|
ขนมโตเกียว ช่วงที่ 14 : ยังอยู่ใช่ไหม ?
ค่ำนี้นูมะซังมีนัดกับทามะซัง
นูมะซังถามว่าอยากไปด้วยกันไหม แน่นอนเราอยากไปอยู่แล้ว
ทามะซังเป็นเพื่อนนูมะซัง
เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มาตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่นนู้น
กะคร่าวๆ เอาว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 30 ปี
หูย...นานน่าดู คบกันมาตั้งแต่เรายังไม่เกิดนู่นแน่ะ
แล้ววันนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เพื่อนรักจะได้เจอกันอีกครั้งในรอบหลายปี
คนเราพอโตขึ้นก็แบบนี้ มีเวลาให้กับเพื่อนรักน้อยลง
หวังว่าการเจอกันในคืนนี้ คงหายคิดถึงกันได้พอประมาณ
.......
เราไปเจอทามะซังที่ Koenji
ในระแวก Koenji เต็มไปด้วยร้านอาหารและร้านกินดื่มข้างทางตลอดริมทางเดิน โดยมากมักเป็นร้านที่ดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา หลายๆ ร้านมีการเอาโต๊ะกับเก้าอี้ออกมาตั้งให้ลูกค้านั่งทานกันอยู่หน้าร้าน บางร้านเอาลังเบียร์มาเรียงต่อกันเป็นโต๊ะให้ลูกค้านั่ง ดูเก๋ดี ขายแบบกันเองระหว่างเจ้าของกับลูกค้า มีมาชวนคุยนั่นนี่กันบ้างเพื่อสร้างไมตรี ซึ่งก็ดูเป็นอะไรที่น่ารักดี อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คงประมาณเป็นร้านกินดื่มแบบบ้านๆ อะไรทำนองนั้น
เคยไหมไปนั่งกินเหล้าในร้านส้มตำบ้านๆ บางทีก็มีมานั่งโม้นั่งเมาท์เมามันกับลูกค้าบ้าง
แม่ค้าตำไปก็เมาท์ไป ลูกค้าเมาไปก็เมาท์ไป
บางทีไม่ได้ติดใจส้มตำ แต่ติดใจคนขาย เพราะเมาท์กันกระจาย เลยทำให้ต้องมาบ่อยๆ
อะไรทำนองนั้น
......
นอกจากร้านกินดื่มมากมายที่อัดตัวกันอยู่ในระแวกนี้แล้ว Koenji ยังเต็มไปด้วยร้านขายเสื้อผ้ามือสองของเหล่าบรรดานักช้อปของไม่โหลทั้งหลายในโตเกียว
มีทั้งของจากทางฝั่งยุโรป อเมริกา เกาหลี เนปาล
แต่โดยมากมักจะเป็นของในญี่ปุ่นเองนี่แหละ
คนญี่ปุ่นหลายคนบอกเราว่าราคาของมือสองในญี่ปุ่นจะค่อนข้างแพง
เราถามว่าทำไมถึงแพง
บางคนให้ความเห็น เพราะนั่นหมายความว่ามันจะหาไม่ได้อีกแล้ว
มันก็เลยควรจะแพง
ส่วนตัวเราไม่ชอบช้อปปิ้งอยู่แล้ว แต่ก็มีเฉียดๆ เดินไปดูบ้าง
ก็เห็นว่ามีทั้งแพงทั้งถูก
บางอย่างก็แพงเว่อร์ บางอย่างก็ถูกเว่อร์
เอาเป็นว่าตาดีได้ตาร้ายเสียก็แล้วกัน
......
เราไปถึงก่อนเวลานัด 1 ชั่วโมง
เพราะนูมะซังอยากจะเดินชมอะไรรอบๆ นี้ก่อน
นูมะซังบอกว่า สมัยก่อนเคยมาอาศัยอยู่แถบนี้ ทำงานอยู่แถบนี้
ใช้ชีวิตอยู่แถบนี้
ไม่ต่ำกว่า 30 ปีที่แล้ว
วันนี้นูมะซังอยากมาทบทวนความหลัง
......
ก่อนมาโตเกียวเราก็เพิ่งไปทบทวนความหลังมา
ที่โรงเรียนเก่าสมัยเรียนมัธยมที่ต่างจังหวัด
คุณครูหลายคนที่เรารู้จักหายหน้าหายตาไปเกินกว่าครึ่ง
บ้างก็เกษียร บ้างก็ย้ายโรงเรียน บ้างก็เปลี่ยนหน้าที่การงานไป
ยังดีว่ามีคุณครูบางท่านยังจำนักเรียนหัวขี้เลื่อยคนนี้ได้
เลยทำให้เรามีเรื่องเมาท์กันบ้างถึงความหลัง
สมัยที่ยังใส่ขาสั้นไปไหนมาไหน
ทีตอนนั้นละก็อยากใส่นักไอ้กางเกงขายาว
เห็นผู้ใหญ่เค้าใส่กันแล้วมันเท่เหลือใจ
พอถึงคราวที่ต้องใส่เองบ้าง กลับรู้สึกเบื่อหน่าย
เพราะกางเกงขายาวมันเดินไม่สบาย
ไม่เหมือนกางเกงนักเรียนที่ใส่ไปไหนมาไหนก็ได้
ใส่ไปเรียนก็ได้
ใส่ไปเที่ยวก็ได้
ใส่เตะบอลก็ได้
ใส่จีบสาวก็ได้
ใส่นอนก็สบาย
......
คิดถึงกางเกงขาสั้นสีดำตัวนั้น
กลับจากโรงเรียนคราวนั้นเลยลองไปค้นดูในตู้เสื้อผ้าเก่า
ยังอยู่จริงๆ ด้วย
......
กางเกงนักเรียนตัวเก่าที่เคยใส่ครั้งสุดท้าย
อายุของมันไม่น่าจะต่ำกว่า 10 ปีที่แล้ว
คืนนั้นเลยหยิบเอามาลองสวมดูอีกครั้ง
แม้ว่าจะแน่นพุงไปนิด
แต่ก็ยังพอติดตะขอได้มิดอยู่
เพิ่งรู้ว่ากางเกงนักเรียนตัวนั้นมีคุณสมบัติเหมือนอัลบั้มรวมรูปถ่าย
ทันทีที่ใส่ภาพทรงจำเก่าๆ ก็ลอยผุดเข้ามาในหัว
นานๆ ได้รู้สึกแบบนี้บ้างก็ดี
.....
เพราะมันทำให้ใจชื้น
......
นูมะซังมา Koenji คราวนี้ นอกจากจะอยากเจอเพื่อนเก่าแล้ว
ยังมีอะไรเก่าๆ อีกอย่างที่อยากเจอ
อะไรเก่าๆ ที่เราเรียกกันว่า
ความทรงจำ
นูมะซังพาเราเดินเข้าออกซอยนั้น ทะลุซอยนี้ อย่างกับว่าตัวเองเป็นคนแถวนี้ยังไงยังงั้น
ก็เป็นคนแถวนี้น่ะสิ (นูมะซังบอก)
เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ผมเคยทำงานอยู่แถวนี้
ทำงานอยู่ Sento (โรงอาบน้ำสาธารณะแบบญี่ปุ่น)
นูมะซังบอกว่าบรรยากาศแถวนี้เปลี่ยนแปลงไปบ้างพอสมควร จนทำให้สับสนทางบ้างนิดหน่อย
นูมะซังพาเดินไปดูโรงอาบน้ำที่เคยทำงาน แต่ตอนนี้กลายเป็นบ้านหลังใหญ่ ของใครบางคนไปแล้ว
ร้านค้าและอาหารที่นูมะซังบอกว่า เคยแวะเข้ามาทานบ่อยๆ ก็หายไปเกือบหมด
ยังดีว่ามีราเมนอยู่ร้านหนึ่งใกล้ๆ สถานี ที่ยังเปิดให้บริการ
เป็นร้านราเมนเล็กๆ ที่สภาพยังคงเหมือนเก่า
"ยังอยู่จริงๆ ด้วย"
......
นูมะซังว่าราเมนร้านนี้ เป็นร้านที่เคยเข้ามาทานเกือบทุกวัน เพราะมันถูกที่สุด แล้วในตอนนั้น
ว่าแล้วก็เดินเข้าไปด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าร้าน
แอบมองผ่านกระจกหน้าร้านอยู่พักใหญ่ แล้วจึงผละออกมา
ถามนูมะซังว่าอยากเข้าไปนั่งทานไหม
นูมะซังบอกไม่เป็นไร แค่อยากดูให้รู้ว่ายังอยู่ไหม
แล้วยังอยู่ไหม ? เราถาม
นูมะซังพยักหน้ารับแทนคำตอบแล้วเดินจากมา
พร้อมกับอมยิ้มบนใบหน้า
......
Create Date : 14 ธันวาคม 2553 | | |
Last Update : 17 มกราคม 2554 22:20:22 น. |
Counter : 1979 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ขนมโตเกียว ช่วงที่ 12 : เสียงหัวเราะบนถนนสายที่ 6
หลังจากเมามันกันมาพอสมควร
เมา (เบียร์) มัน (ไส้หมู)
ก็ได้เวลาเดินให้กระเพาะย่อย
ทาคาโกะบอกว่าไม่ใช่แต่ตัววัดเซนโซจิที่น่าสนใจ
แต่แถวๆ วัดก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
.....
ทาคาโกะชวนไปเดินเล่นแถวๆ ถนน Asakusa Rokku หรือ Asaskusa Sixth
ถนนสายนี้เป็นเหมือนบรอดเวย์แห่งความบันเทิงของชาวโตเกียวในยุคแรกเริ่ม
ในยุคที่โตเกียวยังไม่เป็นโตเกียว
(ก่อนจะเข้าสู่ยุคเมจิ ตอนนั้นโตเกียวยังใช้ชื่อเอโดะอยู่)
ครั้งหนึ่งในยุคสมัยที่เอโดะ (หรือโตเกียวในปัจจุบัน) ยังถูกปกครองโดยโชกุนในตระกูล Tokugawa ถนนสายบรอดเวย์แห่งนี้ ยังเต็มไปด้วยโรงละครคาบุกิ ในยุคนั้นกลุ่มขุนนางในตระกูล Tokugawa มองว่าศูนย์รวมความบันเทิงของชนชั้นสามัญในแทบนี้เป็นเรื่องไร้สาระ ไร้อารยะ ขัดต่อศีลธรรม และภาพลักษณ์อันดีงามของสังคมและประเทศ
คล้ายๆ กับที่ครั้งหนึ่ง คนไทยเคยมองบรรดานักแสดงที่ขายความบันเทิงเหล่านี้ว่าเป็นพวกเต้นกินรำกินอะไรประมาณนั้น
ในช่วงปี ค.ศ. 1841 บรรดาขุนนางที่เคร่งครัดในกฎระเบียบแห่งตระกูล Tokugawa จึงได้มีความพยายามที่จะขจัดโรงละครและกิจกรรมบันเทิงใน แทบนี้ไปให้พ้นเมืองเอโดะเสีย
......
ในหนังเรื่อง Warai No Daigaku หนังปี 2004 ของผู้กำกับ Mamoru Hoshi พ่วงมาด้วยผู้กำกับคนโปรดของเราคือน้า Koki Mitani ^^!
เรื่องนี้แกไม่ได้กำกับ แต่แกเขียนบทให้
ใครที่เคยดูหนังญี่ปุ่นเรื่อง Warai No Daigaku
หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า University of Laugh
น่าจะพอเห็นภาพของการจำกัดเสรีภาพ ริดลอนสิทธิ และวิจารณญาณของชาวญี่ปุ่นยุคหนึ่งได้ชัดเจนพอสมควร
เป็นเสรีภาพแห่งความบันเทิงและเสียงหัวเราะ !
......
เนื้อเรื่องจะว่าด้วยเรื่องของเจ้าหน้าที่ ที่ทำหน้าที่คอยตรวจตรางานเขียนทุกประเภท ก่อนที่จะมีการนำออกเผยแพร่ทุกรูปแบบ
เรียกง่ายๆ ว่ากองเซ็นเซอร์ !
(ไม่รู้จะเรียกว่าไงดี ขอเรียกแบบนี้แล้วกัน) ^^!
คุณพี่กองเซ็นเซอร์คนนี้ (รับบทโดย Kochi Yakusho) แกจะทำหน้านิ่วคิ้ว ขมวดทั้งวัน คอยทำหน้าที่ตรวจตรางานทุกชิ้น ทุกประเภท และทุกรูปแบบ
ในทุกตัวอักษร !
บรรทัดไหนที่ไม่ผ่านมาตรฐานของพี่คนนี้ แกก็จะเอาปากกาสีแดงขีดฆ่าเอาไว้ แล้วให้เจ้าของงานไปแก้ไขมาใหม่
ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่ผ่านสายตาแกไปมักจะไม่ผ่าน และจะต้องนำไปแก้ไขหากต้องการที่จะนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน
ไม่ใช่ให้แก้แค่ครั้งเดียว แต่ให้แก้หลายครั้งหลายครา จนทำเอาหลายคนถอดใจไป
ผ่านมาถึงหนุ่มคนหนึ่ง ที่เป็นนักเขียนบทละครตลกให้คณะตลกแห่งหนึ่ง
และการมาถึงของหนุ่มคนนี้ ก็ทำให้ความรู้สึกของคุณพี่กองเซ็นเซอร์คนนี้ที่มีต่อศิลปะบันเทิงได้เปลี่ยนแปลงไป
ขออนุญาตไม่สปอยด์ เผื่อว่าใครอยากไปหามาดู
ฟังดูเผินๆ เหมือนเป็นหนังเครียด แต่แท้จริงแล้ว
มันคือหนังตลก !
......
Warai No Daigaku หรือ University of Laugh
หนังปี 2004 ของผู้กำกับ Mamoru Hoshi
พ่วงมาด้วยผู้กำกับคนโปรดของเรา น้า Koki Mitani ^^!
แต่เรื่องนี้น้าแกไม่ได้กำกับเอง แกแค่เขียนบทให้
......
ความเจ๋งอีกอย่างของหนังเรื่องนี้ก็คือ การใช้นักแสดงหลักเพียง 2 คนในการดำเนินเรื่อง
และกว่า 90% ของเนื้อเรื่อง เกิดขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
ที่มีเพียงโต๊ะกับเก้าอี้แค่ 2 ตัว !
......
แต่ตัวหนังกลับทำได้สนุกมากมาย ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้มือเขียนบทเรื่องนี้ คือคุณน้า Koki Mitani ไปเต็มๆ
เราดูหนังของแกมาทุกเรื่องเท่าที่จะหาได้ ขอบอกว่ายังไม่เจอเรื่องไหนที่ไม่ สนุก
เรื่องดังๆ ของแกก็อย่าง Rajio No Jikan หนังปี 1997 หนังเรื่องแรกที่น้าแกกำกับ
ว่าด้วยเรื่องวายป่วงของเบื้องหลังละครวิทยุในห้องส่งแห่งหนึ่ง
หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Welcome Back, Mr.McDonold
คุ้นๆ กันไหม
.....
แนะนำว่าควรดู สำหรับใครที่ชอบหนังในตระกูล Feel Good !
แล้วจะรู้ว่าเสียงหัวเราะ
.
มันสวยงามอย่างไร
. ......
แต่อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดถนนบรอดเวย์สายคาบุกิแห่งนี้ก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ภายหลังจากที่ระบอบการปกครองในระบอบศักดินาและโชกุนใน ตระกูล Tokugawa ถูกล้มล้างไป พร้อมๆ กับยุคสมัยแห่งเอโดะ
ตั้งแต่นั้นญี่ปุ่นก็เข้าสู่ยุคการปกครองโดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นประมุข พร้อมๆ กับการสถาปนาเมืองหลวงขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1869
จาก เอโดะ (Edo) ก็กลายเป็น โตเกียว (Tokyo)
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
......
นิทานเอโดะก็จบลงเพียงเท่านั้น
ส่วนที่ยังไม่จบคือนิทานแห่งถนนสายบรอดเวย์ Asakusa Rokku
ความบันเทิงของจริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นนับจากนี้ !
Create Date : 30 พฤศจิกายน 2553 | | |
Last Update : 1 ธันวาคม 2553 21:13:13 น. |
Counter : 1087 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ขนมโตเกียว ช่วงที่ 10 : เธอเป็นนักมวยที่ชอบเขียนหนังสือ
ระหว่างทางจากประตูสายฟ้า Kaminari Mon ไปจนถึงประตูขุมทรัพย์ Hozo Mon จะเป็นถนนสายเล็กๆ ระยะทาง 250 เมตร ที่เต็มไปด้วยร้านค้าเล็กๆ ตลอดสองข้าง ฝั่งซ้ายมี 35 ร้าน ฝั่งขวามี 54 ร้าน โดยมากจะเป็นร้านที่ขายของจำพวกขนมนมเนย ที่มีบริการให้ลูกค้าทั้งซื้อกินและซื้อฝาก แล้วก็ร้านจำพวกของฝากที่กินไม่ได้ แต่ก็น่ารักและน่าซื้อตามมาตรฐานญี่ปุ่น พวกของเล่น เครื่องประดับ ของแต่งบ้านกุ๊กกิ๊กๆ อะไรประมาณนั้น
บรรยากาศคึกคักมาก คล้ายๆ กับงานเทศกาลอะไรสักอย่าง
......
และนี่คือหนึ่งในถนนสายละลายทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดอีกแห่งของญี่ปุ่น
สร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 1688-1735
คนญี่ปุ่นเรียกถนนเส้นนี้ว่า Nakamise Dori
ใครที่แพ้ของกุ๊กกิ๊ก เห็นอะไรกุ๊กกิ๊กคิกขุเป็นต้องซื้อให้ได้ แนะนำให้มาละลายทรัพย์ได้ที่นี่ทุกวัน
ไม่เว้นวันหยุดราชการ !
แต่ถ้าได้มาในช่วงวันหยุดราชการของที่นี่พอดี จะได้อารมณ์เหมือนเดินอยู่ ในงานกาชาดบ้านเรานิดๆ
วันธรรมดาว่าคนเยอะแล้ว
วันไม่ธรรมดาคนยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ !
แต่ยังไม่ทันได้ดูอะไรเท่าไร เพราะบ่ายนี้เรามีนัดกับใครบางคน ใครบางคนที่เป็นนักมวย !
แถมยังเป็นนักมวยหญิงซะด้วยสิ
และนักมวยหญิงคนนี้ เธอมีชื่อว่า
ทาคาโกะ
......
ทาคาโกะ เป็นสาวชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบในศิลปะแม่ไม้มวยไทย และด้วยความหลงใหล ครั้งหนึ่งเธอเคยลงทุนเดินทางมาถึงเมืองไทยเพื่อฝึกฝนแม่ไม้มวยไทยที่ค่ายมวยแห่งหนึ่ง
ไม่ได้มาฝึกต่อยเล่นๆ ขำๆ แบบไก่กา
เธอเคยขึ้นชกมาแล้วด้วย !
......
แม้ตอนนี้เธอจะไม่ได้ต่อยมวยจริงจังแล้ว แต่ก็ยังทำงานอยู่ในแวดวงหมัดมวยอยู่
ด้วยการเป็นครูฝึกมวย
อืม....
หลังจากเธอเลิกต่อยมวยจริงจัง ก็หันมาเขียนหนังสือแทน
ใช่ ! เขียนหนังสือ
จากนักมวย มาเขียนหนังสือ
สุดยอดไหมเล่า !
......
ทาคาโกะเปลี่ยนจากอาชีพนักมวย มาเป็นนักเขียนได้หลายปีแล้ว เธอมี คอลัมน์เล็กๆ อยู่ในนิตยสารภาษาญี่ปุ่นที่ชื่อ DACO
ใครที่อ่านญี่ปุ่นไม่ได้เหมือนเรา ก็สามารถอ่านงานของเธอได้ในนิตยสาร DACO ฉบับภาษาไทย
ที่สำคัญคือนิตยสารนี้ แจกฟรี !
ซึ่งดีมากสำหรับคนชอบของฟรีอย่างเรา ^^!
เราเองก็เป็นแฟนคอลัมน์ของเธอเหมือนกัน ติดตามอ่านคอลัมน์ของเธอมาตั้งแต่ฉบับแรกๆ นู่น
คอลัมน์ของเธอว่าด้วยเรื่องราวความต่างทางความคิดอ่าน และความต่างทางภาษาและวัฒนธรรมระหว่างคนสองชาติที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ไทย - ญี่ปุ่น
ดินแดงไม่เกี่ยว !
ลืมบอกไปว่าทาคาโกะมีสามีเป็นคนไทย และเป็นนักมวยด้วยเหมือนกัน
สามีของเธอชื่อ คุณยอด
ความไม่ธรรมดาของคุณยอดคือ เขาเคยเป็นแชมป์ฟลายเวท ของ WBU เมื่อปี 2538 !
สุดยอดไหมเล่า !
ปัจจุบันทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในญี่ปุ่น ที่จังหวัด Chiba บ้านเกิดของทาคาโกะ
และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในคอลัมน์ที่ชื่อว่า
Bangkok Shower !
..
ความน่าสนใจของคอลัมน์นี้ก็คือการเล่าเรื่องง่ายๆ ที่ดูคล้ายกับเป็นบันทึกประจำวันของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ทาคาโกะเล่าเรื่องราวชีวิตของเธอแบบซื่อๆ ง่ายๆ และตรงไปตรงมา
แต่ทว่าจริงใจอย่างแรง !
เราชอบอ่านงานเขียนแบบนี้ เป็นงานเขียนแบบที่ไม่มีฟอร์ม
เพราะเราเองก็ไม่มีฟอร์มเหมือนกัน
เวลาอ่านงานเขียนของเธอ จะรู้สึกเหมือนได้อ่านจดหมายที่ส่งมาจากเพื่อน !
เคยได้ยินคุณโน้ต อุดม พูดถึงอยู่เหมือนกันในนิตยสารเล่มไหนสักเล่มหนึ่งว่าชอบอ่านคอลัมน์ของเธอ
มันสนุกขนาดเคยถูกนำไปสร้างเป็นละครวิทยุที่ออกอากาศในญี่ปุ่นมาแล้วช่วงหนึ่ง
สุดยอดไหมเล่า !
ตอนนี้นอกจากงานเขียนคอลัมน์แล้ว เธอยังมีงานเขียนพ็อคเก็ตบุ๊คอยู่อีกหลายเล่ม
ด้วยความที่ชื่นชอบและคุ้นเคยกับเรื่องไทยๆ เป็นการส่วนตัว ประกอบกับสามีเธอก็เป็นคนไทยอีก เธอเลยใช้ความได้เปรียบตรงนี้ เขียนหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องไทยๆ ขายคนญี่ปุ่นเสียเลย
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพ็อคเก็ตบุ๊คที่ว่าด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอาหารแบบไทยๆ
เราเองก็เคยมีโอกาสได้เข้าไปช่วยเหลืองานของเธอบ้างนิดๆ หน่อยๆ อยู่เหมือนกัน
เราเลยได้รู้จักกันตั้งแต่นั้นแล
เจอกันคราวนั้น นอกจากเรื่องงานแล้ว ก็ไม่ค่อยจะได้พูดคุยอะไรกันเท่าไร มาเจอทาคาโกะคราวนี้คงได้พูดคุยกันมากขึ้น
แต่แอบเสียวเล็กๆ
ปกติปากเราก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร
กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะพูดอะไรไม่เข้าหูนักเขียนคนนี้
กลัวจะโดน...ก้านคอคลับ !
-*-
Create Date : 10 พฤศจิกายน 2553 | | |
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2553 20:07:19 น. |
Counter : 1118 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|