ความหมายและประวัติของ แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม
แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม คืออะไร จากวิทยานิพนธ์ของ ดร. ฮันส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) ซึ่งถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ.1944 ได้ให้คำจำกัดความของอาการผิดปกติขอพัฒนาการประเภทหนึ่งไว้ว่า ไม่เข้าสังคม หมกมุ่นสนใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (อาจจะเป็นกิจกรรม หัวข้อ หรือสิ่งของก็ได้) มากผิดปกติจนกระทั่งไม่ใส่ใจผู้คนรอบข้าง หรือคิดจะสนใจเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน มีภาษาพูดดี แต่แสดงท่าทางอารมณ์ สีหน้าให้คนอื่นเข้าใจตัวเองไม่ได้ การเคลื่อนไหวแปลก ๆ งุ่มง่าม เก้งก้างไม่พลิ้วไหว คล่องแคล่วเหมือนคนทั่วไป ไม่เข้าใจความรู้สึกผู้อื่น ไม่เข้าใจกฎ ระเบียบ มารยาทและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในสังคม สติปัญญา และความจำดี เช่นจำตารางเดินรถไฟทั้งหมดได้ จำชื่อบุคคล ปี ค.ศ. และรายละเอียดสำคัญๆ ของประวัติศาสตร์โลกได้ดี เกิดขึ้นกับเด็กผู้ชายเท่านั้น พูดได้ก่อนเดิน และแสดงอาการเหล่านี้ชัดเจนหลังอายุ 3 ปีแล้ว
ดร.ฮันส์ ได้ให้ชื่อกลุ่มอาการของเด็กจำนวน 4 คนตามอาการข้างต้นว่า Die Autistischen Psychopathen im Kindesalter (Autistic Psychopathy in Childhood) หรือโรคออทิสติกในวัยเด็ก โดยได้ขอยืม คำว่า ออทิซึม ที่นายแพทย์ยูเจน บลูเลอร์ใช้อธิบายอาการเด็กกลุ่มของท่านเมื่อปี ค.ศ. 1911 ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับกลุ่มเด็ก 4 คนของดร. ฮันส์เอง โดยคำว่า ออทิซึมนี้หมายความว่าการสูญเสียการติดต่อ หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง ไม่ปฏิสัมพันธ์กับใคร ไม่ใส่ใจโลกภายนอก
ต่อมาในปี ค.ศ. 1981 จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นชาวอังกฤษนามว่า ลอร์น่า วิงก์ (Lorna Wing) ได้ตีพิมพ์รายงานชิ้นแรกของเธอจากการแปลวิทยานิพนธ์ของ ดร.ฮันส์ในภาษาเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษซึ่งได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางในวงการจิตเวชทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างดีเนื่องจากผลนั้นมีเนื้อหาที่ใกล้เคียงกับอาการของกลุ่มเด็ก ออทิสติกระดับรุนแรง ที่ ลีโอ แคนเนอร์จิตแพทย์เด็กชาวอเมริกันได้ค้นพบในปี ค.ศ. 1943 (เพียง 1 ปีก่อนหน้าที่วิทยานิพนธ์ ของฮันส์จะได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการเท่านั้น) แต่แคนเนอร์ได้เรียกกลุ่มเด็กของท่านเป็นภาษาอังกฤษว่า Early Infantile Autism หรือออทิซึมในวัยทารกระยะแรก ทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ดังนั้น เอกสารความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับออทิซึมจึงไม่ได้รับการแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ในการค้นคว้าตลอดช่วงสมัยนั้นเลย วิงก์กล่าวว่าวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของเธอคือได้สังเกตเห็นข้อแตกต่างระหว่างเด็กทั้งสองกลุ่ม แต่ยืนยันว่าเป็นไปได้มากที่เด็กกลุ่มอาการของฮันส์เป็นส่วนหนึ่งของโรคออทิสติก และเธอไม่เห็นด้วยกับคำที่ฮันส์ใช้เรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า Autistic Psychopathy เพราะในภาษาอังกฤษคำ ๆ นี้มีความหมายในเชิงลบ คือ ต่อต้านสังคม (Antisocial Psychopathy) ถึงแม้ว่าความหมายในภาษาเยอรมันจะหมายถึง บุคคลิกภาพที่ผิดปกติ (Personality Disorder) ก็ตาม เธอคิดว่าคำว่า แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมเพียงพอที่จะให้เกิดการปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้แต่มิได้ต้องการจะให้เกิดความไขว้เขวในเรื่องลักษณะพฤติกรรมของเด็กกลุ่มนี้แต่อย่างใด
เมื่อคำว่า แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม ถูกเผยแพร่ออกไปตามวารสารทางการแพทย์ วงการจิตแพทย์เกิดความสับสนกับเรื่องนี้ บ้างก็เชื่อว่า แอสเพอร์เกอร์ซินโดรมเป็นอีกอาการหนึ่งซึ่งละม้ายคล้ายคลึงกับอาการออทิซึม แต่ก็มีแพทย์อีกหลายท่าน เช่น อีลิค สคอบเลอร์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลน่า (Eric Schopler, Director, Division TEACCH, Department of Psychiatry, School of Medicine, University of North Carolina at Chapel Hill) ที่ไม่เห็นด้วย และได้ออกมาวิจารณ์การใช้ชื่อแอสเพอร์เกอร์ซินโดรม ที่วิงก์ตั้งขึ้นด้วยสาเหตุที่ว่าเป็นการยากต่อการจัดเข้ากลุ่มทางจิตเวชและว่าควรจะทิ้งไว้ให้เกิดการค้นคว้าหาสาเหตุอีกสักระยะหนึ่งจนกระทั่งเกิดกลุ่มย่อยที่ว่านี้มากเพียงพอเสียก่อนจะดีกว่า วิงก์ยอมรับในความผิดพลาดครั้งนั้นและได้พยายามอธิบายเหตุผลรวมทั้งยืนยันแน่วแน่ที่จะไม่แยกกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ออกจากกลุ่มออทิซึม แต่ให้ถือว่าทั้งคู่อยู่ในสเปคตรัมเดียวกันเพราะเธอเห็นว่าอย่างไรเสีย เด็กทั้งสองกลุ่มนี้ก็แสดงอาการผิดปกติในพัฒนาการด้านหลักๆ ของชีวิตเหมือนกัน เช่นสังคม ภาษาและการเปลี่ยนแปลงยากทั้งด้านความคิด และกิจวัตรประจำวัน แม้ว่า ระดับความรุนแรงและผลความก้าวหน้า จะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม
วิงก์ยังให้ประเด็นสำคัญเพิ่มเติมในเรื่องทักษะของเด็กกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์กับกลุ่มออทิซึมในงานวิจัยของเธอ ดังนี้ ทักษะด้านสังคม เด็กกลุ่มนี้จะมีการเข้าหาบุคคลรอบข้าง (แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร) มากกว่าเด็กออทิสติก (ซึ่งส่วนมากจะแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง ไม่สุงสิงกับใคร) ทักษะด้านภาษา เด็กจะเริ่มพูดได้ตามวัยเล่าเรื่อง (ที่ตัวเองสนใจหรือมีความรู้มาก ๆ) ได้ บอกความต้องการของตัวเองได้ (แต่ไม่สนใจที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนหรือขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องทั่ว ๆ ไปกับคนอื่น) ในขณะที่เด็กออทิสติกจะไม่มีภาษา (เงียบเฉยหรือเพียงส่งเสียงฟังไม่ได้ใจความ) ทักษะด้านสติปัญญา เด็กจะมีระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ในเกณฑ์ปกติถึงเกณฑ์ดีเลิศ (Genius) แต่ในเด็กออทิสติกจะมีภาวะปัญญาอ่อนร่วมด้วย (โดยประมาณว่ามีมากถึง 75% ของจำนวนเด็กออทิสติกทั้งหมด) อาการที่แสดงออกของเด็กออทิสติกจะสังเกตเห็นชัดก่อน 30 เดือน แต่เด็กแอสเพอร์เกอร์จะแสดงอาการชัดเจนหลัง 3-7 ปีแล้ว นอกจากนี้อาการแอสเพอร์เกอร์มิได้จำกัดอยู่แต่เพียงเด็กผู้ชายเท่านั้นแต่เกิดขึ้นได้กับเด็กผู้หญิงด้วยและมิใช่ทุกรายที่สามารถจะพูดได้ก่อนเดิน ความโดดเด่นในเรื่องความจำระยะยาวบวกกับความชอบที่จะศึกษาสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงจังของเด็กถือว่าเป็นข้อดีและได้เปรียบเด็กคนอื่นมากกว่าจะเป็นข้อเสีย ผู้ใหญ่สามารถจะช่วยนำทางเด็กไปสู่ความสำเร็จได้ด้วยการมองหาความสนใจเฉพาะเรื่องของเขาแล้วแนะนำ ส่งเสริมสนับสนุนให้เขาได้เรียนรู้เพิ่มเติมในเรื่องนั้น ๆ จนสามารถพัฒนาไปเป็นอาชีพเมื่อโตขึ้นได้
นอกจากรายงานวิจัยข้างต้นแล้ว ลอร์น่า วิงก์ยังได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างเพิ่มเติมในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับวงการแพทย์ โดยในตอนหนึ่งของรายงานเธอกล่าวว่า ตัวเธอและคณะได้มีโอกาสพบปะ พูดคุย และประเมินเด็กเกือบ 700 ราย ในศูนย์วินิจฉัยเอลเลียต เฮ้าส์ (Elliot House Diagnostic Center) ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงผู้ใหญ่ที่มีอาการออทิสติกในระดับต่าง ๆ กันด้วย (หรือที่อยู่ในสเปคตรัมเดียวกันนั่นเอง) เธอได้ทำการเก็บข้อมูลย้อนหลังของแต่ละคนอย่างละเอียด โดยใช้แบบสัมภาษณ์ที่มีชื่อว่า Diagnostic Interview for Social and Communication Disorders (DISCO) ซึ่งเป็นแบบสอบถามที่มีความละเอียดในการสอบประวัติของเด็กตั้งแต่แรกคลอด พัฒนาการของเด็กทุกด้าน ผลการเรียน และอาการทางจิตอื่น ๆ ที่เด็กอาจเป็นอยู่ ณ ขณะนั้น โดยใช้วิธีสัมภาษณ์ผู้ปกครองของเด็กโดยตรง ข้อมูลที่ได้ทางศูนย์ฯจะป้อนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ผลซึ่งเอื้อประโยชน์ต่องานวิจัยอย่างมาก และเมื่อรวมประสบการณ์การทำงานของเธอเข้าด้วยกันกับการวิเคราะห์ข้อมูลนี้ ทำให้ได้รายงานชิ้นใหม่ออกมา ดังนี้
เด็กที่อยู่ในสเปคตรัมของโรคออทิสติกนี้ อาจจะแสดงลักษณะอาการของโรคออทิซึม และ แอสเพอร์เกอร์รวมอยู่ในคนๆ เดียวกันได้ อยู่ที่ว่าอาการใดจะมีมากกว่ากันเท่านั้น อาการของเด็กจะเปลี่ยนไปตามวัยที่สูงขึ้นและระดับของความเปลี่ยนแปลงนั้นใหม่แน่นอนขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เช่นเด็กคนหนึ่งอาจจะเคยเป็นโรคออทิสติกแบบของแคนเนอร์มาก่อนแต่ต่อมาได้เปลี่ยนไปเป็นแบบกลุ่มอาการของฮันส์ (แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม) เป็นต้น มีการพบว่าอาการออทิสติกในระดับความรุนแรงต่างๆ กันเกิดขึ้นได้ภายในครอบครัวเดียวกันเช่น ทั้งพี่และน้องเป็นทั้งคู่ กล่าวคือพี่เป็นโรคออทิสติก น้องเป็นแอสเพอร์เกอร์ เป็นต้น ความหลากหลายที่เกิดขึ้นนี้พบได้แม้กระทั่งในแฝดไข่ใบเดียวกันหรือแฝดสาม
Create Date : 01 กันยายน 2549 |
Last Update : 1 กันยายน 2549 20:27:04 น. |
|
10 comments
|
Counter : 1113 Pageviews. |
|
|
|
โดย: [p]ut-Up- IP: 202.29.60.161 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2549 เวลา:13:34:54 น. |
|
|
|
โดย: Jeab IP: 124.120.165.16 วันที่: 12 ธันวาคม 2549 เวลา:20:23:06 น. |
|
|
|
โดย: s IP: 117.47.44.191 วันที่: 23 พฤษภาคม 2551 เวลา:14:51:55 น. |
|
|
|
โดย: s IP: 117.47.44.191 วันที่: 23 พฤษภาคม 2551 เวลา:14:53:52 น. |
|
|
|
โดย: amitambien IP: 134.147.73.98 วันที่: 13 มิถุนายน 2551 เวลา:7:38:32 น. |
|
|
|
โดย: นกน้อย IP: 202.28.27.3 วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:15:17 น. |
|
|
|
โดย: ดีมากครับ IP: 202.69.140.6 วันที่: 20 กันยายน 2551 เวลา:9:27:25 น. |
|
|
|
โดย: คุณน้า IP: 117.47.131.121 วันที่: 21 มิถุนายน 2552 เวลา:11:50:07 น. |
|
|
|
โดย: Psycho' IP: 58.8.134.115 วันที่: 15 กรกฎาคม 2553 เวลา:3:51:27 น. |
|
|
|
โดย: สมเจตนา IP: 192.168.182.8, 124.120.115.154 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:16:20 น. |
|
|
|
| |