ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

นายกที่แม้แต่ตัวเองยังบริหารการเงินไม่ได้ แล้วจะมาบริหารการเงินให้ชาติได้อย่างไร

วันอังคารที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2549

ลูบคมอภิสิทธิ์ขโมยเอทีเอ็มอดีตแม่บ้านแสบ!กด21ครั้งฟัน9แสน

ตำรวจ สน.ทองหล่อ จับอดีตแม่บ้านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขโมยบัตรชนิดพิเศษ เป็นทั้งบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิตไปกดเงิน 1 ปี เกือบ 9 แสนบาท ก่อนชิงลาออกหนีไป สารภาพหาเงินซื้อของอวดเพื่อน “อภิสิทธิ์" เผยเลี้ยงดูอย่างดีถึง 5 ปี มอบให้ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น.5 กล่าวว่า พ.ต.อ.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผกก.สน.ทองหล่อ พ.ต.ท.เศกสิทธิ์ สุภาอ้วน สว.สส. พร้อมกำลัง จับกุมตัว นางเฉลา จันทร์ชุ่ม อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ 6 ต.เชียงงา อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี แจ้งข้อหาลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืน และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่จะก่อให้เกิดความ เสียหายของผู้อื่น โดยจับกุมได้ที่ชุมชนภักดี ก.ม.11 ถนนโลคัลโรด แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.
จากสอบสวนทราบว่า นางเฉลาเป็นอดีตคนรับใช้ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำงานอยู่ที่บ้านพักในซอยสุขุมวิท 31 โดยทำมานานกว่า 5 ปี ต่อมาได้ลาออกไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งมีพฤติกรรมแอบนำบัตรเอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทย สาขาสวนพลู ของนายอภิสิทธิ์ที่เก็บไว้ในห้องทำงานชั้นล่าง บริเวณโต๊ะลิ้นชักทำงาน ไปกดเงินหลายครั้งในจำนวน 3,000 บาท 5,000 บาท หรือ 10,000 บาท ซึ่งกดเงินครั้งแรกที่ตู้เอทีเอ็มสาขาบริษัทบัตรเครดิตกรุงไทยยูบีซี 2 อาคารทิปโก้ ถนนพระราม 6 จำนวน 500 บาท เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2548 และครั้งสุดท้ายกดเงิน 2,600 บาทในย่านที่พัก เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา
ตรวจสอบพบว่า กดเงินมาแล้วทั้งสิ้น 121 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 873,500 บาท ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์นำบัตรเอทีเอ็มไปใช้ ปรากฏว่าพบยอดเงินหายผิดปกติ วันที่ 5 พฤศจิกายน จึงให้ตัวแทนเข้าแจ้งความ ก่อนเจ้าหน้าที่จะประสานธนาคารต่างๆ และพบภาพนางเฉลากดเงินอยู่จึงติดตามจับกุมตัว นางเฉลา ให้การรับสารภาพว่า แอบขโมยบัตรเอทีเอ็มของนายอภิสิทธิ์ไปกดเงินจริง เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายและซื้อสินค้าราคาแพงอวดเพื่อนๆ
พ.ต.ท.เศกสิทธิ์ กล่าวว่า บัตรเอทีเอ็มดังกล่าวนั้น ทางธนาคารได้ทำก๊อบปี้ไว้ให้นายอภิสิทธิ์ไว้ 2 ใบ ต่อจากนั้นผู้ต้องหาได้ขโมยเอาไปกดเงิน 1 ใบ โดยที่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้สนใจอะไร จนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ได้นำบัตรเอทีเอ็มไปใช้ ปรากฏว่าพบยอดเงินหายผิดปกติจึงได้อายัดบัตรเอาไว้ จนอีก 2-3 วันต่อมา ผู้ต้องหาได้เอาบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินย่านหมอชิต ตำรวจจึงประสานไปยังธนาคารขอวงจรปิด ก่อนจับกุมตัวได้ดังกล่าว
"ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ขโมยบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินจริง โดยนำเงินไปใช้จ่ายซื้อของและนำไปเล่นการพนันแถว กม.11 อีกทั้งเพื่อหาเงินไปออกรถตู้ให้ลูกเขย ส่วนรหัสเอทีเอ็มนั้นทราบจากภายในซองเอกสารที่อยู่กับบัตรเอทีเอ็มและหลัง จากที่ทราบรหัสก็นำไปกดตามตู้เอทีเอ็มในหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งจากการตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ธนาคารพบว่า บัตรเอทีเอ็มดังกล่าวถูกนำไปกดเงินเป็นจำนวน 121 ครั้ง" พ.ต.ท.เศกสิทธิ์ กล่าว
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นางเฉลาเป็นอดีตแม่บ้าน เข้าทำงานอยู่ที่บ้านมา 5 ปี แต่ลาออกไปเมื่อต้นเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งบัตรที่นางเฉลาขโมยไปนั้นเป็นบัตรชนิดพิเศษ ที่ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกให้ โดยเป็นทั้งบัตรเครดิตและบัตรเอทีเอ็ม
“ผมไม่รู้ว่าเขาเอารหัสไปได้อย่างไร เพราะผมก็ไม่เคยใช้เลย และหลังจากที่เขาลาออกไปแล้วก็ยังเอาบัตรติดตัวไปด้วยและกดเงินออกมาอีก มารู้เรื่องตอนที่ยอดเงินในบัญชีมันลดลง จึงไปตรวจสอบดู เพราะถ้าเป็นบัตรเครดิตปกติก็จะมีการส่งสลิปการใช้บัตรเครดิตมาให้ แต่บัตรแบบนี้ไม่มี ผมเองก็ยังงง ซึ่งเรื่องนี้ผมก็คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเป็นผู้ดำเนินการ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

ที่มา คมชัดลึก

เงินของตัวเองยังรักษาไม่ได้เลย และเงินของชาติจะเป็นยังไงละนั้น??




 

Create Date : 11 มีนาคม 2552    
Last Update : 11 มีนาคม 2552 1:33:22 น.
Counter : 453 Pageviews.  

สว.จอมแฉจี้'มาร์ค'ฟัน'เทพเทือก'เลี่ยงภาษีฟาร์มหอย!

03 มี.ค. 2009 - 16:00:57 น.

'ส.ว.เรืองไกร' กัดไม่ปล่อย! ดอดส่งเอกสารทางไปรษณีย์ร้อง 'อภิสิทธิ์' ตรวจสอบ 'เทพเทือก' เลี่ยงภาษี หลังพบกลิ่นตุๆ ไม่จ่ายภาษีฟาร์มหอยนางรม ลั่นตีความเป็นรายได้ประจำได้หรือไม่ 'ส.ว.จอมแฉ' ชี้อาจเข้าข่ายยื่นบัญชีทรัพย์สินหนี้สินรัฐมนตรีเป็นเท็จ

ตามที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ได้ ส่งเอกสารทางไปรษณีย์มาถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ตรวจสอบการเสียภาษีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงนั้น

นายเรืองไกร กล่าวว่า จากการตรวจสอบเอกสารการยื่นภาษีที่ยื่นประกอบมาพร้อมการแสดงบัญชีรายการ ทรัพย์สินและหนี้สินของนายสุเทพ กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2551 นายสุเทพได้แจ้งรายได้ประจำอื่นๆ ไว้ว่า มีรายได้จากสวนยาง , ปาล์ม , ผลไม้ โดยเป็นเงินประมาณ 16,219,139 บาท มีรายได้จากฟาร์มหอยนางรม โดยเป็นเงินประมาณ 4 แสนบาท และยื่นรายได้ประจำอื่นๆ ไว้ในกรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2551 ว่ายังมีรายได้ทั้ง 2 รายการอยู่เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2550 (ภ.ง.ด. 90 ) ของนายสุเทพ ที่ยื่นแบบทางอินเตอร์เน็ต เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2552 พบว่ามีการแจ้งเงินได้เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ 2 รายการ คือ เงินได้มาตรา 40 (1) เงินเดือน 5,064,260 บาท และเงินได้มาตรา 40 (8) การทำป่าไม้ สวนยาง 16,219,139.80 บาท โดยเงินได้มาตรา 40 (1) หักค่าใช้จ่ายเหมา 60,000 บาท และเงินได้มาตรา 40 (8) หักค่าใช้จ่ายเหมาร้อยละ 80 เป็นเงิน 12,975,311.84 บาท

แต่ทั้งนี้ นายสุเทพ แจ้งในแบบ ภ.ง.ด. 90 ว่ามีเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษี 7,266,679.17 บาท คำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้าแล้วมีภาษีที่ต้องเสียเป็นเงิน 2,248,671.29 บาท

อย่างไรก็ตาม ไม่พบการนำรายได้จากฟาร์มหอยนางรมซึ่งจะเป็นเงินประมาณ 4 แสนบาท มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีแต่อย่างใด จึงมีข้อที่ชวนสังเกตว่า เงินได้จากฟาร์มหอยนางรมดังกล่าวที่ประมาณไว้นั้น ควรถือเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยหรือไม่ ถ้าต้องเสียจะต้องถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) เช่นเดียวกับรายได้จากการทำป่าไม้ สวนยาง ใช่หรือไม่ และเงินได้จากฟาร์มหอยนางรมได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากรมาตราใดหรือไม่

นอกจากนี้ นาย สุเทพยังได้มีการแจ้งในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายก รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2551 ว่ายังมีรายได้จากสวนยาง , ปาล์ม , ผลไม้ โดยเป็นเงินประมาณ 16,219,139 บาท มีรายได้จากฟาร์มหอยนางรม โดยประมาณเป็นเงิน 4 แสนบาท ที่ทำให้เข้าใจได้ว่า รายได้ดังกล่าวเป็นรายได้ประจำอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในรอบปี 2551 ที่ผ่านมาด้วย

เช่นเดียวกับที่เคยแจ้งเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้ ปี 2550 ไปแล้ว ซึ่งการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะต้องยื่นภายในวันที่ 31 มี.ค.ของปีถัดไป

“เงินได้ ตามที่นายสุเทพแจ้งไว้ในแบบแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ที่ควรถือเป็นเงินได้ของปี 2551 ก็จะต้องยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายในวันที่ 31 มี.ค. 2552 จึงขอให้นายกรัฐมนตรีนำข้อมูลส่วนนี้ไปประกอบการตรวจสอบเพิ่มเติมว่านายสุ เทพ ได้ยื่นแบบ และเสียภาษีไว้ครบถ้วนตามที่แสดงรายการไว้หรือไม่ทั้งนี้เพื่อให้มีการ ปฏิบัติให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป” นายเรืองไกร กล่าวในตอนท้าย




 

Create Date : 03 มีนาคม 2552    
Last Update : 3 มีนาคม 2552 19:18:47 น.
Counter : 503 Pageviews.  

แฉปชป.ใช้เงินหลวง 23 ล้านจ้าง"เมซไซอะฯ"ทำป้าย"ลม"-รายงานเท็จ กกต.

ระวัง ปชป.ตายหมู่ ยุบพรรค! เจอข้อหาใช้เงินหลวง 23 ล้านจ้าง"เมซไซอะฯ"ทำป้าย"ลม"-รายงานเท็จ กกต.?

กรณีเงิน 23 ล้านบาทที่ ปชป.ได้รับจัดสรรจากกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง เข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ.พรรคการเมือง มีโทษถึงยุบพรรคซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของ กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน

สำหรับผู้ที่มิได้ติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิดอาจสับสนว่า เงินจำนวน250 ล้านบาท ที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตยและเจ้าของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด(มหาชน)ได้จ่ายให้แก่ บริษัทเมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ซึ่งมีนายประจวบ สังขาว เป็นกรรมการผู้จัดการโดยอ้างว่า เป็นค่าจ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้แก่บริษัท ทีพีไอโพลีน จะสร้างผลกระทบให้แก่พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร

ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างละเอียด ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า นายประจวบ สังขาว มีความคุ้นเคยกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคนโดยเฉพาะนายสุพัฒน์ ธรรมเพชร อดีค ส.ส.พัทลุง ถึงกับลงหุ้นตั้งบริษัทเมซไซอะฯขึ้น ทำให้บริษัทดังกล่าวรับงานด้านการทำป้ายหาเสียงให้กับ ส.ส.หลายคนรวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซึ่งนายนิพนธ์ บุญญามณี รองเลขาธิการพรรค(สมัยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเเลขาธิการพรรค ช่วงปี 2547-2548)ยอมรับว่า ทางพรรคมีการว่า จ้างบริษัท เมซไซอะฯ ราว 23-25 ล้านบาทในช่วงประมาณปี 2547 หรือ 2548เพื่อจ้างให้ทำป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศซี่งไม่ได้เป็นเรื่อง ผิดกฎหมายแต่อย่างใด

ดังนั้นเงินที่เข้าไปพัวพันกับบริษัท เมซไซอะฯจึงมีอยู่ 2 ก้อน

ก้อนแรก จำนวน 250 ล้านบาทเป็นเงินจากบริษัท ทีพีไอโพลีนซึ่งเป็นบริษัท มหาชน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งการใช้เงินของบริษัทจด ทะเบียนต้องเป็นไปตามข้อบังคับของบริษัทและตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535

ก้อนสอง จำนวน 23 ล้านบาท เป็นเงินจากกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการจัด สรรจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ในปี 2548 ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541(ปัจจุบัน ใช้ฉบับปี 2550)ซึ่งการใช้เงินต้องไปตามที่กฎหมายกำหนโดยพรรคการเมืองต้องจัดทำแผนการ ใช้จ่ายเงินดังกล่าว(มาตรา 77)และต้องจัดทำรายการการใช้เงินให้ถุกต้องตามความเป็นจริงยื่นต่อ กกต.ภายในเดือนมีนาคมของเดือนถัดไป(มาตรา 82)

เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ได้รับการร้องเรียนว่า มีการการนำเงิน 250 ล้านบาทออกจากบริษัท ทีพีไอโพลีเป็นการการกระทำความ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535(จากคำสัมภาษณ์ของพ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ โฆษกดีเอสไอ) จึงเข้าสืบสวนสอบสวนในคดีดังกล่าวทันที เนื่องจากการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯอยู่ในอำนาจของดีเอสไอที่จะรับเป็นดคีพิเศษอยู่แล้ว

จากการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอพบว่า เงินจำนวน 250 ล้านบาทที่ทีพีไอฯว่าจ้างบริษัทเมซไซอะฯนั้น ส่วนหนึ่งประมาณ 168 ล้านบาท นายประจวบโอนไปยังบุคคลต่างๆหลายคนผ่าน 3 ธนาคารใหญ่คือ กสิกรไทย กรุงเทพ และกรุงไทย สาขารังสิต นับตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2547 จนถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ไปยังสาขาปลายทางของ 3 ธนาคารใหญ่ ในเขตกรุงเทพมหานคร 64 ครั้ง และสาขาใน จ.สงขลาอีก 11 ครั้ง รวมแล้ว 75 ครั้งซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน

ส่วนแรก โอนให้แก่นางมาลี ปัญญรักษ์ น้องสาว นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.แบบสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ 10 ล้านบาท

ส่วนที่สอง โอนให้แก่ กลุ่มใกล้ชิด นายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ได้แก่ น.ส.อาภาพร เอกอุรุ น้องสาว ส.ส. รับไป 3.6 ล้านบาท สมศักดิ์ เอกอุรุ ญาติ และคนใหล้ชิดรวมแล้วประมาณ 20 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามทั้งนายนิพนธ์และนายประพร ต่างยืนยันว่า มไม่ทราบเรื่องดังกล่าวมาก่อน จนกระทั่งทราบเรื่องจึงได้สอบถามน้องสาวและญาติจึงทราบว่า เป็นการว่าจ้างโฆษณาประชาสัมพันะปูนซิเมนต์ของบริษัททีพีไอ โพลีนจริงเพราะปกติก็เป็นเอเยนต์ปูนยี่ห้อดังกล่าวอยู่แล้วซึ่งทั้งหมดมี พยานหลักฐานยืนยันได้และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้สอบปากคำบุคคลเหล่านี้ไปหมด แล้ว

ส่วนที่สาม โอนให้แก่กลุ่มคนใกล้ชิดของนายประจวบ เช่น นายณัฐพล จิรวิสุทธิกุล, นายประมูล,นายสวัสดิ์ สังขาว, นายปัญญา ประสงค์ ฯลฯรวมแล้วกว่า 100 ล้านบาทซึ่งประเด็นนี้มีการอ้างว่ากันว่า นาย ประจวบให้การซัดทอดว่า หลังจากโอนเงินให้บุคคลเหล่านี้แล้ว มีการถอนเป็นเงินสดหิ้วไปให้ผู้บริหารบางคนในพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นที่ พรรคและมีการแบ่งเงินก้อนดังกล่าวกันโดยนายประจวบได้"ค่าหิ้ว"เงินเพียงเล็ก น้อยไม่กี่ล้านบาท

นอกจากเงินก้อน 250 ล้านบาทแล้ว ดีเอสไออ้างว่า จากการสืบสอบสวน มีการพบเส้นทางเงิน 23 ล้านบาทที่พรรคประชาธิปัตย์ได้จากกองทุนเพื่อพัฒนาการเมืองดในช่วงนั้น 35 ล้านบาท จ่ายผ่านบัญชีบริษัทเมซไซอะฯด้วยเช็คจำนวน 8 ฉบับเพื่อจ้างทำป้ายโฆษณาหาเสียงด้วย แต่พบว่า ไม่มีการทำป้ายโฆษณาหาเสียงจริง กลับมีการถอนเงินสดออกมาหิ้วไปให้ผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นอีก

แต่เนื่องจากต้องมีการจัดทำรายงานการใช้เงินพร้อมกับส่งงบการเงินให้แก่ กกต.ตามที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนด จึงมีการทำหลักฐานขึ้น เช่น ใบกำกับภาษีปลอมของบริษัทต่างๆ ประมาณ 3 บริษัท ซึ่งงบการเงินที่จัดทำขึ้นส่งให้แก่ กกต.ตรวจสอบนั้น อยู่ ในช่วงการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคจากนายบัญญัติ เป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในเดือนมีนาคม 2549 ซึ่งปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เป็นผู้ลงนามในงบการเงินดังกล่าว

จากข้อเท็จจริงข้างต้น ถ้าข้อมูลที่กล่าวอ้างว่า มาจากการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอเป็นความจริงจะเป็นความผิดกฎหมายหลัก 2 ฉบับ

กรณีเงิน 250 ล้านบาทของบริษัท ทีพีไอโพลีน นั้นเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 307-308 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์หรือที่เรียกว่า "ไซ่ฟ่อนเงิน"ของบริษัทจดทะเบียนซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 5 แสนถึง 1 ล้านบาทซึ่งคดีดังกล่าวยังอยู่ในการอำนาจของดีเอสไอที่จะจะสืบสวนสอบสวนหา พยานหลักฐานเพิ่มเติมต่อไป

กรณีเงิน 23 ล้านบาทที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับจัดสรรจากกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง เข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 82 ประกอบ มาตรา 93 การใช้จ่ายของพรรคการเมืองต้องไปเป็นที่กฎหมายกำหนด เช่น การหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.แบบสัดส่วนและแบบเขต ค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรคการเมืองและสาขาพรรคการเมืองและต้องจัดทำรายงาน การใช้จ่ายเงินในรอบปีปฏิทินให้ถูกต้องตามความเป็นจริง

พรรคการเมืองใดไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 82 ให้ยุบพรรคการเมืองนั้นโดยให้นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของ กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่ความปรากฏต่อนายทะเบียน

คดีในส่วนนี้ดีเอสไอส่งข้อมูลและพยานหลักฐานให้แก่ กกต.แล้ว ขึ้นอยู่กับ กกต.จะสืบสวนสอบสวนเพราะอยู่ในอำนาจของ กกต.โดยตรง

จึงต้องรอดูว่า กกต.จะสืบสวนสอบสวนว่า เป็นไปตามข้อกล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ยื่นงบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินจากกองทุนเพื่อพัฒนา พรรคการเมืองเป็นเท็จหรือไม่

นอกจากพยานหลักฐานเอกสารต่างๆ เช่น สัญญาว่าจ้างบริษัทเมซไซอะฯในการทำป้ายโฆษณาหาเสียงแล้ว

นายประจวบ สังขาว กรรมการผู้จัดการบริษัท เมซไซอะฯก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะไขความลับทั้งหมดซึ่งขณะนี้ไม่มีใครรู้ว่า นายประจวบกบดานหรือถูกเก็บตัวอยู่ที่ไหน

เพราะหวั่นว่า ชะตากรรมของนายประจวบ อาจคล้ายกับนายกรเทพ วิริยะหรือ"ชิปปิ้งหมู"

ไขปริศนาเส้นทางเงิน 250 ล้านบาทจาก"ประชัย" ผ่าน"เมซไซอะฯ" เข้ากระเป๋า 28 บุคคลลึกลับ?

แม้นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.แบบสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีจำนวน 250 ล้านบาท ที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตยและเจ้าของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด(มหาชน)ยอมรับว่า จ่ายให้แก่บริษัทเมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เพื่อเป็นค่าจ้างโฆษณาในช่วงปลายปี 2547-2548โดยยอมรับว่า คนใกล้ชิดของตนโดยเฉพาะนางมาลี ปัญญรักษ์น้อง สาว ได้รับเงินมาจากบริษัทเมซไซอะฯจำนวน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจ้างในการทำการตลาดปูนซิเมนต์ ทีพีไอของนายประชัยในภาคใต้ ซึ่งทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้สอบปากคำไปหมดแล้ว

นายนิพนธ์ยืนยันด้วยว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดที่พรรคฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมานั้น เป็นการจับแพะชนแกะซึ่งมีพยานหลักฐานที่สามารถชี้แจงได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ถ้าดูตามเอกสารที่พรรคฝ่ายค้านอ้างว่า เป็นการโอนเงินจากบริษัท เมซไซอะฯโดยนายประจวบ สังขาว กรรมการผู้จัดการบริษัทและพวก ไปยังบุคคลต่างๆ 75 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2547 จนถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 พบว่า มีการโอนเงินไปยังบุคคลต่างๆ 28 คน เป็นเงินรวม 168,703,290 บาทโดยผู้ที่ได้รับการโอนเงินมากที่สุดคือ

พัชรภรณ์ ติระเลิศพาณิชย์ ได้รับเงินถึง 20 ล้านบาทจากการโอนเงินเพียงครั้งเดียว

รองลงไปคือนายมานพ นาสุวรรณ ได้รับ 19 ล้านบาทเศษจากการโอนเงิน 10 ครั้ง

ตามด้วยนายประมูล หอมหวล ได้รับ 15.943 ล้านบาท จากการโอนเงิน 9 ครั้ง นายปัญญา ประสงค์ ได้รับ 14.605 ล้านบาท จากการโอน 10 ครั้ง นายณั๙พล จิรวิสุทธิกุล ได้รับ 12.607 ล้านจากการโอน 7 ครั้ง

นางมาลี ปัญญรักษ์ น้องสาวนายนิพนธ์ บุญยามณี ได้รับ 10 ล้านบาทจากการโอน 1 ครั้ง, จันทร์จิรา ศรีหบุตร ได้รับ 9.9 ล้านบาทเศา จากการโอน 5 ครั้ง , นายจักรริน พงษ์พันธ์ ผู้ถือหุ้นในบริษัทนายนิพนธ์ ได้รับ 3.1 ล้านบาทเศษ จากการโอน 1 ครั้งลนายนูญ สายอ๋อง ผุ้ถือหุ้นในบริษัท นายนิพนธ์ ได้รับเงิน 3.6 ล้านบาท จากการโอน 2 ครั้ง

นายสวัสดี สังขาว ได้รับ 9 ล้านบาทเศษ จากการโอน 4 ครั้ง, ธิทาภรณ์ ศักดิ์สกุล ได้รับ 7.305 ล้านบาทจากการโอน 3 ครั้ง, รัตติยา ละอองจิปดา ได้รับ 7.2 ล้านบาท จากการโอน 4 ครั้ง

อาภาพร เอกอุรุ น้องสาวนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับ 3.6 ล้านบาทจากการโอน 1 ครั้ง, นายอัฎกร พระธาตุ ลูกน้องนายสมศักดิ์ เอกอุรุ เจ้าของแพปลาและญาตินายประพร ได้รับ 3.6 ล้านบาทเศษ จากการดอน 2 ครั้ง ขณะที่นายสมศักดิ เอกอุรุ ได้รับโอน 1 ครั้ง 1.8 ล้านบาท

นายโชคชัย ศรีดลชัย ได้รับ 3.8 ล้านบาท จากการโอน 2 ครั้ง พรทิพา ได้รับ 1.8 ล้านบาท ,ฐิติมา พูลเพิ่ม 5 แสนบาทเศษ, นายดิเรก ประสงค์ 1.8 ล้านบาท

นายรังสิต สังขาว 1.8 ล้านบาท,รัตน์ พงษ์พันธ์ เกธา 1.2 ล้านบาท ,วิรัล ธาวะนันท์ 1.9 ล้านบาท,นายอนุรักษ์ สังข์กุล 3.6 ล้านบาท ได้รับโอน 2 ครั้ง,สิรินารถ นาทเสวี ได้รับ 1.9 ล้าน สุนทรีย์ ถาวรีย์ ได้รับ 1.8 ล้าน อ่านชื่อไม่ออก ได้รับ 1.8 ล้านเศษ

แต่หลังจาากที่เงินเข้าบัญชีบุคคลเหล่านี้แล้ว นำไปทำอะไรยังไม่มีคำตอบ

ปูดเจ้าของ"เมซไซอะ"ตกอับ-ถูกหักหลัง จำต้องเอามาแฉผ่านตร.เสื้อแดง-ปชป.ไฟเขียวส.ส.ฟ้องกลับ

"นิพนธ์-ประพร" รับน้อง-คนใกล้ชิดรับเงินทีพีไอจริง แต่เป็นค่าทำการตลาดปูนที่ใต้ เผย "ชวน" ให้โต้ "พท." กลับให้หนัก "จตุพร" ปูดได้ข้อมูลเพราะหักหลังกันเอง เจ้าของ "เมซไซอะ" ตกอับหลังไม่มีเงินจ่ายภาษี ต้องโร่เอาหลักฐานให้ตร.เสื้อแดง "ปชป." ไฟเขียวส.ส.ที่ถูกพาดพิงฟ้องกลับ

"นิพนธ์" ปัดไม่เกี่ยวเงิน250ล้าน-ค่าทำโฆษณาปูน

นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองเลขาธิการพรรค สมัยนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ชี้แจงกรณีมีชื่อน้องสาวของบุคคลทั้งสองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับเงิน 250 ล้านบาท ที่บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) โอนให้กับบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด และกรมสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่ามีการสอบพบเส้นทางเงินเกี่ยวโยงกับบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์

โดยนายนิพนธ์ กล่าวว่า เป็นการจับแพะชนแกะ เอา 3 เรื่องมาโยงเป็นเรื่องเดียวกัน สะท้อนมาตราฐานของฝ่ายค้าน โดยที่มาคือบริษัททีพีไอ โพลีน มาจ้างบริษัทเมซไซอะ ของนายประจวบ สังขาว ทำโฆษณาให้ทั่วประเทศ และทางนางมาลี ปัญญารักษ์ น้องสาวตน ซึ่งเดิมเป็นเอเย่นต์ปูนของบริษัททีพีไออยู่ ก็รับช่วงทำการประชาสัมพันธ์ให้ในโซนภาคกลาง และภาคใต้ โดยได้รับค่าตอบแทนจังหวัดละ 2 ล้านบาท แต่มีการนำมาโยงกับพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์จ้างบริษัทเม ซไซอะฯ ทำป้ายหาเสียงในช่วงปี 2548 ทั้ง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย ดังนั้นหากฝ่ายค้านมีข้อมูลแค่นี้รับรองได้ว่าตนชี้แจงได้ทั้งหมด และสามารถพิสูจน์เส้นทางการเงินได้ด้วย ส่วนตัวเลข 250 ล้านบาท เข้าใจว่าเป็นงบประชาสัมพันธ์บริษัททีพีไอทั่วประเทศมากกว่า

ขู่ฟ้องฝ่ายค้านถ้าพาดพิง

ส่วนที่มีการโยงตนและครอบครัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น นายนิพนธ์ กล่าวว่า เนื่องจากตัวเองถือหุ้นอยู่ใน บริษัท อาคเนย์ คอนกรีต จำกัด ซึ่งตัวแทนจำหน่ายปูนผงให้กับทีพีไอในจังหวัดสงขลามานาน แต่ยี่ห้อทีพีไอไม่เป็นที่นิยมสำหรับคนภาคใต้ ทำตลาดไม่ขึ้น จึงต้องมีการจ้างบริษัท เมสไซอะฯ ทำประชาสัมพันธ์ จัดอบรมสัมนาพนักงาน ตัวแทนจำหน่าย มีการทำป้ายโฆษณาต่างๆ เพื่อส่งเสริมการตลาด แต่ก็ถูกฝ่ายค้านเหมารวมโยงใยจนกลายเป็นเรื่องเดียวกัน ส่วนที่มีการโอนเงินในชื่อน้องสาว แทนที่จะโอนให้บริษัทของครอบครัว ไม่ใช่เพื่อเลี่ยงภาษี แต่เพราะน้องสาวที่รับงานส่วนตัว ในการทำแผ่นป้ายโฆษณา และรถแห่หาเสียง ไม่ได้รับงานในนามบริษัท จึงไม่ต้องโอนเงินให้บริษัท ข้อมูลทั้งหมดได้ส่งให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปหมดแล้ว

นายนิพนธ์กล่าวว่า นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตผู้บริหารบริษัททีพีไอ ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด รวมถึงโอนเข้าบัญชีของคนใกล้ชิดพรรคด้วย ทั้งนี้จะรอดูว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายในประเด็นใด หากพาดพิงถึงใครให้เสียหาย ก็มีสิทธิที่จะฟ้องร้องได้

"ประพร" บอก "ชวน" ให้โต้กลับ

ด้านนายประพร กล่าวยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนและพรรคประชาธิปัตย์ แต่นางอาภาภรณ์ เอกอุรุ น้องสาวและนายสมศักดิ์ เอกอุรุ ลูกพี่ลูกน้อง ได้รับงานประชาสัมพันธ์ให้กับบริษัททีพีไอจริง และมีการจ่ายเงินผ่านบัญชีของนายสมศักดิ์ จำนวนประมาณ 10 ล้านบาท แต่ตนไม่รู้สึกกังวล เพราะเป็นการทำงานจริง และไม่ได้โอนเข้าพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน และตนไม่ได้มีส่วนในเงินนั้นเลย เพราะเป็นส.ส.ภาคใต้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากขนาดนั้น และได้เข้าชี้แจงต่อดีเอสไอแล้วถึง 2 รอบ และพร้อมจะชี้แจงในสภา

"ล่าสุด นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกไปสอบถามด้วยความกังวล แต่ผมได้บอกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง มีข้อมูลและเอกสารชี้แจงพร้อมแล้ว นายชวน ถึงได้บอกว่า ให้ผมตอบโต้กลับไปอย่างหนัก ๆ ดังนั้นก็เจอกันในสภาก็แล้วกัน นอกจากนั้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ผมจะเข้าไปชี้แจงเรื่องนี้ต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นายกฯได้สบายใจว่าผมมีข้อมูลครบถ้วนแล้ว" นายประพร กล่าว

"เฉลิม" เย้ยกินปูนร้อนท้อง

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาชี้แจงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินจำนวน 250 ล้านบาทว่า ยังไม่บอกเลยว่าจะอภิปรายเรื่องอะไร แต่กลับออกมาชี้แจงกันยกใหญ่ ทั้งนี้รับรองได้ว่ามีหลักฐานชัดเจนมากกว่าเรื่องส.ป.ก. 4-01 ดังนั้นขอให้รอดูมาตรฐานการอภิปรายของฝ่ายค้านว่าต่ำกว่ามาตรฐานอย่างที่ รัฐบาลกล่าวหาหรือไม่

อ้างหักหลัง-ปม250ล.เลยแตก

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นอกจากเรื่องเงินบริจาค 250 ล้านบาทแล้ว จะอภิปรายเรื่องเงินจากกองทุนพัฒนาการเมือง ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับ 23 ล้านบาท ที่ถูกโอนเข้าบริษัทเมซไซอะฯ ที่มีนายประจวบ สังขาว เป็นผู้บริหารด้วย แต่เงินไม่ได้ถูกนำไปใช้เป็นค่าจ้างทำโฆษณา แต่ถูกถ่ายโอนออกไปให้กับคนใกล้ชิดนักการเมืองพรรคเก่าแก่หลายเส้นทาง บางคนก็มีนามสกุลของนักการเมืองชื่อดัง เมื่อบริษัทมีรายได้มากก็ต้องเสียภาษีมาก แต่เงินดังกล่าวไม่ใช่รายได้ที่แท้จริง นายประจวบจึงไม่สามารถแบกรับเงินภาษีที่ต้องจ่ายได้ ก็กลับไปหานักการเมืองของพรรคดังกล่าวแก้ปัญหา แต่ถูกปฏิเสธ นายประจวบจึงต้องทำใบกำกับภาษีปลอมจำนวนมาก เมื่อถูกจับได้เรื่องจึงแดงขึ้นมา

"ถ้าไม่หักหลังกันเองเรื่องนี้ก็ไม่แดงขึ้นมา เมื่อนายประจวบต้องเป็นผู้แบกรับการเสียภาษี ทุกวันนี้ก็อยู่ในสภาพลำบากต้องไปเป็นผู้จัดการสถานอาบอบนวดแห่งหนึ่ง เขาจึงได้เข้าพบอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นหนึ่งในเสื้อแดงรายหนึ่ง เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยบอกเล่าข้อเท็จจริง นำหลักฐานทั้งที่เป็นสลิป เช็คทุกใบมามอบให้ เวลานี้จึงมีหลักฐานครบถ้วน ถึงเสียงในสภาจะฆ่าไม่ตาย แต่ข้างนอกกระแสสังคมตายสนิท และยังมีประเด็นอื่นที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน รอเวลากินเบ็ดแกร๊กเดียวก็จบ" นายจตุพร กล่าว

"อภิสิทธิ์"ฉุนถูกจี้ถามปมเงิน250ล้าน

ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ว่า ยังไม่ได้รับทราบรายละเอียดกรณีที่นายนิพนธ์ ยอมรับว่าน้องสาวมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทแมสไซอะฯ ว่าเป็นอย่างไร และยังไม่ได้ยินว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีของพรรค จึงมั่นใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยยอมรับ แต่นายนิพนธ์ออกมายอมรับว่าเป็นของน้องสาวตนเอง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนก็ไม่เคยได้ยิน ถึงแม้มีการโอนเงินเข้าไปก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็เลยงง หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ส.ส.หรือสมาชิกพรรคก็ต้องชี้แจงไปว่าข้อเท็จจริงคืออะไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าไม่เคยมีการโอนเงิน แต่ครั้งนี้มีการออกมายอมรับ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า "ใครครับใคร ใครบอกว่าไม่มีอะไร"

ผู้สื่อข่าวจึงถามไปว่า คนที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับการโอนเงินตามที่เป็นข่าวต่างไม่เคยยอมรับ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า "ทีนี้ก็มาบอกว่าเป็นเรื่องของน้องสาวนายนิพนธ์ แล้วอย่างไรครับ อย่างที่เรียนก็ต้องไปถามนายนิพนธ์ แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับพรรคด้วย ถ้ามีการมาสอบถามผม แล้วบอกว่ามีการโอนเงินไปเข้าบัญชีของน้องสาว ส.ส. แล้วผมจะไปทราบได้อย่างไร เมื่อข้อเท็จจริงเจ้าตัวบอกว่าเป็นอย่างนั้นก็จะไปถาม คงไม่ใช่ไปบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์เมื่อก่อนนั้นเป็นอย่างนี้ แล้ววันนี้ไม่ใช่อย่างที่พูดอะไรต่างๆ มันไม่น่าจะใช่ ก็จะได้ไปทำความเข้าใจให้ตรงกันเท่านั้นเอง"

นายกฯ เชื่อไม่มีผลล้มรัฐบาล

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้สอบถามนายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรค ปัจจุบันเป็นกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ซึ่งก็บอกว่าสามารถชี้แจงได้ว่า มีการบริจาคเงินในสมัยที่นายบัญญัติเป็นหัวหน้าพรรค แต่ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวผู้อื่นในพรรคหรือในสภา เขาก็จะใช้สิทธิ์พาดพิง และอธิบาย

เมื่อถามว่า จุดนี้อาจจะทำให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ล้มหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ เพราะทั้งหมดอยู่ที่ข้อเท็จจริง ทุกอย่างจะมีการชี้แจง

ไฟเขียวส.ส.250ล้านฟ้องเพื่อไทย

นายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายของพรรคได้มีการหารือถึงประเด็นดังกล่าว เมื่อดูข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว เชื่อว่าบุคคลที่ถูกพาดพิงจะสามารถชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดได้ หลังจากนี้ฝ่ายกฎหมายจะตรวจสอบ หากพบว่าสิ่งที่ฝ่ายค้านกล่าวหานั้นทำให้เกิดความเสียหาย ก็อาจจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เเป็นการกล่าวหาในระดับบุคคล แม้จะมีการกล่าวหาพาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่พรรคจนถึงขั้นน่าเป็นห่วงการฟ้องร้อง่จึงคง เป็นระดับ ส.ส.ที่ถูกพาดพิงเท่านั้น ส่วนจะมีการฟ้องในนามของพรรคด้วยหรือไม่ ต้องขอดูข้อมูลและการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านก่อนว่า มีการพาดพิงจนทำให้พรรคเสียหายถึงขั้นไหน




 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 16:04:25 น.
Counter : 653 Pageviews.  

เปิดเอกสาร"ลับ"แกะรอยเส้นทางเงิน250ล้านจาก"เมซไซอะฯ"มัดคอแกนนำ ส.ส.ภาคใต้ประชาธิปัตย์

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เวลา 21:33:41 น. มติชนออนไลน์

เปิดเอกสาร"ลับ"แกะรอยเส้นทางเงิน250ล้านจาก"เมซไซอะฯ"มัดคอแกนนำ ส.ส.ภาคใต้ประชาธิปัตย์?

เงินจำนวน 250 ล้านบาทมีเอกสาร"ลับ"ที่ระบุว่า การนำเงินเข้าบัญชีญาติพี่น้องของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อย่างน้อย 5 คนเป็นเงินนับสิบล้านบาท

เงินจำนวน 250 ล้านบาท ที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตยและเจ้าของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด(มหาชน)ยอมรับว่า จ่ายให้แก่บริษัทเมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เพื่อเป็นค่าจ้างโฆษณา อาจทำให้แกนนำพรรคประชาธิปัตย์บางคนต้องตกอยู่ในฐานะลำบาก



เพราะเอกสาร"ลับ"แกะรอยเส้นทางเงินดังกล่าวบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า มีการนำเงินเข้าบัญชีญาติพี่น้องของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อย่างน้อย 5 คนเป็นเงินนับสิบล้านบาท


ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ โฆษกดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมายอมรับว่า กำลังตรวจสอบเส้นทางเงินจำนวน 250 ล้านบาท จากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด เนื่องจากเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2551 มีผู้ร้องเรียนว่า การนำเงินออกจากบริษัท ทีพีไอโพลีนดังกล่าวเป็นการกระทำความ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535เพราะเป็นการกล่าวหาว่า "ไซฟ่อน"หรือ"ยักยอกเงิน"จากบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์


ขณะที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์เองอ้างว่าในช่วงปี 2547-2548 มีการจ่ายเงิน 250 ล้าน เพื่อใช้ในการค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์



จากการตรวจสอบข้อมูลบริษัทเมซไซอะะฯจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัทถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2551


อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบงบการเงินพบว่า มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดคือ


ในปี 2547 ซึ่งเป็นปีแรกที่พบว่า อ้างว่ามีการว่าจ้างบริษัททำโฆษณาทำให้มีรายได้รวมถึง 152,190,943.83 บาท


ขณะที่ปี 2546 มีรายได้ 8,242,627.60บาท ปี 2545 มีรายได้ 6,513,795.54 ปี 2544 มีรายได้ 9,315,128.88 และปี 2543 มีรายได้เพียง 5,220,999.10 บาท


จากข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ทำให้การไหลเวียนของเงิน 250 ล้านบาท น่าสงสัยมากพออยู่แล้ว


ยิ่งเมื่อพรรคเพื่อไทยพยายามลากโยงว่า เงินจำนวนดังกล่าวไหลเข้าพรรคประชาธิปัตย์ทำให้ผู้ฟังหูผึ่งขึ้นมาทันที


ก่อนหน้านี้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มคนเสื้อ แดงออกเปิดโปงว่า เงินดังกล่าวไหลผ่านบริษัทเมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด มี มีนายประจวบ สังขาว เป็นผู้บริหาร และมีชื่อของ น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง ลูกสาวนายสุพัฒน์ ธรรมเพชร อดีต ส.ส.พัทลุง หลายสมัย และนายไทกร พลสุวรรณ แกนนำอีสานกู้ชาติเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท


จากการตรวจข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า บริษัทดังกล่าวมี นายประจวบ สังขาว น.ส.วลัยลักษณ์ ประสงค์ และนายปณิธิ ศิริเขต เป็นกรรมการ


มีผู้ถือหุ้น 7 คน ได้แก่ 1.นายประจวบ สังขาว (80,000 หุ้น) 2.น.ส.วลัยลักษณ์ ประสงค์ (10,000 หุ้น) 3.น.ส.ฐิติพร อยู่ไว (9,960 หุ้น) 4.น.ส.กรุณา คอนแหยม (10 หุ้น) 5.น.ส.เบญจวรรณ คอนแหยม (10 หุ้น) 6.นายปรีดี คอนแหยม (10 หุ้น) และ 7.น.ส.วิสุดา มีสุโข (10 หุ้น)


ขณะที่สุนัย จุลพงศธรส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เคยแฉกลางสภามาเแล้ว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2551ในช่วงที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี โดยนำเอกสารเป็นการนำเข้าบัญชีบุคคลต่างๆที่อ้างว่า เป็นส่วนหนึ่งของเงิน 250 ล้านบาทมาเปิดเผย แต่ขณะนั้นไม่ได้รับความสนใจมากนักเพราะเหมือนฝ่ายรัฐบาลอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฝ่ายค้าน


จนกระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มีนายอภิสิทธฺ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยนำเรื่องดังกล่าวมาขู่อภิปรายไม่ไว้างใจรัฐบาลผนวกกับกระแส ข่าวย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอซึ่งเป็นผู้กุมข้อมูลเรื่องนี้อยู่


ปมเงิน 250 ล้านบาทจึงกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่ง


จากเอกสารที่พรรคเพื่อไทยนำมากล่าวหานั้น อ้างว่า เป็นสำเนาหลักฐานการโอนเงินออกจากบริษัทเมซไซอะฯ ไปยังบุคคลต่างๆหลายคนผ่าน 3 ธนาคารใหญ่คือ กสิกรไทย กรุงเทพ และกรุงไทย สาขารังสิต นับตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2547 จนถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 ไปยังสาขาปลายทางของ 3 ธนาคารใหญ่ ในเขตกรุงเทพมหานคร 64 ครั้ง และสาขาใน จ.สงขลาอีก 11 ครั้ง รวมแล้ว 75 ครั้ง


การโอนเงินแต่ละครั้งส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ 1.8-1.9 ล้านบาทเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ตรวจสอบเพราะ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกำหนดว่า ถ้าธุรกรรม 2 ล้านบาทขึ้นไปธนาคารต้องรายงานการทำธุรกรรมต่อสำนักงาน ป.ป.ง


อย่างไรก็ตามมีไม่ต่ำกว่า 8 ครั้งที่การโอนเงินอยู่ในระดับ 3.6 ล้านบาท บางครั้งสูงถึง 10 ล้านบาท


จากเอกสารระบุว่าบุคคลชื่อ"ประจวบ"เป็นผู้นำเงินฝากผ่านบัญชีถึง 68 ครั้งจาก 75 ครั้ง คำถามคือ เป็นคนเดียวกับนายประจวบ สังขาว กรรมการบริษัท เมซไวอะะฯหรือไม่


ส่วนผู้นำเงินเข้าบัญชีคนอื่นได้แก่ ประมูล หอมหวล ณัฐพล จิรวิสุทธิกุล มานพ นาสุวรรณ


สำหรับผู้ที่รับเงินปลายทาง เอกสารของพรรคเพื่อไทยอ้างว่า แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆคือ


หนึ่ง กลุ่มคนใกล้ชิดของนายประจวบ เช่น นายณัฐพล จิรวิสุทธิกุล, นายประมูล,นายสวัสดิ์ สังขาว, นายปัญญา ประสงค์ ฯลฯรวมแล้วหลายสิบล้านบาทและเป็นเงินส่วนใหญ่


สอง กลุ่มใกล้ชิด ส.ส.แบบสัดส่วนทางภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่มีการโอนเงิน เช่น นางมาลีน้องสาว ส.ส. รับไป 10 ล้านบาท นายนูญ เป็นข้าราชการครู แต่ ใกล้ชิด ส.ส. รับไป 3.6 ล้านบาทเศษ นายจักรริน ถือหุ้นบริษัทเดียวกับ ส.ส. 3.1 ล้านบาท


สาม กลุ่มใกล้ชิด ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์รายหนึ่ง(ใกล้ชิดกับ ส.ส.แบบสัดส่วน) ได้แก่ อาภาพร น้องสาว ส.ส. รับไป 3.6 ล้านบาท สมศักดิ์ ญาติ ส.ส.เจ้าของแพปลา รับไป 1.8 ล้านบาท นายอัฎฐกร พระธาตุ รับไป 3.6 ล้านบาท


นายอัฎฐกร พระธาตุ กล่าวกับ"มติชนออนไลน์"ว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้มาสอบปากคำตนไปแล้ว ช่วงขณะที่ได้รับเงินโอนนั้นทำงานอยู่กับ"น้าอู๊ด" หรือ"สมศักดิ์"ซึ่งเป็นเจ้าของแพปลา เมื่อได้รับเงินก็นำไปให้นายสมศักดิ์ต่อ แต่ไม่ทราบว่านายสมศักดิไปใช้ทำอะไร


ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้ นอกจากมีเงินส่วนหนึ่งไหลเข้าบัญชีญาติพี่น้องของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แล้ว จะโยงถึงตัวพรรคได้อย่างไร


เพราะเมื่อดูท่าทีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรมากนักเพราะช่วงที่มีการโอนเงินเข้ากระเป๋า ส.ส.พรรคนั้นเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2548 ที่มีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นเลขาธิการพรรค นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ อดีต ส.ส.สงขลา เป็นรองเลขาธิการพรรค


ทั้งนี้เป็นที่รู้กันดีว่า ในขณะนั้นกลุ่มนายบัญญัติและกลุ่มนายสุเทพต่างช่วงชิงอำนาจกันในพรรคกันอย่างดุเดือด


การงัดเรื่องปมเงิน 250 ล้านบาทมาเล่นกันในครั้งนี้ อาจเข้าทางของนายสุเทพ เทือกสุบรรณโดยบังเอิญก็เป็นได้ เว้นแต่มีหลักฐานบางอย่างโยงว่า ผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบันมีส่วนเกี่ยวข้องไมาทางใดก็ทางหนึ่ง

ที่มา มติชน




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2552 1:12:32 น.
Counter : 529 Pageviews.  

อดีตผู้สมัครนายกอบจ.สตูลถล่ม'มาร์ค'แจ้งเท็จกกต.-หนุนโกงเลือกตั้ง

15 ก.พ. 2009 - 16:23:53 น.

อดีตผู้สมัคร 'นายก อบจ.สตูล' ยืมมือ'เพื่อไทย' ปูด!เอกสารทะเบียนพรรคการเมือง ถล่ม 'มาร์ค' หนุนลูกหม้อ ปชป.แหกกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น-แจ้งข้อมูลเท็จรับรอง 'ธานินทร์ ใจสมุทร' สวมเสื้อ ปชป.ลงชิงนายก อบจ.สตูล ทั้งที่สิ้นสถานภาพนานแล้ว ข้องใจ กกต.เตะถ่วงยื่นคัดค้าน 'ธานินทร์' พร้อมยกคำร้องความผิดสัญญาว่าจะให้เงิน หลัง กกต.จังหวัด 'แจกใบแดง' โดยไม่มีคำวินิจฉัย ปิดทางร้องศาลอุทธรณ์ ลั่นขู่ฟ้อง 'ยูเอ็น' ย้ำประเทศไทยสองมาตรฐาน ตอกฝาโลง 'อภิสิทธิ์' เป็นถึงนายกฯแต่ไม่เคารพกฎหมาย

ตามที่ นายนาวี พรหมทรัพย์ อดีตประธานสภาจังหวัดสตูล และผู้สมัครนายก อบจ.สตูล พร้อมด้วยทีมกฎหมาย ได้เข้าร้องเรียนต่อนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมแถลงต่อสื่อมวลชน โดยระบุว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รวมถึงนายทะเบียนสมาชิกพรรคและกรรมการบริหารพรรค เป็นผู้มีส่วนในการกระทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าร้องเรียนต่อ กกต.จังหวัด และ กกต.กลาง ไปแล้ว

โดยความผิดแรก นายอภิสิทธิ์พร้อมด้วยกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 49 คน ได้อนุมัติให้สมาชิกพรรคการเมืองอื่น คือ นายสุทรรศน์ จุนณศักดิ์ศรี สมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดิน และนายกำธร หมาดสา สมาชิกพรรคมหาชน ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูลในนามของพรรคประชาธิ ปัตย์ ตามที่ปรากฎในรายงานการประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2551 ซึ่งมีความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 ในมาตรา 24 , มาตรา 35 และ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ม. 57 (5)

นายนาวี กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ได้ลงลายมือชื่อรับรองว่านายธานินทร์ ใจสมุทร เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เลขที่ 30588714 เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2535 เพื่อนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ในการสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ. วันที่ 17 มี.ค.2551 ทั้งที่ข้อเท็จจริงนายธานินทร์ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แล้ว เนื่องจาก กกต.ได้มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายธานินทร์ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.สตูล เขต 2 เป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.2548

ทั้งนี้ เนื่องจากได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส ส.ว.2541 มาตรา 44 และให้ดำเนินคดีอาญาแก่นายธานินทร์ ตามมาตรา 44 (5) ประกอบมาตรา 101 แต่ปรากฎว่าเวลาผ่านมา 5 ปี กกต.ก็ยังไม่ได้ดำเนินคดีอาญากับนายธานินทร์ ซึ่งหากมีการดำเนินคดีอาญา นายธานินทร์จะต้องถูกตัดสิทธิการเมืองถึง 5 ปี และต้องชดใช้เงินสำหรับการจัดการเลือกตั้งจำนวน 13 ล้านบาท

“ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ จึงแจ้งข้อมูลเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ และต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ยืนยันว่านายธานินทร์เป็นสมาชิกจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นความผิดต่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ม.18 19 และม.24 และผิดกฎหมายอาญาม.137 นอกจากนี้ยังผิดต่อพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ม.75 ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 เรื่องการจัดสรรเงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่ให้เป็นไปตามจำนวนสมาชิกพรรค แต่นายอภิสิทธิ์กลับละเลย ไม่ดำเนินการแจ้งจำนวนสมาชิกที่เป็นข้อเท็จจริง”นายนาวี ระบุ

นอกจากนี้ ในแผ่นพับรูปภาพหาเสียงของทีมผู้สมัครนายก อบจ.และสมาชิกสภา อบจ.สตูล พรรคประชาธิปัตย์ได้ระบุข้อความสัญญาว่าจะจัดเงินหรือทรัพย์สินให้มัสยิดโดย ตรงปีละ 60,000 บาท และ “1 ฮัจญ์ 1 ตำบล” ปีละ 50 คน ซึ่งเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองปี 2550 ม. 53 (2) (5) และผิดระเบียบ กกต. ว่าด้วยการหาเสียงข้อควรปฏิบัติและข้อห้ามมิให้ปฏิบัติของผู้สมัครรับเลือก ตั้งและสิทธิผู้เลือกตั้ง ข้อ 6 (2) และ (5) การที่นายอภิสิทธิ์และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์อนุมัติให้ทีมผู้สมัคร อบจ.สตูล ที่นำโดยนายธานินทร์ นำเสนอนโยบายหาเสียงที่ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งและระเบียบของ กกต.จะร่วมรับผิดชอบอย่างไร

“เมืองไทยมี 2 มาตรฐาน ตนร้องการทำผิดกฎหมายของนายธานินทร์ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง แต่ กกต.กลับดึงเรื่อง ซึ่งเหลืออีกแค่ 2 เดือนก็จะหมดอายุความ โดยเมื่อปลายเดือนธ.ค.2551 กกต.ได้ยกคำร้องเรื่องคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคของนายธานินทร์ ส่วนการสัญญาว่าจะให้เงินนั้น กกต.สตูล ได้มีมติให้ใบแดงไปแล้ว แต่ กกต.กลางกลับยกคำร้อง ซึ่งตนได้ขอคัดสำเนาเพื่อทราบเหตุผล แต่ได้รับคำตอบว่ายังไม่ได้เขียนคำวินิจฉัย ตนจะยื่นศาลอุทธรณ์ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องแนบสำเนาคำวินิจฉัยของ กกต.ไปด้วย”

และส่วนตัวนายอภิสิทธิ์เองก็ทำผิดตั้งแต่เป็นส.ส.ครั้งแรก เมื่อเดือนมี.ค.2535 ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตามข้อมูลของ กกต.นายอภิสิทธิ์ เข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2535 คือหลังจากเป็น ส.ส.ไปแล้ว 4 เดือน ทั้งที่รัฐธรรมนูญ 2534 ม. 105 (3) กำหนดให้คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครส.ส.ต้องเป็นสมาชิกพรรคที่ส่งสมัครรับ เลือกตั้ง ซึ่งตนจะนำหลักฐานทั้งหมดไปยื่นต่อสถานทูตอังกฤษที่นายอภิสิทธิ์จบการศึกษา จากที่นั่น และยื่นต่อสหประชาชาติว่านายอภิสิทธิ์ซึ่งไม่เคารพกฎหมาย มีความชอบธรรมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทยหรือไม่

ที่มา : เว็ปหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2552 2:06:12 น.
Counter : 529 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.