ก็แค่Weblogดองๆทำเล่นไปเรื่อยแหละน่าของกรรมกรกระทู้ลงชื่อและเมล์ที่Blogนี้สำหรับผู้ที่ต้องการGmailครับ
เข้ามาแล้วกรุณาตอบแบบสอบถามว่าคุณตั้งหน้าตั้งตาเก็บเนื้อหาในBlogไหนของผมบ้างนะครับ
รับRequestรูปCGการ์ตูนไรท์ลงแผ่นแจกจ่ายครับ
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter

เข้ามาเยี่ยมแล้วรบกวนลงชื่อทักทายในBlogไหนก็ได้Blogหนึ่งพอให้ทราบว่าคุณมาเยี่ยมแล้วลงสักหน่อยนะอย่าอายครับถ้าคุณไม่ได้เป็นหัวขโมยเนื้อหาBlog(Pirate)โจทก์หรือStalker

ความเป็นกลางไม่มีในโลก มีแต่ความเป็นธรรมเท่านั้นเราจะไม่ยอมให้คนที่มีตรรกะการมองความชั่วของ มนุษย์บกพร่อง ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น กระทำสองมาตรฐานและเลือกปฏิบัติได้ครองบ้านเมือง ใครก็ตามที่บังอาจทำรัฐประหารถ้าไม่กลัวเศรษฐกิจจะถอยหลังหรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ได้เจอกับมวลมหาประชาชนที่ท้องสนามหลวงแน่นอน

มีรัฐประหารเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มวลมหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน จงไปชุมนุมพร้อมกันที่ท้องสนามหลวงทันที

พรรคการเมืองนะอยากยุบก็ยุบไปเลย แต่ึอำมาตย์ทั้งหลายเอ็งไม่มีวันยุบพรรคในหัวใจรากหญ้ามวลมหาประชาชนได้หรอก เสียงนี้ของเราจะไม่มีวันให้พรรคแมลงสาปเน่าๆไปตลอดชาติ
เขตอภัยทาน ที่นี่ไม่มีการตบ,ฆ่าตัดตอนหรือรังแกเกรียนในBlogแต่อย่างใดทั้งสิ้น
อยากจะป่วนโดยไม่มีสาระมรรคผลปัญญาอะไรก็เชิญตามสบาย(ยกเว้นSpamไวรัสโฆษณา มาเมื่อไหร่ฆ่าตัดตอนสถานเดียว)
รณรงค์ไม่ใช้ภาษาวิบัติในโลกinternetทั้งในWeblog,Webboard,กระทู้,ChatหรือMSN ถ้าเจออาจมีลบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของBlogger
ยกเว้นถ้าอยากจะโชว์โง่หรือโชว์เกรียน เรายินดีคงข้อความนั้นเพื่อประจานตัวตนของโพสต์นั้นๆ ฮา...

ถึงอีแอบที่มาเนียนโพสต์โดยอ้างสถาบันทุกท่าน
อยากด่าใครกรุณาว่ากันมาตรงๆและอย่าได้ใช้เหตุผลวิบัติประเภทอ้างเจตนาหรือความเห็นใจ
ไปจนถึงเบี่ยงเบนประเด็นไปในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันฯเป็นอันขาด

เพราะการทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้สถาบันฯเกิดความเสียหายซะเอง ผมขอร้องในฐานะที่เป็นRotational Royalistคนหนึ่งนะครับ
มิใช่Ultra Royalistเหมือนกับอีแอบทั้งหลายทุกท่าน

หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ตรรกะวิบัติ รณรงค์ต่อต้านการใช้ตรรกะวิบัติทุกชนิด แน่นอนความรุนแรงก็ต้องห้ามด้วยและหยุดส่งเสริมความรุนแรงทุกชนิดไม่ว่าทางตรงทางอ้อมทุกคนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพวกสีขี้,สื่อเน่าๆ,พรรคกะจั๊ว,และอำมาตย์ที่หากินกับคนที่รู้ว่าใครต้องหยุดปากพล่อยสุมไฟ ไม่ใช่มาทำเฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นและห้ามดัดจริต


ใครมีอะไรอยากบ่น ก่นด่า ทักทาย เชลียร์ เยินยอ ไล่เบี๊ย เอาเรื่อง คิดบัญชี กรรมกรกระทู้(ยกเว้นSpamโฆษณาตัดแปะรำพึงรำพัน) เชิญได้ที่ My BoardในMy-IDของกรรมกรที่เว็ปเด็กดีดอทคอมนะครับ


Weblogแห่งนี้อัพแบบรายสะดวกเน้นหนักในเรื่องข้อมูลสาระใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว ไม่ตามกระแส ไม่หวังปั่นยอดผู้เข้าชม
สำหรับขาจรที่นานๆเข้ามาเยี่ยมสักที Blogที่อัพเดตบ่อยสุดคือBlogในกลุ่มการเมือง
กลุ่มหิ้งชั้นการ์ตูนหัวข้อรายชื่อการ์ตูนออกใหม่รายเดือนในไทย
และรายชื่อการ์ตูนออกใหม่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้

ช่วงที่มีงานมหกรรมและสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำครึ่งปี(ทวิมาส)จะมีการอัพเดตBlogในกลุ่มห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญา
และหิ้งชั้นการ์ตูนของกรรมกรกระทู้


Hall of Shame กรรมกรมีความภูมิใจที่ต้องขอประกาศหน้าหัวนี่ว่า บุคคลผู้มีนามว่า ปากกาสีน้ำ......เงิน หรือ กลอน เป็นขาประจำWeblogแห่งนี้ที่เสพติดBlogการเมืองและใช้เหตุวิบัติอ้างเจตนาในความเกลียดชังแม้วเหลี่ยมและความเห็นใจในสถาบัน เบี่ยงประเด็นในการแสดงความเห็นเป็นนิจ ขยันขันแข็งแบบนี้เราจึงขอขึ้นทะเบียนเขาคนนี้ในหอเกรียนติคุณมา ณ ที่นี้ จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

Group Blog
นิยายดองแต่งแล่นบันทึกการเดินทางของกรรมกรกระทู้คำทักทายกับสมุดเยี่ยมพงศาวดารมหาอาณาจักรบอร์ดพันทิพย์สาระ(แนว)วงการการ์ตูนมารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้แจกCDพระไตรปิฎกฟรีรวมเนื้อเพลงดีๆจากดีเจกรรมกรกระทู้รวมแบบแผนชีวิตของกรรมกรกระทู้ชั้นหิ้งการ์ตูนของกรรมกรกระทู้ภัยมืดของโลกออนไลน์เรื่องเล่าในโอกาสพิเศษห้องสมุดรวมสาระอุดมปัญญาของกรรมกรกระทู้กิจกรรมของกรรมกรกระทู้กับInternetคุ้ยลึกวงการบันเทิงโทรทัศน์ตำราพิชัยสงครามซุนวูแฟนพันธ์กูเกิ้ลหน้าสารบัญคลังเก็บรูปกล่องปีศาจ(ขอPasswordได้ที่หลังไมค์)ลูกเล่นเก็บตกจากเน็ตสาระเบ็ดเตล็ดรู้จักกับงานเทคนิคการแพทย์ของกรรมกรรวมภาพถ่ายโดยช่างภาพกรรมกรรวมกระทู้ดีๆการเมือง1กรรมกรกับโรคAspergerรวมกระทู้ดีๆการเมือง2ความเลวของสื่อความเลวของพรรคประชาธิปัตย์ความเลวของอำมาตย์ศักดินาข้อมูลลับส่วนตัวกรรมกรที่ไม่สามารถเผยได้ในการทั่วไปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายรวมบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินเจาะฐานการเมืองท้องถิ่น

ถึงผู้ที่ต้องการขอpasswordกล่ิองปีศาจหรือFollowing Userใต้ดินเพื่อติดตามข่าวการอัพเดตกล่องปีศาจและดูpasswordมีเงื่อนไขว่ากรุณาแจ้งอายุ ระดับการศึกษาหรืออาชีพการงาน และอำเภอกับจังหวัดของภูมิลำเนาที่คุณอยู่ เป็นการแนะนำตัวท่านเองตอบแทนที่ผมก็แนะนำตัวเองในBlogไปแล้วมากมายกว่าเยอะ อีกทั้งยังเก็บรายชื่อผู้เข้ามาเยี่ยมGroup Blogนี้ไปด้วย
ถ้าอยากให้คำร้องขอpasswordหรือการFollowing Userใต้ดินผ่านการอนุมัติขอให้อ่านBlogข้างล่างนี่นะครับ
ข้อแนะนำการเขียนProfileส่วนตัว

อยากติดตั้งแถบโฆษณาแนวนอน ณ ที่ตรงนี้จังเลยพับผ่าสิเมื่อไหร่มันจะยอมให้ใช้Script Codeได้นะเนี่ย เพราะคลิกโฆษณาที่ได้มาตอนนี้ได้มาจากWeblogของผมที่Exteen.comซึ่งทำได้2-4คลิกมากกว่าที่นี่ซึ่งทำได้แค่0-1คลิกซะอีก ทั้งๆที่ยอดUIPที่นี่เฉลี่ยที่400กว่าแต่ของExteenทำได้ที่200UIP ไม่ยุติธรรมเลยวุ้ยน่าย้ายฐานจริงๆพับผ่า
เนื่องจากพี่ชายของกรรมกรแนะนำW​eb Ensogoซึ่งเป็นWebขายDeal Promotion Onlineสุดพิเศษ ซึ่งมีอาหารและของน่าสนใจราคาถูกสุดพิเศษให้ได้เลือกกัน ใครสนใจก็เชิญเข้ามาลองชมดูได้ม​ีของแบบไหนที่คุณสนใจบ้าง

'จูเช'แนวนโยบายการเมืองใหม่แบบสังคมนิยมของพธม.

โดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
ที่มา บางกอกโพสต์
แปลโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
30 พฤษภาคม 2552

'จูเช' แนวนโยบายการเมืองใหม่แบบสังคมนิยมของพธม.

สำหรับผู้ที่ต่อต้านพธม.คงจะรู้สึกโล่งอกที่กลุ่มพธม.จะไม่กลับไปประท้วงข้างถนนอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนในอดีต ซึ่งนับว่าเป็นผลบวกสำหรับบรรยากาศการเมืองของประเทศอย่างไม่น่าสงสัย

อย่างน้อยที่สุดสำหรับกลุ่มนักลงทุนในและนอกประเทศที่รังเกียจการกระทำนอกวิถีทางของระบอบรัฐสภาซึ่งไร้เสถียรภาพและคาดเดาไม่ได้ ที่นำไปสู่การบุกยึดสนามบินและทำเนียบรัฐบาล การจัดตั้งพรรคพธม.เป็นสิ่งที่น่ายินดีมาก

ถึงกระนั้น ความสำเร็จของขบวนการเสื้อเหลืองในอดีตได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประสิทธิภาพในการนำและการจัดการของพวกเขาไม่ควรถูกประเมินค่าต่ำ พวกเขามีสื่อที่มีอิทธิพลอยู่ในมือถึง 2 แห่ง - ASTV และ //www.manager.co.th ซึ่งเป็นเวปไซท์ข่าวสารที่มีความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสร์ของราชอาณาจักรไทย

โดยผ่านสื่อเหล่านี้ หรือหนังสือพิมพ์และเวปไซท์ที่สนับสนุนพวกเขา พรรคพธม.ไม่ว่าจะตั้งชื่อใดก็ตาม สามารถที่จะรณรงค์หาเสียงได้อย่างมีพลังและมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลนี้ คาดว่าพวกเขาจะกอบโกยคะแนนเสียงจากมวลชนที่สนับสนุนเขาในบางจังหวัด

ในระยะสั้น ฐานเสียงของพรรคพธม.จะลุกล้ำเข้าไปในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนในระยะยาวยังไม่สามารถคาดเดาได้

ถ้าดูจากอดีตพรรคพลังธรรมของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ในสมัยที่เขาเริ่มจัดตั้งและบริหารมัน พวกเขาได้เจาะเข้าไปในกระแสต่อต้านพรรคประชาธิปัตย์ในเมืองหลวง แต่บรรยากาศการเมืองที่แตกแยกในปัจจุบันนี้มันต่างจากยุคนั้นซึ่งเป็นช่วงที่พรรคใหม่นี้สามารถชิงที่นั่งได้ถึง 90% ในเขตกรุงเทพฯ และตอนนี้คะแนนที่ไม่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็คือคะแนนที่ไม่สนับสนุนพธม.อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งคะแนนส่วนใหญ่แต่ไม่ทั้งหมดของคนเหล่านี้จะเทไปให้พรรคเพื่อไทย

คุณจะเห็นว่ามีพวกที่ไม่สนับสนุนพธม.แต่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แต่คุณจะไม่เจอใครที่ไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะชอบพธม. จุดยืนการเมืองที่ขัดกันแบบนี้ไม่มีอยู่จริง

โดยแท้จริงแล้วพรรคพธม.จะครอบครองฐานเสียงของกลุ่มที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ ที่ชื่นชอบสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ต่อต้านทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตอนนี้ยังเป็นฐานเสียงที่เล็กมากในเมือง แต่วิถีทางของพธม.สามารถจะโน้มน้าวคุณได้ แต่พฤติกรรมในอดีตของพวกเขาอาจไม่ได้ช่วยอะไร แต่อย่าคาดหวังว่าแนวคิดของพธม. - ขวาสุดกู่ทางการเมือง และซ้ายสุดกู่ทางเศรษฐกิจ - จะถูกนำมาใช้ในการหาเสียงโดยทันที

ฐานเสียงที่ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ในเมืองหลวงณ.จุดหนึ่งอาจจะไม่ยอมรับท่วงทีของการผูกขาดทางการเมืองของคุณทักษิณ แต่คนกรุงเทพฯก็ยังไม่พร้อมที่จะยอมรับอย่างง่ายดายต่อกลุ่มนักเคลื่อนไหวสหภาพแรงงาน อดีตเจ้าพ่อสื่อลวงโลกที่ล้มละลาย นักวิชาการที่อกหัก ผู้จัดตั้งมวลชน และนักการเมืองที่ไม่ได้รับการยอมรับและล้มเหลว

โดยสรุป พรรคพธม.จะเป็นสีสันที่เพิ่มขึ้นในเวทีหาเสียงอย่างแน่นอน แต่โชคไม่ดีพวกเขาจะไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดเสียงสนับสนุนอย่างทันทีทันใดแทนที่พรรคประชาธิปัตย์

ผลกระทบต้นๆจากนโยบาย เชื่อผมเถอะ ต่างจากที่ประชาคมนักข่าวต่างชาติและกลุ่มนักวิชาการหลักๆที่อธิบายอย่างผิดๆถึงความหลากหลายของความแตกแยกในประเทศไทยใน 5 ปีที่ผ่านมา นั่นคือความนิยมของพธม.จะมาจากจังหวัดหลากหลายและชนชั้นหลากหลาย ความนิยมไม่ได้มาจาก "ชนชั้นสูงที่มีการศึกษา" หรือ "คนกรุงเทพฯ" หรือ "ภาคใต้ที่คุมโดยพรรคประชาธิปัตย์" หรือ "ผู้ที่สนับสนุนสถาบันฯอย่างแท้จริง" หรือ "แวดวงอนุรักษ์นิยม" แต่ความนิยมพวกเขามาจากพวกที่ติดตามสื่อที่บิดเบือนอย่าง //www.manager.co.th และ ASTV ด้วยความบ้าคลั่งและดันทุรัง

เพื่อจะตอบคำถามของทุกคน: พรรคพธม.จะได้รับความนิยมในพื้นทีที่มีการแพร่ขยายของอินเตอร์เน็ทสูงและพื้นที่ที่มีการติดตั้ง ASTV ในเงื่อนไขที่ว่าคนที่หูเบาเหล่านี้จะเปิดช่องฟังทั้งกลางวันและกลางคืน

จากมุมมองของสื่อ ASTV และ //www.manager.co.th เป็นศัตรูของพรรคการเมืองทุกพรรคซึ่งไม่ค่อยจะชำนาญทางด้านสื่อ ถ้าแขนขาของสนธิถูกตัดออกไป ความนิยมของพรรคพธม.จะลดลงไปอย่างมาก ในระยะยาว จุดมุ่งหมายของการตั้งพรรคที่คล้ายพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเปรียบอย่างลับๆว่าเป็นพรรครอยัลลิสท์สีเหลือง จะไม่บรรลุผลสำเร็จ

อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้มองอย่างผิวเผิน คุณจะต้องเข้าใจถึงแนวทางที่พธม.จะเสนอเมื่อเริ่มมีการร่างนโยบายทางการเมือง นโยบายที่ยังไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเอนเอียงไปทางรูปแบบเลนินนิสต์ที่ปราศจากแนวทางต่อต้านสถาบันกษัตริย์ของอุดมคติของลัทธิคอมมิวนิสท์ เพื่อขยายความให้กระจ่างขึ้น มันเป็นองค์ประกอบที่สนับสนุนสถาบันฯแต่ในขณะเดียวกันก็เอนเอียงไปทางซ้ายด้านเศรษฐกิจ การสนับสนุนสถาบันฯก็เพื่อความอยู่รอดทางการเมืองในระยะกลาง ซึ่งก็หมายถึงว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีของคนไทยต่อสถาบันราชวงศ์ และใน 5 ถึง 10 ปีข้างหน้าพวกเขาจะเลือกที่จะใช้วิธีนี้เป็นหลักการรณรงค์หาเสียงสนับสนุน

มันเป็นแนวทางเศรษฐกิจที่เอนซ้ายเพื่อจัดสรรให้กับคนใช้แรงงานที่ด้อยสิทธิ์ ชนชั้นทำงานส่วนล่าง-กลางที่ยากจน และนักการเมืองที่ขาดน้ำเลี้ยง นักเคลื่อนไหว NGO ที่ไม่ได้รับการตอบสนองหรือถูกเมินเฉยจากรัฐบาล "ยุคเก่า" มาโดยตลอด

แนวคิดเช่นการปฏิรูปที่ดินทำกินเหมือนเกาหลีเหนือมาเป็นประชาคมประเภทหนึ่งซึ่งถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่ประสบความสำเร็จในประเทศจีนและสหภาพโซเวียต จะโผล่ออกมาในที่สุด แผนเศรษฐกิจอื่นอาจรวมถึงการปรับปรุงระบบสวัสดิการสำหรับผู้เกษียณอายุและผู้ได้รับบำเหน็จบำนาญและบุคคลที่ใช้ชีวิตอย่างยากจน การขึ้นภาษีอย่างมหาศาลต่อผู้ถือครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นรวมถึงมรดก การจัดระบบภาษีก้าวหน้าอย่างไม่สมเหคุผล และอื่นๆ

นโยบายของพวกเขาอาจรวมถึงการส่งเสริมหลักเศรษฐกิจพึ่งพาตนเองที่ถูกปลูกฝังในแนวคิดที่เป็นรากฐานของชาติ ซึ่งมันอาจจะทำให้เกิดการก่อตั้งระบอบการปกครองแบบเผด็จการที่มีนโยบายเอียงซ้ายโดยคณะกรรมการของพรรคพธม.ซึ่งคล้ายกับคณะกรรมการโปลิทบูโร (politburo) ของโซเวียต (ถูกเลือกตั้งมาจากสภาประชาชน หรือ People’s Congress)

คุณสามารถจะคาดเดาได้อย่างแน่นอนว่าข้อโต้แย้งของแคมเปญพวกเขาที่โยงมาจากความคิดเกี่ยวกับจิตสำนึกรวมและความเป็นหมู่คณะที่เหนือกว่าความเป็นบุคคล ซึ่งดึงดูดความสนใจจากพวกอนุรักษ์นิยมและพวกคลั่งชาติสุดกู่ การกล่าวอ้างถึง “ปรัชญาลัทธิจูเช” จะถูกนำมาเป็นแนวคิดหลักของพธม.ในช่วงปฏิบัติการทางการเมือง

เดิมทีมันถูกอธิบายว่าเป็นการประยุกต์ใช้ที่สร้างสรรค์ของลัทธิมาร์กซ์และเลนนินของชาติ การนำแนวคิด “จูเช” (การพึ่งพาตนเอง) มาใช้กลายมาเป็นหลักปรัชญาที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจากการตีความใหม่เป็นบางครั้งบางคราวโดยคิม อิล ซุง/คิม จอง อิล เพราะแนวคิดนี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน สุดท้ายมันถูกนำมาใช้โดยประมุขของรัฐเสมือนเป็นการสนับสนุนทาง “จิตวิญญาณ” ต่อการปกครองที่เป็นเผด็จการและกดขี่

การนำของพรรคพธม.ทางด้านนโยบายต่างประเทศคาดว่าจะเน้นความคิดหลักของปรัชญา “จูเช” อย่างลับๆ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการกระทำอย่างเป็นอิสระโดยไม่คำนึงถึงการแทรกแซงจากภายนอก ถ้าพรรคพธม.อยู่ในตำแหน่งผู้นำ ประเทศจะต้องเตรียมพร้อมที่จะดำเนินแนวทางปฏิบัติทางเศรษฐกิจที่ต่อต้านโลกาภิวัฒน์ นโยบายอย่างเช่นการบังคับให้มีใบอนุญาตหรืออื่นๆ ที่ยอมรับโดยกลุ่มชนที่ไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารและต่อต้านโลกาภิวัฒน์และสนับสนุนโดยองค์กรที่เอียงไปทางสังคมนิยม จะกลายเป็นปทัสฐานในเวลาต่อมา

จากคำอธิบายข้างต้น คุณคงจะคาดเดาได้ด้วยตนเองว่าพธม.จะได้รับฐานการสนับสนุนอย่างไร ประเด็นที่กล่าวมาจริงแล้วมันฟังดูใหม่และดึงดูดใจ โดยเฉพาะการปกป้องคนยากจน การมีจิตสำนึกต่อสังคม และต่อต้านระบบการเมืองที่เห็นเงินสำคัญ และนโยบายที่เน้นเรื่องสวัสดิการ ถึงกระนั้น ปัญหาของระบอบพรรคเดียวที่คอยมีผู้สนับสนุนที่เป็นโปร-เจ้า และคลั่งชาติเสมอ จะทำให้ตัวของมันเสื่อมเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับการปกครองระบบรัฐสภาภายใต้ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปัจจุบัน ผมหวังว่าพรรคพธม.ที่รวมตัวกันโดยแกนนำ จะเข้ามามีบทบาทในเฉพาะรัฐบาลหน้าเท่านั้นและค่อยๆเลือนหายไปหลังจากนั้น

นั่นหมายถึงว่าพรรคเสื้อเหลืองจะต้องได้ 10-20 ที่นั่งเป็นอย่างต่ำ บ้างจากภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคกลาง นอกจากนั้น พวกเขาอาจจะต้องใช้กลยุทธ์อย่างชาญฉลาดในการช่วงชิงตำแหน่งรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่ผมจินตนาการว่าจะเกิดขึ้น

พรรคพวกของนายสนธิ ลิ้มทองกุลแน่นอนจะได้ประมาณ 10 ถึง 20 ที่นั่งส.ส.ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะผ่านทางการเลือกตั้งโดยตรงของเขตหรือปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า ตอนแรกพวกเขาจะสร้างภาพพจน์ให้ตนเองว่าเป็นฝ่ายที่ต่อต้านคอร์รับชั่นโดยแสดงตนว่ามีจรรยาบรรณที่สูงและจะไม่ปรารถนาที่จะร่วมกับพรรครัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์/ภูมิใจไทย แต่เมื่อเวลาผ่านไป พธม.จะดึงดูดผู้สนับสนุนที่เชื่อพวกเขาอย่างงมงายจำนวนมากโดยผ่านช่องทางสื่อด้วยวิธีเดิมคือเกาะกระแสต่อต้านนักการเมืองที่โกงกินในประเทศ จุดนี้ทาง manager.co.th และ ASTV จะมีบทบาทที่สำคัญ

จากพรรคฝ่ายค้านเล็กๆ ลัทธิของเสื้อเหลืองจะแปรสภาพไปเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในการบริหารจัดการประเทศไทย จากคำถามของทุกคนที่ว่าผู้นำของพธม.จะมีส่วนในร่วมในการรับตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่หลังการเลือกตั้งคราวหน้า คำตอบที่ชัดเจนคือไม่ อย่างไรก็ตามอันตรายที่แท้จริงก็คือเมื่อเวลาผ่านไปพธม.อาจได้รับการสนับสนุนจากมวลชนจำนวนมาก (ลองนึกถึงพรรคพลังธรรมแล้วคูณเข้าไป 5 เท่าอย่างน้อย) ถึงจุดนั้นพวกเขาสามารถจะเปลี่ยนสภาประชาชนที่จัดตั้งขึ้นแล้วมาเป็นระบบการออกนโยบายอีกทางหนึ่งที่สามารถจะก่อให้เกิดการจำนนของระบอบการปกครอง

เมื่อมีโอกาสที่ดีกว่านั้น นั่นหมายถึงเมื่อมีการก่อรัฐประหาร หรือที่ดีกว่านั้น การลุกฮือติดอาวุธโดยประชาชนเพื่อต่อต้าน “นักการเมืองปิศาจที่โกงกินและเกินกว่าการชำระล้าง” สภาประชาชนของพธม.จะตอบสนองบทบาทที่ถูกบัญญัติไว้แล้วในที่สุด ซึ่งแน่นอนก็คือการรับหน้าที่เป็นรัฐสภาชั่วคราวโดยทันทีเพื่อที่จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เคร่งครัดที่จะทำให้แม้กระทั่งผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของปี 2550 ถึงขั้นอับอายได้

ผลที่สุดพธม.จะบรรลุเป้าหมายในการเขียนแถลงการณ์นโยบาย “การเมืองใหม่” ซึ่งจะคล้ายกับของคาร์ล มารกซ์ แต่ปรับเปลี่ยนเพื่อให้ยังมีสถาบันกษัตริย์และอื่นๆที่เกี่ยวข้องรวมอยู่ด้วย “การเมืองใหม่” จะมีทุกองค์ประกอบของนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นไปทางสังคมนิยม

สิ่งที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อความมั่นคงของชาติและต่อระบอบการปกครองปัจจุบันของราชอาณาจักรไทยนั้นน่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้น ”ใหม่” ของ “การเมืองใหม่” พธม.ต้องการแค่ไม่กี่ที่นั่งเพื่อให้มีบทบาทในสภาผู้แทนราษฎรในขณะนี้ และในการมีส่วนร่วมกับสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกแต่งตั้งและเลือกตั้งบางคน เสียงเรียกร้องของพวกเขาจะกัดเซาะเข้าไปอย่างช้าๆ (เสมือนน้ำที่หยดบนหิน) ต่อระบอบประชาธิปไตยที่เน้นการเลือกตั้งในระบบรัฐสภาภายใต้การปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาที่ต้องการเลขาธิการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเพื่อเป็นผู้นำของ politburo ซึ่งมาจากสภาประชาชน มันเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจ ถึงกระนั้น จากการวิเคราะห์ของคนคนหนึ่งที่เข้าใจการต่อสู้ที่ยาวนานของเสื้อแดง มันมีบางอย่างที่แอบแฝงอยู่ภายใต้พื้นผิวซึ่งแม้แต่มองด้วยสายตาเปล่ายังไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงความจริงซึ่งขณะนี้กำลังถูกปิดบังโดยคราบสีของรอยัลลิสต์

สิบปีจากนี้ไป เมื่อมองกลับมา เสื้อแดงอาจจะไม่ได้เป็นผู้ที่ปลดปล่อยชนชั้นกรรมาชีพก็ได้


หมายเหตุท้ายบทความ:อะไรคือปรัชญาเศรษฐกิจจูเช(หรือจูเชียะ)?

ชาร์ลส์ เจนกิ้นส์ ทหารอเมริกันที่หนีทหารจากเกาหลีใต้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเกาหลีเหนือนาน40ปี(2507-2547)เขียนในหนังสือคำสารภาพ(To tell the truth)ที่เขาเขียนขึ้นหลังจากหลบหนีออกจากเกาหลีเหนือมาได้ว่า

ในตอนแรกที่เขาหนีทหารเข้าไปอยู่ในเกาหลีเหนือในราวปีพ.ศ.2508นั้น ภายหลังจากถูกล้างสมองให้รับรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความอัจฉริยะของคิมอิลซุง บิดาผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือแล้ว ทางการเกาหลีเหนือก็บังคับให้เรียนเกี่ยวกับ"ปรัชญาจูเชียะ"

ปรัชญาจูเชียะตามทฤษฎีของคิมอิลซุง มีสาระสำคัญยกย่องการพึ่งตัวเอง เกาหลีเหนือต้องพึ่งตัวเองดีกว่าการพึ่งการค้ากับประเทศลัทธิคอมมิวนิสต์อื่น เช่น จีน โซเวียต ต้องเรียนวันละ10ถึง11ชั่วโมง ถ้าท่องจำไม่ได้ในส่วนที่ถูกสั่ง ต้องเรียนซ้ำ16ชั่วโมงในวันอาทิตย์ ดังนั้นแม้แต่40ปีต่อมาที่หนีออกจากเกาหลีเหนือมาได้ ข้าพเจ้าก็ยังจำคำโฆษณาชวนเชื่อปรัชญานี้ได้ดี บางครั้งข้าพเจ้ายังท่องมันได้แม้แต่ในความฝัน

ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่มันเป็นทฤษฎีบ้าๆ ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไร้เหตุผล บางครั้งข้าพเจ้าเหลียวดูรอบตัวและพิศวงเหลือเกินว่า เหตุใดคนทั้งประเทศนี้จึงเชื่อทฤษฎีไม่สมประกอบนี้ แน่นอนเป็นทฤษฎีโกหกเห็นชัดๆ เพราะใครก็รู้ว่าเกาหลีเหนือล้มแน่ถ้าขาดการค้า หรือการพึ่งพาบริจาคจากประเทศอื่นเพื่อปากท้องของคนเกาหลีเหนือ

ข้าพเจ้ามักจะบอกลูกสาว2คนที่เกิดและเติบโตในเกาหลีเหนือเสมอว่า"โลกที่เรากำลังอยู่ในเกาหลีเหนือ ไม่ใช่โลกมนุษย์ที่แท้จริง"แต่เด็กๆไม่ค่อยเชื่อข้าพเจ้านัก เพราะโลกในเกาหลีเหนือเป็นโลกเดียวเท่านั้น ที่เด็กๆรู้จัก

แต่ข้าพเจ้าไม่เคยถูกล้างสมองด้วยประวัติศาสตร์ หรือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จอมปลอม และการเคารพบูชาคิมอิลซุงซึ่งพวกเขายัดเยียดให้ หากคุณเป็นชาวเกาหลีเหนือที่เติบโตในสภาพนี้ มันอาจจะมีแนวโน้มที่จะเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสั่งสอน หรืออย่างน้อยอาจจะเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างไม่มากก็น้อย

แต่ข้าพเจ้าเติบโตมาจากโลกภายนอก รู้จักโลกภายนอก ข้าพเจ้ารู้ว่า ทุกอย่างเป็นการโกหกหลอกลวง

สำหรับลัทธิบูชาเคารพปัจเจกบุคคลในเกาหลีเหนือนั้น ข้าพเจ้าซาบซึ้งดีเมื่อถามคำถามซื่อๆตรงๆและน่าจะมีเหตุผลต่อเจ้าหน้าที่พรรคว่า"ถ้าคิมอิลซุงตาย จะเกิดอะไรขึ้น?"เท่านั้นหละข้าพเจ้าก็โดนทำโทษหนักด้วยคำถามนี้ การเกริ่นแย้มว่าคิมอิลซุงเป็นมนุษย์เดินดินที่ไม่พ้นความตาย...

ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยในเกาหลีเหนือ




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 31 พฤษภาคม 2552 15:17:18 น.
Counter : 2083 Pageviews.  

ทูตเนเธอแลนด์โต้บวรศักดิ์:กฎหมายหมิ่นฯยุโรปไม่เหมือนของไทย

โดย TJACO VAN DEN HOUT

ที่มา: Bangkok Post ลงเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2552
แปลโดย bbb ลงที่ประชาไทโดยคุณพาลีตรีเพชร
22 พฤษภาคม 2552

กฏหมายหมิ่นฯของยุโรปและเสรีภาพทางความคิดเห็น

สามบทความที่น่าสนใจลงในหนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ที่มีหัวข้อเกี่ยวกับ กฎหมายหมิ่นฯซึ่งเขียนโดย ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ (7, 8, 9 เมษายน 2552). ถึงแม้ว่าจะครอบคลุมเนื้อหาอย่างกว้างขวางอย่างน่าชมเชย ผมขอตั้งข้อสังเกตว่าผู้เขียนได้มองข้ามความจริงสองประการในการอธิบาย สถานการณ์ในยุโรป


ประเด็นแรกคือการใช้กฎหมายหมิ่นฯและหลักการของการตัดสินของศาลบนพื้นฐานของกฏหมายนั้น

ประเด็นที่สองคือสถาบันกษัตริย์ของยุโรปที่ผู้เขียนอ้างอิงถึงในบทความล้วนอยู่ร่วม ในอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน (European Convention for the Protection of Human Rights and Fundamental Freedoms ("ECHR"). ผลกระทบจากกฎหมายที่มาจากคดี (case law) ECHR ต่อขบวนการยุติธรรมของคู่สนธิสัญญาไม่ควรถูกประเมินต่ำ

กฎหมายจากคดีท้องถิ่นในยุโรป (case law)

ในขณะที่ดร.บวรศักดิ๋ นำเสนอบทอธิบายโดยสรุปเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของยุโรปบางสถาบันอย่างชาญ ฉลาดรวมถึงกฏหมายหมิ่นฯของประเทศนั้นๆ มันสำคัญเช่นกันที่จะต้องตระหนักว่าในประเทศที่เขากล่าวถึง กฎหมายดังกล่าวแทบจะไม่เคยนำมาใช้และถึงแม้ว่าจะใช้ บทลงโทษส่วนใหญ่จะเบามาก ยกตัวอย่างเช่นในการวิเคราะห์ case law ของ Dutch เผยว่ามีการตัดสินคดีว่าผิดและคดีดังกล่าวส่วนใหญ่จะมีการปรับเพียงเล็กน้อย

ในสหราชอาณาจักรกฎหมายตกอยู่ในสภาพเลิกใช้แล้วและระยะหลังๆก็ไม่มีตัวอย่างของ คดีเช่นนี้ในประเทศเดนมาร์คและนอร์เวย์เช่นกัน เมื่อหนังสือแมกกาซีนล้อเลียนของเสปนถูกสั่งให้จ่ายเงินจำนวน 3,000 ยูโร จากการละเมิดกฏหมายหมิ่นฯเมื่อปี 2550 สมาชิกของรัฐสภายุโรปได้เรียกร้องให้การหมิ่นฯถูกกฏหมาย

หลักกฎหมายของ Strasbourg

ถึง แม้ว่าไม่มีคดีหมิ่นฯดังกล่าวในศาลสิทธิมนุษยชนของยุโรปในเมือง Strasbourg แต่มีสองกรณีที่ควรแก่การรับรู้เมื่อมีการถกกันเกี่ยวกับบทลงโทษของการ หมิ่นฯที่เกี่ยวกับเสรีภาพทางการแสดงออกที่รับรองโดยมาตราที่ 10 ของอนุสัญญาแห่งสหภาพยุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

ในคดีของ Colombani และคนอื่นๆ V France 2002 นักข่าวสองคนถูกตัดสินว่าผิดและต้องจ่ายค่าเสียหาย 5,000 ฟรังค์ และ 10,000 ฟรังค์ตามลำดับ จากการหมิ่นประมุขของรัฐ กษัตริย์ Hassan แห่งโมร็อคโค

ตอนแรกศาลชี้ว่าการปกป้องผู้นำของรัฐต่างชาติจาก การถูกตำหนิเพราะเหตุผลเรื่องหน้าที่หรือตำแหน่งของเขาอย่างเดียวนั้น"ถือ เป็นการให้สิทธิพิเศษแก่พวกเขาอย่างที่ไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติในยุค ปัจจุบันและความคิดทางการเมือง"

นอกจากนั้น ศาลยังชี้แจงอย่างแจ่มแจ้งว่าการมีกฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดานั้น"เพียงพอต่อ การปกป้องประมุขของรัฐและพลเมืองสามัญเช่นกันจากการกล่าวคำที่มีผลเสียหาย ต่อเกียรติยศหรือชื่อเสียงของพวกเขาหรือการหมิ่นประมาทพวกเขา" ถึงแม้ว่าการตัดสินคดีนี้เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทประมุขของรัฐต่างประเทศมัน บ่งบอกว่าศาลพิจารณาว่าการลงโทษต่อการหมิ่นประมาทประมุขของรัฐนั้นมัน "ไม่จำเป็นในสังคมประชาธิปไตย" และมันขัดต่อสิทธิเสรีภาพทางการแสดงออกซึ่งรับรองโดยมาตรา 10 ของ ECHR มันสำคัญที่จะตั้งข้อสังเกตว่าโดยความเห็นของศาลนั้นแม้กระทั่งการที่ศาล แพ่งจะบังคับให้มีการจ่ายค่าเสียหายต่อการหมิ่นประมาทอาจละเมิดสิทธิของ เสรีภาพการแสดงออกที่รับรองโดยมาตรา 10 ของ ECHR. โดยเฉพาะถ้าจำนวนเงินนั้นมากเกินไป ในคดีของ Pakdemirli V Turkey 2005 สมาชิกสภาได้ถูกสั่งโดยศาลแพ่งให้จ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวน 60,000 ยูโรจากการหมิ่นประมาทประธานาธิบดีของตุรกี

ประการแรกแรก ศาลพิจารณาว่ามันน่าตกใจที่การตัดสินของศาลแพ่งแสดงถึงความวิตกที่มากเกินไป ต่อตำแหน่งประธานาธิบดี ประการที่สอง ในการอ้างอิงถึงการตัดสินของคดี Colombani ศาลชี้ว่าถึงแม้ว่าโดยหลักการแล้วการปกป้องโดยกฎหมายหมิ่นฯไม่ขัดกับ เจตนารมณ์ของอนุสัญญา แต่กฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดาก็ "เพียงพอต่อการปกป้องประมุขของรัฐและพลเมืองสามัญเช่นกันจากการกล่าวคำที่มี ผลเสียหายต่อเกียรติยศหรือชื่อเสียงของพวกเขาหรือการหมิ่นประมาทพวกเขา"


บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ Mr. Van den Hout ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเอคอัครราชฑูตเนเธอร์แลนด์ประจำราชอาณาจักรไทย

จบกฎหมายมาจากมหาวิทยาลัย Lieden

เขียนเปเปอร์ เขียนบทความ ลงวารสารกฎหมายบ่อยๆ เขียนวิจารณ์ประเด็นกฎหมายที่อยู่ในสถานการณ์ตามหน้า นสพ บ่อยๆ งานเด่นๆเน้นๆ ก็เกี่ยวกับ การแก้ไขความขัดแย้งในข้อพิพาทระหว่างปะรเทศ

ปี ๑๙๙๙ ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการ Permanent Court of Arbitration ปี ๒๐๐๔ ก็ได้รับเลือกเป็นต่ออีกวาระหนึ่ง

ได้รับเชิญไปบรรยายวิชากฎหมายตามมหาวิทยาลัยบ่อยๆ

Commentจากอ.สมศักดิ์ เจียมธีรกุล : ประเด็นที่บวรศักดิ์ อ้างรัฐธรรมนูญประเทศยุโรปที่มีกษัตริย์บางประเทศ ที่มีข้อความว่า "ละเมิดมิได้" (inviolable) อยู่ด้วย ซึ่ง บวรศักดิ์ ต้องรู้ดีว่า การอ้างเพียงเท่านี้ เป็นการบิดเบือน (misleading) เพราะใน รธน. ไทย นั้น มีมากกว่า involable ซึ่งหมายความว่า "ฟ้องร้องไม่ได้" (นี่เป็นการอธิบายคำinviolable นี้ของบวรศักดิ์เอง ในบทความ ใน วารสาร นิติศาสตร์ มธ. เกี่ยวกับ รธน.2522) ซึ่งในแง่นี้ ก็จริงทีว่า หลายประเทศ ไม่อนุญาตให้ ฟ้องร้อง ประมุข (ในระหว่างดำรงตำแหน่ง)

แต่ของไทย ไม่ใช่ inviolable เท่านั้น คือ ไม่ให้ฟ้องร้องเท่านั้น แต่ระบุว่า "เป็นที่เคารพสักการะ" หรือ sacred ด้วย ไอเดียนี้ (sacred) ซึ่งเป็นไอเดียแบบ "เทวสิทธิ์" ดังที่ บวรศักดิ์ รู้ดี เป็นไอเดีย ที่ลอกมาจากรัฐธรรมนูญสมบูรณาญาสิทธฺราชย์ ของ ญี่ปุ่น (รธน.เมจิ) ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วนับแต่หลังสงครามโลก




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 22 พฤษภาคม 2552 18:15:11 น.
Counter : 442 Pageviews.  

เพราะถือดีในความมี“อภิสิทธิ์”จากผู้อุปถัมภ์จึงนำประเทศสู่กับดัก'เงินกู้อเวจี'

โดย ณัฐวุธ วัชรกุลดิลก
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
19 พฤษภาคม 2552

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทย นับเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเหตุผลที่รัฐบาลไม่ยอมรับความจริง

เท่าที่ผ่านมา ก็น่าสงสัยว่า สอบตกไปเรียบร้อยเสียแล้ว หากมองให้ลึกลงไป ก็อาจสงสัยว่า ทำไมเงินเป็นหมื่นๆ ล้านบาทของรัฐบาล ใน “เช็คช่วยชาติ” กลับต้องผ่านธนาคารพาณิชย์เอกชน?

ประการแรก เงินนับหมื่นล้านบาทโดยรูปแบบ “เช็ค” นี้ ประชาชนกลุ่มที่ได้รับ จะค่อยๆ ทยอยนำออกจ่ายเท่าที่จำเป็น เงินส่วนมากจะถูกเก็บไว้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยไม่มีต้นทุนดอกเบี้ย หรือมองทางด้านรัฐบาล ก็เสมือนให้ซอฟต์โลนแก่ธนาคารพาณิชย์เอกชนใช่หรือไม่!

ประการที่สอง มีข้อสงสัยว่า เงินที่ไหลออกจากรัฐบาลก้อนนี้ ได้ถูกกักไว้ด้วย “เขื่อน” ธนาคารกรุงเทพ และสร้างประโยชน์ให้กับธนาคารกรุงเทพมากมาย

หนึ่ง เป็นการเพิ่มสินทรัพย์ให้กับธนาคารในตลาดหลักทรัพย์ฯ และค้ำยันไม่ให้ราคาหุ้นของธนาคารในตลาด ตกลงมา

สอง นำไปปล่อยสินเชื่อ แก่ธุรกิจการค้าผูกขาดด้านการเกษตรในเครือของตน

สาม ปล่อยสินเชื่อบุคคลที่ทำกำไรจากดอกเบี้ยที่สูงมาก อันเป็นรายได้หลักอย่างหนึ่งของธนาคาร ซึ่งเป็นทั้งดอกเบี้ยจริง และดอกเบี้ยแฝงในรูปค่าธรรมเนียม รวมแล้วเทียบเท่ากับคิดอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 30% ต่อปี

สี่ นำไปเก็งกำไรค่าเงิน ทองคำ และตราสาร เช่น Standby LC เป็นต้น อย่างเป็นรายวัน แล้วแต่ว่า จะใช้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด

ประการที่สาม “เช็ค 2,000 บาท” หวังให้ประชาชนเฉพาะผู้ได้รับไป ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีกลุ่มทุนที่น่าจะได้รับผลประโยชน์โดยตรง ก็คือบริษัทในเครือของสหพัฒน์ฯ ที่ยึดโยงอยู่กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด มาช้านาน

ประการที่สี่ ทำไมต้องเป็นธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ของเอกชน ที่รัฐบาลให้ “เช็คช่วยชาติ” ผ่าน ทั้งๆ ที่มีธนาคารของรัฐอีกหลายแห่ง ที่เงินของรัฐบาลควรผ่าน เช่น ธนาคารเพื่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, ธนาคารออมสินเพื่อธุรกิจขนาดเล็กและคนจนผู้ประกอบกิจการอิสระ, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อธุรกิจขนาดกลางขึ้นไป

ธุรกิจขนาด กลาง ขนาดย่อย และขนาดเล็ก หรือ SME ซึ่งทำการผลิตคิดเป็น 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP และมีแรงงานที่ทำงานอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ ล้วนแต่ต้องการความช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง และปัญหาของตลาดที่หดตัวลง ตรงข้าม กลับไม่ได้รับการเหลียวแลใดๆเ ลยจากรัฐบาลและธนาคาร เพราะเงินช่วยชาติเหล่านี้สามารถเป็นซอฟต์โลนได้ในทางอ้อม ทั้งนี้ เพราะซอฟต์โลนทางตรง ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว ธนาคารของรัฐเหล่านี้ไม่เคยได้รับจากรัฐบาล

ประการที่ห้า ผู้ที่ได้รับเงิน เป็นผู้ที่มีงานทำอยู่แล้ว เพียงแต่มีเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 บาทลงมา แล้วผู้ที่ตกงานอยู่ในขณะนี้ เกือบ 2 ล้านคน ยังไม่รวมผู้สำเร็จการศึกษา ที่ไม่มีงานอีกราว 700,000-800,000 คน กลับไม่ได้รับการเหลียวแล คนชั้นกลาง ล่าง ผู้ประกอบกิจการอิสระ ตลอดจนหาบเร่แผงลอย ที่มีคนขายมากกว่าคนซื้อ ประมาณ 12 ล้านคน ตามเมืองใหญ่ เขาเหล่านั้นมิได้อยู่ที่ไหนในสายตารัฐบาลหรอกหรือ?

ประการที่หก ผู้มีงานทำอยู่แล้ว เพียงแต่มีเงินเดือนต่ำหน่อยในฐานะลูกจ้างหรือข้าราชการชั้นผู้น้อย ก็จะเก็บเงินนี้ไว้ และค่อยๆ ทยอยจ่ายเท่าที่จำเป็น เช่นนี้แล้ว มาตรการนี้ของรัฐบาลที่ว่าเร่งด่วนในการกระตุ้นการบริโภคของประชาชน จะไม่แย้งกับข้อเท็จจริงหรือ?

ประการที่เจ็ด สรุปสุดท้าย ผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ เต็มๆ ก็คือ กลุ่มทุนผูกขาดเครือธนาคารใช่หรือไม่?

พฤติกรรมการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบ “เทวดาโปรยทาน” หรือ “ทานของอภิสิทธิ์เศรษฐี” ในตำนานโบราณ โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “เด็กลูกผู้ดีหัวนอกแกะกล่อง” จึงไม่มีอะไร ที่สอดคล้องกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ใดๆ

นโยบายเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท เคยถูกท้วงติงจากนักวิชาการทั่วประเทศ และคัดค้านว่าจะเป็นการสูญเปล่า และทอนศักยภาพ และเครื่องมือของตนเองที่มีอยู่อย่างจำกัด ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ร้ายแรงนี้

แล้วในที่สุดรัฐบาลก็ต้องหาทางออกที่เสี่ยงมากขึ้น ด้วยการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ และในประเทศ ให้เกินเพดานเงินกู้เส้นแดง 50% ของ GDP และเลยไปถึง 60% โดยไม่เกรงการคัดค้านจากผู้ใด

จะเป็นเพราะถือดีในความมี “อภิสิทธิ์” จากผู้อุปถัมภ์หรือไม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำที่สุดแห่งศตวรรษ และวิกฤตในประเทศที่บานปลาย และร้าวลึกทางการเมืองทั่วประเทศ!




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2552 14:29:56 น.
Counter : 413 Pageviews.  

รู้ทัน‘คนไร้ค่า’(Dead Wood)

ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@thaiappraisal.org)

ในสังคมไทยทุกวันนี้ มีคนที่ดูดี เป็นผู้ดี มีธรรมะชูคออยู่มากหลาย คนเหล่านี้โดยมากจะพูดจารื่นหู ดูมีศาสนา แต่นั่นเป็นแค่เปลือกนอก ความจริงหลายคนเป็น ‘คนไร้ค่า’ เป็นยิ่งกว่า ‘ไม้แก่ดัดยาก’ คือมีสถานะคล้าย ‘แตงเถาตาย’ หรือฝรั่งเรียกว่า Dead Wood (ไม้ที่ถูกตัดจากตอแล้ว) ไม่อาจเติบโตได้อีก ได้แต่รอวันเน่าเปื่อยไปมากกว่า
.
บุคคลไร้ค่าเหล่านี้ไม่ได้มีส่วน ช่วยพัฒนาชาติ และอาจกีดขวางความเจริญ รวมทั้งยังอาจ ‘กลายพันธุ์’ ถึงขั้นทำลายชาติหากเพิ่มความเลวเข้าไปด้วย บทความนี้จึงมุ่งชี้ให้เห็นถึงวิธีสังเกตว่า ‘คนไร้ค่า’ และคนชั่วนั้นเป็นเยี่ยงไร เพื่อว่าเราจะได้รู้ทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนเหล่านี้ และไม่กลายเป็นคนเหล่านี้เสียเอง
.
.
ลักษณะ 8 ของคนไร้ค่า
.
บุคคลผู้เป็น ‘คนไร้ค่า’ มักมีลักษณะสำคัญครบถ้วนทั้ง 8 ประการดังต่อไปนี้:
.
1. ชมชอบชอบเสพสุข (Hedonist) ในรูปแบบต่าง ๆ ในฐานะผู้ได้เปรียบในสังคม เช่น ไปเที่ยวโสเภณี (ราคาแพง) ชอบกีฬาแฟชั่นทั้งหลาย เป็นพวก ‘นิยมวัตถุ’ ซึ่งต่างจาก ‘วัตถุนิยม’ (materialism) ที่เป็นหลักปรัชญาที่ตรงข้ามกับ ‘จิตนิยม’ (idealism) จะสังเกตได้ว่าพวกนี้รักสุขภาพสุดชีวิต กะจะมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน แต่น่าเสียดายที่เป็นได้แค่ ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ เพราะนอกจากเสพสุขแล้ว ก็แทบไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเพื่อคนอื่น
.
2. ไม่ใฝ่ใจศึกษา: พวกเขามักเป็นคนที่ขี้เกียจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ บ้างก็ทำตัวเป็น ‘ชาล้นแก้ว’ บางคนอาจทำการศึกษาแต่ใช้วิธีการ ‘ยืมจมูกคนอื่นหายใจ’ ไม่ลงมือปฏิบัติเอง หรือเข้ารับการศึกษาโดยไม่ใช่เพื่อหาความรู้แต่เพื่อเข้าคลุกวงใน (networking) มากกว่า คนเหล่านี้มักเป็นพวก ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ ไม่ทันความรู้ใหม่ ๆ ยกเว้นการจำคำพูดคนอื่นมาคุยโตไปวัน ๆ
.
3. ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง: เมื่อไม่รู้จริง ก็มักเกลียด กลัวและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคุณต่อส่วนรวมแต่กระทบในทางลบต่อตนเอง กลัวตนเองจะหมดบทบาทในสังคมก้าวหน้า คนเหล่านี้มักเป็นผู้มีสถานะดีในสังคมหรือมีอาชีพน่ายกย่อง เช่น อาจารย์ แพทย์ หรือนักวิชาชีพชั้นสูงอื่น แต่ทั้งนี้ถือเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไม่ได้เหมารวมยกเข่งทั้งวงการ ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้แม้อยู่ในวงการศึกษาหรือวงวิทยาการชั้นสูง ก็ไม่ค่อยเปิดรับสิ่งใหม่ ถือตนว่ามีใบปริญญาบัตรแต่แท้จริงไม่ใช่ปัญญาชน เราจึงเห็นนักวิทยาศาสตร์ (ที่ทำงานแบบกลไกไปวัน ๆ ) ผู้กลับงมงายในไสยศาสตร์
.
4. ชอบทำดีเอาหน้า: ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพหรือเพื่อลวงให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นคนดี จึงเป็นการทำดีแบบ ‘ลูบหน้าปะจมูก’ ‘ผักชีโรยหน้า’ หรือ ‘ไฟไหม้ฟาง’ คล้ายกับพวกคุณหญิงคุณนายที่เที่ยวแจกของเพื่อให้ตัวได้รับเกียรติยศ แต่สังคมก็แทบไม่เคยดีขึ้นเพราะความดีฉาบฉวยดังกล่าว หากสังเกตให้ดี คนเหล่านี้บางคนไปร่วมกิจกรรมทำดีโดยไม่ออกเงินตัวเองสักบาท หรือออกเงินแต่น้อย (แต่ออกข่าวใหญ่โต) หรือใช้สถานะของตนเองไป ‘ไถ’ เงินผู้อื่นมาทำดี อาจกล่าวได้ว่า ในความเป็นจริง คนเหล่านี้เป็นคนขี้เหนียว ไม่ใช่คนใจกว้างจริงแต่อย่างใด
.
5. มีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูง: ทั้งนี้คล้ายกับที่มักปรากฏในภาพยนตร์น้ำเน่าประเภท ‘ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน’ หรือ ‘หนังจักร์ ๆ วงศ์ ๆ’ บุคคลที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนายเช่นนี้ มักทำไปเพื่อลบปมด้อยของการเป็นคนระดับล่างในอดีต หรือหวังยกระดับตนเองให้มีฐานะดูเหนือผู้อื่น หรือเป็นพวกจมไม่ลง คนเหล่านี้มีความชมชอบที่จะให้คนอื่นยกย่อง เอาใจ และมักเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง (self-centredness) ซึ่งแสดงว่าคนเหล่านี้ไม่คิดถึงใครอื่นอีกเลย
.
6. สยบยอมต่อผู้มีอำนาจ: ในขณะที่ตัวเองมีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูงมาก แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มักเป็นคนสยบยอมกับผู้มีอำนาจเหนือกว่าโดยดุษฎี การนี้แสดงว่าคนเหล่านี้ยินดี ‘เลีย’ หรือทำงานด้วยลิ้น เพื่อหวังให้ตนเองได้ก้าวหน้าในธุรกิจหรือการงาน และหากจำเป็นจริง ๆ คนเหล่านี้ไม่ว่าเพศใด ก็อาจยินดีเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน คือนอกจาก ‘พายเรือให้โจรนั่ง’ แล้ว ยังยอมให้ ‘โจรพายเรือให้ตนนั่ง’ (ประสบความสำเร็จโดย ‘โจร’ สนับสนุน) เสียอีก ลองสังเกตในวงการรอบตัวเราให้ดีว่าเราพบตัวอย่างเช่นนี้อยู่บ้างหรือไม่
.
7. เฉยชากับความไม่เป็นธรรมโดยถือคติว่า ‘ธุระไม่ใช่’ หรือไพล่ไปโทษบาปกรรมแต่ชาติปางก่อน พวกเขาไม่ใช่คนประเภท ‘ตัวสั่นทุกครั้ง (ทนไม่ได้) ที่เห็นความอยุติธรรม’ แต่อย่างใด พวกเขายินดีวาง ‘อุเบกขา’ โดยถือคติ ‘วัวเขาจะหาม อย่าเอาคานเข้าไปสอด’ ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ หรือ ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’ กับเรื่องอะไรก็ตามที่แม้จะเสื่อมเสียศีลธรรมหรือผิดกฎหมายก็ตาม ตราบเท่าที่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์
.
8. ชอบห่อหุ้มด้วยศาสนา: ทั้งนี้เพื่อใช้ศาสนาเป็นอาภรณ์หรือเครื่องมือโฆษณาให้ตนดูดี และเพื่อบำบัดความอ่อนแอทางจิตซึ่งอาจเป็นผลจากการทำบาป (อยู่เนือง ๆ) คนเหล่านี้เปลือกนอกดูสงบงาม พล่ามจริยธรรม ชอบชวนคนเข้าวัด แต่แท้จริงสุดรุ่มร้อน ลักษณะเด่นของคนเหล่านี้ก็คือ ‘เสพติด’ การนั่งสมาธิ (แต่อย่าเข้าใจผิดว่าคนดีที่นั่งสมาธิเป็นคนเช่นนี้ไปด้วย) คือแทนที่นั่งแล้วจะเกิดความสงบ กลับยิ่งทำให้เห็นนิมิตต่าง ๆ และยิ่งเป็นการแบ่งชนชั้นมากขึ้นเพราะไปอ้างอิงถึงการสั่งสมบุญเก่าแต่ อดีตชาติเพื่อข่มคนอื่น คนเหล่านี้มักไม่เอาแก่นศาสนา แต่มักเพี้ยนไปเน้นกระพี้ เช่น เรื่องพิธีกรรม ชาดก ไสยศาสตร์ ชาติก่อน-ชาติหน้า หรือเครื่องรางของขลัง เป็นต้น
.
.
รู้ทัน ‘คนไร้ค่า’
.
ในแง่ของพลังสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ ใจกล้าหาญ คิดก้าวหน้า ออกแรงปฏิบัติหรือออกเงินหนุนนั้น พวก ‘คนไร้ค่า’ ยังอาจมีสิ่งเหล่านี้น้อยกว่า ‘ยัยแจ๋ว’ ‘สาวฉันทนา’ ยามหน้าหมู่บ้าน หรือคนขับสามล้อ พวกเขามักกลัวการสูญเสีย เข้าทำนอง ‘ตะปูตำเท้าตัวเดียว ก็ลืมโลกไปทั้งโลก’ (มัวแต่ร้องโอดโอยสงสารตัวเอง) การดำรงอยู่ของ ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้จึงไม่ใช่ ‘อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตายอย่างมีเกียรติ’ แต่เป็นพวก ‘อยู่อย่างเหลวไหล ตายอย่างไร้ค่า’ เสียมากกว่า
.
ประวัติ ศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้ไม่ได้รักชาติจริง หรือรักชาติแต่ปากหรือรักตามแฟชั่นหรือตามคนอื่น ถ้าถึงคราวสิ้นชาติ เช่น ลาว เขมร และเวียดนามในยุคสงครามอินโดจีน พวกนี้แหละที่จะหนีไปก่อน เพราะพวกเขาเห็นว่าชีวิตของตนมีค่ามากกว่าจะเอามาทิ้งไว้ในแผ่นดินเกิด และคนที่จะยังอยู่สร้างชาติให้พวกนี้กลับมาตุภูมิ มาทำธุรกิจอีกครั้งหนึ่งก็คือสามัญชนคนธรรมดานั่นเอง
.
อย่างไรก็ตาม ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้ มีอาการที่ตรงกันอย่างหนึ่งก็คือ มักจะ ‘อับอายจนกลายเป็นโทสะ’ หรือ ‘โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ’ อยู่เสมอ หากมีใครสามารถ ‘จับได้ไล่ทัน’ หากสังเกตให้ดี พวกนี้ชมชอบที่จะใช้กลยุทธ์ ‘พวกมากลากไป’ มีพิธีกรรม มีศัพท์แสงหรือวาทกรรมเฉพาะที่ดูดี ใครไม่เข้าสังคมในกลุ่มเช่นตน มักจะถูก ‘โดดเดี่ยว’
.
.
กลายร่างเป็น ‘คนชั่ว’
.
เมื่อพิจารณาถึงโอกาสและแนวโน้มแล้ว บุคคลข้างต้นอาจมีพัฒนาการขั้นสุดท้ายจนกลายเป็นคนชั่วที่สร้างความเสื่อมเสียต่อตนเองและ คนอื่น หากเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองก็อาจทรยศและสร้างความวิบัติต่อประชาชน ทั้งนี้ ‘คนไร้ค่า’ ข้างต้นจะต้องมีลักษณะอีกข้อหนึ่งคือ ‘ร่วมขบวนการโกงกิน’
.
โดยในกรณีบุคคลในภาคราชการ มีตัวอย่างเช่น พวกที่ ‘ซื้อตำแหน่ง’ คนเหล่านี้มักฝ่าฟันสู่ตำแหน่งด้วยความชั่วร้าย เช่น ‘ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน’ จึงมักไม่ละอายที่จะกอบโกยโดยไม่สมควร โกงประเทศชาติและประชาชน จะสังเกตได้ว่าในหน่วยราชการที่ไม่ค่อยมีผลประโยชน์ ลูกน้องไม่ต้องเอาใจนายมากนัก อย่างมากก็ถือคติ ‘รับใช้นายจนพอแรง’ แต่ทำไมในส่วนราชการบางแห่ง ลูกน้องจึงต้อง ‘เลีย’ นายแบบ ‘เลี้ยงดูปูเสื่อ’ สุดชีวิต หากไม่ใช่เพราะหวังจะได้ผลประโยชน์มหาศาลที่ยินดีแลกด้วยการลดศักดิ์ความเป็นมนุษย์ของตนเองลง
.
ส่วนบุคคลในภาคเอกชนก็ได้แก่พวกที่อาศัย ทำการค้าเอาเปรียบคนอื่น โดยได้รับสัมปทานด้วยการใช้เส้นสนกลในและการจ่ายใต้โต๊ะ บุคคลในภาพยนตร์เช่น ‘อาเหลียง’ นั้น ไม่ใช่รวยล้นฟ้าเพราะการอดออมเป็นสำคัญ แต่เพราะสามารถได้ใบอนุญาตทำธุรกิจกึ่งผูกขาด และอาศัยเส้นสายทางการเมืองชิงความได้เปรียบ เหยียบหัวคู่แข่งอื่นอย่างไม่เป็นธรรมต่างหาก
.
อาจกล่าวได้ว่าคหบดี ที่รวยปกตินั้น ต่างมาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองเป็นสำคัญ แต่บุคคลผู้ร่ำรวยผิดปกตินั้น ต้องตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าไปโกงเขามา ถ้าสืบประวัติดูแล้วบุคคลที่ร่ำรวยผิดปกตินั้นไม่ได้โกงมา ก็พึงตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่า พ่อเขาคงโกงมา หรือถ้าพ่อเขาไม่.โกงมา ก็คงเป็นปู่เขา (บุคคลรุ่น ‘อาเหลียง’ โกงมา) ‘เก่งบวกเฮง’ ไม่อาจส่งให้ใครรวยล้นฟ้าแต่อย่างใด
.
คนชั่วในภาครัฐและภาคเอกชนเหล่านี้แหละที่จะมารวมกันสร้างกลไกครอบงำประเทศ ทำให้ประเทศชาติเป็นที่ตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัวในที่สุด
.
.
ส่งท้าย: ช่วยกันสังเกตหน่อย
.
คน ที่ยังมีความหวังที่จะเป็นทรัพยากรของชาติ หรือเป็นผู้นำพาการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) นอกจากจะต้องพยายามขัดเกลาตัวเองให้มีคุณสมบัติที่ดีต่อไปแล้ว ยังพึงระวัง ‘คนไร้ค่า’ และ ‘คนชั่ว’ ในคราบคนดีเหล่านี้ที่อาจเขามากีดขวางหรือทำลายความเจริญของประเทศชาติ สิ่งที่พึงทำได้ก็คือ
.
1. คนหนุ่มสาว ต้องพิจารณาคนวัยกลางคนที่มีความเสี่ยงเป็น ‘Dead Wood’ เช่นนี้
.
2. นักศึกษา ต้องจับตาดูอาการของอาจารย์บางคนที่อาจมีลักษณะเพี้ยนเช่นกัน
.
3. ‘ยัยแจ๋ว’ ‘ยัยเอี้ยง’ ‘ยัยเอื้อง’ ต้องพิจารณาคุณผู้ชาย คุณผู้หญิงของตนเองไว้ให้ดี
.
4. ลูกน้องก็พึงสังเกต ‘เจ้านาย’ ให้ดีว่าได้กลายร่างเป็นคนเช่นนี้หรือยัง
.
5. ‘สามล้อ’ หรือ ‘แท็กซี่’ ต้องคอยดูและช่วยกันจับตาดูบุคคลประเภทนี้ในสังคม เป็นต้น
.
.
ช่วย กันรู้ทันและช่วยกันเปิดโปง และช่วยกันระวังไม่ให้ตนเองถลำลึกไปเป็น ‘คนไร้ค่า’ เช่นนี้ อย่าลืมว่าเกิดมาต้องสร้างสรรค์ ต้องทำดีเพื่อชาติ ไม่ใช่เป็นสวะลอยน้ำไปวัน ๆ




 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2552 19:29:03 น.
Counter : 556 Pageviews.  

เปิดโฉนด"นักการเมือง"ฉายา"ราชาที่ดิน"

ทำท่าจะเอาจริง "ยกสอง" ของการลากเข็นกฎหมายจัดเก็บภาษีที่ดิน ยิ่ง "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี พ่อยกคนสำคัญ ออกแรงเชียร์สุดตัว หลังจาก "ยกแรก" โยนหินออกมาแล้วหินตกน้ำหายต๋อมไปเลย

รู้ดีกันว่า สาเหตุที่เร่งผลักดันกฎหมายฉบับนี้ เพราะรัฐบาล "ถังแตก" นานแล้ว แม้ "กรณ์ จาติกวณิช" ขุนคลัง จะอ้างเหตุผลสวยหรู "เพื่อความเป็นธรรมและเสมอภาค" ก็ตามที และก็ออกมาคัดค้านทันทีเช่นกัน "อำนวย คลังผา" ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ราชาที่ดินเมืองลิง ผู้ถือโฉนด 206 แปลงมีที่ดินในกำมือ 2,004 ไร่ มูลค่า 60 ล้านบาท ที่ยกความเดือดร้อนเกษตรกรมาอ้าง

แม้หลายฝ่ายจะออกมาชูมือหนุนกฎหมายฉบับนี้เป็นส่วนใหญ่ ด้วย "ตุ๊กตา" ที่โยนออกมา ให้เก็บภาษี 0.05% จากราคาประเมิน ของที่ดินทำเกษตรกรรม 0.1% ของที่ดินที่ประกอบกิจการเชิงพาณิชย์ และ 0.5% กับดินรกร้างว่างเปล่า ไม่ทำประโยชน์ ที่อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวทุกๆ 3 ปี แต่ไม่เกิน 2% ซึ่งจะทำให้ภาษีที่ดินว่างเปล่ากับไร่นาต่างกัน 40 เท่า!! บีบให้นายทุนยุติการสะสมพื้นที่และคืนให้เกษตรกรได้นำไปทำมาหากิน โดยอาจมีการกำหนดภายหลังว่าจะเก็บภาษีเฉพาะที่ดินที่มีขนาดเกิน 5-10 ไร่ขึ้นไป เพื่อไม่ให้เกษตรกรรายย่อยได้รับความเดือดร้อน

แต่ความตั้งใจว่าจะนำร่างกฎหมายเข้าสู่สภาใน 2 เดือนข้างหน้า ดูจะเป็นเส้นทางยาวไกลที่เต็มไปด้วยขวากหนาม!!!

เพราะ ต้องไม่ลืมว่า ขั้นตอนการออกกฎหมายฉบับหนึ่ง ต้องผ่านมือของคณะรัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. หรือกลุ่มนักการเมือง ที่เป็นตัวแทนนักการเมือง พ่อค้า กลุ่มทุน ผู้มีอิทธิพล ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ซึ่งเป็นคนกลุ่มเดียวกันกับที่รวมหัวขวางร่างกฎหมายแบบเดียวกันนี้มาตลอด 30 ปี นับแต่รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้ราชา-ราชินีที่ดิน ที่เดินชนกันไป-มาเต็มสภา ทำเรื่องหยิกเล็บเจ็บเนื้อ ด้วยออกกฎหมายเก็บภาษีตัวเอง

เรื่องแบบนี้แค่คิดก็แท้งแล้ว...!!

ยกตัวอย่างพอเป็นกระสาย จากบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.ตอนเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.-ส.ว.ทั้ง 620 คน กว่าครึ่งมีที่ดินมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยพรรคประชาธิปัตย์ มีที่ดินรวมกันนับหมื่นไร่!

นำโดย นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ มีที่ดิน 72 แปลง 436 ไร่ มูลค่า 803 ล้านบาท

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.กทม. และ รมว.ยุติธรรม 33 แปลง 335 ไร่ มูลค่า 446 ล้านบาท
นายทศพร เทพบุตร ส.ส.ภูเก็ต 69 แปลง 1,095 ไร่ มูลค่า 240 ล้านบาท
นายอนุชา บูรพชัยศรี ส.ส.กทม. 60 แปลง 1,284 ไร่ มูลค่า 220 ล้านบาท
ส่วนนายอภิสิทธิ์มีที่ดิน 2 แปลง 15 ไร่ มูลค่า 19 ล้านบาท นายกรณ์มีที่ดิน 26 แปลง 281 ไร่ มูลค่า 147 ล้านบาท


กระทั่งพรรคร่วมรัฐบาลยังมีเศรษฐีที่ดินจำนวนมาก
อย่างนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง มีที่ดิน 43 แปลง 877 ไร่ มูลค่า 580 ล้านบาท
นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย มีที่ดิน 243 แปลง กว่า 2,000 ไร่ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 2,100 ล้านบาท!!!

ฝ่ายค้านก็ใช่ย่อย นำโดยพรรคเพื่อไทย พรรคยาใจคนจน แต่ปรากฏว่า ส.ส.ไม่ต่ำ 30 คนสะสมที่ดินไว้กว่า 100 ไร่ อาทิ
นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ ส.ส.ปทุมธานี มีที่ดิน 131 แปลง มูลค่า 389 ล้านบาท
นายสุชน ชามพูนุช ส.ส.สัดส่วน ฐานพิษณุโลก มีที่ดิน 112 แปลง 1,055 ไร่ มูลค่า 250 ล้านบาท
ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี ส.ส.ปทุมธานี มีที่ดิน 5 แปลง 56 ไร่ มูลค่า 126 ล้านบาท
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน รักษาการผู้นำฝ่ายค้าน มีที่ดิน 18 แปลง 157 ไร่
ขณะที่ นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช มีที่ดิน 74 แปลง 1,837 ไร่ มูลค่า 188 ล้านบาท

เหล่านี้คือ บรรดา "ราชาที่ดิน" ของเมืองไทยตัวจริงคงต้องจับตาดูว่า คนเหล่านี้จะยกมือสนับสนุนกฎหมาย "ภาษีทรัพย์สิน" หรือไม่..?

ที่มา มติชน




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2552 16:26:48 น.
Counter : 679 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]









ผม ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร
สามัญชนคนเหมือนกัน(All normal Human)
คนจรOnline(ได้แค่ฝัน)แห่งห้วงสมุทรสีทันดร
(Online Dreaming Traveler of Sitandon Ocean)
กรรมกรกระทู้สาระ(แนว)อิสระผู้ถูกลืมแห่งโลกออนไลน์(Forgotten Free Comment Worker of Online World)
หนุ่มสันโดษ(ผู้มีชีวิตที่พอเพียง) นิสัยและความสนใจแปลกแยกในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู้จัก (Forrest Gump of the family)
หนุ่มตาเล็กผมสั้นกระเซิงรูปไม่หล่อพ่อไม่รวย แถมโสดสนิทและอาจจะตลอดชีวิตเพราะไม่เคยสนใจผู้หญิงกะเขาเลย
บ้าในสิ่งที่เป็นแก่นสารและสาระมากกว่าบันเทิงเริงรมย์
พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆกับบันทึกในโลกออนไลน์แล้วครับ
กรุณาปรับหน้าจอเป็นขนาด1024*768เพื่อการรับชมBlog
ติดตามการเคลื่อนไหวของกรรมกรผ่านTwitter
และติดตามพูดคุยนำเสนอด้านมืดของกรรมกรผ่านTwitterอีกภาคหนึ่ง
Google


ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
ติชมแนะนำหรือขอให้เพิ่มเติมเนื้อหาWeblog กรุณาส่งข้อความส่วนตัวถึงผมโดยตรงได้ที่หลังไมค์ช่องข้างล่างนี้


รับติดต่อเฉพาะผู้ที่มีอมยิ้มเป็นตัวเป็นตนเท่านั้น ไม่รับติดต่อทางE-Mailเพื่อสวัสดิภาพการใช้Mailให้ปลอดจากSpam Mailครับ
Addชื่อผมลงในContact listของหลังไมค์
free counters



Follow me on Twitter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไทยวรรษ สีทันดรสมุทร's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.