การศึกษาในประเทศไทย: ความล้มเหลวที่น่าสยดสยอง
การศึกษาในประเทศไทย: ความล้มเหลวที่น่าสยดสยอง ระบบการศึกษาของไทยเป็นหนึ่งในระบบการศึกษาที่แย่ที่สุดของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และกำลังย่ำแย่ลงทุกๆ ปี โดย คาสซานดรา เจมส์ Feb 13, 2008 แปลเรียบเรียงโดย อรรถพล อนันตวรสกุล //www.facebook.com/athapol จาก //voices.yahoo.com/education-thailand-terrible-failure-889841.html?cat=16 ดิฉันสอนในระบบการศึกษาไทยมานานกว่าสามปี และระหว่างเวลานั้น ดิฉันได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วถึงความย่ำแย่ของระบบการศึกษาไทยที่เป็นอยู่ ระบบการศึกษาที่ล้มเหลวเป็นผลมาจากการถูกจัดสรรงบประมาณอย่างไม่เพียงพอเหมาะสม จำนวนเด็กต่อชั้นที่ล้นทะลัก (มากเกินกว่า 50 คน ต่อชั้นเรียน) การผลิตและพัฒนาครูที่ย่ำแย่ นักเรียนที่ขี้เกียจ และระบบที่บังคับให้ครูต้องปล่อยให้นักเรียนเหล่านี้ผ่านเลื่อนชั้นทั้งๆ ที่พวกเขาสอบตก ดูเหมือนว่าความหวังที่การศึกษาของประเทศไทยจะพัฒนาได้ในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้.. จะเป็นเรื่องที่ริบหรี่เหลือเกิน ดิฉันสอนอยู่ในโรงเรียนพหุภาษาที่เป็นโรงเรียนเอกชน ซึ่งประสบปัญหาหนักหนาน้อยกว่าโรงเรียนของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม โรงเรียนที่ดิฉันสอนอยู่ก็ได้รับการสนับสนุนงบประมาณโดยกระทรวงที่เป็นหนึ่งในบรรดาหน่วยงานที่ไร้ซึ่งความสามารถอย่างน่าขบขันที่สุดในโลก กฎกติกาและนโยบายเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกภาคการศึกษา เอกสารคู่มือต่างๆ รวมทั้งประมวลรายวิชา แผนการสอน แบบทดสอบ ถูกส่งมาถึงมือครูในแต่ละภาคการศึกษาและก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้งในภาคการศึกษาต่อมา ครูถูกขอร้องให้ช่วยนักเรียนที่สอบตกผ่านเลื่อนชั้น และทำเสมือนว่าตาบอดมองไม่เห็นปัญหาที่สำคัญยิ่งอย่างเช่น การคัดลอกงานมาส่ง เป็นต้น ทุกๆ ปี กระทรวงศึกษาธิการจะริเริ่ม ความคิดแสนดีใหม่ๆ เพื่อพัฒนาการศึกษาของประเทศ ความคิดแสนดีใหม่ๆ ของปีนี้ก็คือการบังคับให้ครูชาวตะวันตกทุกคนต้องผ่านการลงทะเบียนเรียนวิชาวัฒนธรรมไทย แม้ว่าครูจำนวนหนึ่งจะอาศัยอยู่อยู่ในเมืองไทยมานานหลายปีและรู้จักวัฒนธรรมไทยดีอยู่พอสมควรแล้ว แต่พวกเขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องผ่านการเรียนรายวิชานี้เพื่อที่จะได้ใบประกอบวิชาชีพ หรือเพื่อต่ออายุใบประกอบวิชาชีพของ ค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนเรียนอยู่ $110 ถึง $300 และครูแต่ละคนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอง ครูจำนวนมากตัดสินใจที่จะไม่ลงทะเบียนเรียน ดิฉันเพิ่งรู้จากครูสองคนที่เก่งมากว่าพวกเขากำลังเตรียมจะย้ายไปสอนที่ประเทศเกาหลีและประเทศญี่ปุ่นแทนการอยู่ทำงานที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จะจ่ายค่าตอบแทนครูชาวตะวันตกมากกว่านี้ และการได้รับอนุญาตใบการประกอบวิชาชีพก็ดำเนินการได้ง่ายกว่านี้ โดยไม่ต้องมีภาระยุ่งยากกำหนดเป็นเงื่อนไข กระทรวงศึกษาธิการของประเทศเหล่านี้มีการคิดและมองไปข้างหน้ามากกว่าที่กระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยกำลังเป็นอยู่ ประเทศไทยกำลังเริ่มประสบปัญหาในการสรรหาและรักษาครูชาวตะวันตกที่เก่งและดีให้อยู่ทำงานครูต่อในประเทศ การประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่กำลังกลายเป็นการผลักดันให้ครูจำนวนมากโยกย้ายไปทำงานที่อื่น ในหลายประเทศของภูมิภาคนี้ หน่วยงานภาครัฐถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยจัดว่าเป็นหน่วยงานภาครัฐที่แย่ที่สุดที่ดิฉันเคยร่วมงานมา วันหนึ่งขณะที่ดิฉันสอนอยู่ที่โรงเรียน ครูคอมพิวเตอร์คนหนึ่งขอให้ดิฉันช่วยตรวจแก้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษในงานของเขา เขาถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากผู้แทนของกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนคนนั้นเห็นผลงานที่เขาพัฒนาร่วมกับเด็กนักเรียนและพูดกับเขาอย่างหยาบคายว่าเขาแน่ใจแล้วหรือว่าคำอวยพรในบัตรอวยพรวันแม่ใช้ภาษาได้ถูกต้อง คำพูดนี้มาจากผู้แทนหน่วยงานซึ่งหมั่นส่งแบบฟอร์มต่างๆ ให้ครูชาวตะวันตกกรอก โดยที่แทบจะไม่เคยใช้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้ถูกต้องเลยแม้แต่ประโยคเดียว เอกสารบางฉบับไม่ประเทืองปัญญาขนาดที่ว่าหัวหน้าของดิฉันจัดการโยนมันทิ้งลงถังขยะ ทุกวันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติทางการศึกษา นักเรียนไทยไม่ได้ถูกสอนให้คิดด้วยตนเอง รวมทั้งไม่ได้ถูกสอนให้ใช้วิจารณญาณในการคิด ในโรงเรียนของรัฐบาล จำนวนนักเรียนที่มากกว่า 50 คน ต่อชั้นเรียนเป็นเรื่องปกติ นักเรียนมากกว่าครึ่งหลับตลอดชั่วโมงเรียน ขณะที่ครูเองก็ไม่ได้สนใจเลยว่านักเรียนยังฟังเขาอยู่หรือเปล่า หนังสือเรียนมีจำนวนจำกัด โรงเรียนจำนวนมากขาดแคลนอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ครูชาวตะวันตกในโรงเรียนรัฐบาลเป็นแค่กากตะกอนไร้ค่าในสังคมครูของโรงเรียน โรงเรียนจำนวนมากไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนตามเรทที่กำหนดนั่นคือ ประมาณ $750 ต่อเดือน พวกเขาจ่ายเท่าที่พอจะจ่ายไหว (ครูชาวตะวันตกจำนวนมากที่ต้องเผชิญสภาพนี้มักเป็นชายสูงอายุที่ไม่มีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรี พวกเขาย้ายมาอยู่เมืองไทยเพียงเพราะแต่งงานกับภรรยาชาวไทย และเลือกทำงานครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียน เพราะนี่เป็นงานหนึ่งในน้อยประเภทที่พวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำงานได้) ปัจจุบันประเทศไทยพยายามจะเข้มงวดกวดขันในเรื่องวีซ่านักท่องเที่ยวสำหรับชาวต่างชาติเพื่อแก้ปัญหาครูชาวตะวันตกที่ไม่มีคุณภาพ ครูที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้จะไม่ได้รับการต่อสัญญาจ้างงาน ดังนั้นจึงต้องพักอาศัยอยู่ในฐานะนักท่องเที่ยว และจะต้องต่ออายุวีซ่าทุกๆ สามเดือนโดยการเดินทางออกนอกประเทศและกลับเข้ามาใหม่ ทุกวันนี้วิธีการดังกล่าวดำเนินการได้ยากขึ้น อย่างไรก็ดี มาตรการเดียวที่ใช้ควบคุมอย่างเข้มงวดกับผู้ที่อาศัยช่องทางดังกล่าวในการแก้ปัญหาก็คือการเปรียบเทียบปรับ ผู้ที่เลือกจะประพฤติผิดกฎหมาย ก็ยังสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้อย่างผิดกฎหมาย ความพยายามดังกล่าวจึงไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น ขณะที่การศึกษาของประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม มาเลย์เซีย เกาหลี และจีน กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ประเทศไทยกำลังถอยหลังลงสู่ตำแหน่งรั้งท้ายสุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในด้านการศึกษาและด้านเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการก็ยังคงเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์กับนโยบายและกฎกติกาที่น่าขบขัน แทนที่จะใช้สามัญสำนึกในการแก้ปัญหาเหล่านี้ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ หนึ่ง รัฐบาลควรกำหนดไปเลยว่าการมีคุณวุฒิในระดับปริญญาตรีและการมีใบประกาศนียบัตรด้านการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ เป็นคุณสมบัติพื้นฐานในการทำงานครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย ก็จะจัดการกับปัญหาชาวต่างชาติที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการสอนได้; สองการขึ้นเงินเดือนให้กับครูทั้งชาวไทยและชาวตะวันตก จะเป็นแรงจูงใจให้ได้ครูที่มีคุณภาพมากขึ้นมาทำงานสอน ทุกวันนี้โรงเรียนยังคงจ่ายค่าตอบแทนและเงินเดือนในระดับต่ำ และเป็นระดับเดียวกับที่ดิฉันเคยได้รับเมื่อครั้งมาทำงานครูเมื่อห้าปีที่แล้ว ขณะที่ราคาสินค้าต่างๆเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 20%; สาม รัฐบาลควรแก้ไขกระบวนการออกใบอนุญาตทำงานให้ง่ายมากขึ้นสำหรับครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แทนที่จะปล่อยให้ยุ่งเหยิงและเป็นภาระอย่างทุกวันนี้ เพื่อจูงใจให้ครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเหล่านี้ให้ความสนใจที่เข้ามาสอนและเลือกที่จำอยู่ทำงานครูในประเทศไทย อย่าลืมว่าทุกวันนี้ เราสามารถขอวีซ่า ใบอนุญาตทำงาน และได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่านี้ในประเทศเกาหลี จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลย์เซีย และญี่ปุ่น แล้วทำไมเราจึงต้องมาอยู่และทำงานในประเทศไทย? อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ ในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงได้ช้ามาก สังคมไทยเป็นสังคมของการรักษาหน้าตาในทุกๆ ด้าน กระทรวง (ศึกษาธิการ) ไม่เคยรับฟังข้อคิดเห็นจากครูผู้ซึ่งรู้ดีกว่าพวกเขาว่าแท้ที่จริงแล้วอะไรคือสิ่งที่สำคัญจำเป็นสำหรับการศึกษาไทย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของเด็กๆ มากกว่าความรู้ของพวกเขา นั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่าระบบการศึกษาของไทยเป็นต้นตอของปัญหาอีกหลายอย่างที่กำลังถูกหลงลืม ประเทศไทยจะยังคงล้มเหลวต่อไปและถูกทิ้งไว้ให้ล้าหลังในเกมการแข่งขันของการศึกษา ครูชาวตะวันตกที่มีความสามารถจะค่อยๆ ทยอยโยกย้ายไปทำงานที่ประเทศอื่น แต่ใครล่ะจะสนใจใส่ใจ ตราบใดที่เด็กๆ ยังดูน่ารักในชุดเครื่องแบบลูกเสือท่ามกลางขบวนสวนสนาม น่าเวทนายิ่งนักที่มีนักเรียนน้อยกว่า 10 % เสียอีกที่สามารถพูดภาษาอังกฤษยาวๆ เกินกว่า 20 คำ ได้อย่างถูกต้อง และเด็กๆ จำนวนมากก็ไม่ได้มีความสามารถทางภาษาไทยที่ดีไปกว่าภาษาอังกฤษเลย .................. จากผู้แปล ให้ข้อมูลไว้ก่อนว่านี่เป็นบทความเก่าตั้งแต่ปี 2008 เข้าใจว่าเป็นช่วงที่ระบบการจ้างงานครูชาวต่างชาติกำลังยุ่งเหยิงเต็มที จึงมีเสียงวิพากษ์รุนแรงจากครูชาวตะวันตกท่านหนึ่งเช่นนี้ แต่ก็ต้องพูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่าประเทศไทยเองก็ดำเนินนโยบายหลายๆ อย่างน่าปวดหัวจริงๆ นั่นแหละ ขณะที่คุณครูคนนี้ (ชื่อ ครู คาสซานดรา) ก็ใช้ภาษาในการเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างหนักหนาสาหัส ผมแปลเองยังกุมขมับ จำเป็นต้องเลือกใช้คำแรงๆ ให้ได้ความหมาย (และแน่นอนอารมณ์) ของผู้เขียน ใช้ภาษาในการแปลแรงไป เข้าใจอะไรผิดไป เป็นความผิดของผมคนเดียวก็แล้วกัน ส่วนที่ว่าต้นฉบับเป็นอย่างไร แปะลิงค์ไว้ให้แล้วครับ ผมไม่มีความปรารถนาจะให้บทความนี้กลายเป็นเครื่องมือในการนำไปตำหนิกันอย่างสนุกปาก โดยมินำพาถึงการทบทวนตนเองเพื่อหาหนทางที่ดีกว่าในการพัฒนาการศึกษาของบ้านเรา บทความอาจจะถูกเขียนโดยชาวต่างชาติที่มาอยู่ต่างวัฒนธรรม และเป็นมุมมอง+ประสบการณ์ส่วนบุคคล ซึ่งคงจะไม่เหมาะที่เอาไปเหมารวมหรือตำหนิกราดไปทั่ว อย่างไรก็ตาม แม้เป็นหนึ่งเสียง ก็ควรรับฟัง และผู้ที่เจริญแล้วเมื่อรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ ต้องทบทวนตนเองถึงสิ่งที่เราต้องทำ ผมไม่ได้มุ่งหมายจะกล่าวโทษแต่กระทรวงศึกษาธิการ ที่ในบทความโดนตำหนิเป็นหลักอยู่ฝ่ายเดียว แต่ผมเห็นว่านี่คืออีกหนึ่งเสียงสะท้อนว่าสังคมไทยต้องตื่นตัว และลุกขึ้นจัดการกับการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพเพื่อทุกคนอย่างจริงจังเสียที ที่มา บทความต้นฉบับ
Create Date : 25 เมษายน 2555 |
Last Update : 25 เมษายน 2555 15:45:46 น. |
|
0 comments
|
Counter : 933 Pageviews. |
|
|