ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

สหรัฐฯเข้าใจเสื้อแดง อย่างที่เสื้อแดงอ้างหรือ

But Do the Americans Understand Red Shirt-like the Red Shirt Says?
March 11, 2010
By Frank, this blog political journalist
ที่มา – Thai Intelligence News
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑

จาตุรนต์ ผู้มีส่วนร่วมในเสื้อแดงระดับหนึ่ง เพียงแค่กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากของสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่ได้กล่าวว่า คนอเมริกาเข้าใจในเสื้อแดง

เราพบว่า แถลงการณ์ของสหรัฐฯเป็นเรื่องตลกเสมอ – นับตั้งแต่กองทัพไทย ปฏิบัติต่อผู้อพยพชาวม้งอย่างโหดร้าย และอเมริกาเป็นประเทศซึ่งมีประชาชนเชื้อสายม้งอาศัยอยู่เป็นจำนวนไม่ใช่น้อย โอบามาทำได้แค่เพียงออกมาพูดอะไรบางอย่าง – แต่ก็แค่นั้น

ถือว่าเป็นเรื่องโชคร้ายของจาตุรนต์ เพราะนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯนั้น ไม่อยู่กับร่องกับรอย เมื่อใดที่สังคมอเมริกันเหลืออด เมื่อนั้นแหละ จึงมีการกระทำการตกลงร่วมกับพวกฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาจัด

แต่ที่สำคัญจริงๆคือ แอ๊บบอตฯบริษัทผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ เชฟรอน และจีเอ็มต่างหาก ที่เป็นผู้สั่งการสถานทูตสหรัฐฯในประเทศไทย

และรู้ไหมว่า การที่อภิสิทธิ์ยอมอ่อนข้อให้แอ๊บบอตฯ ช่วยเชฟรอนสร้างศูนย์ปฏิบัติการงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย ท่ามกลางการต่อต้านของชาวบ้าน และจีเอ็มกำลังมีความสุขกับเงินกู้ประมาณ ๑๗,๕๐๐ ล้านบาท ลองทายซิว่าใครเป็นผู้ปล่อยเงินกู้นี้ – ถ้าไม่ใช่ธนาคารกรุงเทพซึ่งหนุนหลังอภิสิทธิ์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูนี้

ฮิลลารีช่างทำตัวให้น่าหัวเราะเสียนี่กะไร ในที่ประชุมอาเซียน ฮิลลารียกประเด็นเรื่องการเสริมสร้างการพัฒนาในเขตลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งขณะนี้ประเทศจีนกำลังใช้น้ำจากแม่น้ำโขงจนแห้งขอด แล้วเดี๋ยวนี้เป็นไงล่ะ – ไม่มีอะไรหลุดรอดออกมาจากปากของฮิลลารี

เราขอยกคำพูดของฮิลลารีที่ว่า “ประชาชนจำนวนนับร้อยๆล้านคน จะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาในเขตลุ่มแม่น้ำโขงแห่งนี้”

อยากฟังอีกหรือ ได้เลย ฮิลลารีช่างหลงใหลกับเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต – นั่นเป็นนโยบายที่แถลงออกมาจากโอบามา

แต่ทายซิ ในขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงไอซีทีกำลังปราบปรามการใช้อินเทอร์เน็ตจนถึงขั้นซื้อ “สนิฟเฟอร์” เพื่อเจาะข้อมูลในอีเมล์ แถมทูตสหรัฐฯยังเป็นผู้ร่วมฉลองเปิดงานอย่างอลังการที่ ศูนย์ไอซีที ที่เชียงใหม่กับรัฐมนตรีกระทรวงไอซีที แน่นอน นั่นก็เพราะหลังจากฮิลลารีได้มอบเงินให้ความช่วยเหลือกับกระทรวงไอซีที

และแน่นอน ประเทศไทยเป็นมหามิตรของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอันดับสองรองจากแค่นาโต้ นั่นก็เพราะ จะเอาประเทศไทยไว้ใช้ถ่วงดุลกับกองทัพเรือของจีนในน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิก

เราเพียงต้องการนำคำพูดจากปากของนายพลของกองทัพแห่งอเมริกาใต้คนหนึ่ง ซึ่งชาวอเมริกันเคยมองว่า เป็นจอมเผด็จการ – ได้ออกโรงสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศของตัว โดยกล่าวว่า “การละเมิดสิทธิมนุษยชนถือได้ว่า ขาดความชอบธรรม”

ความจริงที่ว่า นักสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มจากทุกระดับทั่วโลก ต่างออกมาโจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์ แม้แต่องค์กรวิจัยด้านเสรีภาพของประชาชนทั่วโลก ซึ่งเป็นของสหรัฐฯ ในวันนี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การจัดลำดับ ที่จัดประเทศไทยให้อยู่ในตำแหน่งแค่ประเทศกึ่งเสรีเท่านั้น

เสียใจด้วยนะ จาตุรนต์ ที่เราไม่ไว้ใจในคำพูด จากปากของคณะผู้บริหารของโอบามา

ที่มา liberalthai.wordpress.com




 

Create Date : 13 มีนาคม 2553    
Last Update : 13 มีนาคม 2553 3:46:42 น.
Counter : 467 Pageviews.  

คนไทยไม่ไว้ใจผู้ไร้การศึกษาอย่างชนิดฝังหัว

Thais’ Distrust of the Uneducated Runs Deep
March 2, 2010
ที่มา – TumblerBlog
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑

คุณคิดหรือว่า ความแตกแยกทางการเมืองระหว่างชนชั้นกลางชาวเมืองหลวง และชาวบ้านนอกในประเทศไทยนี้จะเป็นแค่ปรากฏการณ์ธรรมดาๆ คุณยังคิดหรือว่าข้อเสนอของฝ่ายพันธมิตรที่ถอยสูตรดัง ๗๐-๓๐ เป็นกระบวนการชั้นปราบเซียนของชาวเมืองหลวง ที่จะปฏิเสธ ”ผู้ไร้การศึกษา” ซึ่งชื่นชอบทักษิณ ลองคิดใหม่ได้นะ

หนังสือชื่อเรื่องว่า “ชาวเอเชียตะวันออกมองประชาธิปไตยเป็นอย่างไร” วางแผงในปี ๒๕๕๑ เขียนโดย ชู และคนอื่นๆ ฝ่ายบรรณาธิการได้รวบรวมผลการสำรวจขั้นพื้นฐานจากหลายประเทศในแถบเอเชีย ในหัวข้อเกี่ยวกับท่าทีของคนที่มีต่อคุณค่าของประชาธิปไตย ผลจากการสำรวจทั้งหมดแสดงในหนังสือเล่มนี้ แต่เรื่องเตะตาผมเป็นพิเศษคือคำตอบของคำถามในข้อนี้

“คุณเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย: ผู้มีการศึกษาน้อย หรือไร้การศึกษา ควรมีสิทธิออกเสียงในทางการเมืองเทียบเท่ากับผู้มีการศึกษาสูง”

คำตอบได้รวบรวมและแยกเป็นแต่ละประเทศ ตามตารางข้างล่างนี้ ตัวเลขแสดงให้เห็นจำนวนความเห็นด้วยกับคำถามข้างบนนี้

ญี่ปุ่น เห็นด้วยร้อยละ ๙๐.๓

ฮ่องกง เห็นด้วยร้อยละ ๙๐.๑

เกาหลี เห็นด้วยร้อยละ ๗๒.๒

ไต้หวัน เห็นด้วยร้อยละ ๙๐.๒

จีน เห็นด้วยร้อยละ ๙๑.๖

ฟิลิปปินส์ เห็นด้วยร้อยละ ๕๕.๔

มองโกเลีย เห็นด้วยร้อยละ ๘๓.๐

ไทย เห็นด้วยร้อยละ ๑๕.๐


ใช่แล้ว คุณอ่านไม่ผิดหรอก คนไทยเพียงร้อยละ ๑๕ ที่เห็นด้วยกับคำถามที่ว่า ผู้มีการศึกษาน้อย หรือไร้การศึกษา ควรมีสิทธิออกเสียงในทางการเมืองเทียบเท่ากับผู้มีการศึกษาสูง นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจคือ ตัวเลขไม่เพียงแต่ออกมาต่ำจนน่าใจหาย แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่า นี่เป็นคำตอบที่ได้มาจากการใช้วิธีสุ่มตัวอย่าง โดยเลือกผู้ตอบคำถามที่หลากหลายพอที่จะไม่สร้างความลำเอียงให้กับทั้งกับชาวเมืองหลวง และชาวชนบท ที่สำคัญที่สุด ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทยนั้น เป็นการสำรวจย้อนหลังไปในปี ๒๕๔๔ ในช่วงที่ทักษิณเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริงสำหรับคนกรุงเทพที่เป็นชนชั้นกลาง และกำลังหมดความอดทนกับรัฐบาลประชาธิปัตย์ในสมัยนั้น เวลานั้นยังไม่มีใครออกมาร้องแรกแหกกระเชอว่า ชาวชนบทนั่นงี่เง่าแต่อย่างไร

ดังนั้น ความหมายที่แท้จริงคืออะไรล่ะ ผมกล่าวได้ว่า หนึ่งในข้อสรุปอย่างมีเหตุผลของผลการสำรวจนี้คือ คนไทยไม่ว่าจะมาจากเมืองหลวง หรือจากชนบท มีแนวโน้มที่จะให้ราคาการศึกษามากเกินไป โดยเชื่อว่า คนที่มีปริญญานั้นมีความสามารถสูงส่งที่จะแก้ไขปัญหาทางการเมือง ผู้อ่านอาจจะยังจำได้ถึงมาตราที่อื้อฉาวในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ ซึ่งกำหนดคุณสมบัติของ ส.ส. ว่า ต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ ผลการสำรวจยังแสดงให้เห็นอีกว่า ความไม่ไว้ใจผู้ไร้การศึกษานั้น เป็นส่วนหนึ่งของกรอบความคิดของคนไทยซึ่งฝังหัวมานานก่อนยุคทักษิณเสียด้วยซ้ำ แม้จะมีการถกเถียงกันว่าเพราะทักษิณที่ผงาดขึ้นมามีอำนาจต่างหาก ที่ทำให้เห็นชัดเจนขึ้น

แน่ล่ะ ปัญหาอาจจะมาจากวิธีการตั้งคำถามก็ได้ อย่างคำว่า “มีสิทธิออกเสียงในทางการเมืองเทียบเท่า” อาจจะทำให้ผู้ตอบตีความไปว่า “มีสิทธิที่จะป้อนความเห็นอย่างเท่าเทียม” หรือ ”มีความสำคัญในการออกนโยบายต่างๆอย่างเท่าเทียม” มากกว่าที่จะมีความหมายเป็นรูปธรรมอย่าง “มีสิทธิเท่าเทียมในทางการเมือง” (ซึ่งการเสนอสูตร ๗๐-๓๐ ของพันธมิตรแสดงอย่างชัดว่า มีเป้าหมายเพื่อทำลายสิทธินี้) แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่า การศึกษา (หรือพูดอย่างชัดๆลงไปว่า ปริญญาบัตร) มีส่วนสำคัญโดยใช่เหตุในการตัดสินความเป็นคนคนหนึ่งของคนไทยโดยส่วนใหญ่

เมื่อคุณจบปริญญาเอกมาจากเมืองนอก เชื่อขนมกินได้เลยว่า ชีวิตนี้ทั้งชีวิตของคุณใน “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม” นี้ จะได้รับแต่ความเบิกบาน และความสมหวัง

ที่มา liberalthai.wordpress.com




 

Create Date : 12 มีนาคม 2553    
Last Update : 12 มีนาคม 2553 3:13:50 น.
Counter : 491 Pageviews.  

บทสนทนาระหว่างนักวิชาการเหลือง-แดง (ว่าด้วยความจงรักภักดี)

นักปรัชญาชายขอบ

สถานการณ์สมมติ : สมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมแลกกันพูด ได้เชิญนักวิชาการเสื้อเหลืองและเสื้อแดงมาร่วมสนทนาแลกเปลี่ยน “ทางวิชาการ” ว่าด้วยเรื่อง “ความจงรักภักดี” ขอสมมตินักวิชาการเสื้อเหลืองชื่อ (ล) นักวิชาการเสื้อแดงชื่อ (ด)

ผู้ดำเนินรายการ : ผมเข้าประเด็นเลยนะครับ คือเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 คุณทักษิณพูดผ่านรายการ thaksinlive ว่า “...ความแตกแยกในประเทศมาจากการเล่นพรรคเล่นพวกกัน ไปสำคัญผิดว่า ฝ่ายหนึ่งจงรักภักดี อีกฝ่ายไม่จงรักภักดี ฝ่ายที่อ้างว่าจงรักภักดีไปเกาะพระบารมีหากิน ส่วนฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีก็ต่อสู้ทางความคิด…แนวคิดของคนระหว่างศตวรรษที่ 20 และศตวรรษ 21 แตกต่างกัน คนในศตวรรษที่ 21 เข้าใจว่าโลกทุกวันนี้แคบลง และต้องอยู่ด้วยความจริง ทุกอย่างบันทึกผ่านเทคโนโลยีได้หมด และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คนจนเริ่มมองเห็นแสงสว่าง แต่คนศตวรรษที่ 20 มองว่าตัวเองดีคนเดียว คิดว่าต้องมีทาสรับใช้ มีเรื่องชนชั้นและต้องมีการปกครอง ไม่มีความคิดตามระบอบประชาธิปไตยมากนัก คิดว่าทุกคนต้องถูกปกครอง เอะอะก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ คนเกิดความกลัวไม่กล้าคิดกล้าพูด สิ่งนี้คือการทำให้ประเทศล้าหลัง การปฏิวัติเป็นสิ่งล้าหลังในเวทีโลก นี่คือสิ่งที่เราทำกันเองเพราะคนในศตวรรษที่ 20 สั่งให้ปฏิวัติ” อยากจะถามความเห็นของทั้งสองท่านว่า คิดอย่างไรกับสิ่งที่คุณทักษิณพูด เริ่มจากคุณ (ล) ก่อนแล้วกันครับ

(ล) : ผมไม่อยากให้ราคากับสิ่งที่ทักษิณพูดเลย เพราะไม่มีอะไรใหม่ เป็นเรื่องที่เขาทำมาโดยตลอดอยู่แล้ว มีโอกาสเขาก็จะพูดกระทบเบื้องบนอยู่เสมอ ตั้งแต่ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” “มือที่มองไม่เห็น” แม้ภายหลังจะระบุชื่อ “พลเอกเปรม” แต่ก็เจตนาจะกระทบชิ่งถึงเบื้องบน นี่ก็เอาอีกแล้ว “คนในศตวรรษที่ 20 สั่งให้ปฏิวัติ” คือมันสะท้อนให้เห็นว่าจิตใต้สำนึกเขาเป็นยังไง เขาคิดอะไรอยู่ ปล่อยให้เขาพูดไปเถอะครับ เพราะในที่สุดสิ่งที่เขาพูดคนไทยส่วนใหญ่คงรับไม่ได้ คำพูดของเขาจะทำลายตัวเขาเอง

(ด) : ผมว่าทักษิณเขาต้องการบอกสังคมว่า สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาความแตกแยกที่ทำให้บ้านเมืองถดถอยมันเกิดจากอะไร? คำตอบก็คือการแบ่งแยกคนในประเทศออกเป็นฝ่ายจงรักภักดี กับฝ่ายที่ไม่จงรักภักดี แล้วฝ่ายที่อ้างว่าจงรักภักดีนั่นเองที่ทำลายประชาธิปไตย

ผู้ดำเนินรายการ : คำว่า “จงรักภักดี” มีความหมายอย่างไรครับในกรอบของสังคมประชาธิปไตย?

(ล) : คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า? ถ้าเป็นคนไทยอย่าถามอย่างนี้! เกิดมาเป็นคนไทยเราต้องรู้โดยสามัญสำนึกอยู่แล้วว่า หน้าที่ของเราคือต้องจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน รัฐธรรมนูญก็บัญญัติไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในสถานะที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ เมื่อรัฐธรรมนูญมาจากประชาชนก็หมายความว่าประชาชนมีฉันทานุมัติให้พระมหากษัตริย์อยู่ในสถานะที่เราทุกคนต้องจงรักภักดี และความจงรักภักดีก็เป็นความถูกต้องในตัวของมันเอง เพราะมันเป็นหน้าที่ที่คนไทยทุกคนต้องปฏิบัติโดยไม่ต้องตั้งคำถาม หรือประมาณว่ามันคือจริยธรรมที่มีลักษณะเป็น “คำสั่งเด็ดขาด” ที่คนไทยทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข

(ด) : ผมเห็นด้วยว่า ความจงรักภักดีมีลักษณะเป็น “คำสั่งเด็ดขาด” ถ้าสังคมเราอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อำนาจเป็นของพระมหากษัตริย์เพียงผู้เดียว แต่นี่เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนทุกคน ในสังคมประชาธิปไตยที่ยึดหลักการพื้นฐานที่ว่า “เราทุกคนมีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน” การที่บุคคลหรือคณะบุคคลใดๆมีสถานะพิเศษหรือมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นๆเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล เพราะเราไม่อาจอธิบายความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ได้ ฉะนั้น ถ้า “ความไม่เสมอภาค” ในความเป็นมนุษย์เป็นเรื่องไร้เหตุผลรองรับในสังคมประชาธิปไตย “ความจงรักภักดี” ที่มีความหมายเป็น “คำสั่งเด็ดขาด” ก็เป็นเรื่องไร้เหตุผลรองรับด้วยเช่นกัน

(ล) : ทำไมจะไม่มีเหตุผลรองรับ ก็บอกแล้วไงว่า รธน.กำหนดให้สถานะของพระมหากษัตริย์สูงส่งกว่าสามัญชน ความสูงส่งนี้เป็นคุณค่า (value) ทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากอดีตที่คนส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็นที่เคารพสักการะสืบต่อไปตราบนานเท่านาน จึงมีการสร้าง รธน.ปกป้องคุณค่านี้เอาไว้ ฉะนั้น การไม่จงรักภักดีต่างหากที่ไม่มีเหตุผลรองรับ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับ รธน.อันเป็นฉันทานุมัติของประชาชน

(ด) : ผมไม่รู้ว่าเป็นฉันทานุมัติของประชาชน หรือฉันทานุมัติของชนชั้นนำที่สมประโยชน์กันแน่? แต่ผมคิดว่าเมื่อสังคมเปลี่ยนสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว การออกแบบ รธน.ต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย คือหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรม ซึ่งถ้าเรายึดหลักการพื้นฐานดังกล่าวนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมให้มี “อภิสิทธิชน” เพราะถ้ายอมให้มีอภิสิทธิชนได้ ก็หมายความว่านอกจากเราจะยอมให้มี “บุคคลหรือกลุ่มบุคคลพิเศษ” ที่มีสิทธิต่างๆเหนือเราแล้ว โดยการยินยอมให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเช่นนั้นก็เท่ากับเรายอมให้เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรมในสังคมถูกละเมิดหรือถูกลดทอนลงไปด้วยโดยปริยาย เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะเรียกสังคมของเราว่าเป็นสังคมประชาธิปไตยได้อย่างไร?

(เสียงแทรก) : ผมอยากให้เราย้อนไปที่คำพูดของทักษิณ ถ้าไม่ติดเรื่อง “จงรักภักดี” สังคมเราจะมีเสรีภาพในการพูดมากกว่านี้ การมีเสรีภาพในการพูดนี่จำเป็นมากนะครับ เพราะจะทำให้เราตรวจสอบ “จริง-เท็จ” ได้เต็มที่ สมมติว่าทักษิณรู้จริงๆ (อย่างมีหลักฐานชัดแจ้ง) ว่า “ใคร” สั่งให้ปฏิวัติ แต่เขาติดเรื่อง “จงรักภักดี” ที่จำกัดเสรีภาพในการพูด จึงทำให้เขาพูดออกมาได้แค่ “นัยยะ” และ “นัยยะ” ที่เขาพูดออกมานั้นก็ถูกใครต่อใครตีความไปต่างๆนานา พิสูจน์อย่างตรงไปตรงมาต่อสาธารณะไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว “จริง-เท็จ” คืออะไรกันแน่ ความคลุมเครือเช่นนี้ก็ถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายกันต่อไป เราอยากให้สังคมถูกครอบงำให้อยู่กับความคลุมเครือเช่นนี้ตลอดไปหรือครับ? ไม่ต้องพูดถึงหลักความยุติธรรมว่าเสียหายแค่ไหน เพราะมันชัดเจนว่ามีการใช้ “สองมาตรฐาน” กับฝ่ายที่ประทับยี่ห้อ “จงรักภักดี” และฝ่ายที่ถูกตีตราว่า “ไม่จงรักภักดี”

(เสียงแทรกอีก) : ผมอยากจะบอกทักษิณว่า “มันจบแล้วครับนาย…ใครคิดจะล้มล้างสถาบันมันต้องข้ามศพผมไปก่อน!” (เสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอ)

ผู้ดำเนินรายการ : ใจเย็นๆก่อนครับคุณ “เสื้อสีน้ำเงิน” เรากำลังถกกันด้วยเหตุผลทางวิชาการ ไม่มีใครคิดล้มล้างสถาบันหรอกครับ!

(เสียงแทรกอีก) : ในการเมืองสมัยใหม่นี้ หรือกว่า 30 ปีมานี้สถาบันกษัตริย์เข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองอย่างมาก เรียกได้ว่า “สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของปัญหาความเป็นประชาธิปไตย” ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน นักวิชาการ ปัญญาชนคนไหนมองไม่เห็นปัญหานี้คือพวกโง่ถึงโง่บัดซบ ไม่มีกระดูกสันหลัง มีอย่างที่ไหนกล้าวิจารณ์แต่นักการเมือง แต่ขี้ขลาดที่จะวิจารณ์ต้นตอของปัญหาซึ่งมีอำนาจมาก ตรวจสอบไม่ได้ และใช้อำนาจนั้นอย่างไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ

(ล): ผมไม่คิดว่าในหลวงองค์ปัจจุบันจะเข้าไปแทรกแซงทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของพระองค์เอง พระองค์จะเข้าไปแทรกแซงเมื่อจำเป็นหรือเมื่อถูกขอร้อง เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุขไม่เกิดการนองเลือด เช่น เมื่อพฤษภา 35 พระองค์ถูกขอให้เข้ามาแทรกแซงเพื่อให้การนองเลือดยุติลง ส่วน 19 กันยา 49 อาจจะมีการหารือโดยผู้อาวุโสที่เป็น “เสาหลัก” ของบ้านเมืองที่ไตร่ตรองรอบคอบแล้ว จึงจึงมีการตกลงใจทำรัฐประหารก่อนที่จะเกิดการนองเลือด คือคงจะคิดกันดีแล้วว่า “ทำก่อนนองเลือด ดีกว่านองเลือดแล้วค่อยทำ” ก็เป็นธรรมดาที่เมื่อเกิดรัฐประหารไปแล้ว เกิดสุญญากาศทางอำนาจบริหารบ้านเมือง ในฐานะประมุขแห่งรัฐพระองค์ก็ต้องลงพระปรมาภิไธยรับรองผู้นำประเทศตามธรรมเนียมปฏิบัติ เพื่อให้การบริหารบ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ ฉะนั้น เรื่องแบบนี้จะไปกล่าวหาว่าพระองค์ท่านเป็นศูนย์กลางของปัญหาการเมืองคงไม่เป็นธรรม เมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤตพสกนิกรไร้ที่พึ่ง ถวิลหาพระเจ้าอยู่หัวเพื่อให้ทรงแก้วิกฤตนั้น จะให้พระองค์นิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร?

(เสียงแทรก) : ผมเคยอ่านคำให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติ ของ คุณอานันท์ ปันยารชุน เขากล่าวว่าในหลวงไม่ได้แทรกแซงทางการเมืองอย่างที่สื่อต่างชาติเข้าใจ “พระองค์ท่านทรงยึดตัวบทกฎหมายตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด...ตลอดระยะเวลาที่ผมทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี 2 ครั้งนั้น ...ไม่เคยมีรับสั่งใดๆเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่เกี่ยวข้องกับการเมืองของประเทศ...ถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีนำขึ้น พระองค์จะไม่พระราชทานคำปรึกษาใดๆเลย หากจะทรงมีความเห็นก็จะให้เฉพาะเรื่องที่กราบบังคมทูลถามเท่านั้น”

(ด) ผมว่าคุณทักษิณต้องรู้ดีกว่าว่าเขาโดน “ใคร” ปล้นอำนาจไป แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้ทำรัฐประหาร ผู้สมรู้ร่วมคิด หรือสั่งให้ทำรัฐประหาร รวมทั้ง “นักวิชาการหางเครื่อง” เชียร์รัฐประหาร ก็ล้วนแต่ผิดทั้งสิ้น ไม่มีใครต้องถูกยกเว้น ผมขอย้ำว่าในสังคมประชาธิปไตย ความจงรักภักดีของประชาชนเป็นเรื่องที่บังคับหรือเรียกร้องกันไม่ได้ มันเป็นอำนาจของประชาชนที่เขาจะตัดสินใจด้วยตนเอง หากเขาเห็นว่ากษัตริย์เป็นคนดี ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ละเมิดหลักการประชาธิปไตยทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เขาก็จะจงรักภักดี หรือ “รัก” กษัตริย์เช่นนั้นเอง

(เสียงแทรก) : ที่สำคัญอย่าเสือกผูกขาดความจงรักภักดีไว้ฝ่ายเดียว! เที่ยวปลุกระดมด่าคนอื่นๆที่คิดต่างจากพวกตนว่าเป็นผู้ไม่จงรักภักดี เป็นภัยต่อความมั่นคง กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ควรยกเลิกได้แล้ว เพราะมีไว้เป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมืองมากกว่าเพื่อปกป้องสถาบัน ควรให้ใช้กฎหมายหมิ่นประมาทเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป ให้มีหน่วยงานหรือบุคคลเป็นผู้แทนรับผิดชอบแจ้งความฟ้องร้องเมื่อเห็นว่ามีการหมิ่นประมาทสถาบัน การแสดงความจงรักภักดีไม่จำเป็นต้องแสดงออกในรูปแบบ “สรรเสริญพระบารมี” เท่านั้น ในฐานะเป็นบุคคลสาธารณะกษัตริย์ต้องถูกวิจารณ์ได้ ตรวจสอบได้เช่นเดียวกับบุคคลสาธารณะอื่นๆ ถ้าเป็นการวิจารณ์และตรวจสอบโดยเจตนารมณ์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะ

(ผู้ดำเนินรายการ) : เอ๊...การทำให้กษัตริย์เป็นเหมือนคนธรรมดาแบบในประเทศตะวันตกเช่นนี้ มันจะเหมาะกับสังคมไทยหรือครับ คนไทยส่วนใหญ่เขาจะยอมกันหรือเปล่า?

(ล) : ไม่เหมาะแน่นอน เพราะสำหรับสังคมไทยแล้ว พระมหากษัตริย์ทรงเป็น “สมมติเทพ” เป็นที่มาแห่งเกียรติศักดิ์ เพราะทรงมีพระชาติตระกูลสูง ย่อมทำให้เกิดความไว้วางใจและศรัทธา ทรงได้ตำแหน่งจากการสืบราชสันตติวงศ์ ทรงเป็นประมุขของประเทศอย่างถาวร ทรงเป็นศูนย์รวมแห่งความเป็นชาติและความสามัคคีของคนในชาติ ฉะนั้น สถานะของพระองค์ต้องสูงส่งเหนือสามัญชน เราต้องมีกฎหมายและประเพณีวัฒนธรรมปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ของพระประมุขแห่งรัฐให้เป็นที่เคารพสักการะของคนไทยทุกคนตลอดไป การเรียกร้องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะเช่นนี้ คนไทยส่วนใหญ่คงไม่ยอม อย่าว่าแต่จะไม่ยอมในเรื่องดังกล่าวเลย สำหรับคนไทยไม่ว่าจะผิดหรือถูกจะไม่ยอมทนคำวิพากษ์วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัวของเขาโดยเด็ดขาด นี่คือความรู้สึกของคนไทย!

(ด) : ผมว่าการยืนยัน “ความศักดิ์สิทธิ์” ของอะไรก็แล้วแต่มันเป็น mystic นะ คือมันอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์เชิงเหตุผลไม่ได้ว่า “ศักดิ์สิทธิ์” ทำให้เกิด “สิ่งที่ดี” สำหรับมนุษย์ได้อย่างไร โดยเฉพาะสิ่งที่ดีในกรอบของความเป็นประชาธิปไตย ฉะนั้น จะอ้างคำประเภทนี้ เช่น “ศักดิ์สิทธิ์” มาเป็นคำตอบแบบปิดทางเลือกไม่ได้ ถ้าคุณยืนยันความเป็นสังคมประชาธิปไตย คำถามเมื่อกี้ต้องตอบแบบให้มีทางเลือก เช่น ถ้าคนจำนวนหนึ่งไม่ว่าจะมากหรือน้อยเขาเห็นว่าควรเปลี่ยนตามแบบตะวันตกก็ควรให้เขาเสนอความเห็นได้อย่างเสรี ถ้าจะมีพรรคการเมืองชื่อ “พรรคแอนตี้กษัตริย์” “พรรคสังคมนิยม” ฯลฯ ก็ควรปล่อยให้มี เพราะสังคมประชาธิปไตยต้องให้เสรีภาพที่ใครจะเสนอแนวคิด อุดมการณ์ หรือทางเลือกต่างๆเพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาและตัดสินใจ ตราบที่กระบวนการเสนอความคิด อุดมการณ์ของเขายังอยู่ในแนวทางของการใช้เหตุผล ไม่จับอาวุธขึ้นมาเข่นฆ่าใคร เราต้องเชื่อมั่นว่าประชาชนเป็น “มนุษย์ผู้มีเหตุผล” และโดยที่มีเสรีภาพ หรือโดยความเป็น “เสรีชน” เขาย่อมสามารถใช้เหตุผลเลือกสิ่งที่ดีสำหรับตนเองในฐานะที่เป็นมนุษย์ได้

(ล) : คุณมันอุดมคติมากเกินไป ความจริงคือการเมืองทุกระดับในสังคมไทยมันไม่เคยเป็นประชาธิปไตย มีการซื้อเสียงเข้ามาโกงกิน ใครมีเงินมากซื้อพรรคการเมือง ซื้ออดีต ส.ส. ซื้อหัวคะแนน ซื้อเสียง ซื้อศรัทธาจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ยากจนไร้การศึกษาไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ก็สามารถผูกขาดอำนาจรัฐและหาประโยชน์เข้าตัวเองได้อย่างที่กระบวนการตรวจสอบใดๆก็ทำอะไรไม่ได้ มันไม่ดีหรือที่เราจะมีอำนาจบารมีอื่นๆ เช่น ทหาร องคมนตรี กษัตริย์คอยถ่วงดุลนักการเมืองเลวๆพวกนี้อีกทางหนึ่ง? นี่ไม่ใช่เอกลักษณ์ที่สวยงามของ “ประชาธิปไตยแบบวัฒนธรรมไทย” หรอกหรือ? ทำไมเราต้องตกเป็นทาสความคิดแบบตะวันตกนิยม?!

(เสียงแทรก) : เพราะคิดแบบป่าเถื่อนทางปัญญาอย่างพวกคุณ เพราะเคยชินกับการ “กราบตีน” มานานอย่างพวกคุณ เพราะมีแต่นักประชาธิปไตยที่หน้าไหว้หลังหลอกแบบพวกคุณที่ทำตัวเป็นสมุนบริวารของศักดินา-อำมาตย์ เผด็จการจึงได้ใจ โยน “ขี้” ให้พวกคุณรับประทานอยู่เรื่อย! ผมเหนื่อยที่จะเถียงกับคนอย่างพวกคุณจริงๆว่ะ!!

(เสียงแทรกอีก) : ผมว่าวันนี้เราคงหาข้อสรุปร่วมกันไม่ได้ แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้เห็นเสื้อหลากสีมานั่งบนเวทีเดียวกัน มีทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง น้ำเงิน ขาว เขียว รวมทั้งคุณไม่มีเสื้อจะใส่ก็มาด้วย ผมอยากให้มีเวทีแบบนี้มากๆเพื่อให้ความคิดต่างได้มาโต้แย้งกันตรงๆไม่ต้องพูดคนละเวที ไม่ใช่เพื่อ “สานเสวนา-สมานฉันท์” อะไรนั่น แต่เพื่อให้ทุกคนมีเสรีภาพที่จะพูดและแสดงเหตุผลของตัวเองอย่างเต็มที่ คิดต่างเห็นต่างกันได้ แต่อย่าปาอึผสมปลาร้าใส่กันก็แล้วกัน! (ฮา...)

(ผู้ดำเนินรายการ) : หมดเวลาพอดีเลยครับ ขอบคุณคุณเมื่อกี้ที่สรุปแทนผม สวัสดีครับ!




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2553 17:07:33 น.
Counter : 579 Pageviews.  

ไม่เกรงใจตุลาการ-ทหารภิวัตน์ "วรเจตน์" ในคัมภีร์ "นิติรัฐ" รัฐบาล-ประชาธิปไตย ในคำพิพากษาสื่อ

"ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับนี้เปิดศักราชใหม่ด้วยบทวิพากษ์สังคมการเมืองไทยอันเผ็ดร้อนอีกครั้ง หนึ่งของ "ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์" อดีตหัวหน้าภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงบทวิพากษ์สื่อมวลชน พ.ศ.นี้ อย่างตรงไปตรงมา !

- ในฐานะที่อาจารย์สอนกฎหมายมหาชน พอใจกับการบังคับใช้กฎหมายภายใต้หลักนิติรัฐ ของรัฐบาลชุดนี้มากน้อยแค่ไหน

1 ปีสำหรับรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ถ้าพูดกันตรงไปตรงมาแบบ ไม่เกรงใจกัน ผมคิดว่ารัฐบาลมัวแต่ไปเอาใจใส่กับเรื่องคุณทักษิณ (ชินวัตร)มากเกินไป ทำให้รัฐบาลไม่ได้ทำงานอย่างที่ควรจะเป็นหลายเรื่อง

ฉะนั้น ถามว่า นิติรัฐในรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างไร ผมมองว่าจริง ๆ ไม่เฉพาะรัฐบาลนี้ แต่ประเด็นเรื่องนิติรัฐในช่วงหลายปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ผมคิดว่ายังไม่เข้าสู่ระดับที่ควรจะเป็นหลายเรื่อง อย่างที่บอก (ครับ) รัฐบาลอภิสิทธิ์ไปมุ่งในประเด็นการเมืองเกี่ยวกับการต่อสู้ของขั้วทางการ เมืองมาก สำหรับผม ผมจึงมอง ไม่เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมของรัฐบาลในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ในการผลักดันให้หลัก นิติรัฐหยั่งรากลงลึกในสังคมไทย

- รัฐบาลบอกว่าจะเร่งผลักดันภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ได้ภายในปีนี้ อาจารย์คิดว่ารัฐบาลจะทำได้จริงหรือไม่

คำ ถามนี้ผมอาจจะตอบโดยตรงไม่ได้ (นะ) แต่ผมมองในแง่วิธีคิดทางประชาธิปไตยว่า เรามีปัญหาเรื่องนี้ คือ ทุกวันนี้เวลาเรามองเรื่องประชาธิปไตย เราไม่ได้มองว่าประชาธิปไตยมันคือเรื่องการจัดสรรแบ่งปันตัวผลประโยชน์ของ กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ในทางการเมือง

อย่างที่ผมเคยเน้นเสมอว่า ทุกคนมีผลประโยชน์ในทางการเมืองทั้งสิ้น ขณะที่ตัวเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญหรือตัวกฎหมาย ต้องพยายามจัดสรรตัวกติกา กติกาที่ทำขึ้นต้องเป็นกติกาที่วางอยู่บนความยุติธรรม แล้วให้กระบวนการในการเจรจา การต่อรองในทางผลประโยชน์กันเป็นไปโดยหลักการในทางประชาธิปไตย ที่มีการ ตัดสินใจโดยเสียงข้างมาก โดยเคารพ เสียงข้างน้อย เพราะนโยบายบางอย่างทำให้บางกลุ่ม บางชนชั้น เสียผลประโยชน์อยู่เหมือนกันในบางเรื่อง

แต่ในระบอบประชาธิปไตย ในที่สุด มันผ่านกระบวนการตัดสินใจแบบนั้นมันก็ต้องยุติและเคารพกัน แต่ปัญหาคือประเทศเรายังไม่ได้มีสภาพที่เป็นประชาธิปไตย เราก็เจอแบบนี้ร่ำไป

ถามว่าเราเป็นประชาธิปไตยมั้ย ผมว่าในทางคุณค่า เรามีปัญหามากว่าเป็นหรือเปล่า ยกตัวอย่างว่าในสมัยกลาง ศาสนจักรสอนว่าประชาชนหรือคน มีบาปติดตัวมาแต่กำเนิด มนุษย์สูญเสียธรรมชาติที่ดี มนุษย์จึงไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้ หนทางที่จะรอดพ้นจากบาปก็คือ การปฏิบัติตามพระคัมภีร์ไบเบิล เชื่อในพระเจ้า และเชื่อในคำสั่งสอนของโบสถ์ โดยอาศัยวิธีการกล่อมเกลา ลดทอนตัวคุณค่าของคนลงในลักษณะแบบนี้ โบสถ์ในยุคกลางก็สามารถกระทำการหลายอย่างได้ โดยอาศัยความเชื่อถือศรัทธาเป็นตัวนำ

ภายใต้ลักษณะแบบนี้ โบสถ์ก็มีผลประโยชน์อันมหาศาล ในสมัยกลาง โบสถ์สามารถขายใบบุญไถ่บาปได้ เอาเงินมาได้ แล้วเงินที่ได้มาส่วนหนึ่ง โบสถ์ก็นำไปใช้ในการทำสงคราม แต่ภายใต้วิธีคิดที่บอกว่ามนุษย์มีบาป มีแต่บรรดานักบวชเท่านั้นที่ปลดเปลื้องจากบาปแล้ว เป็นตัวแทน ของพระเจ้าบนพื้นพิภพ แล้วก็เกิดสภาพแบบกดคน

จนยุโรปผ่านยุคกลางมาได้ เข้าสู่ยุค แสงสว่างในทางปัญญา เขาจึงรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ขึ้นมา การแสดงความคิดในเรื่องต่าง ๆ ก็ตามมา

ซึ่ง ผมรู้สึกว่าคุณค่าอันหนึ่งของบ้านเรา บางทีอาจจะเทียบเคียงได้เหมือนกับสมัยกลาง บ้านเราทุกวันนี้กำลังจะบอกว่า ประชาชนเรายังไร้การศึกษา ตัดสินใจทาง การเมืองไม่ได้ ฉะนั้นจะต้องมีคนที่มีการศึกษา คนชนชั้นนำ เป็นคนตัดสินใจแทน

ถ้า เกิดมีการเลือกตั้ง ก็บอกว่าประชาชนถูกซื้อ เมื่อประชาชนถูกซื้อ ก็ไม่ต้องเคารพการเลือกตั้งกัน เพราะซื้อเสียงกันเข้ามา ก็บอกว่าอย่าเลือกตั้งเลย ให้ผมแล้วกัน เป็นคนจัดการเอง ถ้าเรามีการถูกปลูกฝังความคิดแบบนี้ ความคิดดูถูกคน มันคือการทำลายคุณค่ารากฐานทางประชาธิปไตย

ในทางวิชาการ ผมพูดหลายครั้งแล้วว่า เราไม่ได้มีการศึกษากันอย่างจริงจังเลย ถึงการเลือกตั้งในช่วงหลังว่าพฤติกรรมของคนในการเลือกตั้ง มีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การซื้อเสียงยังเป็นแบบเดิมหรือยังมีการซื้อเสียงอยู่ แต่ว่า ผลกระทบที่มีผลต่อการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ผมเชื่อว่าการซื้อ เสียงแม้หากจะยังมีอยู่ แต่มันอาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งอีกต่อไปแล้ว เพราะผลการเลือกตั้ง 2-3 ครั้งหลัง ไปในทิศทางเดียวกัน ภายใต้บริบททางการเมืองที่ แตกต่างกัน การเลือกตั้งครั้งล่าสุดเป็นการเลือกตั้งตามกติกาอันใหม่ ซึ่งถูกทำขึ้นโดย ส.ส.ร. ที่เชื่อมโยงหรือมีที่มากับ คมช. ซึ่งเป็นคนเข้ายึดอำนาจการปกครองล้มรัฐบาลที่มีที่มาจากการเลือกตั้ง ภายใต้รัฐบาลของ คมช. ภายใต้ กกต. ซึ่งเป็น กกต.อีกชุดหนึ่งแทน กกต.ชุดเดิม แต่เรา ก็เห็นว่าเสียงข้างมากยังไม่เปลี่ยน

เราจะ อธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร อธิบายว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ยังโง่อยู่ โง่อยู่เพียงเพราะว่าไม่ได้เลือกพรรคการเมืองอย่างที่คนชั้นกลางหรือ คนชั้นสูงส่วนหนึ่งต้องการให้เป็นเสียงข้างมากในสภากระนั้นหรือ

ผม ถึงบอกว่า ปัญหาเรื่องทุจริตมีอยู่ ทุก ๆ แห่ง ก็แก้กันไปในทางระบบ แต่ของเราแก้กันโดยพยายามบอกว่า อันนั้นทุจริต (นะ ) ฉะนั้นคุณเลิกเลย คุณล้ม ฉีกรัฐธรรมนูญ ล้มรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง เอาคณะทหารเข้ามายึดอำนาจ แล้วก็บอกว่าเอาคนดี คนทรงคุณธรรมต่าง ๆ เข้ามาจัดการ แล้วคิดว่าจะแก้ปัญหาได้ แล้วแก้ได้ที่ไหน (ครับ) ก็อย่างที่เห็น

เพราะคนที่เข้ามาก็ผูกพันไปด้วย ผลประโยชน์เหมือนกันในทางการเมือง ผมถึงบอกว่าทุกคนมีผลประโยชน์ในทางการเมืองเหมือนกัน ฉะนั้นจึงต้องเอาเรื่องนี้มาพูดกันบนโต๊ะ

- พูดกันว่าหากรัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยอาจชนะเลือกตั้งอยู่ดี ถึงตอนนั้นเสื้อเหลืองก็อาจจะออกมาคัดค้านอีกก็เป็นได้ สังคมไทยยังมีทางออกจากวิกฤตอยู่หรือเปล่า

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ ไม่มีทางออก (ครับ) ตราบเท่าที่เรายังไม่กลับไปสู่คุณค่าพื้นฐานในทางประชาธิปไตย ก็มีคนบอกว่าเวลากลับไปสู่พื้นฐานประชาธิปไตย ในเวลานี้คุณทักษิณชนะ ก็เลยไม่กลับ คือยังไงก็มองไม่พ้นคุณทักษิณอยู่ดี

ถ้าไปมองเรื่อง เฉพาะหน้าก็ไม่จบครับ ก็เป็นเรื่องยาก เพราะยังไม่ได้กลับเข้าสู่หลักการ คือมีการมองว่าหลักการพื้นฐานยังไม่ต้องเอามาใช้ แช่ไว้ชั่วคราวก่อน แต่ผมถามว่าแล้วคุณมีความชอบธรรมยังไง คุณเป็นเทวดามาจากไหนในการที่คุณจะเบรกหลักการที่จะต้องใช้ทั่วไปกับคน ทุกกลุ่มอย่างเสมอภาคกัน

ผมมองว่าความขัดแย้งที่ผ่านมา ใช้กันมากี่วิธีแล้ว (ล่ะ) ทั้งตุลาการภิวัตน์ ทหารภิวัตน์ ออกมายึดอำนาจก็แล้ว ถามว่าทำไมความขัดแย้งมันยังอยู่ นอกจากยังอยู่แล้ว มันยังกัดเซาะสถาบันสำคัญ ๆ อีกด้วย วิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้นหนักขึ้นไปกว่าเดิม (นะ) นั่นแปลว่าวิธีที่ใช้กันอยู่ผิดใช่มั้ย แต่ว่าไม่ยอมรับกันว่ามันผิด เพราะกลัวว่าถ้าใช้วิธีการที่มันถูกต้อง จะมีคนได้ ผลประโยชน์แล้วก็รับกันไม่ได้

- แต่รัฐบาลบอกว่าจะเดินหน้าสู่รัฐสวัสดิการอย่างเต็มตัว เพื่อความเสมอภาคเท่าเทียมกันของประชาชน

จริง ๆ รัฐสวัสดิการที่ประสบความสำเร็จมีฐานมาจากประชาธิปไตย แต่เมื่อคุณยังไม่เป็นประชาธิปไตย คุณเลิกฝันเถอะ (ครับ) ว่าจะเป็นรัฐสวัสดิการมันไม่ได้ เพราะพัฒนาการในทางระบบที่เกิดขึ้น ถ้าเราไม่พูดถึงการหักเหไปเป็น รัฐคอมมิวนิสต์ มันก็คือจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นรัฐที่จำกัดอำนาจพระมหากษัตริย์ แล้วมาสู่รัฐที่เป็นประชาธิปไตย ก็คือ พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจในทางกฎหมาย หรือไม่ก็เป็นสาธารณรัฐไปเลย 2 รูปแบบ

พอ เป็นประชาธิปไตย ก็อาจจะมีปัญหาในเรื่องการแข่งขันกันโดยพลังเศรษฐกิจที่มันไม่เท่ากัน เกิดการเอารัดเอาเปรียบกัน รัฐก็จะต้องเข้ามาดูการแข่งขันของเอกชน การทำกฎหมายแรงงานสวัสดิการสังคม มันจะเข้ามา แต่มาบนพื้นฐานของพัฒนาการที่ต่อไปจากเรื่องของประชาธิปไตย ก็เป็นรัฐประชาธิปไตย แล้วก็สวัสดิการสังคม มันจะเชื่อมต่อกัน

แต่ คำถามคือเราเป็นประชาธิปไตยแล้วหรือเปล่า เรารับคุณค่าตรงนี้แล้วหรือยังในสังคมนี้ เราเชื่อว่าประชาชนของไทยมีสภาพของความเป็นพลเมือง มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์แล้วหรือเปล่า แต่ถ้าเรายังไม่คิดอย่างนั้น ยังคิดว่าคะแนนเสียงของ คนขับรถแท็กซี่ คนขายก๋วยเตี๋ยว มีคุณค่าน้อยกว่ามหาบัณฑิต ก็จบครับ

นี่ไม่ได้พูดในทางอุดมการณ์ (นะ) แต่พูดในทางความเป็นจริง เพราะผมมองว่าประชาธิปไตยคือเรื่องของผลประโยชน์ มีคนบอกว่าการเลือกนักการเมืองก็ต้องเลือกคนดีมีคุณธรรมต่าง ๆ ถามว่าคุณจะดูยังไง ดูจากว่าคนคนหนึ่งปรากฏตัวในสื่อบ่อย พูดจาดูดีหน่อย ถือว่าคนนี้มีคุณธรรมเหรอ ดูแค่นี้เหรอ

หรือเป็นคนมีชื่อเสียงของ สังคม ขยันออกสื่อ พูดจาเรื่องคุณธรรม ทำตัวเทศนาสั่งสอนคนบ้าง แล้วเป็นคนดี มีคุณธรรม ชาวบ้านอาจจะไม่ได้ดูแบบนั้นนะครับ แต่เขาดูว่าคุณเสนออะไร ซึ่งเป็นเรื่องง่ายที่สุดในทางประชาธิปไตย (นะ) คุณมี นโยบายยังไงที่จะมาจัดการกับชีวิตของเขา คุณทำอะไร เขาก็เลือก ถ้าคุณทำได้เขาก็เลือกคุณต่อ คุณทำไม่ได้เขาก็เลิกเลือกไปเลือกคนอื่นแทน

ใน ขณะเดียวกันก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ แสดงเสรีภาพในทางความคิดเห็น โดยที่ ไม่บอกว่าใครเห็นต่างจากคุณเป็นคนเลว หรือไปสนับสนุนคนเลว เหมือนกับที่ทำ ๆ กันอยู่ในสังคมไทยในเวลานี้ แล้วขอโทษ (นะ) ก็ปรากฏในสื่อกระแสหลักด้วย

- ทุกวันนี้สื่อมวลชนได้ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็นแล้วหรือยัง

ยัง (ครับ) ผมเห็นว่าไม่เลย ขอโทษนะ ที่ผมพูดตรงไปตรงมา คือเดี๋ยวนี้เวลาเสนอข่าว ข้อเท็จจริง หรือ fact ปะปนกับความเห็นไปหมดแล้วในสื่อ วิธีการเขียนข่าวหรือการรายงานข่าว ลองสังเกตดูให้ดีสิครับไม่ได้พูด fact อย่างเดียว แต่ใส่ทัศนคติของตัวลงไปในเนื้อข่าว ซึ่งทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมบอกว่ามันผิดแล้วที่บอกว่าสื่อต้องเลือกข้าง ผิดตั้งแต่ต้น

ผม แปลกใจมากว่าในวงการวารสารศาสตร์ นิเทศศาสตร์ อยู่กันได้ยังไง (ครับ) อาจจะมีคนบอกว่า วงการกฎหมายก็เหมือนกันนั่นแหละ (หัวเราะ) แต่ถามว่า เฮ้ย ! มีเหรอประเภทสื่อเลือกข้าง ไม่ใช่ว่าสื่อเสนอข้อเท็จจริงหรือครับ ส่วนที่เป็นข้อคิดเห็นก็แยกไป แต่ fact คือ fact บิด fact ไม่ได้ สื่อเลือกข้าง เท่าที่ผมเห็นชัดก็คือ สื่อของรัฐบาลในยุคนาซีเรืองอำนาจในเยอรมันนะ

โอเค ถ้าบอกว่าคุณเป็นสื่อเลือกข้าง ของคุณถูกต้อง แต่อีกคนบอกของคุณไม่ถูก (อ่ะ) ทำยังไงล่ะ ถามว่าอย่างนี้ก็เป็น สื่อไม่ได้แล้วสิ เพราะว่าคุณเป็นผู้พิพากษาไปแล้วว่าอะไรถูก อะไรมันผิด แทนที่คุณจะนำเสนอ fact ทุกวันนี้ จึงมีสื่อ ที่ไม่ใช่สื่ออยู่มากมาย แล้วก็ indoctrinate คน

ขอโทษด้วย ถ้าผมไม่ได้ไปตามกระแสของสื่อ เพราะไม่จำเป็นที่ผมต้องเห็นด้วย โอเค ถ้าคุณเป็นคอลัมนิสต์ คุณเขียน ความเห็นของคุณ เขียนไปได้เลย แต่ข่าวคุณต้องเป็น fact คุณกั๊กไม่ได้

แต่แน่นอน โทนในการนำเสนอพอถึง จุดหนึ่ง ก็ต้องมีใจที่เป็นธรรมอยู่ (นะ) แต่ปัญหาคือใจที่เป็นธรรมเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อคุณกระโดดลงไปตะลุมบอนเป็นฝ่ายทางการเมือง กระโดดลงไปเพื่อจะจัดการบางเรื่องให้มันสิ้นซากไป มันเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะคุณได้กลายไปเป็นคู่ต่อสู้ คุณลงไปเป็นผู้ร่วมต่อสู้

สื่อบาง ท่านอย่าให้ผมเอ่ยเลย ผิดเพี้ยนไปถึงขั้นละเมิดจรรยาบรรณของตัว เขียนอะไรที่รุนแรง แม้กระทั่งเรียกร้องให้คนฆ่ากันได้ ทำได้ยังไง แล้วไม่มีการพูดประณามอะไรกันเลย ก็ยังทำ

ทุกวันนี้สื่อเลยกลาย เป็นเครื่องมือ ใช้ถ้อยคำที่รุนแรงขึ้นทุกที ๆ เพราะคิดว่าตัวเองคือผู้ผูกขาดความดีงาม เป็นผู้พิทักษ์ความถูกต้อง ไม่ได้มองว่าบริบททางการเมืองมันมีมุมมอง มีข้อเท็จจริงจำนวนมาก เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่

แล้วผมถามว่าถ้าคุณเป็นอย่างนี้จะมา เรียกร้องให้สังคมกลับสู่ความสมานฉันท์อะไร ประชาธิปไตยไม่ต้องการความสมานฉันท์หรอก แต่ต้องการ ความเห็นที่สามารถแสดงได้โดยเสรี และเคารพความคิดความเห็นซึ่งกันและกัน ไม่ประณามคนที่เห็นต่างว่าเป็นคนเลว เป็นคนทรยศ เป็นคนขายชาติ นี่คือหน้าที่สื่อที่ต้องทำ

ถามว่าสื่อทำหน้าที่ตรงนี้แล้วหรือยัง ผมว่าสื่อมวลชนรู้ดีกว่าผม แต่ผมประเมินว่า ในช่วงที่ผ่านมาสื่อลงไปเล่น แล้วไม่ต้องพูดหรอกว่า กระบวนการพวกนี้ก็มีการเอื้อผลประโยชน์กัน

หน้า 31

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ




 

Create Date : 08 มกราคม 2553    
Last Update : 8 มกราคม 2553 19:14:57 น.
Counter : 509 Pageviews.  

ตากสินมหาราช:กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
28 ธันวาคม 2552

ทางราชการได้ถือว่าวันพระเจ้าตากสินมหาราช ตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม อันเป็นวันคล้ายวันปราบดาภิเษกของพระองค์ท่าน จากปกติมักถือธรรมเนียมเอาวันสวรรคตเป็นวันรำลึกถึงมหาวีรกษัตริย์ แต่เนื่องจากวันสวรรคตของพระองค์ท่านตรงกับวันที่ 6เมษายน ได้ถือเป็นวันจักรีแล้ว ประวัติศาสตร์จึงต้องมากำหนดวันให้พระองค์ท่านในวันที่ 28 ธันวาคมของทุกปีแทน

ทรงเป็นวีรกษัตริย์ไทยอีกพระองค์หนึ่งที่ได้รับ การเทิดทูน และเคารพบูชาจากประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด ไม่เพียงเพราะพระปรีชาสามารถในการรบที่กอบกู้ชาติไทยให้เป็นเอกราช และสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่บ้านเมืองของเราเท่านั้น แต่พระองค์ยังเป็นผู้นำที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มีความกตัญญูและเสียสละต่อผืนแผ่นดินไทยอย่างยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือนอีก

ระหว่างการโฆษณาชวนเชื่อกับการเมืองที่เป็นจริงกรณีพระเจ้าตากvsรัชกาลที่1

เรื่อง หนึ่งที่กลายเป็นblack propagandaที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ไทยก็คือ การโฆษณาชวนเชื่อว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งพระราชจักรีวงศ์นั้นไม่ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจและประหารชีวิตพระเจ้า ตากสินมหาราชแต่ประการใด แต่เป็นข้อตกลงลับของพระเจ้าตากสินกับพระพุทธยอดฟ้าที่จะให้พระเจ้าตากสินลง จากบัลลังก์เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไทยไม่มีเงินไปชำระหนี้จีนในช่วงยืมเงินมากู้ ชาติ หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 จากนั้นพระเจ้าตากได้แอบหนีไปบวช และมีชีวิตต่อมาในเพศภิกษุที่นครศรีธรรมราช

การโหมโฆษณาชวนเชื่อนี้ ทำให้คนไทยชั้นหลังๆจำนวนมากเชื่อตามไปเช่นนั้นจริงๆ แต่หากจะตั้งข้อสงสัยซักเล็กน้อยว่า ในหน้าประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรไทยนั้นไม่เคยมีครั้งใดที่เคยเกิดเหตุการณ์ เช่นนี้เลย และประการสำคัญก็คือพระเจ้าตากสินนั้นมีรัชทายาทที่จะสืบทอดราชบัลลังก์อยู่ แล้ว...ด้วยเหตุใดเล่า จึงจะไปยกราชสมบัติให้กับ"ท่านอื่น"

ความจริง นั้นปรากฎเป็นหลักฐานเอกสารชั้นต้นว่า พระเจ้าตากสินถูกยึดอำนาจ ถูกประหารชีวิต รัชทายาทและขุนนางใกล้ชิด รวมทั้งพระกุมารเล็กๆก็ถูกสังหารเกือบเรียบ ยกเว้นพระราชโอรสที่บังเอิญเกิดกับสนมที่เป็นลูกของรัชกาลที่1 หรือมีศักดิ์เป็นหลานรัชกาลที่1ของราชวงศ์จักรีที่รอดมาได้ อย่างไรก็ตามเมื่อรัชกาลที่1สวรรคตเพียง7วัน รัชทายาทคนสุดท้ายเชื้อสายของพระเจ้าตากก็ถูกสังหาร เพื่อขจัดเสี้ยนหนามไม่ให้เหลือซาก

หากมองด้วยสายตาของคนในยุคนั้น การปราบดาภิเษกดังกล่าว นักวิชาการเห็นว่าเป็นธรรมเนียมโบราณราชประเพณีโดยปกติ หาใช่การทรยศหักหลังแต่ประการใด ดังที่เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้เรื่อยมาในหน้าประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรไทย

วาระสุดท้ายของมหาราชชาตินักรบ?

ดัง ที่ทราบกันดีว่าหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แล้ว พระเจ้าตากสินที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน(ซึ่งเป็นที่ดูถูกของคนไทยสมัยนั้น แม้กระทั่งเวลาต่อมาอีกนับร้อยๆปี) ก็นำทัพกอบกู้เอกราชให้แก่ไทย แล้วสถาปนากรุงธนบุรี เป็นราชธานีใหม่

ทรงรวบรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น แล้วปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2311 พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 6 เมษยา 2325 แม้จะมีคำบอกเล่าเชิงตำนานไว้บางสำนวนว่า พระองค์ได้หลีกทางให้พระยาจักรี สถาปนาราชวงศ์ใหม่ด้วยเหตุผลบางประการ และพระองค์ได้ดำรงพระชนม์ชีพอย่างสงบในสมณเพศสืบมา

แต่นั่นก็เป็นเพียงประวัติศาสตร์กระซิบ การนั่งทางใน หรือการนิมิต ทว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ชี้ว่าพระองค์ถูกพระยาจักรี สั่งให้สำเร็จโทษเพื่อปราบดาภิเษกราชวงศ์ใหม่ และมีการกำจัดเสี้ยนหนามตามมาอีกหลายระลอก

กรณีของพระเจ้า ตากสินมหาราชนั้นนับว่าประหลาดไปจากกรณีอื่นที่กล่าวมาแล้ว คือการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในขณะที่พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนสวรรคตลง แล้วเกิดปัญหาการสืบราชสมบัติ และการถูกประหารชีวิตนั้นกรณีอื่นๆมีการจับสึกจากสมณเพศก่อน แต่ในกรณีพระเจ้าตากสินนั้นบางหลักฐานชี้ว่า อาจเป็นไปได้ว่าถูกสั่งสำเร็จโทษประหารชีวิตด้วยการตัดพระเศียร ขณะที่ดำรงสมณเพศอยู่ก็เป็นได้

ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินมหาราชไว้ในหนังสือ”การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี" หน้า 575 ว่า* " ( พระพุทธยอดฟ้าฯ) จึงมีรับสั่งให้เอาไปประหารชีวิตสำเร็จโทษเสีย เพชฌฆาตกับผู้คุม ก็ลากเอาตัวขึ้นแคร่หามไปกับทั้งสังขลิกพันธนาการ เจ้าตากสินจึงว่าแก่ผู้คุมเพชฌฆาตว่า ตัวเราก็สิ้นบุญจะถึงที่ตายแล้ว ช่วยพาเราแวะเข้าไปหาท่านผู้สำเร็จราชการ จะขอเจรจาด้วยสักสองสามคำ ผู้คุมก็ให้หามเข้ามา ครั้น ( พระพุทธยอดฟ้าฯ)ได้ทอดพระเนตร จึ่งโบกพระหัตถ์มิให้นำมาเฝ้า ผู้คุมแลเพชฌฆาตก็ให้หามออกไปนอกพระราชวัง ถึงหน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ ก็ประหารชีวิตตัดศีรษะเสีย ถึงแก่พิราลัย จึ่งรับสั่งให้เอาศพไปฝัง ณ วัดบางยี่เรือใต้"

ขณะ ที่ปรีดา ศรีชลาลัย กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินฯไว้ในบทความเรื่อง”ปีสุดท้ายของสมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราช”ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนธันวาคม 2524 ว่า”สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกปลงพระชนม์ ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้ง (คือวัดอรุณราชวราราม ปัจจุบันนี้) รวมวันตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวชจนถึงวันถูกปลงพระชนม์ เป็น 28 วัน โหรจดไว้ว่าดับขันธ์ ไม่ใช้คำว่าสิ้นพระชนม์ หรือสวรรคต ก็เพื่อยืนยันว่า พระองค์ท่านถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศเป็นพระภิกษุ จึงใช้คำว่าดับขันธ์ เพื่อให้เข้าใจว่ามิได้สวรรคตเมื่อลาผนวชออกมา ความจริงพระองค์ดำรงสมณเพศจนตลอดพระชนม์ชีพ เมื่อการปลงพระชนม์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง (เวลานั้นยังเรียกวัดบางยี่เรือ)”

ปรีดา นำเสนอว่า ปฐมเหตุนั้นมาจากการที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองของเวียดนาม เมื่อพวกกบฏไตเซินได้ก่อการรัฐประหารต่อพระเจ้าเวียดนามยาลอง พ่ายแพ้ถอยร่นลงมาทางใต้ แล้วหวังจะได้กำลังฝ่ายเขมรเข้ามาช่วยสู้รบ จึงเข้าไปแทรกแซงการเมืองเขมร ซึ่งเป็นประเทศราชของไทย

พระเจ้าตาก สินจึงโปรดเกล้าให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระมหาอุปราช องค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพใหญ่ เจ้าพระยาจักรี(ด้วง) เจ้าพระยานครสวรรค์ เจ้าพระยาสุรสีห์(บุญมา น้องชายเจ้าพระยาจักรี ด้วง)และพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศ เหล่านี้เป็นแม่ทัพรองๆลงมา ไปจัดการปราบ และเพื่อมิให้ญวนลุกลามเข้ามายึดเมืองเขมรเป็นที่มั่น โดยโปรดให้กองทัพไทยออกไปในเดือนยี่ ปีฉลู ตรงกับพ.ศ.2324

แทนที่จะจัดการปัญหาได้ตามแผน ปรีดาได้อ้างถึงพงศาวดารญวน ฉบับนายหยงทหารปืนใหญ่ แปล(เล่ม 2 หน้า 378)ว่า เรื่องผิดคาดหมด เพราะกองทัพไทยที่ยกออกไปครั้งนั้นทำงานต่างกัน แม่ทัพใหญ่พยายามจะรุดหน้าไป ฝ่ายแม่ทัพรองบางนายหาทางยับยั้งเสีย เพื่อหน่วงคอยฟังเหตุการณ์ทางกรุงธนบุรี เวลา นั้นญวนได้ส่งกองทหารเข้าไปช่วยอยู่ในเมืองเขมรบ้าง แต่ไม่มากนัก ว่ากันตามส่วนกำลังที่ทั้งสองฝ่ายมีและจะต้องสู้กันอย่างแตกหัก อย่างไรเสียก็ควรจะหวังได้ว่ากองทัพไทยต้องทำงานได้ผลดีเป็นแน่ หากงานที่ทำนั้นไม่มีเรื่องอื่นเข้าแทรกแซง เพราะฝ่ายญวนอ่อนเต็มทีแล้ว ย่อมจะต้องการหย่าศึกกับไทยมากกว่า เพราะญวนมีภาระจะต้องสู้รบกับพวกราชวงศ์เล้(กบฏไตเซิน) ซึ่งกำลังตีรุกลงมาจากทางเหนืออย่างรุนแรง ถ้าขืนรบกับไทยเข้าอีก จะถูกตีกระหนาบสองหน้า อาจถึงเหลวแหลกหมดทางตั้งตัว

เพราะฉะนั้น เพื่อหาทางดีกับไทย แม่ทัพญวนชื่อเหงวียงหึวถว่าย จึงลอบแต่งทูตมาทาบทามทางแม่ทัพรองฝ่ายไทย พงศาวดารญวน เล่ม 2 หน้า 382 บันทึกไว้ว่านับเป็นโชคดีของญวน เป็นอันสมประสงค์ของแม่ทัพญวนโดยง่ายดาย เพราะว่าแม่ทัพรองฝ่ายไทยก็ต้องการจะให้กองทัพญวนและเขมรร่วมมือใน ทางลับอยู่เหมือนกัน และท่านแม่ทัพรองฝ่ายไทยก็ยินดีจะช่วยกำลังแก่ญวนตามสมควรในโอกาสต่อไป เมื่อทำงานลับเสร็จสมหมายแล้ว แม่ทัพญวนกับแม่ทัพรองฝ่ายไทยได้ลอบทำสัญญาลับทางทหารต่อกัน ฝ่ายแม่ทัพญวนหักกระบี่และคันธงออกเป็น ๒ ท่อน แล้วแบ่งให้ไว้ฝ่ายละครึ่งตามธรรมเนียม เพื่อเป็นเครื่องหมายในการทำสัญญา ต่อจากนั้น แม่ทัพรองฝ่ายไทยก็ให้ญวนล้อมกองทัพสมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ และทัพพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศ ไว้อย่างแน่นหนา ตรึงทัพทั้งสองมิให้เคลื่อนที่ได้ ส่วนตนรีบเดินทัพย้อนกลับมากรุงธนบุรีโดยด่วน

ส่วนทางด้าน กรุงธนบุรี มีผู้ยุยงชาวกรุงเก่าให้เกิดเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และชักชวนทำการกบฏย่อยๆขึ้น ผู้ยุยงตัวสำคัญซึ่งแอบขึ้นไปตั้งทำการยุที่กรุงเก่า มี 3คน คือ นายบุนนาค, หลวงสุระ,หลวงชะนะ รวบรวมผู้คนตั้งเป็นกองรบเข้ารุมทำร้ายผู้รักษากรุงเก่า แล้วเดินทางมายังกรุงธนบุรี ในเดือน 4 แรม 11 ค่ำ ถึงกรุงธนบุรีในตอนดึก ก็เริ่มยิงพระนครทันที ยังมีพวกกบฏแอบแฝงซ่องสุมอยู่ในกรุงธนบุรีอีก มีหลวงสรวิชิต (หน) เป็นต้น ก็ก่อการจลาจลขึ้นรับกับพวกกบฏที่ยกมาจากกรุงเก่า

ในชั้นต้น พวกกบฏขอให้พระสงฆ์เข้าไปถวายพระพร ทูลขอให้พระองค์เสด็จออกทรงผนวชเพื่อสะเดาะพระเคราะห์เมืองสัก 3 เดือน สมเด็จพระเจ้าตากสินฯทรงรับคำทูล โปรดให้ข้าราชการผู้ใหญ่ปรึกษาดูตามความสมควร เวลานั้นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มีพระยาสรรคบุรี (บรรพบุรุษแห่งสกุลแพ่งสภา) พระยารามัญวงศ์ (มะซอน บรรพบุรุษแห่งสกุลศรีเพ็ญ) เป็นต้น ล้วนแต่ซื่อสัตย์จงรักภักดีในพระองค์อย่างยิ่งยวด ข้าราชการเหล่านั้นคงจะได้คำนึงถึงกำลังส่วนใหญ่ที่ต้องส่งออกไปภาคตะวันออก จะทำผลีผลามลงไปในขณะนี้ ฉวยว่ามีการผันแปรต่างประเทศด้านอื่นเกิดขึ้นแทรกแซง จะเรียกกำลังจากภาคตะวันออกกลับมาไม่ทันท่วงที

อีกประการหนึ่งพวก ราษฎรก็ถูกปลุกปั่นให้เข้าใจผิดโดยการโฆษณาชวนเชื่อว่าพระเจ้าตากสินทรงมี พระสัญญาณวิปลาส คือเป็นบ้า หลงผิดว่าบรรลุโสดาบัน ทำการสั่งสอนพระสงฆ์ หากพระสงค์องค์ใดไม่ยินยอมก็ถูกจับเฆี่ยนตี(ซึ่งเป็นกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ที่สุดในเวลานั้น เป็นโทษฐานอนันตริยกรรมทีเดียว) ความเข้าใจผิดอาจลุกลามไปมาก ในเมื่อไม่รีบหาทางแก้ไข เสียแต่ในชั้นต้น ฉะนั้นควรจะมีทางมองเห็นทางเดียวที่ควรกระทำก่อน คือขอให้ทรงยอมตามความประสงค์ ดังที่พวกกบฏขอให้พระสงฆ์ทูลแล้วนั้น

พระ เจ้าตากสินฯซึ่งสิ้นไร้ทั้งกำลัง และถูกโฆษณาชวนเชื่อว่าร้ายอย่างหนักหน่วงให้ขาดการสนับสนุนจากมวลชน ก็ได้ตกลงเสด็จออกทรงผนวช วันอาทิตย์ เดือน 4 แรม 12 ค่ำที่วัดแจ้ง อันเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง (เช่นเดียวกับวัดพระแก้วมรกตในวังหลวงทุกวันนี้) ในการเสด็จออกทรงผนวชนี้ ความจริงหาขาดจากพระราชตำแหน่งไม่ เพราะมีกำหนดแน่นอน ว่าจะเสด็จนิวัติกลับสู่ราชบัลลังก์ ภายหลังเมื่อทรงผนวชแล้ว 3 เดือน ส่วนราชการบ้านเมืองก็มีข้าหลวงรักษาพระนครตามธรรมเนียม

พระเจ้าตาก สินทรงผนวชแล้ว 12 วัน พระยาสุริยอภัย (ทองอิน) หลานเจ้าพระยาจักรี (ด้วง) ซึ่งโปรดให้ออกไปเป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา ยกทัพมาจากนครราชสีมา โดยมิได้รับพระบรมราชานุญาต (ซึ่งถือเป็นพฤติการณ์กบฎในสมัยนั้น แม้กระทั่งสมัยนี้หากเคลื่อนย้ายกำลังโดยไม่มีคำสั่ง)

แต่ในพงศาวดาร ว่าเจ้าพระยาจักรี (ด้วง) ให้รีบยกเข้ามาฟังเหตุการณ์ในกรุงก่อน (ดูพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม 3) พวกกบฏมีนายบุนนาค หลวงสุระเป็นต้น เข้าสมทบกับพระยาสุริยอภัย (ทองอิน)

กาลครั้งนั้นพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนอนุรักษ์สงครามจึงระดมกำลังเท่าที่จะหาได้ในเวลานั้น รีบยกไปตีกองทัพพระยาสุริยอภัย (ทองอิน) ที่ตำบลบ้านปูน ณ วันอังคาร ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2325 เป็นเวลาภายหลังที่พระยาสุริยอภัย (ทองอิน) เดินทัพเข้ามาในกรุง และตั้งมั่นอยู่ 11 วัน แต่กำลังของกรมขุนอนุรักษ์สงครามไม่สามารถตีทำลายกองทัพพระยาสุริยอภัย (ทองอิน) ลงได้ตามความประสงค์ เพราะกำลังน้อยกว่า ต้องล่าถอยไปทางวัดยาง ในที่สุดถูกพวกพระยาสุริยอภัย (ทองอิน) จับได้ พระยาสุริยอภัย (ทองอิน)จึงขยายวงค่ายแผ่กว้างออกมา จนใกล้พระราชวังหลวง

เมื่อ กรมขุนอนุรักษ์สงครามถูกจับแล้ว 3 วัน พอเช้าวันที่ 6 เมษายน 2325 เจ้าพระยาจักรี (ด้วง) ก็รีบเดินกองทัพใหญ่มาถึงพระนคร ได้มีการสอบถามความเห็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก(ซึ่งส่วนมากก็ล้วน อยู่ในสายของพระยาจักรีนั่นเอง) ว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วจะควรทำอย่างไรต่อไป

บรรดาข้า ราชการที่ยังจงรักภักดีในพระองค์สมเด็จพระเจ้าตากสิน และเชื่อในพระราชปรีชาสามารถ ของพระองค์ ก็ยืนคำว่าควรไปกราบทูลอัญเชิญเสด็จ ขอให้ทรงลาผนวชออกมาครองราชสมบัติบริหารการแผ่นดินโดยด่วน หาไม่ก็ควรยกราชสมบัติให้รัชทายาทของพระองค์แทน เพราะมีรัชทายาทหลายพระองค์ ในเรื่องนี้ได้ความตามคำบอกเล่าจากเจ้านายบางองค์ในราชวงศ์จักรีว่า ข้าราชการพวกที่กล้าพูดเช่นนั้น ในที่สุดก็ถูกคุมตัวไปประหารชีวิตทั้งหมด

ส่วน สมเด็จพระเจ้าตากก็ถูกปลงพระชนม์ในวันนั้นเอง ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้ง (คือวัดอรุณราชวราราม ปัจจุบันนี้) รวมวันตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวช จนถึงวันถูกปลงพระชนม์ เป็น 28 วัน โหรจดไว้ว่าดับขันธ์ ไม่ใช้คำว่าสิ้นพระชนม์หรือสวรรคต ก็เพื่อยืนยันว่า พระองค์ท่านถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศเป็นพระภิกษุ จึงใช้คำว่าดับขันธ์ เพื่อให้เข้าใจว่ามิได้สวรรคตเมื่อลาผนวชออกมา ความจริงพระองค์ดำรงสมณเพศจนตลอดพระชนม์ชีพ

เมื่อการปลงพระชนม์เสร็จ เรียบร้อยแล้ว เชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง (เวลานั้นยังเรียกวัดบางยี่เรือ) บรรดาศพข้าราชการที่จงรักภักดีในพระองค์ มีเจ้าพระยานครราชสีมา (บุญคง ต้นสกุลกาญจนาคม) พระยาสรรค์ (บรรพบุรุษสกุลแพ่งสภา) พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ) พระยาพิชัยดาบหัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และพิชัยกุล) เป็นต้น จำนวนมากกว่า 150 นาย ก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น

ฝ่ายพระ ราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินที่ยังเหลือ ถ้าเป็นเจ้าชายชั้นทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด เอาไว้แต่ที่ทรงพระเยาว์ และเจ้าหญิง ถอดพระยศออกแล้วเรียกว่าหม่อม เหมือนกันทุกพระองค์ แม้จนกระทั่งสมเด็จพระราชินี และสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา ฝ่ายเจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาธิบดีฝ่ายกลาโหม ขณะนั้นตั้งวังปราบบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระ ใกล้เมืองถลาง ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯถูกปลงพระชนม์แล้ว ก็ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น

ยังเหลือไว้แต่กรมขุน กษัตรานุชิต(เจ้าฟ้าเหม็น)ราชโอรสที่เกิดแต่ลูกสาวของพระยาจักรีที่ไว้ชีวิต (แต่เมื่อรัชกาลที่1สวรรคตลง ก็มีการหาเหตุขจัดเสี้ยนหนามในที่สุด โดยอ้างว่าเจ้าฟ้าเหม็นจะทำการกบฎ โดยมีหลักฐานคือกาได้คาบข่าวมาบอกว่าเจ้าฟ้าเหม็นจะก่อกบฎ..)

ส่วนความเกี่ยวข้องกับญวน ตามสัญญาลับ ไทยต้องช่วยญวนต่อรบกับพวกราชวงศ์เล้ (ที่เรียกพวกกบฎไตเซิน) 2 ครั้ง และช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกนับไม่ถ้วน ผลสุดท้ายเมื่อญวนกลับตั้งราชวงศ์องเชียงสือสำเร็จ มีอำนาจใหญ่โตขึ้น ไทยต้องเสียเมืองพุทไธมาศแก่ญวน

อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม เขียนถึงพระราชอุตสาหะและน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไว้ใน บทความเรื่อง พระเจ้าตากสินมหาราช กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในยุคกรุงธนบุรี ว่า คงเป็นเพราะการศึกสงครามที่ยังมีอยู่แทบตลอดรัชกาลนั่นเอง ซึ่งปัญหาความอดอยากนี้ นับว่าเป็นปัญหาหนักทีเดียว จนพระองค์ถึงกับเคยเอ่ยพระโอษฐ์ด้วยความทุกข์พระทัยว่า

“...บุคคล ผู้ใด เป็นอาทิ คือ เทวดา บุคคลผู้มีฤทธิ์มาประสิทธิ์ มากระทำ ให้ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ขึ้น ให้สัตว์โลกเป็นสุขได้ แม้ผู้นั้นจะปรารถนาพระพาหาแห่งเราข้างหนึ่ง ก็อาจตัดบริจาคให้แก่ผู้นั้นได้ ความกรุณาเป็นสัตย์ฉะนี้...”

จากพระราชปรารภข้างต้น คงจะทำให้เราได้เห็นน้ำพระทัยของพระเจ้ากรุงธนบุรีอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าทรงตั้งใจเสียสละเพื่อราษฎรเพียงใด ตลอดรัชกาล พระองค์ต้องคิดทั้งเรื่องการรบข้าศึกศัตรู คิดเรื่องการฟื้นฟูและทำนุบำรุงบ้านเมือง คิดถึงการแก้ปัญหาปากท้องราษฎร แต่ละเรื่องนับเป็นภาระที่หนักยิ่ง

หากมิใช่เพราะพระปรีชาสามารถ น้ำพระทัยที่ห้าวหาญ และความเสียสละของพระองค์ท่านแล้ว คงยากที่คนไทยเราจะมีวันนี้ได้

ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก

ภาย หลังเจ้าพระยาจักรีได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าขึ้นเป็น รัชกาลที่ 1 แห่งพระราชจักรีวงศ์นั้น สมเด็จพระอนุชาในรัชกาลที่ 1 คือ กรมพระราชวังบวรฯ(บุญมา) เสด็จลงมาเฝ้าฯ กราบทูลว่าบรรดาบุตรชายน้อยๆ ของเจ้าตากสิน จะรับพระราชทานเอาไปใส่เรือล่มน้ำเสียให้สิ้น คำบุราณกล่าวไว้ ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่ จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า" (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, คลังวิทยา, ๒๕๑๖, น. ๔๖๐)

อย่างไรก็ดีลูกของพระเจ้าตากสินองค์หนึ่งเหลือรอดมาได้ คือเจ้าฟ้าเหม็น เพราะเป็นหลานของรัชกาลที่ 1 ได้ขอยกเว้นชีวิตไว้ และโปรดสร้างวังท่าพระให้อยู่(ปัจจุบันเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร)แต่พอ ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 1 สวรรคตได้เพียง 7 วัน และผลัดแผ่นดินมาสู่รัชกาลที่ 2 พระราโชบายที่เคยมีมาแต่ต้นรัชกาลก็มาประสบผล

โดยคดีนี้พิลึกพิลั่นว่า อีกาได้คาบข่าวมาบอกว่าเจ้าฟ้าเหม็นจะก่อการกบฎแย่งชิงราชบัลลังก์ ในที่สุดก็มีการตั้งตุลาการขึ้นชำระความ ซึ่งตุลาการสมัยโน้นก็คงอาการประมาณเดียวกับสมัยนี้หละกระมัง คือหาหลักฐานไม่พบ โดยมีความตอนหนึ่งว่าไว้ดังนี้

มีรับ สั่งโปรดเกล้าฯ ว่า อ้ายเมืองให้การถึงหม่อมเหม็น ทั้งนี้ยังเลื่อนลอยอยู่เห็นหาจริงไม่ แต่ทะว่าเป็นความแผ่นดิน จึงให้ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ตริตรองชำระเอาความจริง

ตุลาการศาลยุติธรรมในเวลานั้นตริตรองแล้วก็ชำระความออกมา ด้วยการที่เจ้าฟ้าเหม็นทรงถูกถอดยศเป็น "หม่อมเหม็น" นำไปสำเร็จโทษที่วัดปทุมคงคา ส่วนพระโอรส 6 พระองค์ของเจ้าฟ้าเหม็นก็ต้องโทษ "ตัดหวายอย่า่ไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก" คือ หม่อมเจ้าชายใหญ่ หม่อมเจ้าชายสุวรรณ หม่อมเจ้าชายหนูเผือก หม่อมเจ้าชายสวัสดิ์ หม่อมเจ้าชายเล็ก และ หม่อมเจ้าชายแดง
ทรงถูกนำไป "ถ่วงน้ำ" ที่ปากอ่าว

ก็เป็นอันว่า พระราโชบายที่กำหนดไว้นับแต่ปราบดาภิเษกสถาปนาพระราชจักรีวงศ์ ก็มาบรรลุผลในตอนหลังรัชกาลที่ 1 สวรรคตลงเพียง 7 วันนั่นแล

แม้จะสิ้นวงศ์ไปแล้ว และแม้เหตุการณ์ผ่านไปนานถึง 227 ปี แต่กฤษฎาภินิหารของพระเจ้าตากสินมหาราชนั้นก็บดบังมิได้..




 

Create Date : 28 ธันวาคม 2552    
Last Update : 28 ธันวาคม 2552 17:28:59 น.
Counter : 645 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.