ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

“การรุกกลับขั้นแตกหัก” ของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย

“การรุกกลับขั้นแตกหัก” ของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
18 มิถุนายน 2551

ชัยชนะของพรรคพลังประชาชนในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 และการจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ ได้สร้างความผิดหวังอย่างรุนแรงแก่กลุ่มพลังอำมาตยาธิปไตย
ในอดีต ระบอบรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารทุกครั้งก็เป็นเพียงการต่อเนื่องของอำนาจรัฐจารีตนิยมในรูปแบบแฝงเร้น ที่สวมเสื้อคลุมเป็นระบอบเลือกตั้ง มีรัฐสภา แต่มีรัฐบาลพลเรือนที่อ่อนแอและเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดที่ว่านอนสอนง่ายของพวกอำมาตยาธิปไตย
แต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 กลับเป็นครั้งแรกที่เป็นการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับอำนาจนิยมที่ร่างโดยคณะรัฐประหารที่นำมาซึ่งรัฐบาลที่มีพรรคแกนนำและมวลชนสนับสนุนที่เป็นพลังต้านรัฐประหารโดยตรง นี่จึงเป็น "ความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์" ที่สำคัญของอำมาตยาธิปไตย สะท้อนอย่างชัดเจนว่า นับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน จนถึงวันเลือกตั้ง พวกเขาประสบความล้มเหลวโดยพื้นฐานในการทำลายล้างพลังการเมืองประชาธิปไตยของกลุ่มทุนใหม่และขบวนมหาประชาชน
ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้เรียนรู้จากความล้มเหลวของรัฐประหาร 19 กันยายน ว่า พวกตนประเมินอิทธิพลของอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยในหมู่มวลชนต่ำเกินไป ไม่เข้าใจว่า พลังความนิยมของอดีตผู้นำไทยรักไทยนั้นแผ่กว้างและหยั่งรากลึกในหมู่มวลชน ยิ่งกว่านั้น พวกเขารู้ตัวแล้วว่า รัฐประหาร 19 กันยายนที่โค่นล้มรัฐบาลไทยรักไทยที่มาจากการเลือกตั้ง กลับกลายเป็นพลังกระตุ้นให้มวลชนชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท รวมตลอดถึงปัญญาชนและชนชั้นกลางในเมืองที่ก้าวหน้า ได้ตื่นตัวทางการเมืองประชาธิปไตยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รวมตัวจัดตั้ง กลายเป็นกองทัพหลวงอันเหนียวแน่นของประชาธิปไตย ประกอบด้วยกลุ่มองค์กรมหาประชาชนหลากหลายทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด พร้อมกับสื่อสารมวลชนทางเลือกออนไลน์ในมือที่ทรงพลัง ขับเคลื่อนโดยนักรบไซเบอร์ที่ชาญฉลาด กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ประกอบกันขึ้นแนวร่วมมหาประชาชนประชาธิปไตยที่ทรงพลัง
แทนที่ค่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยจะยอมรับความจริงว่า ประชาชนได้ตื่นขึ้นแล้ว ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว บัดนี้ ประชาชนไม่ยินยอมให้ถูกปฏิบัติเยี่ยงไพร่ทาสธุลีได้อีกต่อไป และสรุปบทเรียนว่า สมควรถึงเวลาคืนอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงให้แก่ปวงชนชาวไทยแล้ว เพื่อที่พวกเขาจะยังสามารถรักษา “สวรรค์น้อย ๆ” ของพวกเขาไว้ได้ภายใต้กฎกติกาประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่เผด็จการอำมาตยาธิปไตยกลับสรุปบทเรียนว่า จะต้องดำเนินตีโต้กลับในขั้นแตกหัก เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของพวกเขาในขณะนี้คือ การโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนโดยเร็ว เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายสองประการคือ หนึ่ง ถอนรากถอนโคนกลุ่มการเมืองของอดีตผู้นำไทยรักไทยให้หมดสิ้น และสอง ทำลายล้างพลังมวลมหาประชาชนอย่างถอนรากถอนโคน ให้ประชาชนสูญเสียจิตวิญญาณ หมดสิ้นซึ่งขวัญกำลังใจที่จะดิ้นรนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ยอมสิโรราบภายใต้อำนาจปกครองของอำมาตยาธิปไตยต่อไป
รัฐบาลพรรคพลังประชาชนในปัจจุบันกำลังตกอยู่ในวงล้อมที่ถูกรุมกระหน่ำตีอย่างหนักทั้งจากในสภาคือ พรรคการเมืองสมุนเผด็จการและสมาชิกวุฒิสภาแต่งตั้ง ประสานกับองค์กรรัฐธรรมนูญ ประกอบกับการล้อมตีนอกสภาจากแนวร่วมรับใช้เผด็จการที่ประกอบด้วยสื่อสารมวลชนขวาจัด ปัญญาชนนักวิชาการและราษฎรอาวุโสสามาณย์ ร่วมกับการเคลื่อนไหวยั่วยุสร้างความรุนแรงบนท้องถนนของกลุ่มอันธพาลการเมืองรับจ้าง รวมตลอดถึงการรวมตัวของกลุ่มทหารฟัสซิสต์ที่สำแดงกำลังกระด้างกระเดื่องข่มขู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่
ค่ายอำมาตยาธิปไตยได้หันมาใช้สูตรสำเร็จรูปของพวกตนที่กระทำสำเร็จมาทุกครั้งในหลายสิบปีมานี้ ซึ่งก็คือ ยุทธการพิฆาตไพรีเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” และ “โค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์” อันเป็นสัญญาณที่แจ้งชัดว่า บัดนี้ ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยมิได้มุ่งกำจัดรัฐบาลพรรคพลังประชาชนด้วยวิธีภายในกรอบของระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 อีกต่อไป ดังจะเห็นได้จากบทเรียนในประวัติศาสตร์ ดังนี้
นายปรีดี พนมยงค์ และรัฐบาลธำรง นาวาสวัสดิ์ถูกกล่าวหาทั้งในและนอกสภาว่า ปกปิดข้อเท็จจริงและมีส่วนในการลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นำไปสู่รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2489 และกวาดล้างคณะราษฎรปีกนายปรีดีจนหมดสิ้น
รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามถูกกล่าวหาว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพในหลายกรณี รวมทั้งในกรณีการเฉลิมฉลอง 25 พุทธศตวรรษ นำไปสู่รัฐประหาร 16 กันยายน 2500 ทำลายกลุ่มนายทหารของคณะราษฎรอย่างถอนราก ตามมาด้วยรัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2475 อันเป็นร่องรอยทางการเมืองชิ้นสุดท้ายของการปฏิวัติ 2475
ขบวนการนิสิตนักศึกษาและประชาชนถูกกล่าวหาว่า เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และแสดงละครแขวนคอ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” นำไปสู่การสังหารหมู่ที่นองเลือดที่สุดและรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2518
รัฐบาลพล อ.ชาติชาย ชุณหวันแม้จะถูกประณามเรื่องทุจริตคอรัปชั่นมาก่อนเป็นเวลานาน แต่ท้ายสุด ในการแต่งตั้งมนูญ รูปขจร กลับเข้าสู่ตำแหน่งทางราชการ ก็ถูกกล่าวหาว่า “ปกป้องบุคคลที่พัวพันกับคดีลอบสังหารบุคคลสำคัญ” นำไปสู่รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2521
รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรถูกกล่าวหาเรื่องทุจริตคอรัปชั่นหลายเรื่อง แต่ท้ายสุดคือข้อกล่าวหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หลายกรณี ที่นำไปสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ยุทธการในครั้งนี้จึงยังคงเรียบง่าย สกปรก หยาบช้า และเป็นเท็จเหมือนเดิม โดยมีข้อกล่าวหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” “เป็นขบวนการสาธารณรัฐ” เริ่มต้นด้วยการจับจักรภพ เพ็ญแข ขึ้นแสดงละครแขวนคอ โดยมีแนวร่วมสื่อมวลชนขวาจัดหลายค่ายรวมตัวกันเป็น “ดาวสยาม 2551” ช่วยกันกระพือข้อกล่าวหาป้ายสี กระตุ้นความโกรธเกลียด เพื่อมุ่งไปสู่ความรุนแรงอย่างเปิดเผยอีกครั้ง
เงื่อนไขสำคัญของการรุกกลับคือ โค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนให้เร็วที่สุด โดยไม่ทิ้งเงื่อนเวลาให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทันท่วงที ประกอบด้วยยุทธการสามแนวรบ คือ ความวุ่นวายจลาจลบนท้องถนน “ตุลาการรัฐประหาร” และรัฐประหารโดยกำลังอาวุธ
ยุทธการ “จลาจลบนท้องถนน” ก็เช่นเดียวกับก่อนรัฐประหาร 19 กันยายนคือ ให้ท้ายสนับสนุนให้กลุ่มอันธพาลการเมืองเป็น “กองหน้า” ออกมาชุมนุม เคลื่อนไหว ประท้วง ก่อให้เกิดสถานการณ์ไร้เสถียรภาพที่รัฐบาลควบคุมไม่ได้ และตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง สับสน ห่วงหน้าพะวงหลัง กระทั่งก่อความรุนแรงบนถนนเพื่อเป็นทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล
ยุทธการ “ตุลาการรัฐประหาร” สร้างวิกฤตการเมือง ผลักดันให้ระบอบเลือกตั้งเข้าสู่จุดอับที่ไม่มีทางออก ประกอบด้วยการดำเนินคดีการเมืองสำคัญอย่างรวดเร็ว บีบให้นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภาเพื่อแก้วิกฤต จากนั้น ใช้กลไกองค์กรรัฐธรรมนูญ ขัดขวางมิให้เกิดกระบวนการเลือกตั้งครั้งใหม่ อันจะนำระบอบเลือกตั้งกลับไปสู่สถานการณ์คับขันก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อีกครั้ง
ในสถานการณ์ดังกล่าว หากพรรคการเมืองที่เป็นสมุนรับใช้เผด็จการยังคงไร้สมรรถภาพและมิสามารถจัดตั้งรัฐบาลขึ้นตามระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 ได้อยู่ดี ยุทธการ “รัฐประหารด้วยกำลังอาวุธ” จึงเป็นคำตอบสุดท้าย
ขบวนการประชาธิปไตยจักต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการรุกกลับขั้นแตกหักของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยด้วยความเชื่อมั่น กล้าหาญ และชาญฉลาด บัดนี้ รัฐบาลพรรคพลังประชาชนคือกองบัญชาการหลักที่จะต้องยืนให้มั่น กุมสภาพกองทัพให้ชัดเจน เตรียมกำลังให้พร้อมสรรพ เพื่อตีโต้การรุกของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยได้ทันท่วงที บีบให้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยที่มีกลุ่มอันธพาลการเมืองเป็นกองหน้า เป็นฝ่ายก่อความรุนแรงบนท้องถนนและใช้กำลังอาวุธอย่างเปิดเผยโดยที่สถานการณ์ยังไม่สุกงอมและไม่เอื้ออำนวย ให้พวกเขากระทำผิดพลาดทางการเมืองอย่างร้ายแรง ประสบความล้มเหลวในการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน หรือหากแม้นจะโค่นล้มรัฐบาลลงได้ ก็ไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ในการปกครองในระยะต่อไป
สำหรับฝ่ายมวลชนพลังมหาประชาชน จะต้องกุมสภาพให้ชัดเจน หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่สุ่มเสี่ยง แสดงบทบาทเป็นกองหนุนรัฐบาลพรรคพลังประชาชนอย่างเหนียวแน่น เตรียมรับภัยคุกคามจากอำมาตยาธิปไตยอย่างเต็มที่ ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เพื่อรักษาและเตรียมกำลังตีโต้กลับ มุ่งสู่ชัยชนะในขั้นสุดท้ายของประชาชน




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2551    
Last Update : 19 มิถุนายน 2551 15:34:35 น.
Counter : 453 Pageviews.  

"ไม่รู้สึกเคอะเขินกันบ้างเลยหรือ?"คำถามจากคณิน บุญสุวรรณ

ไม่รู้สึกเคอะเขินกันบ้างเลยหรือ?

17 พ.ค. 2008 - 02:16:26 น.

นับตั้งแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 เป็นต้นมา ปรากฏว่ามีบุคคล คณะบุคคล และองค์กรซึ่งได้ดิบได้ดีมีตำแหน่ง จากผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 รวมทั้งบรรดาประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับต่างๆ ได้รับอานิสงส์ชนิดบุญหล่นทับสืบเนื่องต่อไปเลย จำนวนหลายตำแหน่งและหลายคน ดังจะยกตัวอย่างเฉพาะที่เห็นกันจะจะ ดังต่อไปนี้

1.มีกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 คน ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการการเลือกตั้งตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ 13 คนหนึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา อีกคนหนึ่งเป็นอดีตรองอัยการสูงสุด ภายหลังเมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ก็ได้รับแต่งตั้งโดยบทเฉพาะกาลมาตรา 299 ให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการการเลือกตั้งต่อไปเลย จนกว่าจะครบวาระ 7 ปี ในวันที่ 19 กันยายน 2556 พร้อมกันนั้น องค์กรที่เป็นต้นสังกัดเดิมของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งสองคนดังกล่าว ก็ได้รับอานิสงส์จากบทเฉพาะกาลมาตรา 306 อย่างชนิดที่เรียกว่า “เต็มเปา” เลยทีเดียว โดยกำหนดให้ผู้พิพากษาศาลฎีกาและพนักงานอัยการซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2550 เป็นต้นไป ปฏิบัติหน้าที่เป็น “ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา” และ “อัยการอาวุโส” ไปจนกว่าจะมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ถามว่า ไม่รู้สึกเคอะเขินกันบ้างเลยหรือ?

2.มีกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญหนึ่งคน และมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญอีกหนึ่งคน ที่ก่อนหน้านั้นได้รับแต่งตั้งตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 19 ให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ภายหลังเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ ก็ได้รับแต่งตั้งโดยบทเฉพาะกาลมาตรา 299 ให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไปเลย จนกว่าจะครบวาระ 9 ปี ในวันที่ 21 กันยายน 2558 กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยนั้น เคยเป็นผู้พิพากษาระดับสูง ขณะที่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นกรรมการ ป.ป.ช. นั้น ยังมีอีกตำแหน่งหนึ่ง คือ กรรมการ คตส. ซึ่งจะอยู่ในตำแหน่งจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ถามว่า ไม่รู้สึกเคอะเขินกันบ้างเลยหรือ?

3.หลังจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งมีอยู่ 10 คน ได้ถูกยกเลิกไปพร้อมกับรัฐธรรมนูญ 2540 และโดยประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ 12 ก็ได้ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต่อไป พร้อมกับควบอำนาจของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินทั้งคณะด้วย ภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ โดยบทเฉพาะกาลมาตรา 301 ก็ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งควบอำนาจคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินดังกล่าว ทำหน้าที่ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้เป็นหนึ่งในเจ็ดคณะกรรมการสรรหา ส.ว. จำนวน 74 คน ด้วย นอกเหนือจากตำแหน่งกรรมการ คตส. ซึ่งมีอยู่แล้วก่อนหน้านั้น เรียกว่าคนคนเดียวมีถึงห้าตำแหน่ง หรือเข้าตำรา “สวมหมวกห้าใบในเวลาเดียวกัน” ถามว่า ไม่รู้สึกเคอะเขินกันบ้างเลยหรือ?

4.ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาซึ่งมีอยู่ 3 คน และได้รับแต่งตั้งตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ นั้น ภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยบทเฉพาะกาลมาตรา 299 ก็ให้ดำรงตำแหน่งเป็น “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ซึ่งมีอำนาจและเขี้ยวเล็บเพิ่มขึ้นมาก ต่อไปเลยจนกว่าจะครบวาระ พร้อมกันนั้นก็ให้เลือกกันเอง 1 คน เป็น “ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน” เพื่อไปเป็นหนึ่งในเจ็ดคณะกรรมการสรรหา ส.ว. จำนวน 74 คน ด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้ไม่มีผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาไปร่วมเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีเลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาไปร่วมเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญด้วย และภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ เลขาธิการคนดังกล่าวก็ได้เป็น “เลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดิน” เป็นคนแรกของประเทศไทย ถามว่า ไม่รู้สึกเคอะเขินกันบ้างเลยหรือ?

5.ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (ประธาน กกต.) ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ 13 และภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธาน กกต. ต่อไปเลย จนกว่าจะครบวาระ 7 ปี ในวันที่ 19 กันยายน 2556 นั้น ได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นหนึ่งในเจ็ดคณะกรรมการสรรหา ส.ว. ด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ถามว่า ไม่รู้สึกเคอะเขินกันบ้างเลยหรือ?

6.มีกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคนหนึ่ง เดิมเคยเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา และต่อมาหลังการปฏิรูปการปกครองฯ 19 กันยายน 2549 ได้โอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนในตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ก็ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคนที่สอง ภายหลังรัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้ ก็ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นเวลา 9 ปีเต็ม ถามว่า ไม่รู้สึกเคอะเขินกันบ้างเลยหรือ?

ทั้ง 6 รายการที่กล่าวข้างต้นนี้ เป็นเพียงบางตัวอย่างของการเขียนรัฐธรรมนูญในลักษณะที่ผิดหลักนิติธรรมในการบัญญัติกฎหมาย กล่าวคือ การบัญญัติกฎหมายที่เอื้อประโยชน์แก่คนบางคนบางกลุ่มโดยจำเพาะเจาะจง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ “ผู้มีส่วนได้เสีย” ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง แก่พวกพ้อง หรือแก่องค์กรที่ตนสังกัด

นอกจากนั้นยังมีอีกหลายกรณีที่เข้าข่ายการบัญญัติกฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ซึ่งถ้าเป็นในประเทศที่เจริญแล้ว เขาจะไม่อนุญาตให้บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในรัฐธรรมนูญมาเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ไม่เฉพาะแต่นักการเมืองเท่านั้น แต่รวมถึงบรรดาข้าราชการประจำ เจ้าหน้าที่ของรัฐ คณาจารย์และผู้บริหารในมหาวิทยาลัย ผู้พิพากษา ตุลาการ และอื่นๆ ที่พร้อมจะเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือถึงแม้จะอนุญาตให้ผู้มีส่วนได้เสียเหล่านี้เข้าไปร่างรัฐธรรมนูญในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ก็จะต้องมีการกำหนดห้ามไว้อย่างเคร่งครัดว่า ห้ามมิให้บุคคลดังกล่าว (ทั้ง สสร. และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ) ดำรงตำแหน่งใดๆ ตามรัฐธรรมนูญเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปี

ที่ต้องเน้นคือ “ไม่ว่าตำแหน่งใดๆ ตามรัฐธรรมนูญ” เพราะมักจะเข้าใจว่า ห้ามเฉพาะ ส.ส. กับ ส.ว. เท่านั้น ซึ่งไม่พอ ต้องห้ามกรรมการหรือตุลาการในองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญด้วย เพราะตำแหน่งเหล่านี้ ถ้าหากบุคคลซึ่งมีส่วนร่วมร่างรัฐธรรมนูญ และมีส่วนเกี่ยวข้องในการแต่งตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งผู้ตรวจสอบร่างรัฐธรรมนูญมีโอกาสก่อนหรือได้เปรียบคนอื่นที่จะเข้าไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องออกแรง เข้าตำรา

“ทีใครทีมัน” แล้ว ก็เข้าข่ายเป็นการบัญญัติกฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ซึ่งในต่างประเทศเขาไม่ทำกัน
ดังนั้น เมื่อมีความพยายามและเสนอที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจหน้าที่ในกระบวนการทางรัฐสภา แล้วเกิดเสียงคัดค้านที่ดังมาจากกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ในลักษณะผู้มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากบทเฉพาะกาลแล้ว เสียงคัดค้านย่อมไม่มีน้ำหนักและความชอบธรรมเพียงพอ

ดีไม่ดี แทนที่ผู้เสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญจะถูกตั้งข้อสงสัยว่าแก้เพื่อประโยชน์ของตัวเองหรือเปล่า ก็อาจจะต้องกลับมาตั้งข้อสงสัยว่า ที่ค้านน่ะ ค้านเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหรือเปล่า

ถามจริงๆ เถอะ ไม่รู้สึกเคอะเขินหรือละอายใจกันบ้างหรือ?

คณิน บุญสุวรรณ




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2551 15:56:23 น.
Counter : 491 Pageviews.  

วิพากษ์เรื่องกฏหมายย้อนหลังไม่ได้

มองตาก็รู้ใจ ว่าใครคิดอะไรอยู่
ท่านสมัครพูดออกมาเมื่อวันอาทิตย์ “กฎหมายย้อนหลังไม่ได้”

ผมพยายามเปิดดู เอเอส ทีวีเกือบทุกรายการว่าจะพูดเรื่องนี้ไหม
คำตอบ..คือไม่มีเลย
ผมพยายามดูนักวิชาการทั้งหลายที่เก่งกาจกันนักหนา จะพูดเรื่องนี้ไหม
คำตอบ...คือไม่มีเลย
ผมพยายามดูสื่อที่เก่งกาจไม่ว่าจะเป็นสุรยุทธ์ กนก กลุ่มเนชั่น หรือแม้แต่ช่อง11ก็ตามที
คำตอบ..คือเงียบ

คำถามว่าทำไมถึงเงียบ ทั้งสองฝั่ง
เพราะท่านสมัครพูดถูกใช่ไหม? ถึงได้ไม่มีใครค้านเรื่องนี้กันเลย
คำตอบ..ใช่ครับ

เมื่อท่านสมัครพูดถูก
ทำไมจึงมีคนปั่นกระแสกันว่า แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองและพวกพ้อง ทั้งๆที่แก้ไปก็ไม่มีผล เพราะกฎหมายย้อนหลังไม่ได้
คำถาม..คนที่ปั่นกระแสพวกนี้ไม่เข้าใจหรือว่ากฎหมายย้อนหลังไม่ได้
คำตอบ..ไม่ใช่ครับ ทุกท่านเข้าใจดีว่าท่านสมัครพูดถูกต้อง เพราะทุกคนเก่งด้วยกันทั้งนั้น และเป็นที่ยอมรับในสังคมทั้งสิ้น
ท่านชวนก็นักกฎหมาย ท่านยังไม่ยอมวิจารณ์คำพูดท่านสมัครเรื่องนี้
แต่ทำไม ยังมีลูกพรรคประชาธิปัตย์ออกมาค้านเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ อีก ทั้งสส.ในพรรคที่เป็นนักกฎหมายหลายคนก็พูดตรงกันว่า แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองพ้นผิด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

อ่านถึงตรงนี้ งง กันไหมครับ
ผมสรุปสั้นๆให้อ่านอีกครั้ง.. ท่านสมัครบอกว่ากฎหมายย้อนหลังไม่ได้ เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด ได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วในขณะที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี50อยู่ การกระทำใดๆที่เกิดขึ้นในช่วงไหนก็ให้ถือว่า เอารัฐธรรมนูญฉบับนั้นเป็นตัวตัดสินเมื่อคดีขึ้นสู่ศาล
ไม่มีใครเถียงเลยซักคนว่า ท่านสมัคร ตะแบงหรือ พูดผิด แต่ก็ยังมีขบวนการกล่าวหาว่า แก้กฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงคดีของตนเอง และพรรคพลังประชาชน อย่างไม่เลิกอยู่ดี

หลายท่านที่อ่านตาม คงคิดออกแล้วว่าผมกำลังพูดถึงอะไร
ใช่ครับ..ผมพูดถึงจริยธรรมของตุลาการรัฐธรรมนูญ(ในสมัย เผด็จการ) ที่ได้ตัดสินให้กรรมการบริหารพรรคทั้ง111คนของสส.ไทยรักไทยต้องเว้นวรรคทางการเมืองถึง5ปี และไม่มีสิทธิ์อันใดที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น เพราะดันไปเอาประกาศของคณะ คปค.ขึ้นมาร่วมตัดสิน และดันไปตีความว่า กฎหมายสามารถย้อนหลังได้ ถ้าเป็นคดีที่ไม่ใช่อาญา และถือว่าการตัดสิทธิ์ทางการเมืองไม่ใช่คดีอาญา
ตรงนี่เองครับที่มันเป็น อัปลักษณ์ของตุลาการประเทศไทย ที่ได้ร่วมกันสร้างบรรทัดฐานกันไว้

ไม่ใช่ว่าไม่มีใครกล้าพูดหรอกครับ มีคนพร้อมจะพูดแต่รอจังหวะเท่านั้นครับ

ฝ่ายเผด็จการน้ำท่วมปากพูดไม่ได้ พูดไปก็ย้อนกลับมาหาตัวเองอีก พรรคประชาธิปัตย์เองที่ประกาศนักหนาว่าตนเองมีจริยธรรมสูงส่ง กฎหมายต้องเป็นกฎหมายไม่มีใครอยู่เหนือรัฐธรรมนูญได้ แต่ดันไปเล่นลูกกับการตัดสินครั้งนั้นกับเขาไว้เยอะ หลักฐานไม่ต้องพูดถึง เทปที่อัดไว้มีเกินกว่า100ม้วน เลยถอนตัวไม่ออก

แล้วฝ่ายพรรครัฐบาล ทำอะไร ทำไมเงียบ
สาเหตุที่เงียบในช่วงนี้ก็เพราะ งานนี้มีเฮแน่นอน แต่ ต้องใจเย็นไว้ก่อน

ถ้า..คดียุบพรรคการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในครั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า กฎหมายย้อนหลังไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นครับ คิดดูให้ดี
1.คำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาในครั้งนั้น จะถือว่าตัดสินผิดทันที แล้วใครบ้างครับที่เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญในขณะนั้น (ขออนุญาตไม่เอ่ย ก็แล้วกันครับ) จะเป็นอย่างไรบ้าง นึกภาพไม่ออกเลย ตั้งแต่โดนฟ้องกลับ กลับคำตัดสินคดีใหม่ ผลกระทบอีกมากมายมหาศาล จนอาจถึงขนาดต้องมีการสังคัยนาระบบตุลาการกันใหม่เลยทีเดียว
2.คำฟ้องของคุณจักรภพที่เป็นเทป ว่ามีคนสั่งการ มาที่ตุลาการรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ให้คดีตัดสินเป็นอย่างไร มีน้ำหนักขึ้นมาในทันที
3.คนสั่งการไปที่ตุลาการมีความผิดไหม
4.โยงมาถึง คดีของคุณทักษิณในทันที เมื่อมีการสั่งได้ แสดงว่าขบวนการ ยุติธรรมที่มีอยู่ไม่ยุติธรรมจริงๆ ต้องทบทวน และอาจจะมีเหตุให้ตัดสินว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งหมด

ไก่ก็เห็นตีนงู งูก็เห็นนมไก่
เกมนี้มีอยู่แค่นี้เองครับ ไม่มีอะไรซับซ้อน ท่านสมัครถึงกล้าประกาศอย่างต่อเนื่อง ว่าท่านจะไม่ลงสมัครรับเรื่องตั้งในสมัยหน้าอีกแล้ว เพราะท่านต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า กฎหมายย้อนหลังไม่ได้

ใจเย็นครับเพื่อนๆทั้งหลาย ท่านสมัครท่านรู้ดีว่าท่านทำอะไรอยู่
บอกได้เลยว่าท่านสมัคร ไม่ใช่จะชนหรือปะทะกับทุกคนดะไม่เว้น ท่านเว้นครับ
เพราะท่านเลือดสีน้ำเงินเข้มด้วย
อะไรที่ทำให้ประเทศชาติ อยู่รอด ท่านสมัครจะทำเหนือสิ่งอื่นใด
เพียงแค่ว่า ต้องเล่นกันให้ถูกต้อง อย่าเอาเปรียบกันมากไป จะเอาม็อบออกมารีบไล่ทันให้พ้นวาระก่อน ท่านไม่ยอมแน่ครับ และไม่ใช่วิสัยคนที่ชื่อสมัครด้วย

ถ้า ณ.ตอนนี้เพื่อนๆจะเห็นอะไรแปลกๆ อย่าสงสัยนะครับ
ทำไม ท่านชวนต้องออกมาเล่นเรื่องบ้าๆบอๆ
ทำไม กลุ่มพันธมิตรถึงมีเงินมาเล่นไม่เลิก
ทำไม คุณคำนูนถึงยอมเป็นระเบิดพลีชีพมาเปิดเกมเรื่องที่อาจทำให้ตนเองอยู่ในคุกได้
ทำไม พักนี้ กลุ่มพันธมิตร จึงตะแบงผิดสังเกต
ไม่ใช่เพราะกลัวท่านทักษิณจะกลับมามีอำนาจใหม่ อย่างที่โฆษณาหรอกครับ
รู้อยู่แล้วว่าท่านไม่กลับมาเล่นการเมืองแน่ เพราะสัญญาใจที่ทำไว้กับใครบางคน
แต่ที่กลัวมากๆก็คือ หลายท่านที่เคยเป็นที่นับถืออาจจะต้องเปลี่ยนที่อยู่ใหม่เท่านั้นเองครับ

ถ้าใครจำได้ผมเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วว่า “เวรกรรมมีจริง ใครก่ออะไรไว้จะได้รับผลอันนั้น” คอยดูกันนะครับกระทู้นี้จำไว้เลยว่าผมพูดถูกไหม

อีกนิด..เพื่อความกระจ่าง
“ลิ้มจะไม่ต้องนอนในคุกถ้า มีคนชงเรื่องถวายฎีกาให้” เรื่องนี้ผมจำมาจากคุณวีระเคยเล่าไว้ที่ท้องสนามหลวง ว่าตัวคุณวีระเองใครกันแน่ที่ช่วยท่านออกมาจากคุกได้
ลิ้ม ไม่ดิ้นสุดตัวให้ ป๋า วันนี้ แล้วลิ้มจะดิ้นสุดตัวให้ใคร ครับ

จากคุณ : อ่างขาง - [ 24 เม.ย. 51 10:23:16 A:118.174.47.47 X: ]




 

Create Date : 24 เมษายน 2551    
Last Update : 24 เมษายน 2551 15:27:06 น.
Counter : 450 Pageviews.  

อีกมุมมองว่าด้วยมาตรา 309 : เหตุผลที่แตะไม่ได้?

คอลัมน์:โต๊ะกลมระดมความคิด จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้

เรื่องของมาตรา 309 กลายเป็นมาตราที่อาถรรพ์ มันถูกต่อต้านในน้ำหนักซึ่งไม่แตกต่างไปจากมาตรา 237 หรืออาจมากกว่า

ดังเห็นจากการที่ "พันธมิตรฯ" ได้ออกมาเคลื่อนไหวและคัดค้านชนิดหัวชนฝา แม้จนกระทั่งกลุ่มนักวิชาการ ที่เป็นนักกฎหมาย ในจำพวก rule by Law เป็นนิติบริกรในลักษณะตีความกฎหมาย โดยยึดติดกับถ้อยคำที่บัญญัติเอาไว้ชนิดเคร่งครัดและเข้มข้น

ส่วนใหญ่ จะเป็นนักตีความกฎหมายที่มักจะมองข้ามข้อเท็จจริง และความถูกต้องยุติธรรม ซึ่งอยู่เบื้องหลังถ้อยคำ นอกจากนั้น ก็ค่อนข้างจะไม่เข้าใจหลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตลอดจนเจตนารมณ์ที่เป็นความประสงค์สำหรับกฎหมายที่ร่างขึ้นมา อาจบอกว่าเบือนบิดไปก็คงได้?

มีกลุ่มนักกฎหมายซึ่งยึดถือหลักการ rule of Law อย่างเคร่งครัด และมีเหตุมีผล... พวกเขาอธิบายว่า เรื่องของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่อะไรที่ยากเย็นในการทำความเข้าใจ เพราะหลักการหรือเจตนารมณ์นั้น ก็เพื่อสนองตอบผลประโยชน์และสิทธิเสรีภาพของประชาชนส่วนใหญ่...

ด้วยมุมมองเช่นนี้ ในแต่ละมาตราของกฎหมายรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้องตอบสนองตามเจตนารมณ์ หลักการของระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย โดยหลักการกับเจตนารมณ์ต่างๆ ภายใต้ระบอบการปกครองของประชาธิปไตยทั่วโลก เขาจึงยึดโยง ตอบสนอง และไม่ให้กระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์และสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างใดทั้งสิ้น?...

ถ้ามาตราใด หรือกฎหมายใด ไปขัดขวางหรือทำลายเจตนารมณ์ดังกล่าว ก็คงต้องแก้ไข ปรับเปลี่ยนตัวบทกฎหมายเสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง สอดคล้องกับผลประโยชน์ สิทธิและเสรีภาพ ซึ่งเป็นหลักค้ำประกันสำคัญของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย!

เราย้อนกลับมาพิจารณาดู มาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญ 2550 จะพิจารณาในแง่ไหนก็ตาม มาตรานี้ก็ถือว่าเป็นการร่างหรือบัญญัติขึ้นมา โดยปราศจากความชอบธรรมในหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นไปอย่างที่ทราบกันดี เป็นมาตราที่ห้ามการเอาผิดย้อนหลัง ตรงนี้เป็นเรื่องที่เราต่างรู้กันดีว่า คมช.ได้ผลักดันการบัญญัติมาตรา 309 ขึ้นมา เพื่อเป็นเซฟตี้ให้แก่กลุ่มคณะตัวเอง

มาตรา 309 ได้เขียนเอาไว้ให้บรรดาพฤติกรรมและการกระทำใดๆ ซึ่งรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ...

อ่านรัฐธรรมนูญแบบง่ายๆ ไม่ต้องแปลความให้ลึกซึ้งอะไรทั้งสิ้น ทุกคนที่มีใจเป็นธรรม มีเหตุมีผล ก็คงสามารถตระหนักรู้ได้ทั้งสิ้นว่า กฎหมายที่ไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรมซึ่งเขียนเอาไว้อย่างนี้ มันไม่มีประเทศใดในโลกเขาร่างข้อบังคับ หรือกฎหมาย ที่เป็นไปเช่นนี้ออกมาบังคับใช้กันหรอก?

มาตรา 309 จึงเป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากเครื่องมือป้องกัน "การเอาผิดย้อนหลัง" มิใช่เฉพาะ คมช.เท่านั้น แต่ยังรวมทั่วถึงทุกองคาพยพที่แต่งตั้ง หรือสร้างขึ้นมาจากอำนาจของคณะรัฐประหาร หรือรัฐบาลรักษาการ ที่ได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาจาก คมช.เช่นเดียวกัน...

ในช่วงที่ คมช.ครองอำนาจอยู่ในบ้านเมือง ทำให้เป็นที่สงสัยว่า ได้มีการใช้อำนาจหน้าที่ไปอย่างสับสนและคลุมเครือเพียงใด?

มิใช่เพียงการตั้งคำถามกับคณะรัฐประหารหรือรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังต้องโยงใยไปถึงการใช้อำนาจของ กกต., คตส. และอีกหลายกลไกที่ขับเคลื่อนไป ภายใต้อำนาจของคณะรัฐบาล ความถูกผิดของการใช้อำนาจหน้าที่นั้น เป็นพื้นฐานที่เชื่อถือได้ว่า "น่าจะมีความตกหล่นและบกพร่อง หรืออาจเป็นไปได้ที่จะมีการละเมิดตัวบทกฎหมายในบางโอกาส..."

เรื่องราวตรงนี้ก็คงมีความเป็นไปได้ ที่เกิดความเกรงหรือกลัวจะมีใครขุดคุ้ยและเอาความผิดย้อนหลัง!

อาจจะมีประเด็นที่สามารถสร้างเป็นสมมุติฐานอย่างชัดเจนได้เหมือนกันว่า คมช. รวมทั้งบรรดาองค์กรที่เป็นเรือโยงและเรือลากจูงทั้งหลาย สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขและอำนาจของคณะรัฐประหาร มันมีความชอบธรรมเพียงใด?

เราอาจจะยกตัวอย่างขององค์กร คตส. มุมมองและการพิจารณาต่อองค์กรนี้ ย่อมเป็นไปได้หลายทาง และเหตุผล ตั้งแต่การมองว่า "คตส.เป็นองค์กรที่ขาดความชอบธรรมในด้านกฎหมายรองรับ สำหรับการจัดตั้งขึ้นมา" ถ้าไม่อคติจนเกินไปคงจะต้องยอมรับว่าการตั้งคำถามเช่นนี้ขึ้นมา มันเป็นเรื่องมีเหตุผลและไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด?

นั่นเป็นเหตุผลและมุมมองของฝ่ายหนึ่ง แต่ถ้าถามอีกบางกลุ่มบางคณะ เช่น กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตลอดจนพวกที่อ้างถึงวาทกรรมต่อต้านระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นอีกแนวความคิดสุดขั้วในสังคมไทย กลุ่มเหล่านี้ก็จะโต้แย้งทันทีว่า การแก้ไขมาตรา 309 ถือเป็นรายการ "ฟอกความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"

กลุ่มดังกล่าวจึงต่อต้านสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ...เพราะคิดว่าเมื่อ คตส.ปราศจากความชอบธรรม ในการจัดตั้ง ก็เท่ากับไร้ความถูกต้องชอบธรรม ในการมีบทบาทไปด้วย พวกเขาจึงสรุปว่า การแก้ไขมาตรา 309 เท่ากับเป็นการช่วยเหลือคดีความต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปโดยอัตโนมัติ...พวกนี้จึงยอมไม่ได้!

อย่างไรก็ตาม เหตุผลและมุมมองก็เป็นไปได้หลายทาง ยังมีพวกที่พยายามประสานทั้ง 2 ฝ่ายเข้าด้วยกัน ไม่รู้ว่าจะเรียกให้เป็นพวก "เป็นกลาง" ได้หรือไม่?

กรณีของพรรคชาติไทย ที่พยายามประนีประนอมไม่ให้แก้ไขมาตรา 309 เราอาจฟังเสียงได้จากนายอรรคพล สรสุชาติ ที่ออกมาพูดแทนสมาชิกพรรคชาติไทยทุกๆ คนเกี่ยวกับมาตรา 309 โดยเขากล่าวว่า

"สมาชิกพรรคชาติไทยเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่แตะต้องมาตรา 309 ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เพราะหวั่นว่าจะมีปัญหาตามมา ส่วนมาตรา 237 ทางพรรคไม่ได้ติดใจในเรื่องของการยุบพรรค แต่อยากให้มีการปรับปรุงให้มีความชัดเจนมากขึ้น เช่น อยากให้ผู้ที่กระทำผิดอย่างแท้จริงได้รับโทษโดยตรง แต่เราไม่ได้บอกว่าไม่ต้องมีการยุบพรรค หากปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า มีกรรมการบริหารพรรคส่วนใหญ่ เข้าไปมีส่วนร่วมในการทุจริต ก็สามารถโยงไปสู่การยุบพรรคได้"

การที่มีความพยายาม ไม่อยากแตะต้องมาตรา 309 เพราะหวั่นว่า จะมีปัญหาติดตามมา ตรงนั้นคือปัญหาอะไร? เป็นปัญหาที่จะฟอกความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ล้มล้าง คตส.หรือเป็นไป เพราะการแก้ไขมาตรา 309 นั้น จะมีโอกาสเกิดรายการขุมนรกแตก เพราะในบริบทการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มันมีกลุ่มคณะจำนวนมากมาย ที่ได้กระทำผิดในหลายๆ แง่ ต่างกรรมและต่างวาระ ละเมิดอำนาจกฎหมายต่างๆ เป็นการใช้อำนาจไปตามชอบใจ ละเลยหลักการนิติรัฐ และนิติธรรม

กลุ่มเหล่านี้ จึงต้องรักษามาตรา 309 กันเอาไว้อย่างสุดจิตสุดใจ...หากมีการแก้ไข หรือยกเลิกมาตรานี้เมื่อไหร่ รับรองเกรงจะมีใครหลายคน ต้องเข้าไปนอนในคุกตอนวัยชรา... ก็เพราะกลัวความผิดเช่นนั้นเอง จึงต้องพร้อมต่อต้านทุกรูปแบบ ไม่ให้มาตรานี้ต้องถูกแก้ไขหรือยกเลิก... เผาเมืองก็ยังยอม!




 

Create Date : 17 เมษายน 2551    
Last Update : 17 เมษายน 2551 16:59:52 น.
Counter : 561 Pageviews.  

วรเจตน์ที่ผมรู้จัก

พักยกก่อนออกรบ...วันมหาสงกรานต์ไทยนำเสนอยุคคนกล้าดีภาษาคนติดตามข่าวผมรู้จักอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านทางตัวอักษร เริ่มจากบทความ บทสัมภาษณ์ ติดตามอ่านสื่อ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร และทางวิทยุโทรทัศน์ ระหว่างทางที่ผมรู้จักผ่านตัวตนที่เห็นและเป็นอยู่จริง ที่สำคัญสำหรับผมอีกอย่างก็คือในฐานะมิตรรักนักอ่านแฟนประจำอาจารย์ท่านนี้ ชื่นชอบความไม่อีเดียจ เดียจฉัทน์คนทางชนชั้น...เคารพเกียรติอย่างเสมอภาค. ทางความคิดเห็นและการกระทำควบคู่กันไป
คนระดับดีกรีนักเรียนทุนอนันทมหิดล ในฐานะนักศึกษาเรียนดีเยี่ยมรอบๆหลายๆสิบปีของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบดอกเตอร์ทางด้านกฎหมายมหาชนจากประเทศเยอรมันนี แหล่งผลิตนักกฎหมายชั้นดีเยี่ยมของทั่วโลก คือใบเบิกทางที่ ดีรองรับไร้ติฉินนินทา หมั่นไส้ ฉีกหน้ากลางวงอภิปรายติดตามมาตลอด...ทำการบ้านศึกษาข้อกฎหมายถ่องแท้ "ไม่มั่ว"แตกฉานหลักคิดบวกเหตุผล ตีตก "น้ำหนักทางเหตุผลมันแพ้"คำยืนยันหนักแน่นจากปากคำวรเจตน์ กรณีข้อพิพาททางกฎหมาย รธน.หักล้างประเด็นต่อประเด็น มาตราต่อมาตรา ออกแถลงการณ์คณาจารย์มธ 6ท่าน ไม่รับร่างรธน.50 เหตุผลแต่ละข้อคืออะไรและเป็นที่รับทราบคงไม่มาฉายซ้ำ

แต่สำหรับผมไม่พอเท่านี้แน่นอน...วรเจตน์ คือนักคิด นักเขียน นักวิชาการ นักกฎหมายมหาชน นักต่อสู้ประชาธิไตย ที่มีคุณค่าแก่การยกมือไหว้โดยไม่เสียมือ...อีกต่างหาก ปัจจัยที่บ่งบอกคือ...

ประการแรก กล้ายึดมั่นคงต่อหลักการแห่งกฎหมายอย่างเคร่งครัดสม่ำเสมอต้นเสมอปลาย

ประการที่สอง กล้าแสดงจุดยืนแช่มชัดด้วยข้อมูลที่สามารถถกเถียงบนหลักการเหตุและผล โดยปราศจากอคติ จงเกลียดจงชัง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนลืมความเป็นกลางงานวิชาการกฎหมาย พูดง่ายสุดยึดหลักและระบบไว้อย่างสมดุล เหมือนตราชั่งที่ไม่โดนเอียง เคลียร์โจทย์ตอบคำถามชัดเจน ตรงไปตรงมา

ประการที่สาม กล้าชนกับความไม่ถูกต้องทุกรูปแบบ จนเสมือนหนึ่งเหมือนแกะดำในรั้วมหาวิยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ตนเองสังกัดอยู่เสียมิได้

ประการที่สี่ กล้าเชิดหน้าสู้คน...ด้วยข้อหาหมั่นไส้ มีอคติเต็มหัวจากผู้บริหารที่รับใช้เผด็จการภายใต้ท๊อปบูตทมิฬ อย่างเต็มตัว

ประการที่ห้า กล้าบอกความจริงที่เหลือน้อยในสังคม แม้บางครั้งสุภาษิตสุกเอาเผากินมันลามเข้าจิตใต้สำนึกชั่วดีถี่ห่าง "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย...คนพูดตาย" คงใช้กับอาจารย์ท่านนี้ยากขึ้น

ประการที่หก กล้าเสียสละเงินเดือนระดับเงินล้านบาทจากภาคเอกชน ด้วยรักความเป็นครูบาอาจารย์อุทิศตนนำความรู้ร่ำเรียนถ่ายทอดแก่ลูกศิษย์ลูกหา โดยเอาบรรทัดฐานหลักการระบบกฎหมายไม่ปิดบังความจริงบิดเบือนตัวบทกฎหมาย เอาความผิดย้อนหลังได้ ต่อไปจะใช้สอนได้อย่างไร...มิต้องเผาตำรากฎหมายหมดหรือ เพราะที่ สอนมาเวลานำมาใช้จริงกลับตาลปัตรอย่างหนึ่ง

ประการที่เจ็ด กล้าปฎิเสธอำนาจนอกระบบ!!!



ประการที่แปด เราต้องกล้าที่จะยกย่องสรรเสริญคนดี มิฉะนั้นสุภาษิต "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากจะเห็นเราเด่นเกิน"ถูกเก็บใส่ลิ้นชักหมดเกลี้ยง

ค้นพบสัจจธรรมว่าเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เราขาดนักกฎหมายมหาชน นักกฎหมาย ที่ยึดระบบที่มาไม่ชอบธรรม ตัวเนื้อหาสาระ หดหัวรับใช้เผด็จการเต็มรูปแบบ ที่แย่สุดนักกฎหมายจำนวนหนึ่งบิดเบือนกฎหมายย้อนหลังได้...ฟังไม่ขึ้น ทำลายระบบหลักการของกฎหมายพังพินาศย่อยยับนับเป็นความเสียหาย จารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์กฎหมายเมืองไทยดุจดั่งเสียกรุง เสียความศักดิ์ศรีตัวบทกฎหมายเป็นบทเรียนที่ใช้สอนสั่งกันมาโดยสิ้นเชิง หลักการกฎหมายถูกกระทบขาดความยำเกรงครั้งสําคัญ

คนที่เคยสัมผัสอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อดีตนักเรียนทุนอนันทมหิดล ลูกศิษย์คนโปรดของ อาจารย์ธารินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี อย่างจริงจังและจริงใจ แอบมา เล่าให้ผมฟังว่าภาคภมิใจว่ะ ที่เกิดเป็นคนได้ร่วมโลกกับคนคิดที่ดีทั้งต่อ วิชาชีพ ทั้งจรรยาบรรณในวิชาชีพ คนระดับนี้พูดตรงๆคิดหารายได้เงินทองอย่างเดียวที่ไหนๆๆภาคเอกชนจองตัวคิวเต็มหมดไม่มีเหลือหรอให้ภาครัฐ แต่นั่นด้วยใจรักวิชาชีพครูบาอาจารย์ คนแบบนี้หายากหาเย็นในสังคมจอมปลอม "ยุคใครมือยาวสาวได้สาวเอา"

พยามสร้างภาพลักษณ์ดูดีเฉพาะหน้าตา ฉากหลังหวังชื่อเสียงหาเกียรติยศอยู่ร่ำไป...ยุคฮีโร่ขี่เบนซ์โชว์ความโก้หรูอยากเด่นอยากดังเป็นที่ตั้งบ่งบอกสถานะความสำเร็จแห่งชีวิต

อาจารย์วรเจตน์ เป็นมนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์ควรค่าแก่การรู้จักผิวเผินไม่ได้ เพราะท่านไม่มีความอยากได้ใคร่เป็น จุดยืนกลาง ด่าว่าเต็มปากเต็มคำ ผลการกระทำมันเป็นตัวพิสูจน์ที่มาของการกระทำ...ทำการบ้านตอบโจทย์หมดข้อสงสัยแจ่มชัด แย้งไม่ขึ้นหอบหิ้วเอาเงาแห่งมิตร...ระหว่างใจจากเพื่อนสู่เพื่อน...ขอยืมคำเพื่อนผมอีกครั้งหนึ่งว่า..."อย่าเอาเศษโลหะบนบ่ามาหาแดก อย่าเอาเวลาราชการมาหากิน" วลีประโยค...ดังกล่าวใช้ไม่ได้กับคนชื่อวรเจตน์ ภาคีรัตน์ เชื่อว่าทองแท้อยู่ที่หนึ่งที่ใดย่อมทนต่อการพิสูจน์เสมอ

ผมติดตามงานวิชาการตลอด...ยิ่งเชื่อมั่นว่าคนระดับเซียนด้านกฎหมายอย่าง ดร.วิษณุ เครืองาม เคยพูดว่าดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็นผู้ที่มีความคิดเห็นเฉียบคม อนาคตจะเป็นผู้นำที่มีคุณค่าในสังคม ด้วยหลักการต้องมาก่อน

คนอื่นๆไม่รับรองพวกเรี่ยราดเกาะโน่นโผล่นี่มีดาษดื่นทุกแวดวง แต่ชั่วขณะกลับด้านมาโผล่ที่รอบรั้วปัญญาชนถี่บ่อย...รับใช้เผด็จการเหมือนคนตาบอดสี แอบนินทาด่าทอว่านักการเมืองชั่วๆๆดีๆๆ พฤติกรรมเป็นเสียเอง ที่มันรู้สึกแย่ด่าว่านักการเมืองเสียๆหายๆที่แย่ที่สุดคือพวกพ้องและตัวเองทำเสียเอง

เล่นพรรคเล่นพวกพ้องในสภามหาวิทยาลัยแหล่งผลประโยชน์แอบแฝง แหล่งหารายได้เข้ากระเป๋ามันเปิดช่อง ประมูลก่อสร้างจัดซื้อจัดจ้าง บล็อกโหวตเลือกตั้งคณะผู้บริหาร กีดกั้นการเสนอยศเสนอตำแหน่งเด็กใครเด็กนายได้ดี ฉะนั้นสิ่งที่หลอกด่านักการเมืองพฤติกรรมแย่กว่านักการเมืองเสียอีก...ไม่มูลแห่งความจริง...โต้เถียงมา...ขอท้ารบ...รู้คำตอบ...นอนชักว่าวดีกว่ากันเยอะเลย หรือว่าเรามีนักวิชาเกินชักว่าวมากพอแล้ว???



ถนนวิญญูชนจากปากคำวรเจตน์ นักต่อสู้ความจริงทุกภาคสนามทุกนัด โดยไม่เกี่ยงทางด้านกายภาพก็คือ ให้คำจำกัดความเวทีดีเบตรธน.แสดงเหตุผลที่ผ่านมานั้น"น้ำหนักทางเหตุผลมันแพ้" ระบบตรวจสอบที่ไม่เอาไม่อวดเอาศักดาเอาสีข้างเข้าถูก อคติเต็มหัว!!!และข้อหาหมั่นไส้...หมดทางสู้เพราะ "น้ำหนักทางเหตุผลมันแพ้"ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง



ฉะนั้นใครใครจะตำหนิผมเชลียร์มากวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ก็ช่วยไม่ได้ครับ ชนะใจของผม...อันสืบเนื่องมาจากยุคนี้คนกล้าคนจริง...พร้อมกล้าได้กล้าเสียทางจริยธรรม จรรยาบรรณในวิชาชีพ มันนับหัวได้เลย..."เมื่อเสียงปืนดังขึ้น กฎหมายก็เบาลง"



ผลพวงการปฎิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ...มันได้พิสูจน์ใจคนแยกแยะว่าใครต่อใครเป็นเช่นไร ใครรับใช้เผด็จการตัวจริงเสียงจริง...โฉมหน้าเห็นธาตุแท้...นักวิชาการจำพวกถมน้ำลายรดหน้าตัวเองรับใช้เผด็จการ ท็อปบูตทมิฬ ตลอดศก...จดจำชื่อไว้หน่อย...สอนบทเรียน...นักวิชาการลงแขก...แหกตาประชาชน???

โดยคืนรัง แห่งHi-Thaksin




 

Create Date : 12 เมษายน 2551    
Last Update : 12 เมษายน 2551 21:05:05 น.
Counter : 481 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.