร่อยเกินคาด

เคี้ยวหนึบๆ มันๆ เพลินดี

……

บนโต๊ะนี้มีอย่างเดียวที่ไม่ดิบคือจานนี้



สำหรับคนที่ไม่ชอบกินอะไรดิบๆ ขอแนะนำเมนูนี้แทนแล้วกัน
คือเป็ดย่างรมควัน



รับประกันว่ากินแล้วจะไม่รู้สึกเซ็งเป็ด !

......

ในซอยเปลี่ยวที่ค่อนข้างอยู่ห่างไกลผู้รักษากฏหมาย บรรยากาศค่อนข้างมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหลอดนิออนที่ส่องแสงเพียงกระพริบติดๆ ดับๆ
กลางดึกสงัด ชายสองคนในชุดสูทสีดำกับแว่นตาดำ เดินย่ำพื้นน้ำเจิ่งนอง มาพร้อมกระเป๋าเจมส์บอนด์สีดำใบใหญ่ เพื่อนัดเจอกับชายอีกคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นมาเฟียขาใหญ่ของถิ่นนี้

“ของที่สั่งไว้จะได้เมื่อไร ?” ชายหนึ่งในสองคนที่มาด้วยกันพูด

“ช่วงนี้ของขาดตลาด ลื้อก็รู้ว่าช่วงนี้ตำรวจมันชุมยิ่งกว่ายุงตีกันซะอีก”

“เราอยากรู้ว่าจะได้ของเมื่อไร”

“ลื้ออย่าเพิ่งมาเร่งอั๊วน่า เอาไว้อั๊วจะโทรบอกลื้อเองว่าให้มารับเมื่อไร ว่าแต่ที่ตกลงกันไว้ ลื้อเอามาด้วยรึเปล่า”

“ชายหนึ่งในสองคน ยกกระเป๋าเจมส์บอนด์สีดำใบใหญ่ ปลดล๊อคกระเป๋าเสียงดัง แกร๊ก แกร๊ก เมื่อเปิดประเป๋าออก เผยให้เห็นเงินปึกใหญ่อยู่ในนั้น”
ชายคนที่มาเดี่ยวทำตาลุกวาวกับปึกเงินในกระเป๋า พร้อมกับหัวเราะในลำคอเสียงดัง พร้อมยื่นมือเข้ามาเพื่อที่จะยึดกระเป๋าใบนั้นไว้

“ฮึ ฮึ ฮึ หวังว่าคงไม่ต้องเสียเวลานับนะ”

“ช้าก่อน !” ชายหนึ่งในสองคนที่มาด้วยกัน ดึงกระเป๋ากลับเข้าหาตัวเล็กน้อย

“หวังว่าคงไม่มีลูกตุกติกนะ”

“เออน่า อั๊วอยู่ในวงการนี้มานาน ไว้ใจอั๊วได้ แต่ถ้าลื้อไม่ไว้ใจอั๊ว จะไปเจรจากับคนอื่นอั๊วก็ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว”
ชายที่ดูเหมือนจะเป็นขาใหญ่ของที่นี่กล่าวด้วยน้ำเสียงยียวน เหมือนรู้ว่ายังไงซะ อีกฝ่ายก็คงไม่มีทางเลือกไปมากกว่านี้

“เอางี้ ถ้างั้นอั๊วจะเร่งให้ลื้อก็แล้วกัน เอาเป็นอีก 7 วัน แล้วอั๊วจะโทรไปบอกเองว่าให้มารับของที่ไหนยังไง ตอนนี้จะเที่ยงคืนแล้ว อั๊วต้องไปแล้ว ส่ง
กระเป๋ามาได้แล้ว”

ชายคนที่ถือกระเป๋าจำใจส่งกระเป๋าให้ ทั้งสองได้แต่มองชายอีกคนถือกระเป๋าเงินเดินจนลับตาไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ ฮึ ฮึ ในลำคอ โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ นอกจากรอให้เวลาผ่านไปอีกเจ็ดวัน

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เขาจะได้ของหรือไม่ และจะได้เมื่อไหร่ ไม่รู้ใครล่วงรู้

.....

รู้แต่ว่าตอนนี้ได้เวลาที่พี่นากาดะต้องรีบกลับบ้านแล้ว เพราะนี่มันใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ขืนชักช้ามีหวังตกรถไฟกันพอดี

......

หมายเหตุ

เรื่องของเรื่องคือ เราเอาเงินมาเพื่อจะให้พี่นากาดะช่วยทำบัตรเอทีเอ็มให้หน่อย พอดีว่าระหว่างที่พิมพ์อยู่นี้ ที่เกสต์เฮ้าส์เค้ากำลังนั่งดูหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งอยู่ เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ประมาณหนังแบบเจ้าพ่อมาเฟียอะไรสักอย่าง แล้วมันมีฉากประมาณนี้อยู่ เลยอยากจะเขียนให้มันเข้ากับบรรยากาศหน่อย ไอกระเป๋าเจมส์บอนด์อะไรก็ไม่มีหรอก จริงๆ มีแค่ถุงกระดาษใบนึง กับเงินปึกเล็กๆ บางๆ ปึกเดียวแค่นั้นแหละ อยากเขียนให้มันเว่อร์ไปงั้นเอง

แต่รายละเอียดโดยรวมคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ คือพี่นากาดะเค้าจะช่วยทำบัตรเอทีเอ็มให้ เห็นพี่นากาดะบอกต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ถึงจะได้ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมอะไร แต่นักท่องเที่ยวทั่วไปไม่น่าจะไปทำเองได้ หรือถ้าทำได้ก็คงไม่มีใครเค้าทำกันหรอกเนาะ แค่มาเที่ยวประเดี๋ยวประด๋าวเอง

นั่นสินะ ! แค่ประเดี๋ยวประด๋าว

แล้วตูจะทำบัตรเอทีเอ็มไปทำด๋อยอะไรเนี่ย ?




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2553    
Last Update : 29 ตุลาคม 2553 0:29:10 น.
Counter : 1126 Pageviews.  

ขนมโตเกียว ช่วงที่ 5 : สามปีต่อมาของคุณอ้วน

ช่วงบ่ายๆ เราจะออกไปเยี่ยมคุณอ้วนกัน เรโกะไว้ว่าจะไปเจอกันที่สถานีรถไฟแถวๆ นั้น เรโกะเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ เคยทำงานอยู่ด้วยกัน เมื่อตอนอยู่กรุงเทพฯ เรโกะเป็นอีกคนที่รู้จักและเคยทำงานกับคุณอ้วนด้วยเหมือนกัน วันนี้เราเลยนัดกันมาเยี่ยมคุณอ้วนพร้อมกัน

ถึงจะเรียกว่าคุณอ้วน แต่คุณอ้วนคนนี้ไม่ใช่คนไทย คุณอ้วนเป็นคนญี่ปุ่น บางคนเรียกคุณอ้วนว่านาคาจิม่าซัง แต่สำหรับคนไทยที่รู้จักจะเรียกนาคาจิม่าซังว่าคุณอ้วน คนญี่ปุ่นหลายคนที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย ทำงานกับคนไทย ก็มักจะมีชื่อไทยเพื่อให้เรียกได้ง่ายคล้ายๆ แบบนี้

สามปีแล้วที่เราไม่ได้เจอคุณอ้วน ตั้งแต่เกิดเหตุคราวนั้น ชีวิตคุณอ้วนก็เปลี่ยนไป

……

คุณจะรู้สึกอย่างไร หากแขนขาและร่างกายที่เคยเป็นของตัวเอง จู่ๆ ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนใช้งานได้ดังใจอีกต่อไป

……

จำได้ว่าค่ำคืนที่เกิดเหตุ ขณะนั้นเวลาราวๆ สี่ทุ่มกว่าๆ ที่ออฟฟิศเหลือแค่เรากับนูมะซังและคานะซัง (คนญี่ปุ่นอีกคนที่ทำงานอยู่ด้วยกัน) กำลังทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ด่วนเข้ามากลางดึกจากลูกสาวคุณอ้วน บอกว่าคุณพ่อเป็นอะไรก็ไม่ทราบ จู่ๆ ก็เกิดล้มหมดสติไป ตอนนั้นคุณอ้วนอยู่กับลูกสาวแค่สองคน ลูกสาวของคุณอ้วนอายุยังไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ เธอติดต่อใครไม่ได้ เธอเลยลองโทรมาที่ออฟฟิศดูว่ามีใครพอจะช่วยได้บ้าง

พอนูมะซังทราบเรื่อง เลยบอกเราให้ช่วยติดต่อเรื่องโรงพยาบาลให้ เราเลยรีบโทรตามรถพยาบาลให้รีบไปรับคุณอ้วนที่บ้าน ส่วนเรากับนูมะซังและคานะซังก็รีบตามไปที่โรงพยาบาลด้วยทันที

ปรากฏว่าเส้นเลือดในสมองคุณอ้วนแตก

......

คุณหมอคนหนึ่งบอกเราว่าคุณอ้วนต้องรีบเข้ารับการผ่าตัดด่วน ไม่อย่างนั้นอาจไม่รอด และต้องการคนใกล้ชิดสักคนที่สามารถตัดสินใจให้ได้เรื่องการผ่าตัดในครั้งนี้ เพราะแน่นอนว่าคุณอ้วนไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ และภายหลังการผ่าตัด ชีวิตของคุณอ้วนจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เราถามคุณหมอคนนั้นว่าหลังจากนี้คุณอ้วนจะเป็นอย่างไร จำได้ว่าคุณหมอบอกเราว่าคุณอ้วนอาจจะพูดไม่ได้ และจะไม่มีทางเดินเหินได้อีกต่อไป ให้ทำใจไว้ได้เลย

หลังส่งคุณอ้วนเข้ารับการผ่าตัดและติดต่อคนใกล้ชิดให้คุณอ้วนสำเร็จ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงตี 4 กว่าๆ เรากับนูมะซังยังงงๆ และอึ้งๆ อยู่ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นกะทันหันมาก และคิดว่าคืนนี้คงนอนไม่หลับแน่ๆ เลยออกไปหาอะไรกินกัน

คืนนั้นเราคุยกันว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวเองจะทำอย่างไร หากต้องรู้ว่าภายหลังการผ่าตัดเราจะกลายเป็นผัก !

นูมะซังบอกถ้าตอนนั้นคุณต้องตัดสินใจแทนผม ให้บอกหมอไปเลยว่าไม่ต้องผ่าตัด ขอหลับยาวไปเลยดีกว่า เราเองก็เหมือนกัน ใครจะไปทำใจได้หากต้องรู้ว่าตัวเองจะกลายเป็นผัก

โดยส่วนตัวเราคิดว่าหากเจ้าตัวตัดสินใจเองได้ คนส่วนใหญ่ก็คงตัดสินใจ
แบบนี้ แต่หากต้องตัดสินใจแทนคนอื่น ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวด้วยแล้ว ยังไงเสียก็คงต้องเลือกที่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะยื้อชีวิตเอาไว้อยู่แล้ว

เอาเข้าจริงชีวิตก็ใช่ว่าจะเป็นของเราคนเดียวซะเมื่อไร

เหตุการณ์ในคืนนั้นทำให้เราตระหนักได้ทันทีว่า

……

ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ

……

ภายหลังจากที่คุณอ้วนพักฟื้นได้ไม่นาน ก็ย้ายกลับมาอยู่ที่ญี่ปุ่น ด้วยเหตุผลอันเนื่องมาจากระบบประกันสุขภาพของที่นี่น่าจะช่วยลดภาระในเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ดีกว่า

สามปีต่อมา แล้วเราก็ได้เจอกับคุณอ้วนอีกครั้ง

……

ภาพแรกที่เราเห็นคือ คุณอ้วนกำลังเขย่งตัวลงมาจากบันไดชั้นสองด้วยตัวเอง มือข้างหนึ่งถือไม้เท้าไว้คอยช่วยพยุง คุณอ้วนค่อยๆ เดินตรงมาหาพวกเราอย่างช้าๆ ซึ่งแม้คุณอ้วนจะดูผอมลง ดูไม่สมชื่อคุณอ้วนเหมือนแต่ก่อน แต่คุณอ้วนก็ดูแข็งแรงขึ้น มากกว่าตอนที่เราเคยไปเยี่ยมครั้งสุดท้ายตอนอยู่เมืองไทย ตอนนั้นคุณอ้วนยังทำได้แค่นั่งนิ่งๆ ในรถเข็นและพูดอะไรไม่ได้
แต่วันนี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป คุณอ้วนกล่าวทักทายพวกเราพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

…..

กล่าวทักทาย !

…..

ไม่ใช่แค่เดินด้วยตัวเองได้ แต่คุณอ้วนยังพูดได้แล้วด้วย หนำซ้ำยังพูดได้เหมือนเป็นปกติยังไงยังงั้น !

บอกตามตรงว่าก่อนมา เราไม่รู้เลยว่าอาการคุณอ้วนจะเป็นอย่างไร แต่พอได้มาเห็นภาพแบบนี้

เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของคุณอ้วน

มันเลยพลอยทำให้พวกเรายิ้มออกมาด้วยเหมือนกัน



……

คุณแม่ของคุณอ้วนน่ารักมาก ดูแลแขกผู้มาเยือนอย่างพวกเราเป็นอย่างดี เดี๋ยวก็ชงชาให้ เดี๋ยวก็ส่งผลไม้ส่งขนมให้ ไหนจะข้าวปั้นอีก แถมแกยังโทรสั่งอาหารชุดใหญ่มาให้พวกเราทานกันเต็มที่ นี่ยังไม่หมดนะ



ยังมีบะหมี่กับลูกชิ้นกุ้งที่แกทำไว้ให้อีก



ไอเรานะก็คุยกะคุณอ้วนไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรอก ก็เขาคุยญี่ปุ่นกันนี่นะ เลยได้แต่ทำตัวให้มีมารยาทด้วยตั้งหน้าตั้งตากินเต็มที่ เพราะธรรมเนียมญี่ปุ่นเค้าว่าถ้ากินเหลือจะเหมือนไม่อร่อยหรือเปล่า เราเลยพยายามกินไม่ให้เหลือเพราะไม่อยากเสียมารยาท จนเรโกะต้องทักว่า

“ไม่ต้องกินหมดก็ได้นะคะ”
^^!




คุณอ้วนเองก็กินกับเราด้วย กินไปก็คุยไป กินไปก็ยิ้มไป ทุกคนเห็นแล้วก็พลอยสบายใจไปด้วย

คุณอ้วนมีคำพูดติดปากว่า “สุโก้ย !” พอนูมะซังเล่าอะไรให้แกฟัง หรือเปิดอะไรให้แกดู แกก็สุโก้ยๆๆ พอเอาอะไรให้ดูแกก็สุโก้ยๆๆ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ สุโก้ยๆๆ



.....

อยากบอกคุณอ้วนว่าคุณอ้วนก็ “สุโก้ยๆๆ !” สำหรับเราเหมือนกัน

……

ยิ่งได้เห็นคุณอ้วนคุยไปยิ้มไปก็ยิ่งชื่นใจ และทึ่งในความมหัศจรรย์ของชีวิต

……

สามปีก่อนคุณหมอคนหนึ่งบอกเราว่าภายหลังการผ่าตัด คุณอ้วนจะพูดไม่ได้ และเดินเหินไม่ได้อีกต่อไป

สามปีต่อมา คุณอ้วนได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าสิ่งที่คุณหมอคนนั้นพูดไม่ใช่เรื่องจริง

เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เราตระหนักได้ถึงสัจธรรมของชีวิต เหมือนที่เคยตระหนักได้เมื่อสามปีก่อน

…...

ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ

......

ใช่ ! ชีวิตมันไม่ แน่นอน

แต่ตราบใดที่เรายังไม่ยอม นอนแน่ นิ่ง

......

เชื่อสิ ! อะไรก็เกิดขึ้นได้





 

Create Date : 23 ตุลาคม 2553    
Last Update : 23 ตุลาคม 2553 13:46:57 น.
Counter : 892 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

standupplease
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ยินดีที่ได้รู้จัก ตามสบายนะ ขอโทษที ห้องรกไปหน่อย เชิญนั่งก่อนดีกว่า หิวมั้ย กินอะไรมารึยัง
New Comments
Friends' blogs
[Add standupplease's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.