เศรษฐกิจพอเพียงการโกงกินและผลประโยชน์ที่ไม่เข้าใครออกใคร
วันอังคาร 11 สิงหาคม 2009 — chapter 11
Sufficiency economy, corruption and conflicts of interest August 8, 2009 ที่มา – Political Prisoners in Thailand แปลและเรียบเรียง – chapter 11
เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นแกนนำในการใช้แผนการเข้าสู่อำนาจเมื่อเดือนธันวาคมที่แล้ว ได้ประกาศจุดยืนว่าจะปกป้องและเชิดชูสถาบันกษัตริย์ วัตถุประสงค์ทางการเมืองส่วนหนึ่งคือ รัฐบาลประกาศการจัดงบประมาณหลายพันล้านบาทในโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน และบริหารโดยสำนักงานโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนที่่จัดตั้งขี้นมาใหม่
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดของพระมหากษัตริย์ ได้รับการส่งเสริมในยามที่ประเทศไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ต่อมารัฐบาลทหารนำโดยองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำการผลักดันโครงการนี้ ที่แปลกคือ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ได้ร่วมให้การสนับสนุนด้วย พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งเสริมแนวคิดนี้เช่นเดียวกับรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อเหตุผลทางอุดมการณ์ โครงการนี้เกี่ยวข้องกับงบประมาณจำนวนมาก และเศรษฐกิจพอเพียงนี้เป็นหลักสำคัญของนโยบายด้านการพัฒนา พูดได้ว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์โฆษณาความคิดเรื่องนี้น้อยกว่าสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ซึ่งดูเหมือนจะเชื่อในความคิดเรื่องนี้
เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาสื่อได้ เริ่มวิจารณ์เรื่องการคอรัปชั่นของโครงการที่เกี่ยวข้องกับน้ำและไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ของสำนักงานโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน พีพีทีจำได้ถึงรายการสารคดีจากช่องไทยพีบีเอสซึ่งนำเสนอรายการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องน้ำและ ไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์นี้ เรื่องราวได้เงียบหายไปสักพักหนึ่ง แต่ได้กลับมาใหม่ และคิดว่าคงสร้างปัญหาหนักให้กับรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ (บางกอกโพสต์ ในหัวเรื่องว่า “สำนักงานกองทุนพยายามช่วยนักการเมืองให้หลุดจากปัญหา” ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการนี้ได้ให้สัมภาษณ์ปฎิเสธกรณีมีจดหมายจาก “ชุมชนต่างๆ ร้องเรียนเกี่ยวกับการขาดการประสานงาน และกล่าวหาว่ามีการทุจริตในโครงการพัฒนาชุมชนนี้” นายสุมิท แช่มประสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานชุมชนพอเพียงตระหนักถึงความไม่พอใจของชาวบ้านที่กำลังขยายไปในวงกว้าง และพยายามให้มองเป็นเรื่องเล็ก: “เราได้รับจดหมายร้องเรียนมาหลายร้อยฉบับ แต่มีแค่เพียง ๘๐ เรื่องที่สมเหตุสมผลให้มีการติดตามสืบสวนต่อไป…” ทางโครงการได้มีการตรวจสอบภายในกันเองนำโดย “พล.อ.ชัชวาลย์ ณัฐนันท์ อดึตเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในซึ่งปลดเกษียณแล้ว”
สำนักงานนี้บริหารงบประมาณที่มากพอควร ผู้อำนวยการแถลงว่า “รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณให้โครงการนี้ ๒,๑๐๐ ล้านบาท เงินจำนวนประมาณ ๘๕๐ ล้านบาทได้ถูกใช้ในชุมชนและหมู่บ้านประมาณ ๓๑,๐๐๐ แห่งในจำนวน ๘๐,๐๐๐ แห่ง ของโครงการเพื่อชุมชนไปแล้ว แต่ละชุมชนได้รับเงินประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ – ๗๐๐,๐๐๐ บาท ขี้นอยุ่กับขนาดของหมู่บ้านหรือชุมชุม และโครงการ”
ผู้อำนวยการรับทราบถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขี้น แต่ยกความผิดทั้งหมดให้กับ “นักการเมืองท้องถิ่น” โดยกล่าวว่า “ผมไม่ต้องการเห็นนักการเมืองเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงการชุมชน แม้ว่าจะเป็นแค่เพียงความฝัน การเข้ามาก้าวก้ายในโครงการชุมชนนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าเป็นเรื่องดีในอนาคตข้างหน้า นักการเมืองที่ดีควรสนใจเกี่ยวกับความทุกข์ร้อนของประชาชนมากกว่าเรื่องตัวเอง”
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ได้มีปฎิกิริยาจากฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่งประธานบอร์ด “โครงการชุมชนพอเพียง” (สพช.) นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะปฎิเสธว่าไม่มีนักการเมืองระดับชาติเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่อง นี้ จากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ หัวข้อว่า “อภิสิทธิ์ เข้าตรวจสอบโครงการพอเพียงที่อื้อฉาว”) ซึ่งเขาได้ รับรายงานจากเรื่องที่ร้องเรียนว่า “ชุมชนท้องถิ่นได้รับข้อมูลที่บิดเบือนจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเกี่ยวกับ โครงการชุมชนพอเพียง และอาจจะ “ถูกหลอกให้มีการเซ็นสัญญา”
อึกครั้งที่พีพีทีได้พบว่า อภิสิทธิ์มักอ้างเป็นประจำว่า ชาวบ้านถูก “หลอก” ให้ทำการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นมุมมองของเขาอย่างชัดเจนว่า ชาวบ้านทั่วไปนั้นไม่ฉลาดพอที่จะตัดสินใจให้กับตัวเองได้
อภิสิทธิ์ยังได้ชี้นิ้วป้ายความผิดไปยัง “เจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพ” และลงที่ทักษิณ ชินวัตร โดยแสดงความเห็นว่า “การกล่าวหาเรื่องการบกพร่องต่อหน้าที่อาจจะเริ่มต้นมาจากช่วงเวลาดูแลของสำนักงานโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนเอสเอ็มแอล..โครงการเอสเอ็มแอลตั้งขี้นมาในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร” เขาได้กล่าวต่อว่า “ได้มีการตั้งข้อหาอาชญากรรมกับเจ้าหน้าที่ที่สงสัยว่าได้มามีส่วนพัวพันในการทุจริต”
ดูเหมือนจะเป็นการขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ นายยุทธนา ยุพฤทธิ์ สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมการของสภาฯเพื่อตรวจสอบการบริหาร เงินได้กล่าวว่า “ชุมชนต่างๆ ที่มองหาหน่วยงานเกี่ยวข้องที่รับผิดชอบกับเงินทุนของโครงการพอเพียง ได้ถูกสั่งให้ซื้อเครื่องมือที่ราคาสูงมากกว่าราคาปกติ เช่นเครื่องกรองน้ำ ในบางกรณี งบจากสำนักงานได้โอนเข้าชุมชนต่างๆก่อนที่โครงการจะได้รับการอนุมัติเสียอีก สมาชิกวุฒิสภากล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่บางคนได้เลือกโครงการให้ชุมชนนั้นเอง แทนที่จะให้ชุมชนนั้นตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง”
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผู้อำนวยการของสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียง ได้เรียกประชุมสื่อ “เพื่อปฎิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเขาได้อนุญาตให้ภาคเอกชนได้รับประโยชน์จากโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน” (จากฐานเนทเวิร์ค วันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ หัวข้อข่าว: “หัวหน้าสำนักงานโครงการเศรษฐกิจพอเพียงปฎิเสธเรื่องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบริษัทเอกชน”) นายสุมิทอ้างว่า “เขาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเอกชน บีเอนบีอินเตอร์กรุ๊ป ที่ทำการจัดซื้ออุปกรณ์สำหรับโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน เขากล่าวว่าเขาได้ลาออกอย่างเป็น ทางการแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ จากตำแหน่งผู้อำนวยการบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลเอนจิเนียริ่ง (ไออีซี) ก่อนที่บริษัทนี้จะซื้อบริษัทบีเอนบีอินเตอร์กร๊ป” เขากล่าวต่อว่า เขาจะไม่ลาออก
ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ “ยืนยันว่าหัวหน้าโครงการจะต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยข้อเท็จจริงและหลักฐานจริงเพื่อยืนยันในความบริสุทธิ์”
จากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (วันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ หัวข้อว่า: “ปล้นชาวบ้านตาดำๆ”) แสดงความเสียใจว่า “คุณค่าของความพอประมาณ จากปรัชญาพอเพียงที่เป็นเลิศขององค์พระมหากษัตริย์ได้ถูกนำมาใช้เป็นวลีอย่างฟุ่มเฟือยโดยปราศจากความหมาย และการปฎิบัติอย่างเป็นรูปธรรมของรัฐบาลต่อๆมา แนวคิดเรื่องพอเพียงนี้หมดความหมายอย่างสิ้นเชิง” และเสริมต่อว่า “เนื่องจาก ความพอเพียงถูก มองว่าเป็นปรัชญาของกษัตริย์ คำเหล่านี้จึงปรากฎในแผนปฎิบัติและโครงการทุกๆอย่างที่รัฐบาลต้องการย้ำว่า สิ่งที่ทำไปนั้นเป็นเรื่องที่มีความชอบด้วยกฎหมายเพื่อผลทางการเมือง และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เพื่อ สยบคำวิจารณ์”
บางกอกโพสต์ตำหนินักการเมืองท้องถิ่นในเรื่องทุจริตโครงการพอเพียงนี้ โดยกล่าวว่า “ชุมชนท้องถิ่นส่วนใหญ่แล้วตกอยู่ในการควบคุมของเจ้าพ่อท้องถิ่นซึ่งควบคู่ไปกับกำนัน ผู้นำหมู่บ้าน และสมาชิกขององค์การบริหารตำบล ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความรู้น้อยมากหรือแทบจะไม่ รู้เลยเกี่ยวกับแผนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าจะร่างข้อเสนออย่างไรเพื่อให้เข้ากับข้อกำหนด ของระเบียบการที่ยุ่งยาก ดังนั้น ผู้บริหารส่วนท้องถิ่นและนักการเมืองหลายๆคนจะก้าวเข้ามาตัดสินใจให้กับชุมชนทั้งหมด การขอรายชื่อจากชาวบ้านเพื่อนำเสนอโครงการไม่ใช่เรื่องยาก ผลประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการต่างๆ นำมาแบ่งปันกันในระหว่างบุคคลต่างๆที่อยู่ในเครือข่ายอิทธิพลนั้น”
ผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่อย่างสบายในห้องทำ งานอย่างเช่นอภิสิทธิ์ ดูเหมือนจะคิดว่าชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นโง่ จนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขี้นในชุมชนของตัวเอง พวกเขาอยู่กับความสะดวก จนลืมไปว่า ไม่ใช่เพราะชาวบ้านหรือที่เป็นผู้ออกมาร้องเรียนตั้งแต่แรก พีพีทียิ่งแน่ใจมากขี้นเมื่อเห็นไทยพีบีเอสรายงานข่าวถึงจุดนี้อย่างชัดเจน
บทบรรณาธิการของบางกอกโพสต์สรุปไว้ว่า: “โครงการชุมชนพอเพียงนี้ ไม่เกี่ยวกับความพอเพียง เป็นการรีบยื่นประชานิยม เพียงเพื่อต่อต้านความนิยมในตัวทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับจากชาวชนบท และเตรียมสะสมคะแนนนิยมจากการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า ทั้งการใช้อำนาจในทางผิด การทุจริตที่เกิดขี้นทุกหัวระแหง เป็นการปล้นกลางวันแสกๆ ในเวลาที่ประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงวินาทีที่อยู่ในภาวะมืดแปดด้านทางการเงินแบบนี้
อาจเป็นเรื่องจริง แต่จากเดอะเนชั่น (วันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ “ชะงักโครงการที่จะยังประโยชน์ต่อชาวบ้านบางคน”) แฉเรื่องราว ที่ควรค่าต่อการอ่าน นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีได้ยับยั้ง “การอนุมัติโครงการใดๆที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานทางเลือกใหม่…..” อ้างว่าผลประโยชน์ตกอยู่ที่ผู้ขายเพียงไม่กี่คน
นายกอร์ปศักดิ์ยอมรับว่า “พบความผิดปกติบ้าง” และพูดอย่างนกแก้วนกขุนทองตามอภิสิทธิ์ว่า “เจ้าหน้าที่ที่ทุจริตได้เปลี่ยนร่างเสนอของชาวบ้านเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง บางโครงการที่มีพิรุธ มักจะโดนอิทธิพลจากนักการเมืองท้องถิ่น”
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น การที่นายกอร์ปศักดิ์ปกป้องน้องชายของเขา “รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เขาไว้ใจประพจน์น้องชายของเขา ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน ซึ่งเป็นผู้อนุมัติงบประมาณให้โครงการชุมชนทั่วประเทศ” นายกอร์ปศักดิ์กล่าวว่า: “ผมจะไม่ให้ตำแหน่งนี้ ถ้าน้องผมเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ เขาเป็นตัวแทนผมและผมเชื่อใจเขาให้เป็นหูเป็นตาให้ ถ้าน้องผมทุจริต ผมก็ต้องออกเพราะน้องผมได้ทำงานให้ผม…”
นายกอร์ปศักดิ์อ้างว่า “ความผิดปกติ” เกี่ยวข้องกับ “เจ้าหน้าที่ระดับล่างเพียงห้าคน” และ “นายสุมิท ผู้อำนวยการหน่วยงาน….” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ในระดับที่สูงกว่า และระดับที่ต่ำกว่าน้องชายของเขา แต่ไม่ใช่ตัวน้องชายของเขา
นายกอร์ปศักดิ์เคยเข้าตรวจสอบการปฎิบัติงานของหน่วยงานซึ่งน้องชายของเขาดำรงตำแหน่งระดับสูงอยู่นั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นอีกคือ ทำไมนาย กอร์ปศักดิ์ได้แต่งตั้งน้องชายตัวเองทำงานกับหน่วยงานนี้ ยิ่งกว่าผลประโยชน์ทับซ้อนเสียอีก แล้วทำไมอภิสิทธิ์ถึงได้ปกป้องการทุจริตและการเล่นพรรค เล่นพวกกันได้ขนาดนี้
ที่มา liberalthai.wordpress.com
Create Date : 14 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 14 สิงหาคม 2552 18:44:46 น. |
|
0 comments
|
Counter : 671 Pageviews. |
|
|
|
| |