กรณีรับเงิน250ล้าน ปชป.หนาว โทษถึงขั้น"ยุบพรรค"
ถูกนำไปกล่าวถึงบนเวทีคนเสื้อแดงอีกครั้ง สำหรับประเด็นเงินจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ที่ถูกกล่าวอ้างว่ามีการโอนไปให้พรรคประชาธิปัตย์ 250 ล้านบาท ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด
นายณัฐวุฒิ กล่าวปราศรัยบนเวทีชัดถ้อยชัดคำว่า มีข้อมูลการรับเงินของพรรคประชาธิปัตย์จากบริษัททีพีไอโพลีน ที่มี นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เป็นผู้บริหาร
ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นใน ช่วงปี 2547-2548 ระหว่างการเลือกตั้ง โดยบริษัทเมซไซอะฯ ซึ่งมีนายประจวบ สังขาว เป็นผู้บริหาร และมีกรรมการบริหารพรรคที่น่าสนใจคือ น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร ลูกสาวนายสุพัฒน์ ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และนายไทกร พลสุวรรณ แกนนำเครือข่ายอีสานกู้ชาติ
นายณัฐวุฒิกล่าว อีกว่า บริษัทเมซไซอะฯ ได้รับการโอนเงินจากบริษัท ทีพีไอโพลีนเพื่อจ้างงานประชาสัมพันธ์ เกือบ 250 ล้าน โดยโอนเงินครั้งละ 1.8-1.9 ล้านบาท เพื่อป้องกันคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบ แต่กลับไม่มีหลักฐานว่าบริษัทเมซไซอะฯ ไปจัดซื้ออุปกรณ์การทำงานมาอย่างใด
แต่มีหลักฐานว่าบริษัทเมซไซอะฯ ได้โอนเงินเข้าบัญชีญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคในขณะนั้น นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน นายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา และเป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนการเลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ 2548 มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจโดยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 มีการโอนเงินภายในวันเดียวกว่า 20 ล้านบาท
จริงๆแล้วประเด็นนี้ นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน เคยอภิปรายในรัฐสภาตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2551 ในช่วงที่นายสมัคร สุนทรเวช ยังเป็นนายกรัฐมนตรี จนทำให้ น.ส.สุพัชรี ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอย่างอัดอั้นน้ำตาคลอว่า "ท่านไม่สงสารดิฉันบ้างเหรอคะ" มาแล้ว
"ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับวันที่ 11 กันยายน 2551 สัมภาษณ์ ส.ส.สุพัชรีในครั้งนั้น ใจความตอนหนึ่งว่า
" เรื่องก็คือดิฉันมีบริษัทอยู่บริษัทหนึ่งที่กรุงเทพฯ เมื่อตอนปี 2543 ซึ่งตอนนั้นยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ดิฉันถือหุ้นแต่ไม่ได้มีอำนาจในการลงนามในบริษัท หลังปี 2544 ดิฉันก็ไปลาออกจากบริษัทนี้ เพราะเขาเป็นบริษัทบิลบอร์ด ทำโฆษณา อะไรอย่างนี้ ดูท่าทางว่าจะไปไม่ได้ ดิฉันก็เลยขอลาออกจากบริษัท ตอนปี 2544 ซึ่งดิฉันเองก็ไม่ได้มีอำนาจลงนามอะไรในบริษัทนั้น"
"ที่คุณสุ นัยกล่าวถึงนั้นเป็นช่วงปี 2547-2548 เขากล่าวว่าบริษัทนี้ให้เงินพรรค ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไร เพราะดิฉันออกมาแล้ว ส่วนบริษัทเขาจะให้เงินหรือไม่ให้เงินดิฉันไม่ทราบตรงนั้น ต้องให้พรรคดำเนินการอีกทีหนึ่ง ให้พรรคตรวจสอบ อีกที ส่วนตัวของดิฉันจบสิ้นไปแล้ว บริคณห์สนธิเป็นของปี 2543 ก็คือเป็นอันเก่า นายสุนัยไม่มีใบลาออก ไม่มีใบเปลี่ยนแปลงหุ้นมาให้ ของปี 2544 เขาไม่มีหลักฐานตรงนั้นมา"
น.ส.สุพัชรีบอกอีกว่า หลังจากที่ตรวจสอบเอกสารที่นายสุนัยส่งให้นายสมัครแล้ว ก็พบว่าไม่ได้มีอะไรที่ทำให้หนักใจ ส่วนเรื่องที่ถูกอ้างว่านายประชัยโอนเงินมาให้เพื่อนำไปสนับสนุนม็อบ พันธมิตรฯก็ไม่เป็นความจริง
"ไม่ใช่บัญชีของดิฉัน เป็นบัญชีของบริษัท แต่ดิฉันไม่รู้ว่าขณะนั้น ปี 2547-2548 ดิฉันไม่ได้อยู่ในบริษัทนั้นแล้ว ดิฉันเลยไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร"
" ดิฉันก็ตกใจเหมือนกัน เพราะว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2543 แล้วพอปี 2544 ดิฉันก็ ลาออกไปเลย ดิฉันลืมไปเลยว่าดิฉันเคยอยู่ ชื่อบริษัทก็จำไม่ได้ รู้ว่าเป็นของญี่ปุ่น นานมาก ทางพรรคก็ตกใจ เพราะเรื่องนี้มันนานมาก แล้วทางพรรคก็เพิ่งจะรู้เรื่อง คือไม่มีใครคาดเดามาก่อนเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ตรงนี้ขึ้น ส่วนตัวดิฉันเองก็ลาออกมาตั้งแต่ปี 2544 ไม่รู้ว่านายสุนัยจะเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเล่น"
"ดิฉันมองว่าหนึ่งอาจ เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง อาจเป็นการฆ่านักการเมือง ดิฉันเป็นนักการเมืองใหม่ อาจจะมีบางคนหรือคู่แข่งของดิฉันเขาอาจจะลง แข่งด้วยครั้งหน้า อาจจะเอาข้อมูลตรงนี้ มาพูด ในสภา แต่พอดีเราไม่ผิด สามารถพูด ชี้แจงได้"
นั่นคือสิ่งที่ น.ส.สุพัชรีเคยชี้แจง
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบพบ บริษัทที่ น.ส.สุพัชรีกล่าวถึงคือ บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2543 ทำธุรกิจประเภทประกอบกิจการรับจ้างผลิตสื่อสิ่งพิมพ์-บริการ มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยนายประจวบ สังขาว เป็นผู้มีอำนาจในบริษัท ตั้งอยู่ที่ 108/12 หมู่ที่ 11 ถ.พหลโยธิน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
ปัจจุบัน ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2551
บริษัทเมซไซอะฯ มีกรรมการบริษัท 3 คน คือ นายประจวบ สังขาว น.ส.วลัยลักษณ์ ประสงค์ และนายปณิธิ ศิริเขต
มีผู้ถือหุ้น 7 คน ได้แก่ 1.นายประจวบ สังขาว (80,000 หุ้น) 2.น.ส.วลัยลักษณ์ ประสงค์ (10,000 หุ้น) 3.น.ส.ฐิติพร อยู่ไว (9,960 หุ้น) 4.น.ส.กรุณา คอนแหยม (10 หุ้น) 5.น.ส.เบญจวรรณ คอนแหยม (10 หุ้น) 6.นายปรีดี คอนแหยม (10 หุ้น) และ 7.น.ส.วิสุดา มีสุโข (10 หุ้น) โดยคิดเป็นหุ้นละ 10 บาท ส่วนกรรมการบริษัทมี 3 คน คือ นายประจวบ น.ส.วลัยลักษณ์ และนายปณิธิ ศิริเขต
งบฯย้อนหลัง ปี 2545 บ.เมซไซอะฯ มีสินทรัพย์รวม 3.4 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 1.7 ล้านบาท, ปี 2546 มีสินทรัพย์รวม 2.7 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 921,997 บาท และปี 2547 มีสินทรัพย์รวม 19.3 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 14.1 ล้านบาท
บ.เมซไซอะฯ มีบริษัทที่เกี่ยวข้อง คือ บริษัท ดีพ แอ็ด จำกัด และบริษัท เวิลด์ สตาร์ ทีวี (ไทยแลนด์) จำกัด
บริษัท ดีพ แอ็ด มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 62/182 หมู่ที่ 3 ซอย 5 ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.ประกอบธุรกิจ รับออกแบบและผลิตสิ่งพิมพ์ สื่อโฆษณา และประชาสัมพันธ์ ทุกประเภท มี น.ส.วลัยลักษณ์ ประสงค์ เป็นผู้มีอำนาจ
บริษัท เวิลด์ สตาร์ ตั้งอยู่ที่ 59/8 หมู่ที่ 9 ถ.โชคชัย 4 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. ทุนจดทะเบียน 1 พันล้านบาท ประกอบกิจการเกี่ยวกับประกอบดาวเทียม ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดีโอ วีซีดีรวมทั้งการผลิตสินค้าอุปกรณ์ มีนายปรีชา ภมรพิบูลย์ เป็นผู้มีอำนาจ
กรรมการ บริษัท มี 5 คน ได้แก่ 1.พล.อ.อัครเดช ศศิประภา 2.พล.ต.ท.พิทยา เจริญพานิช 3.นายสมบูรณ์ ยืนยงสุวรรณ 4.นายชาญบุณฑ์ สุนทรวิภาต และนายปณิธิ ศิริเขต
มี ผู้ถือหุ้น 19 คน อาทิ นายปรีชา ภมรพิบูลย์ ถือหุ้นร้อยละ 91, นาย เดชสฤษฎิ์ หาญรัตนกูล ถือหุ้นร้อยละ 3, พล.อ.อัครเดช ศศิประภา ถือหุ้นร้อยละ 1, นายเก่งกาจ จงใจพระ ถือหุ้นร้อยละ 0.5, นายนิสสัย เวชชาชีวะ ถือหุ้นร้อยละ 0.1, น.ส.พาพร ตั้งตรงจิตร ถือหุ้นร้อยละ 0.1, พล.ต.ท.พิทยา เจริญพานิช ถือหุ้นร้อยละ 0.1, นายอนันต์ ฉายแสง ถือหุ้น ร้อยละ 0.1 เป็นต้น
การออกมาแฉเรื่องเงินที่โอนไปยังพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ หากพิสูจน์ได้ว่ามีใบเสร็จอย่างที่บางคนออกมากล่าวอ้าง ว่ากันว่าเดิมพันสูงถึงขั้นอาจต้องมีการยุบพรรคประชาธิปัตย์
ในระหว่างที่เส้นทางการเมืองของพรรคสะตอกำลังติดลมบนสูงลิ่ว
ข่าวร้ายก็มาเยือนอีกครั้งหนึ่ง !!!
จากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ หน้า 28 วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4071 ที่มาต้นขั้ว ประชาชาติธุรกิจ
รายการความจริงวันนี้ทางสถานีประชาธิปไตย วันที่21มกราคม สามเกลอได้เปิดเผยหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาโอนเงินเพื่อจ้างงานประชาสัมพันธ์มีลายเซ็นของประจวบ สังขาวกับประชัยเลี่ยวไพรัตน์กำกับ สลิบการโอนเงินครั้งละล้านแปดล้านเก้าล้านเก้าล้านแปดที่มีหมายเลขสมุดเช็คมาจากเล่มเดียวกันระหว่างประจวบ สังขาวกับเครือญาติสส.ปชป. นอกจากนี้ก็มีสำเนาโทรสารที่มีชื่อของประจวบ สังขาวกับเบอร์โทรสารของที่ทำการพรรคปชป. สำหรับใช้ยืนยันว่าได้ทำการโอนแล้วหรือได้รับเช็คแล้ว โดยกระบวนการได้มาซึ่งหลักฐานนั้นมาจากนายตำรวจชั้นประทวนคนหนึ่งซึ่งรับเรื่องดำเนินคดีที่เมซไซอะปลอมแปลงเอกสารทางภาษี เพื่อหลบเลี่ยงภาษีจากเงินที่ได้รับการโอนมา โดยตอนนี้นายประจวบ สังขาว ตกอับถึงขนาดต้องไปเป็นลูกจ้างในร้านอาบอบนวดแห่งหนึ่งแถวพญาไท
Create Date : 16 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 22 มกราคม 2552 1:42:43 น. |
Counter : 806 Pageviews. |
| |
|
|
|