Group Blog
 
All Blogs
 
สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ CDMA น่าสนใจมาก ตวามรู้ล้วนๆ (จากกระทู้ห้องมาบุญครอง)

*** ตัดมาแปะเก็บไว้ จากกระทู้ที่ผมเคยตอบในห้องมาบุญครองนะครับ ***

สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ CDMA น่าสนใจมาก ตวามรู้ล้วนๆ

หลังจากที่มีการถกเถียงกันว่า ระบบ cdma ทำงานยังไงทำไหมมันถึงตัดเสียงรบกวนได้ผมก็เลยอยากจะมา อธิบายให้รู้ว่ามันทำงานยังไง ผมขอยกตัวอย่างจากกระทู้เดิมมาหน่อย
"ไม่เข้าใจ Mto V680 ระบบ CDMA ตัดเสียงรบกวนยังไง
อธิบายให้ทราบหน่อยครับ ผู้รู้และผู้ที่เคยใช้ ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะตัดเสียงรบกวนได้จริงหรือเปล่า"

# มันเป็นเทคโนโลยีของ CDMA โดยเฉพาะเลยครับเนื่องจากระบบ CDMA จะทำการเข้าโค้ด แบบ CELP เป็นการเข้า code โดยใช้เสียงเพราะฉะนั้น การเข้า code แบบนี้จะทำการ modurate ให้มีค่า ตาม code นั้นหลังจากนั้น ก็จะเกิด noise ใน code นั้นทำให้ระบบมี noise เป็นตัวป้องกันในการดัดฟัง หลังจากนั้นมาฝั่งเครื่องรับ ก็ทำการ modurate กลับมาอีกครั้งหนึ่งแต่ครั้งนี้ล่ะจะทำการ modurate ครั้งเนี้ยล่ะมันจะทะการดึง noise ทุกอย่างออกจาก ระบบเสียงด้วยดังนั้นมันเลยที่จะสามารถที่จะได้ยินเฉพาะคู่สนทนาด้วยกันเท่านั้น แต่ระบบ GSM จะเข้า code แบบ PCM เลยไม่สามารถทำได้ถึงแม้จะมีระบบ เสริม อย่าง EFR เข้ามาช่วยก็ตามคับ ตามความสามารถของระบบแล้วตั้งแต่ AMPS (Analog) นั้น GSM (Digitel) จะดีกว่าระบบเก่าถึง 3เท่า แต่ CDMA จะดีกว่า AMPS ถึง 10 เท่า เพราะฉะนั้น CDMA จะดีกว่า GSM กี่เท่าคิดเล่นๆดูคับแต่รับรองว่าดีกว่า GSM มากกว่า 1เท่าแน่นอนครับ

# เรียนคุณ #3

ระบบตัดเสียงรอบข้างที่ว่านั่น กับ cdma นี่คนละเรื่องกันครับ และ CELP ก็ไม่ใช่เทคโนโลยีของ cdma โดยเฉพาะ ( GSM EFR ก็เป็นเทคนิคที่พัฒนามาจาก CELP เหมือนกัน)

การเข้ารหัสเสียงใน cdma2000 1x เป็น EVRC ครับ มี MOS ใกล้เคียงกับ GSM EFR มาก แทบไม่ต่างกันเลย

เรียนคุณ #4

"CDMA ดีกว่า GSM แน่ๆครับ ผมเชื่ออย่างนั้น แต่ ผู้ให้บริการกำลัง ทำให้คนไทย คิดว่า CDMA มันห่วย มันแย่ ไหมเนี่ย"

อาจจะลองคิดมุมกลับดูอีกทีนะครับ

"ผู้ให้บริการกำลังทำให้คนไทยคิดว่า CDMA มันดีเยี่ยมยอดไม่มีใครเทียบได้"

คุณว่างั้นหรือเปล่า

อย่าลืมว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของเครือข่าย cdma นะครับ จำนวนผู้ใช้ในเครือข่ายยังไม่ถึงจุดวิกฤติของ capacity ของระบบครับ ลองสังเกตไปเรื่อยๆจนมีผู้ใช้ซักห้าล้านคน แล้วลองมาโพสต์เล่าให้กันฟังอีกทีว่าคุณภาพเป็นยังไงบ้าง

จากข้อมูลข้างบนนั้น ผมอยากที่จะอธิบายให้ฟังว่ามันมาจากระบบแน่นอน 100% คับ อย่างทีคุณคนแรกบอกมันใช้เลยคับว่าระบบ CDMA เข้า code แบบ CELP น่ะคับ ไม่ใช่แบบ EVRC เพราะระบบพื้นฐานในการเข้า code ของ CDMA จะ ใช้การเข้าแบบ CELP ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า speech coding or Source code เช่นระบบ GSM ก็เข้าอีกแบบคือ PCM ที่ 13kbps แบบนี้ไงคับเราเรียกว่า speech code ส่วน EVRC นั้นมันเป็น System คับไม่ใช้ Speech code ซึ่ง EVRC ก็มีการ speech code อีกแบบคือ RCELP คับ ซึ่งเทคโนโลยีนี้มันเป็นเทคโนโลยี ของ IS-127 ไม่ใช่ IS-95 น่ะคับ ซึ่ง ระบบ system แบบ EVRC ก็ยังเข้า coding แบบ CELP อยู่ดีล่ะคับ แต่สิ่งที่ CDMA นี้มีความสามารถตัดเสียงรบกวนได้นั้นมันได้มาจากสิ่งเหล่า เลยน่ะคับ แต่มันเกี่ยวตรงการเข้ารหัสต่างหาก CDMA มันจะเข้ารหัส แบบ DSSS ซึ่งคุณสมบัติแบบ นี้มันจะสามารถที่จะสร้าง band ที่แคบ ยืดออกให้กว้างได้ หลังจากนั้นมันจะถูกสร้าง Noise ขึ้นมาผสมกับ code ในลักษณะ widebrand ที่ถูกเข้ารหัสไว้หลังจากนั้นพอถึงผู้รับอีกคนก็ กรองเอาเฉพาะ Narrow brand มาเท่านั้น เพราะฉะนั้นคนที่รับจะได้ยินแต่เสียงเราเท่านั้น เช่น คุณไปยืนคุณข้างถนน มันก็มี Noise อยู่แล้วคุณก็คุยไปด้วยระบบก็จะได้รับทั้ง Noise จากถนน และเสียงคุณ และมันจะถูก Encode แบบ DSSS เสียงคุณกับรถมันก็ปนกันไปในเครือข่าย แต่พอถึงผู้ระบบ ระบบมันจะ DemoS widebrand ตัวนั้นออกมามันก็จะได้ Narrowbrand มา เพราะฉะนั้น Noise มันก็เลยไม่ถูก MOS มาด้วยเพราะว่ามันไม่ได้ถูก เข้า code ให้มีรหัสเดียวกันดังนั้นคุณจึงจะได้แต่เสียงที่ถูกเข้ารหัสไว้เท่านั้นเอง ถ้าพูดแบบง่ายก้คือ คุณ ส่งเลขข้อหนึ่งให้เพื่อน แบบว่า คุณมีเลฃ10,20,30 แบบนี้คือ สิ่งที่คุณต้องการส่ง หลังจากนั้นคุณก็เอา 10 คูณเข้าไปคุณจะได้ 100,200,300 เลข 10 นั้นคือการ MoS หลังจากนั้นคุณเขียนเลฃเพิ่งเข้าไปอีกเช่น 1,23,19,25 อะไรก็ได้สมมตินี้คือ Noise มันก็จะปนกับตัวเลขของคุณ เป็น 100,1,200,23,300,19,25 หลังจากนั้นคุณก็ส่งกระดาษให้เพื่อน คุณ เพื่อนคุณก็รู้กันว่า มันจะต้องเอาเอา 10 หารเลขทุกตัว สมมุตินี้คือการ DeMoS เพราะฉะนั้นเพื่อนคุณก็จะได้เลขดังนี้ 10,0.1,20,2.3,30,1.9,2.5 ดังนั้นเพื่อนคุณก็รู้กันว่านิสัยคุณชอบที่จะให้เขียนเลขที่เป็นจำนวนเต็มไม่ใช้ทศนิยม เพื่อนคุณก็เลยเลือกแค่เลยที่เป็น จำนวนเต็มมาตอบข้อสอบที่กำลังลอกอยู่ สมมุติเหตุการแบบนี้ว่า มือถือใช้ BPQK ดึงข้อมูลออกมา เพราะฉะนั้นคำตอบที่เพื่อนคุณได้รับมันก็จะเป็นแบบเดียวกับที่คุณอยากส่ง คือ 10,20,30 แบบนี้ล่ะคับคือ ความสามารถของ ระบบ CDMA เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามมัน ก็กรอง Noise ได้อยู่ดีเพราะฉะนั้น Hutch นั้นเข้าได้เอาความสามารถของระบบมาเป็นจุดขายนั้นเอง คับ ต่อมาว่า ถ้ามีคนใช้ เยอะจะแย่ไหม จะถึงจุด วิกฤตของ capacity ไหม ขอตอบว่าอยากคับ เพราะว่าแค่ 5 ล้านยังอ่อนไปคับ USA มีพลเมืองตั้งเท่าไร ใช้ CDMA เป็นหลัก ยังไม่ล่มเลย มันอยากคับที่จะแย่คุณลองคิดดูแล้วกันว่า มันเข้ารหัสได้เป็น 10 ล้านคับ นานกว่าวจะเต็มคับ กว่ารหัสจะเต็ม มันไม่เหมือนใช้ Cell หรอกคับ ส่วนที่ว่า ต่อมาว่าทำไหม Hutch บ้านเราถึงห่วย มันก็ไม่ใช้หรอกคับ มันเป็นตรงที่ว่าเราห่วยมากกว่าคุณลองคิดดูว่า ก.ส.ท ไปเซ็นสัญญาณแค่กี่ปีเองมันก้มีให้เราใช้แล้ว ถึงขนาดว่าเราไปขู่ว่าถ้าไม่เสร็จตามกำหนดก็จะโดน ฟ้อง ดังนั้นก้แบ่งกันไปว่า ในกรุงเทพและเขตปริมนฑลบ้างจุด และตามอำเภอเมืองหลัก hutch วาง และต่างจังหวัดตรงบริเวณอื่น และปริมนฑลเขตที่นอกเหนือจาก hutch
ก.ส.ท วางระบบ แต่ทุกวันนี้ที่มีใช้ Hutch ก็วางหมดแล้วตามสัญญา แต่ ก.ส.ท ยังไม่เริ่มเลยนี้คับ ถึงขนาดว่า hutch ต้องนำเอา ทีมงานชาวเกาหลีของตยเองเข้ามาเลย ตอนวางนี้ทำงานกันข้ามคืนเลยที่เดียวล่ะเหนื่อยมาก บางวันนอนแค่ 1 ชม.เอง แล้วแบบนี้คุณว่าใครแย่กันแน่ล่ะคับ ก็เอาเป็นว่าขอจบเรื่อง CDMA เท่านี้แล้วกันน่ะคับอย่างน้อยผมก็หวังว่าคงมีประโยช์นกับใครบ้างน่ะคับสักคน

จากคุณ : Communicator - [ 11 ก.ย. 46 01:05:38 A:203.148.136.67 X:203.209.49.135 ]





ความคิดเห็นที่ 1

เอาเป็นว่าผมไม่ใช้ cdma

จากคุณ : วี - [ 11 ก.ย. 46 02:38:06 ]




ความคิดเห็นที่ 2

"USA มีพลเมืองตั้งเท่าไร ใช้ CDMA เป็นหลัก ยังไม่ล่มเลย"
ว่าแต่ในอเมริกาใช้ 1900 ไม่ใช่เหรอครับ หรือผมเข้าใจผิดหว่า

จากคุณ : อยากรู้เฉยๆ - [ 11 ก.ย. 46 07:13:55 A:203.149.6.102 X: ]




ความคิดเห็นที่ 3

อ้อ จาก "ต่อมาว่าทำไหม Hutch บ้านเราถึงห่วย มันก็ไม่ใช้หรอกคับ มันเป็นตรงที่ว่าเราห่วยมากกว่า"

งงอ่ะ ทำไมฮัทช์ห่วยแล้วจึงมาว่าเราห่วยอ่ะ
หรือว่า "กรณีลูกค้าใช้งานไม่ได้เนื่องจากการขยายเครือข่ายไม่ทัน เป็นความผิดของ กสท ไม่ใช่ของ hutch เพราะ hutch ขายอย่างเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับคุณภาพและบริการ"

ผมแค่มาถามเฉยๆนะอย่าเพิ่งมาโกรธกันนะครับ หรือพาลว่า เนเพราะผมอยู่ฝ่ายไหนค่ายไหนนะครับ เพราะนี่คือห้อง cafe เป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือความสนใจ/อยากรู้ ไม่ใช่เหรอครับ
^^

จากคุณ : อยากรู้เฉยๆ - [ 11 ก.ย. 46 07:20:10 A:203.149.6.102 X: ]




ความคิดเห็นที่ 4

ความคิดเห็นที่ 2

"USA มีพลเมืองตั้งเท่าไร ใช้ CDMA เป็นหลัก ยังไม่ล่มเลย"
ว่าแต่ในอเมริกาใช้ 1900 ไม่ใช่เหรอครับ หรือผมเข้าใจผิดหว่า

จากคุณ : อยากรู้เฉยๆ - [ 11 ก.ย. 46 07:13:55 A:203.149.6.102 X: ]


==

คือ ที่นี่ USA มีหลายระบบครับ ที่ใหญ่ๆที่เป็น CDMA ก็มี Verizon, Nextel, Sprint (PCS cdma 1900mhz), Alltel ,US-cellular, etc.
และก็มีที่เป็น GSM คือ
Cingular,AT&T, T-Mobile, etc. (แถบเหนือใช้ 1900 Mhz, กลาง + ล่าง และที่เพิ่งติดตั้งเพิ่มเป็น 850 Mhz)

และก็มีที่เป็น TDMA อยู่แต่ตอนนี้กำลังทยอยเปลี่ยนเป็น GSM 850Mhz ครับคือของ Cingular, AT&T ครับผม

แต่ผมยังคิดว่าส่วนใหญ่เลยจะใช้ CDMA ของ Verizon มากที่สุดนะครับ

จากคุณ : hotdog - [ 11 ก.ย. 46 08:24:04 ]




ความคิดเห็นที่ 5

xxx

แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 46 10:48:08

จากคุณ : The GreatesT ZeacaR - [ 11 ก.ย. 46 08:27:23 ]




ความคิดเห็นที่ 6

ผมว่า ไม่เกี่ยวกันเลยนะครับ คุณ คคห. 5 .. อย่าจ้องหาเรื่องจนเกินไปนักเลยครับ บางเรื่องมันไม่เกี่ยว ก็อย่าทำให้มันต้องเกี่ยวเลย

อีกอย่าง ประโยคนี้ "ขี้ข้า AIS ก็ต้อง โง่ต่อไปนะครับ" เท่ากับคุณดูถูกคนใช้ GSM / AIS ทุกคนนะครับ

จากคุณ : cyBer Being - [ 11 ก.ย. 46 08:40:31 ]




ความคิดเห็นที่ 7

คุณ คคห. 5
ความโง่ความฉลาด ไม่ได้อยู่ที่การเลือกใช้ระบบโทรศัพท์อะไร คนที่ใช้หรือคิดไม่เหมือนคุณไม่ได้หมายความว่าเขาโง่กว่าคุณ คนที่โง่ก็คือคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่นนั่นแหละ
ความมีเสรีภาพทางความคิด ก็ต้องยอมรับด้วยว่าคนอื่นอาจคิดไม่เหมือนตัวเอง

จากคุณ : * - [ 11 ก.ย. 46 09:05:06 A:203.113.60.75 X: ]




ความคิดเห็นที่ 8

เห็นด้วยกับ มิสเตอร์ไซเบอร์คับ อิๆ

จากคุณ : เท่งทึง - [ 11 ก.ย. 46 09:05:41 ]




ความคิดเห็นที่ 9

ขอบคุณคุณ hotdog(คห.4) ครับ
อ้อ...
คุณ The GreatesT ZeacaR เค้าก็เป็นงี้แหละครับเพื่อนๆพี่ๆ เที่ยวกัดใครไปทั่ว เดี๋ยวต้องพาไปเอาหมาออกจากปากซะหน่อยแล้ว สงสัยคงว่างจากเรียนมากเกินไป 555
ผมเห็นนะ แต่ก่อนก็ชอบไปกัดคุณ kin แต่พอถูก คุณ kin+เพื่อนๆเค้า ทั้งในพันทิพย์ และ hutch club จับได้และช่วยกันยำ ก็เลยกลัวหัวหด เหมือนหมาโดนน้ำร้อนลวก
เป็นไงล่ะ บางกระทู้ไม่กล้าเข้าไปว่าคุณ kin เลย หลังถูกจับได้ว่าเป็นใคร เรียนที่ไหน หอไหนใช่มั้ย คุณ
The GreatesT ZeacaR
555

จากคุณ : เซ็งพวกปัญญาอ่อน - [ 11 ก.ย. 46 09:36:31 A:203.149.6.102 X: ]




ความคิดเห็นที่ 10

การเลือกใช้ระบบใดนั้น มันไม่ได้แสดงถึงความโง่ แต่มันเป็นการเลือกใช้ในสิ่งที่เหมาะกับความต้องการใช้งาน กำลังในการจ่าย ของคนๆนั้น

แต่การที่มาแสดงความคิดเห็นอย่าง คห.5 นี่แหละ เป็นการแสดงความโง่ให้คนอื่นเค้าเห็นกันหมดต่างหาก

จากคุณ : lekgear - [ 11 ก.ย. 46 09:53:34 ]




ความคิดเห็นที่ 11

สงสัยข้อมูลของคนตั้งกระทู้ครับ

ถ้า 10, 20, 30 นี่คือข้อมูลที่ต้องการส่งเปรียบได้กับเสียง 1,2, 3 เป็นเสียงรบกวนมันเกิด Noise เข้าไปผสมกับข้อมูลก็จะเป็น 11, 22, 33 อะไรประมาณนี้เพราะเปรียบได้เหมือนกับเสียงพูดจะถูกผสมกับเสียงรบกวนรอบข้าง

เมื่อเข้ารหัส(X10) ก็จะได้ 110, 220, 330 ส่วนเมื่อเวลาส่งแล้วมี Noise (ของการสื่อสาร)จะก็เลยมีข้อมูลแทรก เป็น 110, 19, 220, 5, 330.. เมื่อถอดรหัสก็จะสามารถถอดข้อมูลต้นฉบับได้ แต่อย่างไรก็ตามเสียงต้นฉบับจะถูกผสมกับเสียงรบข้างอยู่ดี เพราะว่าข้อมูลถูกผสมกับ Noise ก่อนที่จะเข้ารหัสนะครับ

แล้ว CDMA มันช่วยได้อย่างไร สงสัยจริง ๆ

จากคุณ : paween_a - [ 11 ก.ย. 46 10:13:24 ]




ความคิดเห็นที่ 12

แล้วจะด่ากันทำแป๊ะไรเนี่ย ท่านทั้งหลาย



จากคุณ : มีนะ กะ กาโม่ - [ 11 ก.ย. 46 10:17:41 ]




ความคิดเห็นที่ 13

สำหรับคำถาม

ค.คห.3# อ้อ จาก "ต่อมาว่าทำไหม Hutch บ้านเราถึงห่วย มันก็ไม่ใช้หรอกคับ มันเป็นตรงที่ว่าเราห่วยมากกว่า"

งงอ่ะ ทำไมฮัทช์ห่วยแล้วจึงมาว่าเราห่วยอ่ะ
หรือว่า "กรณีลูกค้าใช้งานไม่ได้เนื่องจากการขยายเครือข่ายไม่ทัน เป็นความผิดของ กสท ไม่ใช่ของ hutch เพราะ hutch ขายอย่างเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับคุณภาพและบริการ"

ผมแค่มาถามเฉยๆนะอย่าเพิ่งมาโกรธกันนะครับ หรือพาลว่า เนเพราะผมอยู่ฝ่ายไหนค่ายไหนนะครับ เพราะนี่คือห้อง cafe เป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือความสนใจ/อยากรู้ ไม่ใช่เหรอครับ

ผมไม่โกรธหรอกคับกับคำถามเนี้ยขอบคุณน่ะคับที่ถาม อันที่จริงแล้วที่ผมว่าห่วยมันได้เกี่ยวอะไรกับ network เลยคับแต่ที่ผมว่าคือ นิสัยแล้วความเป็น มาตรฐานให้โลกยอมรับไงคับ คือการที่ hutch เข้ามาร่วมหุ้นกับ ก.ส.ท นี้ก็เป็นเพราะว่า ก.ส.ท ผิตหวังการรวมตัวกับ
ทศท ทำให้ต้องมาหาผู้ร่วมลงทุนรายใหม่แทน และ ทศท ก็หันหน้าไปสบอก AIS แทน ดังนั้นในเมื่อ ก.ส.ท มีสัมปทาน cdma อยู่แล้วก็ต้องหาผู้ ร่วมลงทุนเป็น cdma เช่นกัน ซึ่งตอนแรก company ที่มองไว้หรือ ตะวันโมบาย แต่ก็ต้อง ขอลาด้วยทุนจดทะเบียนที่น้อยมากของ บริษัท แค่ 1ล้านบาท ทำให้รู้สึกว่ามันจะไปไม่รอดก็เลยต้องวิ่งหาเจ้าอื่น สุดท้ายมาลงเอย ที่ ฮัทชิสัน วัมเป่า ก็เลยลงด้วยเพราะเนื่องจากเงินจดทะเบียน มีมากพอ teamwork มีพร้อม มีความเชี่ยวชาญในการวางระบบ ที่สำคัญคือมีเทคโนโลยีที่เข้าใกล้ 3 G มากที่สุดก็เลยเอา เพื่อเป็นการแข่งขันระหว่าง cat and tot ก็เลยเซ็นต์สัญญาแต่ในเมื่อ TOT เปิดตัวแล้วตัวเองก็อยากบ้างดังนั้นคนที่ซวยสุดคือ วัมเป่า ที่ต้องโดนขีดเส้นตายว่าต้องให้เสร็จตามกำหนดมิฉะนั้นอาจโดนฟ้องได้ ซึ่งการวางระบบนั้นก็ได้ทำการแบ่ง area กันไป อย่างที่บอกในข้อความข้างบนล่ะคับว่า hutch วางตรงไหนบาง และน่ะปัจจุบัน hutch วางในส่วนของตัวเองหมดแล้ว เปิดตัวขายแล้ว แต่ ก.ส.ท ยังไม่เริ่มวางของตัวเองเลย ดังนั้นในสิ่งที่ผมพูดอยู่นี้ว่าเราห่วยก็คือ เราไม่อาจที่จะมีวินัยไปสู้ต่างชาติได้ เหมือนคุณทำรายงานกับเพื่อนอ่ะคุณสั่งให้เขาทำของเขาให้เสร็จเร็วแต่พอเขาเสร็จคุณ ก็ยังไม่เริ่มเลยคุณว่า ใครแย่ล่ะ ณ บัดนี้การวาง เครือข่ายของ กสท.ก็ยังไม่เริ่มเพราะ ยังมีการทะเลาะกันในวงในอยู่ และยังมีเรื่องของการ แปลงสัมปทานอีก ว่าง่ายคือว่า hutch ตอนนี้ก็ขมขืน อยูเหมือนกัน ที่ได้เจอแบบนี้แต่ก็ไม่หยุดที่จะทำต่อโดยการควักเงินตัวเองลงทุนเอง ฉะนั้นผมจะบอกอะไรให้ถ้า hutch ทนไหมไหวเราทุกคนก็ถูกลอยแพกันหมดแล้ว ซึ่ง ณ ปัจจุบัน hutch ก็ควันเงินของตัวเองมาลงทุกอยู่ แถมตอนนี้ที่คนร้องเรียน ว่าระบบแย่ และ hutch ก็ไม่สนใจเนื่องจาก hutch ทำดีที่สุดแล้วจะยอมขาดทุนโดยการลงทุนเพิ่มแต่ cat ก็กักไว้ไม่ยอม ดังนั้นคนที่ได้รับผลกระทบ ก็คือพวกเราเนี้ยล่ะคับที่โดน

จากคุณ : Communicator - [ 11 ก.ย. 46 10:31:07 A:203.148.136.66 X:203.209.51.114 ]




ความคิดเห็นที่ 14

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ และชื่นชมในความกล้าของเจ้าของกระทู้ครับ เอาใจช่วยครับ ทั้งคุณและคุณ Kin :)

คุณ #11 ครับ
นั่นมันแค่ตัวอย่างครับ algorithm ที่เค้าใช้จริงๆ มันซับซ้อนกว่านั้นเยอะครับ ไม่ใช่แค่บวกๆลบๆ นะครับ

จากคุณ : JFlame - [ 11 ก.ย. 46 10:49:46 ]




ความคิดเห็นที่ 15

ผมไม่ได้หนี หรือ อะไรนะครับ ผมแค่ ไม่อยากทะเลาะกับ ขี้ข้า Kindaichi อะไรนั่นครับ เขาอันธพาล น่ารำคาญ เสียเวลา

ผมหยุดแล้ว แต่ พวกคุณไม่หยุด ก็ด่ากันตามสบายครับ เปิดโปงอะไรผมเหรอครับ 555 ขำนะ

สรุปแล้ว ผมเรียนที่ไหน หอไหนล่ะครับ ลองบอกมาสิครับ 555

จากคุณ : The GreatesT ZeacaR - [ 11 ก.ย. 46 10:49:53 ]




ความคิดเห็นที่ 16

กระทู้ให้ความรู้ กลับมาทะเลาะกัน -_-'



จากคุณ : mLIFE - [ 11 ก.ย. 46 10:54:50 ]




ความคิดเห็นที่ 17

ตอบคำถาม คคห11.

สงสัยข้อมูลของคนตั้งกระทู้ครับ

ถ้า 10, 20, 30 นี่คือข้อมูลที่ต้องการส่งเปรียบได้กับเสียง 1,2, 3 เป็นเสียงรบกวนมันเกิด Noise เข้าไปผสมกับข้อมูลก็จะเป็น 11, 22, 33 อะไรประมาณนี้เพราะเปรียบได้เหมือนกับเสียงพูดจะถูกผสมกับเสียงรบกวนรอบข้าง

เมื่อเข้ารหัส(X10) ก็จะได้ 110, 220, 330 ส่วนเมื่อเวลาส่งแล้วมี Noise (ของการสื่อสาร)จะก็เลยมีข้อมูลแทรก เป็น 110, 19, 220, 5, 330.. เมื่อถอดรหัสก็จะสามารถถอดข้อมูลต้นฉบับได้ แต่อย่างไรก็ตามเสียงต้นฉบับจะถูกผสมกับเสียงรบข้างอยู่ดี เพราะว่าข้อมูลถูกผสมกับ Noise ก่อนที่จะเข้ารหัสนะครับ

แล้ว CDMA มันช่วยได้อย่างไร สงสัยจริง ๆ

คุณกำลังเข้าใจผิดแล้วคับ มันเป็นแบบนี้ การที่คนเราสนทนา นั้นคือ data รวมทั้งเสียงรอบข้างด้วย ต่อมา data เหล่านี้จะถูกทำการ Mos โดยการนำ code ที่มีอยู่ทำให้เกิดเปิน widebrand หลังจากนั้นมันจะทำการส่งออกไปในรูป ของ widebrand พอมาถึงผู้รับ มันก็จะทำการ DeMoS โดยการ นำเอา widebrand อีกตัวเข้ามาถอดรหัส หลังจากนั้นมันก็จะเกิด Narrowbrand ซึ่ง มันก็คือ DATA ของมันนั้นเอง แต่คุณคงส่งสัยน่ะสิว่าก็นั้นล่ะใน data เมื่อกี้มันมี noise ของถนนปนมาด้วย แล้วก็ได้ยินอยู่ดี ใช่คับมันมาด้วยแต่ ระบบจะทำการ เอาส่วนที่มันอยู่สูง กว่า Noise Level มาใช้งานครับ ซึ่ง noise ที่คุณว่านั้นมันน้อยมากคับ ผมจะเเสดง ตัวอย่างให้ดูอีกครั้งหนึ่ง

สมมติคุณ ไปคุยโทรศัพท์ริมถนน มันก็จะได้ทั้งเสียงรถและคุณ ใช้ไหมคับ ต่อมาผมขอถามไว้ก่อนเลยว่า เสียงที่คุณคุยกับเสียงรถที่กวนเข้ามาเสียงไหนชัดกว่ากันก็ต้องเป็นเสียงคุณใช่ไหมเพราะว่าปากคุณจ่อกับ mic อยู่แต่รถไม่ จากตรงนี้มันก็แสดงให้เห็นว่าเสียงที่ได้รับมามันจะเป็นแบบนี้ สมมุติผมให้เสียงคุณเป็น 10k,20k,30k,เสียงรถที่อยู่ไกลออกไปอีกคือ 3k,9k,7k น่ะคับพอมารวมก็คือ 10k,20k,30k,3k,9k,7k นี้ก็คือ data ที่ยังไม่ได้ MoS แต่พอมา MoS โดยการนำเอา 10 คูณบวกกับ Noise ที่ระบบสร้างเพื่อรักษาข้อมูล แล้วกัน ก็จะได้ 1k,100k,200k,300k,30k,90k,70k,6k,8k,32k,95k
น่ะคับต่อมาผู้รับบ้าง มันก็จะถูกเอาเลขที่ MoS นั้นมา DeMoS คับ ดังนี้ เอา 10 หาร เข้าไปก้ได้ 0.1,10,20,30,3,9,7,0.6,0.8,3.2,9.5 พอหลังจาก DeMos แล้วก็จะได้ดังนี้ต่อมาระบบก้จะทำการกรอง Data แล้วคับโดยใช้ Noise Level เป็นตังกรองด้วย สมมุติว่า Noise Level กำหนดว่า X< or = 10 ดังนั้นพอกรองมาก้จะได้ 10,20,30 เท่านั้นเองคับ ส่วนตัวอย่างของคุณนั้น มันผิตตรงที่ว่า เลข 1,2,3 นั้นมันจะไม่ถูกไปรวมกันแบบนี้คับ 11,22,33 เพราะการรวมมันจะนำเอาความถี่ที่ได้มาวางเรียงกัน ไป 1,2,3,10,20,30 แบบนี้คับ แต่จะไม่นำมารวมแบบ + กันคับ ถ้าในสิ่งที่คุณเข้าใจแบบนั้นก็คือการ Mix ความถี่คับ

จากคุณ : Communicator - [ 11 ก.ย. 46 11:05:16 A:203.148.136.66 X:203.209.51.114 ]




ความคิดเห็นที่ 18

ขอแก้คับ เขียนเครื่องหมายคับ
X > หรือ = 10 คับ

จากคุณ : Communicator - [ 11 ก.ย. 46 11:20:06 A:203.148.136.66 X:203.209.51.114 ]




ความคิดเห็นที่ 19

รู้แต่อย่างเดียวว่า โฆษณา เกิน จริง
อะไรมันจะตัดเสีย เพลงใน เทค ได้ ซะขนาด คนที่รับ ได้ยินเสียง คนอีกฝั่งที่โทรมา ชัดขนาดนั้นเลยหรือ

เอ อยู่ใน เทค
บี โทรหา เอ
เอ รับ บี บีได้ยิน เอ ชัดเจน มีเสียงเพลงในเทค บ้าง เล็กน้อย
แต่ ทำใม เอ ได้ยิน บี ชัดเจนด้วยล่ะ ยืนคุยกันเฉยเลย

เสียงเพลงมันไม่กลบเสียง บี หมดหรือ

ยังไง ก็ยืนคุยแบบนั้น ไม่ได้หรอก

จากคุณ : ครับผม - [ 11 ก.ย. 46 12:21:19 A:203.107.205.66 X: ]




ความคิดเห็นที่ 20

พฤติกรรมเดิมๆสำหรับนายคนนี้

จากคุณ : วี - [ 11 ก.ย. 46 12:25:10 ]




ความคิดเห็นที่ 21

ความเห็นที่ 5 ดั้งเดิมเป็นแบบนี้ครับ

===================================
CDMA ห่วย เพราะ เมืองไทย มีผู้มีอิทธิพล ครอง GSM อยู่ไงครับ

ขี้ข้า AIS ก็ต้อง โง่ต่อไปนะครับ ถ้ามีระบบที่ดีกว่า

ยุค สมัยเปลี่ยนไป Cellular ยังเปลี่ยนเป็น GSM เลยครับ เป็น กบต่อไปนะ

ขี้ข้า

จากคุณ : The GreatesT ZeacaR - [ 11 ก.ย. 46 08:27:23 ]

จากคุณ : วี - [ 11 ก.ย. 46 12:54:28 ]




ความคิดเห็นที่ 22

ขอบคุณ communicator ครับ

จากคุณ : paween_a - [ 11 ก.ย. 46 13:30:13 ]




ความคิดเห็นที่ 23

อืมม กระทู้ดีนะ ให้ความรู้ ขอบคุณคุณ Communicator นะ
คห 19 ครับ เคยคิดเหมือนกัน แต่คิดว่าเขาพยายามสื่อให้เห็นคุณสมบัติเรื่องเสียงนะครับ ขายคนไทยก็ต้องตามตลาดหน่อย ต้องอยู่ในผับ แต่งตัวโก้หรูไง ไม่งั้นสู้ค่ายเหนือระดับไม่ได้หรอก ผมว่านะเอาแบบนี้ไหม ทันสมัยดีนะ --- สามีกำลังสนุกอยู่ในอ่างเดวิสคัพ (ซี ขึ้นไป) แล้วอยู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น...ไอ้หยา...ภรรยาโทรมา...ด้วยคุณสมบัติของระบบนี้สามารถตัดเสียงรอบข้าง (เสียงอืออา..xxx) แล้วก็บอกกับภรรยาว่า "กำลังประชุมจ๊ะ"--- อย่าคิดมากเลยครับ

อ้อ คุณ The Greatest อะไรเนี่ยใช้โทรศัพท์ค่ายไหนอยู่อะครับ อยากรู้จังงงงงง

จากคุณ : Shinikuman - [ 11 ก.ย. 46 14:26:21 ]




ความคิดเห็นที่ 24

ขอขอบคุณ คุณ communicator มากๆเลยครับ
ผมอ่านแล้วรู้สึกว่ากระทู้นี้ให้ความรู้มากๆ
ขอเอาใจช่วยนะครับ ถึงแม้ผมจะไม่ได้ใช้ CDMA
แต่รู้ก็ดีกว่าไม่รู้ครับ .......
ปล เราจะทะเลาะกันให้ได้อะไรขึ้นมาครับ งง

จากคุณ : R_CLub - [ 11 ก.ย. 46 14:42:07 ]




ความคิดเห็นที่ 25

ความคิดเห็นที่ 23.
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
เดี๋ยวจะโดนอีก เพราะ ถ้าเขาเอาไปใช้จริงๆแล้วมันไม่เป็นอย่างใน โฆษณา ก็ โดนอีก

อาการที่ คนแรกในโฆษณานั้น เป็น
เป็นอาการ ของ คนคนนั้นไม่ได้ยินเสียง อีกฝั่งนึงต่างหาก ไม่ใช่ ฝั่ง โน้น ไม่ได้ยิน จนต้องตะโกน


จากคุณ : ครับผม - [ 11 ก.ย. 46 15:25:04 A:203.107.205.66 X: ]




ความคิดเห็นที่ 26

กระทู้นี้ให้ความรู้ดีค่ะ ขอบคุณ
แต่ไม่น่ามีคนมาป่วนเลยเนอะ

จากคุณ : หงส์แดงไม่แรงอย่างใจ (nueng00) - [ 11 ก.ย. 46 15:36:36 ]




ความคิดเห็นที่ 27

พออ่าน คห.ที่25 คุณครับผม แล้วผมต้องบอกว่า ใช่เลยครับ นึกได้แล้วว่า "ในโฆษณาเนี่ย อาการที่ คนแรกในโฆษณานั้น เป็น อาการ ของ คนคนนั้นไม่ได้ยินเสียง อีกฝั่งนึงต่างหาก ไม่ใช่ ฝั่ง โน้น ไม่ได้ยิน จนต้องตะโกน...
แต่ทางฮัทช์ กลับสื่อถึงคนที่สองว่า ได้ยินเสียงทางโน้นชัดเจนดีโดยคนในเทคไม่ต้องพยายามฟังมากเหมือนคนแรก ซึ่งผิดหลักการนี่ครับ ผิดชัดเจนเลย จริงๆแล้วทางฮัทช์ต้องสื่อว่า คนที่อยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงคนในเทคต่างหาก ถูกต้องมั๊ยล่ะ อย่างงี้ก็หลอกลวงกันเห็นๆเลย หลอกลวงกันเห็นๆเลย เป้นโฆษณาที่ทำให้เราเข้าใจผิด (จริงๆคนในเทคก็คงได้ยินคนข้างนอกโทรมาชัดหรอกเพราะเสียงทคมันดังนี่นา)" ขอบคุณคุณครับผมครับที่ช่วยชี้แนะ

จากคุณ : . - [ 11 ก.ย. 46 15:56:14 A:203.149.6.102 X: ]




ความคิดเห็นที่ 28

แก้คห.27 ตรงช่วงท้าย
(จริงๆคนในเทคก็คงได้ยินคนข้างนอกโทรมาชัดหรอกเพราะเสียงทคมันดังนี่นา)
เป็น
(จริงๆคนในเทคก็คงได้ยินเสียงคนข้างนอกโทรมา "ไม่" ชัดหรอกเพราะเสียงเทคมันดังนี่นา ...ก็ต้องออกไปคุยข้างนอกอยู่ดีนั่นแหละ)

จากคุณ : . - [ 11 ก.ย. 46 16:06:15 A:203.149.6.102 X: ]




ความคิดเห็นที่ 29

*21 ตะแบงที่กระทู้ //www.pantip.com/cafe/mbk/topic/T2445969/T2445969.html จิกคุณคห.5 ไม่ได้ก็เล่นแปะ link มากระทู้นี้เลยนะ ต๊าย..ตาย คนอะไรใจตุ๊ดส์..

จากคุณ : รู้ทั้งบอร์ดคุณคือหน้าม้า AIS - [ 11 ก.ย. 46 16:59:57 A:210.86.208.192 X: ]




ความคิดเห็นที่ 30

มาเลือกเก็บแต่ความรู้ครับ


จากคุณ : PEDestrain - [ 12 ก.ย. 46 00:29:54 ]




ความคิดเห็นที่ 31

อิอิ หายจ้อย ไม่กล้าสู้หน้า

จากคุณ : วี - [ 12 ก.ย. 46 04:01:22 ]




ความคิดเห็นที่ 32

วันนี้ไม่มีเวลาเขียนมากนัก แต่จะเข้ามาบอกว่า คุณ Communicator เจ้าของกระทู้ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่อง speech coding กับ cdma ครับ (ผิดไปเยอะ คือคุณเอามันมาปนกัน)

เอาไว้ว่างๆจะเข้ามาใหม่

จากคุณ : ขอไปนอนก่อน (บูมเมอร์) - [ 12 ก.ย. 46 05:52:43 ]




ความคิดเห็นที่ 33

ได้ความรู้เพิ่มหลายอย่างเหมือนกันค่ะ
อย่างเรื่อง Operator ของฝั่ง USA นี่ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่
ส่วนเรื่องการตัดเสียงรบกวนนี่ไม่น่าจะเรียกเกินจริงอ่ะค่ะ
แต่ว่าเป็นวิธีการโฆษณาของเค้า
เหมือนที่หลายๆระบบก็ทำในรูปแบบอื่นอ่ะค่ะ
:)

จากคุณ : cookiecompany - [ 12 ก.ย. 46 11:38:10 ]




ความคิดเห็นที่ 34

เห็นด้วยกะ cookiecompany


ตอบคุณ Shinikuman
อีตา The GreatesT ZeacaR เนี่ยเค้าใช้ส้มอยู่ค่ะ

จากคุณ : เจเจลุ่มน้ำปิง - [ 12 ก.ย. 46 14:30:13 ]




ความคิดเห็นที่ 35

สวัสดีเช้าวันเสาร์ครับ

วันนี้เป็นวันขี้เกียจ เลยถือโอกาสเข้ามาเขียนอะไรๆแบบขี้เกียจๆตามประสาผมก็แล้วกัน ถือเป็นการตอบคุณ Communicator เจ้าของกระทู้ไปด้วย ทั้งในกระทู้นี้ และในกระทู้ //www.pantip.com/cafe/mbk/topic/T2444809/T2444809.html#8 ด้วยนะครับ

ที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ (ยังนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไร...ไม่เป็นไร เดี๋ยวนึกออกเอง) เอามาจากความเข้าใจของผมนะครับ ขี้เกียจไปค้นตำรา (ซึ่งอยู่ห่างจากตัวไปประมาณเจ็ดแปดก้าว) ดังนั้นถ้าขาดรายละเอียดไปบ้างก็คงไม่ว่ากัน และถ้ามันขัดแย้งกับที่คุณเจ้าของกระทู้เขียนมา ขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่มีเจตนาในแง่ลบใดๆทั้งสิ้น ถือเป็นการแบ่งปันความรู้ความเห็นกัน ดังนั้นอย่าโกรธผมนะครับ และหากว่าไม่เห็นด้วย ก็แย้งมาได้ครับ

แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 14:58:27

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 10:03:11 ]




ความคิดเห็นที่ 36

เอาล่ะ เริ่มตรงไหนดี...เริ่มจากขั้นตอนคร่าวๆโดยรวมของการแปลงเอาเสียงพูดของเราไปเป็นคลื่นวิทยุในอากาศในระบบ cdma ก่อนดีกว่า

ภาพรวมเป็นดังนี้ครับ

เสียงพูด ---> ไมโครโฟน ---> วงจรเข้าและถอดรหัสสัญญาณเสียง (CODEC--coder & decoder) ---> (ต่อข้างล้าง)

---> แปลงให้เป็นสัญญาณ cdma (เบสแบนด์) ---> แปลงสัญญาณ cdma เบสแบนด์ให้เป็นคลื่นวิทยุ ---> (ต่อข้างล่างอีก)

---> วงจรขยายสัญญาณวิทยุ

วงจร CODEC นั้นทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณไฟฟ้าซึ่งเป็นอนาล็อก ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าในรูปดิจิตอล ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จาก CODEC นั้นจะมีคุณภาพอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคหรือวิํธีการเข้ารหัสที่เอามาใช้ เช่นในระบบ GSM ก็มี CODEC อยู่ 5 แบบ คือ Full Rate (FR 13.0 kb/s), Half Rate (HR 5.6 kb/s), Enhanced Full Rate (EFR 12.2 kb/s), Adaptive Multirate Full Rate (AMR/FR 4.5-12.2 kb/s) และ AMR Half Rate (AMR/HR 4.5-7.95 kb/s) ซึ่ง CODEC แบบต่างๆในระบบ GSM นั้น ส่วนมากก็ดัดแปลงพัฒนามาจากเทคนิคการเข้ารหัสสัญญาณเสียงที่เรียกว่า CELP--Code-Excited Linear Prediction และ VSELP--Vector Sum Excited Linear Prediction ทั้งสิ้น

ส่วน CODEC ใน cdma นั้น ในระบบ cdma แบบเก่า คือ cdmaOne หรือที่เรียกกันว่า IS-95 นั้น ใข้เทคนิคแบบ CELP ที่ว่านี่ล่ะครับ ส่วน CODEC ที่ใช้ใน cdma 1x นั้นเรียกว่า EVRC--Enhanced Variable Rate Coder ซึ่งเทคนิคที่ใช้ใน EVRC ก็คือ RCELP--Relaxed CELP--เจ้า RCELP นี่ก็พัฒนามาจาก CELP เหมือนกัน

นอกเหนือจาก RCELP แล้ว EVRC ยังเพิ่มส่วน Adaptive Noise Suppression หรือวงจรตัดเสียงรบกวน (จริงๆควรจะเรียกว่า อัลกอริธึมตัดเสียงรบกวน มากกว่า เพราะมันเป็น DSP--Digital Signal Processing) เข่้าไปด้วย นี่คือการตัดเสียงรบกวนที่เค้าโฆษณากัน

การเข้ารหัสสัญญาณเสียงแบบ EVRC นี่ พอเค้าคิดค้นและนำมาใช้งานได้แล้ว ก็เอาไปจดทะเบียนเป็นมาตรฐานกับ TIA/EIA ไว้ซะเรียบร้อย ได้หมายเลขมาตรฐานมาเป็น IS-127 (เหมือนๆกับหมายเลข IS-95 ที่ cdma เอาไปจดไว้ ส่วน CELP นี่ ถ้าจำไม่ผิดคือหมายเลข IS-641)

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 11:12:52 ]




ความคิดเห็นที่ 37

เสริมเรื่องการเข้ารหัสสัญญาณเสียงอีกนิดหน่อย

การเข้ารหัสสัญญาณเสียงให้เป็นดิจิตอลทุกๆวิธีที่ผมเขียนไว้ข้างบน ไม่ว่าจะเป็น GSM FR/HR/EFR หรือ CELP/RCELP/VSELP ทุกอย่างเริ่มต้นจาก PCM หรือ Pulse Code Modulation ทั้งนั้นครับ กล่าวคือสัญญาณเสียง (ที่ถูกแปลงให้อยู่ในรูปสัญญาณไฟฟ้าด้วยไมโครโฟน) จะถูก sampling ด้วยความถี่ 8000 ครั้งต่อวินาที (หรือ 8000 Hz ซึ่งเป็นประมาณสองเท่าของแบนด์วิดธ์ของช่วงคลื่นเสียงพูดของมนุษย์--300-3400 Hz) ซึ่งถ้าเป็นการ sampling แบบ PCM เมื่อสมัยสามสิบปีก่อน การ sampling แต่ละครั้งจะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นสัญญาณดิจิตอล 8 บิท ส่วนการ sampling สำหรับเข้ารหัสเสียงสมัยใหม่นั้น sampling แต่ละครั้งอาจได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นสัญญาณ 13 บิท หรือ 16 บิทก็ได้ แล้วแต่เทคนิคและความเหมาะสมของการเข้ารหัสแต่ละแบบครับ

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 11:29:25 ]




ความคิดเห็นที่ 38

เอาล่ะ พอได้ผลลัพธ์ออกมาจากวงจร CODEC แล้ว ทำไงต่อ

ตอนนี้ก็ถึงขั้นตอนการแปลงสัญญาณเพื่อใช้กับระบบ cdma ซึ่งในแผนผังที่ผมเขียนไว้ข้างบน จะอยู่ในขั้นตอน "การแปลงให้เป็นสัญญาณ cdma (เบสแบนด์)" ครับ

การแปลงให้เป็นสัญญาณ cdma เบสแบนด์นั้น เรียกว่า spreading ครับ ซึ่งก็คือการ "แผ่" แบนด์วิดธ์ของสัญญาณเสียงที่เข้ารหัสมาแล้ว ให้มีแบนด์วิดธ์กว้างขึ้น ตัวอย่างเช่น สัญญาณที่ออกมาจาก CELP CODEC มีแบนด์วิดธ์ (หรือความเร็ว) 13 กิโลบิทต่อวินาที ขั้นตอนการ spreading นี่ก็จะแผ่มันออกไปให้เป็น 1.2288 เมกะบิทต่อวินาที (1.2288 Mb/s หรือภาษา cdma เรียกกันว่า 1.2288 Mchip/s--Mega Chip per second) หรือถ้าเป็นสัญญาณที่ออกมาจาก EVRC CODEC ซึ่งมีแบนด์วิดธ์ 4, 8 หรือ 14 kb/s ก็จะถูกนำไปแผ่ให้มีแบนด์วิดธ์เป็น 1.2288 Mchip/s เหมือนกันทั้งหมด ถ้าเขียนแผนผังก็คงได้ประมาณนี้ล่ะครับ

EVRC output (4/8/14 kb/s)
|
|
v
X <--- spreading code
|
|
V
Spread signal (1.2288 MChip/s)

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 11:45:24 ]




ความคิดเห็นที่ 39

Spreading Code ที่เห็นข้างบนนั้น ก็คือ สัญญาณดิจิตอลที่ระบบสร้างขึ้นมาเพื่อเอามาผสมกับสัญญาณเดิม (คือจาก EVRC CODEC) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีแบนด์วิดธ์กว้างขึ้น ในภาษา cdma เค้าเรียกเจ้า spreading code นี้ว่า pseudo-noise หรือแปลเป็นไทยว่า สัญญาณรบกวนจำลอง (นี่ผมแปลของผมเองนะ ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเค้าบัญญัติศัพท์ไว้ว่ายังไง) ที่ว่ามัน "จำลอง" นั้น ก็เพราะว่ามันเป็นสัญญาณดิจิตอลที่ระบบสร้างขึ้น โดยให้มีแพทเทอร์นของสัญญาณนั้นมั่วๆซั่วๆคล้ายๆกับสัญญาณรบกวนจริงๆ (เรียกง่ายๆว่า เป็นความมั่วอย่างมีแบบแผน มั่วอย่างมีระเบียบ ว่างั้นเหอะ)

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 11:56:52 ]




ความคิดเห็นที่ 40

ทำไมต้องมั่วอย่างมีระเบียบด้วยล่ะ มั่วแบบมั่วๆไม่ได้เหรอ

คำตอบก็คือ ไม่ได้ครับ ถ้ามั่วแบบมั่วๆแล้ว ทางด้านเครื่องรับ (ซึ่งก็คือสถานีฐาน--base station) มันจะไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่า สัญญาณมั่วๆแบบนี้มาจากมือถือเครื่องที่หนึ่ง ถ้ามั่วๆแบบโน้นมาจากมือถือเครื่องที่สอง ฯลฯ ดังนั้น มันจึงต้องมั่วแบบมีระเบียบ

ระเบียบที่ว่านั้นก็คือ ความสามารถในการหักล้างกันเอง (ไอ้นี่ก็แปลเอาเองเหมือนกัน มันมาจากคำว่า Orthogonality) ผมไม่รู้จะอธิบายเป็นภาษาคนยังไง เอาแบบคณิตศาสตร์ง่ายๆก็แล้วกัน

ความสามารถในการหักล้างกันเองที่ผมว่ามานั้น ถ้าเขียนเป็นสมการทางคณิตศาสตร์คงได้เป็นทำนองนี้

สมมุติว่าให้ C1 คือ spreading code หมายเลข 1, และ C2 คือ spreading code หมายเลช 2

ถ้า C1 x C2 = 0 เราสามารถกล่าวได้ว่า C1 และ C2 มีความสามารถในการหักล้างกันเอง

อ้าว หักล้างกันเองแล้วมันจะมีประโยชน์ยังไงล่ะเนี่ย ลองมาดูกัน

สมมุติ (อีก) ว่าตอนนี้เรามีมือถืออยู่สองเครื่อง เครื่องแรกมีสัญญาณเสียง(ที่เข้ารหัสแล้ว) คือ V1 ส่วนอีกเครื่องมีสัญญาณ V2

สัญญาณ V1 ถูกผสมด้วย spreading code C1 ส่วนสัญญาณ V2 ถูกผสมด้วย C2

พอมือถือทั้งสองเครื่องส่งสัญญาณออกมาในอากาศพร้อมๆกัน ตัวสถานีฐานก็จะสามารถมองเห็น (หมายถึง รับ) สัญญาณทั้งสองนั้นพร้อมๆกัน ดังนั้น สัญญาณที่สถานีฐานมองเห็นก็คือ V1C1 + V2C2 ใข่ไหมครับ

สถานีฐานจะทำยังไงให้แยกเอา V1C1 และ V2C2 ออกจากกัน...ก็ไม่ยากครับ ที่สถานีฐานก็รู้จัก C1 และ C2 เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันก็เอา C1 และ C2 เข้าไปผสมกับสัญญาณที่ได้รับมาจากมือถือทั้งสองเครื่อง เขียนเป็นคณิตศาสตร์ก็คงได้เป็นดังนี้ครับ

C1 x (V1C1 + V2C2) = V1C12 + V2C1C2 = V1C12 (เพราะ C1 x C2 = 0)
C2 x (V1C1 + V2C2) = V1C1C2 + V2C22 = V2C22 (ด้วยเหตุผลเดียวกัน)

ความสามารถในการหักล้างกันเองนี้เอง ที่เค้าเอามาใช้ในระบบ cdma ครับ

แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 12:25:39

แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 12:17:38

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 12:15:57 ]




ความคิดเห็นที่ 41

ที่เขียนมาซะยืดยาว จริงๆแล้วก็เพื่อจะบอกคุณ Communicator ล่ะครับว่า คุณสมบัติการตัดเสียงรบกวนที่ว่ากันเนี่ย มันเป็นคุณสมบัติของ ERVC ครับ ไม่ใช่คุณสมบัติของ cdma คุณสมบัติของ cdma ก็คือการ spreading ด้วย spreading code หรือ pseudo noise ซึ่งสามารถหักล้างกันเองได้ (ในเชิงคณิตศาสตร์) นี่ล่ะครับ

ดังนั้นคำว่า noise ของคุณใน "...CDMA มันจะเข้ารหัส แบบ DSSS ซึ่งคุณสมบัติแบบ นี้มันจะสามารถที่จะสร้าง band ที่แคบ ยืดออกให้กว้างได้ หลังจากนั้นมันจะถูกสร้าง Noise ขึ้นมาผสมกับ code ในลักษณะ widebrand..." หมายถึงเจ้า pseudo noise ที่ว่านี่ล่ะครับ ไม่ได้หมายความถึง audio noise ที่มาจากเสียงรอบๆข้างครับผม

ไปดีกว่า ผ้ากองสุดท้ายที่ผมอบไว้คงสุกแล้วล่ะ

แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 13:00:54

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 12:38:32 ]


Create Date : 30 ธันวาคม 2548
Last Update : 30 ธันวาคม 2548 20:37:21 น. 6 comments
Counter : 3380 Pageviews.

 
ความคิดเห็นที่ 42

นับถือที่ขยันพิมพ์สูตร มียกมีห้อยด้วย

จากคุณ : วี - [ 13 ก.ย. 46 13:17:57 ]




ความคิดเห็นที่ 43

ทีนี้มาถึงเรื่อง capacity กันบ้าง จะชี้แจงในประเด็นนี้นะครับ

"...ถ้ามีคนใช้ เยอะจะแย่ไหม จะถึงจุด วิกฤตของ capacity ไหม ขอตอบว่าอยากคับ เพราะว่าแค่ 5 ล้านยังอ่อนไปคับ USA มีพลเมืองตั้งเท่าไร ใช้ CDMA เป็นหลัก ยังไม่ล่มเลย มันอยากคับที่จะแย่คุณลองคิดดูแล้วกันว่า มันเข้ารหัสได้เป็น 10 ล้านคับ นานกว่าวจะเต็มคับ กว่ารหัสจะเต็ม มันไม่เหมือนใช้ Cell หรอกคับ..."

ความจุของระบบ cdma ไม่ได้ดูที่จำนวนโค้ดเพียงอย่างเดียวนะครับคุณ Communicator จริงอยู่ว่าจำนวนโค้ดนั้นมีอยู่สิบกว่าล้านโค้ดที่แตกต่างกัน แต่ข้อจำกัดของความจุในระบบ cdma นั้น ก็อยู่ที่ความเป็น cdma นั่นเอง (พูดให้มันงงงงซะยังงั้นล่ะ)

ความเป็น cdma ที่ว่านี่ก็คือ สัญญาณจากมือถือแต่ละเครื่องจะถูกแบ่งแยกด้วย code ที่เราว่ากันมาจากข้างบนนี่ล่ะครับ เพราะฉะนั้นถ้ามีจำนวนมือถือเยอะๆในแต่ละเซล (cdma ก็เป็นระบบ cellular เหมือนกันนะครับ มีการแบ่งพื้นที่ครอบคลุมออกเป็นเซลๆเหมือนกันกับระบบอื่นๆทั้งหมด) สัญญาณที่ออกมาจากมือถือทุกเครื่องก็จะปนเปกันไปหมด ดังนั้นถ้ามีผู้ใช้มากเกินไป ตัวสถานีฐานก็จะไม่สามารถแยกแยะสัญญาณได้ว่า อันไหนมาจากมือถืออันไหน

ถ้าจะใช้ภาษาทางเทคนิคมาพูด คงเป็นว่า ความจุของระบบ cdma ถูกจำกัดด้วยระดับของ uplink interference

หรือถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนใกล้ตัวมาอีกหน่อย คงต้องเทียบกับส้วมกระมังครับ

ระบบ cdma นี่มันก็เหมือนกับเรามีห้องส้วมห้องใหญ่ๆอยู่ห้องนึง เป็นห้องส้วมใหญ่ๆที่อนุญาตให้คนเข้าใช้พร้อมกันได้หลายๆคน ถ้ามีคนเข้ามาใช้ส้วมแค่คนเดียว คนๆนั้นก็ยังจำกลิ่นอึกลิ่นตดตัวเองได้ ถ้ามีคนมาใช้เพิ่มอีกซักห้าหกคน ห้าหกคนนั้นก็ยังพอแยกแยะว่ากลิ่นนี้นะเป็นตดฉัน กลิ่นนั้นเป็นอึเธอได้ ถ้ามีซักร้อยคนล่ะ กลิ่นตดกลิ่นอึมันก็จะปนเปกันไปหมดใช่ไหมครับ แยกไม่ออกว่ากลิ่นใครเป็นกลิ่นใคร

กลิ่นที่ว่านี่ก็เทียบได้กับ code ใน cdma แต่นอกเหนือจากกลิ่นแล้วก็ยังมีความแรงของกลิ่นอีก ซึ่งก็เทียบได้กับระดับความแรงของสัญญาณวิทยุที่ออกมาจากมือถือ ถ้ากลิ่นของคุณแรงมากและขจรไกล กระจายไปทั่วห้องส้วม เพื่อนๆร่วมส้วมของคุณก็จะไม่สามารถจำกลิ่นตดตัวเองได้ไปชั่วขณะนึง

ดังนั้นในเครือข่ายระบบ cdma ถ้ามีผู้ใช้มากๆล่ะก็ คุณภาพของสัญญาณก็จะแย่ลงมากๆ (อัตราความแย่นี่เป็นแบบ exponential เลยล่ะ ไม่ได้เป็นแบบ linear) แบบนี้เรียกว่าเครือข่ายมันล่มไหม ก็คงไม่เรียกว่าล่มล่ะครับ แต่คุณภาพมันแย่ลง)

ที่ผมบอกว่า ห้าล้าน นั้น ไม่ได้หมายความว่าห้าล้านแล้วมันจะล่มนะครับ ไม่ได้หมายความว่าถ้าห้าล้านแล้วมันจะแย่ลงแบบ exponential อย่างที่ว่า แต่คุณภาพของเสียงจะไม่ดีเท่าตอนนี้ ผมถึงบอกให้ลองสังเกตไปเรื่อยๆไง



จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 14:35:07 ]




ความคิดเห็นที่ 44

"ดังนั้นในเครือข่ายระบบ cdma ถ้ามีผู้ใช้มากๆล่ะก็ คุณภาพของสัญญาณก็จะแย่ลงมากๆ"

แล้วมันไม่มีทางแก้ไขเลยหรือครับผม ?

จากคุณ : Kindaichi - [ 13 ก.ย. 46 15:18:22 ]




ความคิดเห็นที่ 45

อ่อ ไม่ใช่พิมพ์แก้ตัวแทนหรืออะไรแทนระบบ CDMA นะครับ

แต่ผมเห็นคุณบูมเมอร์พิมพ์มาหลายรอบแล้วว่า ระบบ CDMA ถ้าผู้ใช้เยอะๆ คุณภาพสัญญาณจะแย่ลงมากๆ

ดังนั้นจึงอยากทราบว่า แล้วปัญหานี้ไม่มีทางแก้ไขหรอครับ อย่างการเพิ่ม capacity ของ site ต่างๆในระบบต่างๆ น่าจะมีกล่าวถึงตรงนี้ไว้นะครับ แล้วก็คิดว่า engineer เองก็น่าจะได้เรียนรู้ข้อมูลและวิธีการ solve ปัญหาตรงนั้นไว้แล้วด้วยเช่นกัน

ส่วนการเปรียบเทียบการ mod ของ CDMA กับกลิ่นของส้วมมันเห็นภาพชัดเจนดีนะครับ แต่ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของ "จมูก" + "สมอง" คน กับ "วงจร"+"algo" ของเครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ด้วยนะครับผม ถ้าจะมองถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น จริงๆแล้วแตกต่างกันมากครับในการมองตรงนั้น ด้วย จมูก เปรียบเทียบ กับ การทำงานของวงจรและหน่วยประมวลผล


จากคุณ : Kindaichi - [ 13 ก.ย. 46 15:22:18 ]




ความคิดเห็นที่ 46

วิธีแก้ไขมันก็มีเหมือนกันครับ

ง่ายที่สุดก็คือ สร้างส้วมใหม่ ครับ

cdma นี่เค้าออกแบบมาเพื่อที่ว่า ทั้งเครือข่ายทั่วประเทศนี่ใช้ช่องความถี่เดียวก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันใช้หลายๆช่องความถี่ไม่ได้ ดังนั้น วิธีที่ง่ายที่สุด (และยากที่สุดในเวลาเดียวกัน) ก็คือเพิ่มช่องความถี่

วิธีอื่นๆก็มีเหมือนกัน เช่น เพิ่มจำนวนเซล เพื่อเป็นการเกลี่ยระดับ interference ต่อเซลให้น้อยลง, การใช้ Low Noise Amplifier เพิ่มขึ้นทางด้านรับของสถานีฐาน ซึ่งมีผลทำให้ Receiver Sensitivity ดีขึ้น และผลสีบเนื่องก็คือ สามารถรองรับ uplink interference ได้มากขึ้น

ส่วนวิธีแก้ไขในระดับ "ระบบ" เลยก็เห็นจะเป็น การปรับปรุงจาก cdmaOne (IS-95) ขึ้นมาเป็น cdma2000 นี่ล่ะครับ เพราะใน cdma แบบเก่านั้นมีรอบการปรับระดับความแรงของสัญญาณ (Power Control Cycle) ค่อนข้างช้า พอเป็น cdma2000 ก็เลยเพิ่มจำนวนรอบให้มากขึ้น (เป็น 1600 ครั้งต่อวินาที...ถ้าผมจำตัวเลขไม่ผิด) เมื่อรอบการปรับความแรงสัญญาณมันถี่ขึ้นอย่างนี้แล้ว ทำให้ช่วงเวลาที่มือถือจะยิงสัญญาณแรงเกินไปนั้นสั้นลง พอมือถือไม่ยิงสัญญาณแรงเกิน ก็เท่ากับว่าระดับ uplink interference ลดลง ผลก็คือ สามารถรองรับ traffic ได้มากขึ้น

การปรับปรุงในระดับ "ระบบ" อีกอย่างนึงก็คือ การเปลี่ยนจาก CELP มาเป็น EVRC นี่ล่ะครับ เนื่องจากวิธีการเข้ารหัสแบบ CELP นั้นค่อนข้างจะเทอะทะและความเทอะทะดังกล่าวเป็นผลให้มือถือต้องยิงสัญญาณแรงมากขึ้นเพื่อให้ได้คุณภาพของเสียงตามต้องการ (ผลก็คือ uplink interference เพิ่มขึ้น) ก็เลยเอา EVRC มาใช้เพื่อลดความเทอะทะดังกล่าว

แต่วิธีที่กล่าวมา ก็เป็นการ "ประวิงเวลา" ครับ เพราะปัญหานี้เป็นสิ่งที่มากับแนวคิด cdma (คือ เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของ cdma)

สิ่งที่ผู้ให้บริการทำได้ นอกเหนือจากวิธีที่กล่าวมาข้างบน ก็คือ การทำ network planning และ parameter planning ให้เหมาะสม และการทำ network dimensioning โดยมี interference margin ที่พอเหมาะครับ ที่เหลือก็ต้องยกให้เป็นงานของ admission control algorithm ในเครือข่ายล่ะครับผม

หมายเหตุ: ที่ผมยกเรื่องกลิ่นขึ้นมา เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นการรบกวนซึ่งกันและกันของสัญญาณ (ซึ่งเป็นเรื่องของเทคนิค multiple access) เท่านั้นล่ะครับ ไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบเรื่องจมูกคนกับหน่วยประมวลผล....จะว่าไปแล้วก็ไม่มี analogy ไหนที่จะเอามาอธิบายเปรียบเทียบได้ครบทุกกระบวนการหรอกครับคุณ Kindaichi

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 15:49:19 ]




ความคิดเห็นที่ 47

"...อ่อ ไม่ใช่พิมพ์แก้ตัวแทนหรืออะไรแทนระบบ CDMA นะครับ แต่ผมเห็นคุณบูมเมอร์พิมพ์มาหลายรอบแล้วว่า ระบบ CDMA ถ้าผู้ใช้เยอะๆ คุณภาพสัญญาณจะแย่ลงมากๆ..."

ความจริงก็ไม่น่าจะต้องออกตัวอะไรแบบนั้นนี่นาครับคุณคินดะอิจิ ระบบทุกระบบมันก็มีข้อดีและข้อจำกัดต่างๆกันไปทุกระบบนั่นแหละ มันจะดีจะห่วยก็เป็นเรื่องของตัวระบบครับ เราก็ไม่น่าที่จะต้องไปเป็นเดือดเป็นร้อนแทน อยู่มันกลางๆนี่ล่ะ

ที่ผมเขียนบอกอยู่เสมอๆอย่างที่คุณว่านั้น ก็เพื่อจะบอกพวกเราว่า ระบบ cdma หรือระบบอะไรก็ตาม มันไม่ใข่ระบบเทวดา ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเอาสิ่งที่เค้าโฆษณามาคุยถล่มก่นด่ากันไปมา ค่ายนี้ไม่ดีอย่างนู้น ค่ายนู้นไม่ดีอย่างนี้ ฯลฯ ให้มันเสียสติกันไปเปล่าๆ ก็เท่านั้นเองครับ (ไม่ได้หมายถึงคุณคินดะอิจิเป็นจำเพาะหรอกนะครับ อย่าเข้าใจผิด)


จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 16:11:12 ]




ความคิดเห็นที่ 48

แล้วในกรณีของระบบ GSM จะมีปัญหาขึ้นในกรณีไหนบ้างครับ อย่างเช่น เมื่อจำนวนผู้ใช้งานในระบบเพิ่มขึ้น อื่มๆ แบบไหนดี เอาเป็นเท่าๆกันกับจำนวนที่ CDMA จะมีปัญหาแล้วกัน ระบบ GSM จะรองรับได้ดีกว่า หรือไม่มีปัญหาแบบที่ว่ารึป่าวครับ?

อื่มๆ ที่ผมต้องออกตัวแบบนั้น ก็คิดว่าคุณบูมเมอร์ที่เล่นบอร์ดนี้มานานแล้ว(เท่าที่ผมเห็นนะ) คงพอจะเห็นอยู่บ้างนะครับ ว่าช่วงนี้ผมค่อนข้างจะถูกอคติเยอะ บางครั้งอยากจะแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนความรู้ เชิงเทคนิค เชิงวิชาการ ที่ผมเองก็อยากได้ความรู้อะไรใหม่ๆบ้าง แต่ก็ถูกมองว่า ผมเป็นอะไรซักอย่างกับ Hutch ออกมาเถียงแทน อะไรงี้อีก ก็บอกตรงๆว่ารำคาญคนจะมาหยิบเอาเรื่องนั้นไป bias ความคิดเห็นผม แล้วมาโต้แย้งกันนอกเรื่องอีก

อย่างกระทู้นี้คุณบูมเมอร์คงจะเห็นแล้วใน คห.ต้นๆนะครับ ว่ามันเป็นยังไง จริงๆแล้ว trend ของกระทู้นี้ น่าจะได้สาระความรู้ และได้พูดคุยกันเรื่องวิชาการ ๆ ตั้งแต่ คห.ต้นๆแล้ว แต่มันก็ไม่เป็นแบบนั้น นี่แหละคับ ที่ทำให้ผมต้องมาพิมพ์ออกตัวไร้สาระแบบนั้นบ่อยๆ ทั้งๆที่ก็ไม่อยากจะพิมพ์ให้เสียบรรยากาศครับ

ผมเองก็ทราบดีและยอมรับได้ครับว่า culture ของ mobile system มันมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป การที่เราได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับมันนี่ นับว่าเป็นสิ่งดีๆที่เราจะได้รับเข้าตัวเราเองอยู่แล้วครับ

จริงๆก้อไม่เคยเดือดร้อนแทน operator เลยนะครับ ก็เห็นๆมีปัญหาไป ผมรู้จักกับคนใน operator ผมก็สอบถามให้ พอนำมาชี้แจง ว่ามันเป็นเพราะอะไร เกิดจากอะไร และต้องติดต่อเพื่อแก้ไขอะไรยังไง คือผมไม่ได้เข้ามาพิมพ์ด่าๆ หรือยุให้ฟ้อง สคบ. กกท. รมอ. นต. อะไรเนี่ย ก็กลายเป็นว่าผมแก้ตัวแทน operator อีก ไม่รู้อะไรนักหนา ไอ้เราก็เห็นเค้ามีปัญหา เอ๊ะ มันผิดพลาดตรงไหนมั๊ย จะเข้ามาช่วยคิด ช่วยติดต่อให้ กลายเป็นเราผิดอีก แต่คนที่เข้ามาด่าๆ นี่ก็ด่าอย่างเดียว ช่วยอะไรใครเค้าก็ไม่ได้ อีกแบบนึงก็แค้นกับสิ่งที่ตัวเองเคยเจอมั้ง ใครเจอปัญหา ก็ยุให้ฟ้องๆอย่างเดียว ไม่รู้ทำตัวแบบไหนมันน่าจะดีกว่ากัน

แฮ่ะๆ ขออำภัยที่บ่นเยอะนะครับ แบบว่าก้ออย่างที่คุณบูมเมอร์พิมพ์ไว้ย่อหน้าสุดท้ายแหละครับ จริงๆบอร์ดนี้น่าจะให้อะไรกับผู้ที่ต้องการได้มากกว่านี้ ทั้งความรู้ ทั้งข้อเท็จจริง สาเหตุของปัญหา วิธีแก้ปัญหา แต่ทุกวันนี้กลายเป็นด่ากันไปด่ากันมา คุยถล่มกันไปคุยถล่มกันมา มีอะไรก็ใช้อารมณ์ก่อนแล้ว มันหมกเม็ดแน่ มันโกงแน่ ก็คิดกันอยู่แต่แบบนี้แหละคับ

เริ่มด้วยอคติ แล้วมันจะไปจบลงที่อะไรได้ นอกจากอคติ

ขอเซ็งซัก 3 นาทีนะครับ






จากคุณ : Kindaichi - [ 13 ก.ย. 46 20:30:40 ]




ความคิดเห็นที่ 49

ตรงจมูกกับกลิ่นนั้น ก้ออย่างที่บอกหนะคับ ผมว่ามันเห็นภาพค่อนข้างชัดเจนดี แต่ที่ผมมองต่างกันไปก็คือ กลิ่นนั้น ไม่ว่าเราจะเหม็นหรือจะหอม เราได้กลิ่น และได้รับผลกระทบจากมันหมดหนะครับ แล้วเราเลือกตีความจากกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งยากด้วย

พอดีผมไปเจอหนังสือเล่มนึง มันเปรียบเทียบระบบ mobile modulation ไว้เป็นงาน cocktail party ซึ่งในนั้นมีคนจำนวนมากมาร่วมงานนะคับ ของระบบ FDMA ก็คือต่อแถวกันพูด ต้องพูดให้เสร็จเป็นคู่ๆ คู่อื่นในแถวถึงจะพูดได้

พอระบบ TDMA ก็จะต่อแถวกันพูดอีกแต่ว่าจะค่อยๆแบ่งกันพูดไปเป็นคู่ๆแล้วก็วนแถวมาคุยใหม่ แต่ไม่ต้องรอให้คู่ใดคู่นึงคุยเสร็จก่อน (ถ้าเป็นงาน party คงลำบาก แต่ถ้าเป็น processor ก้อไม่ถือว่าวุ่นวายอะไร)

ส่วนระบบ CDMA ก็จะเป็นเหมือนในงานปาร์ตี้ทั่วไปเลย ทุกคนก้อต่างคนต่างพูดไป แต่ว่าแต่ละคู่จะใช้ภาษาที่แตกต่างกันไป เราก้อจะได้ยินเสียงคนอื่นด้วย แต่เราไม่ได้เข้าใจภาษาของเค้า มันเลยกลายเป็น noise ไป แม้ว่าเราได้ยิน แต่เราก็ไม่ได้นำมาตีความ เราก็จะเข้าใจเฉพาะคู่ของเรา ที่คุยด้วยภาษาเดียวกัน

ผมก้อเลยคิดว่าถ้าเปรียบเทียบกับกลิ่นและจมูก กับแบบงานปาร์ตี้ ผมว่าแบบงานปาร์ตี้น่าจะเห็นภาพกว่าหนะครับ

เพราะถ้าเทียบเป็นส้วมจริงๆ จะเห็นภาพของการรองรับผู้ใช้งานในเวลาเดียวกันเท่านั้นมากกว่า หรือถ้าจะให้เห็นภาพของปัญหาที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีคนจะอึพร้อมกันมากๆ สำหรับ FDMA และ TDMA ก็คงจะเป็นแบบมีคนอั้นไม่ไหว แล้วก้ออึราดอยู่ข้างนอก อะไรทำนองนี้ด้วยหนะคับ

จากคุณ : Kindaichi - [ 13 ก.ย. 46 20:42:06 ]




ความคิดเห็นที่ 50

จากที่คุณ บูมเมอร์ พิมพ์มาทั้งหมด ผมไม่ได้โกรธคับผมถือว่าดีคับที่เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะฉะนั้น ผมอยากจะข้อตินิดเดียวเท่านั้นละคับ ในฐานะคนทำงาน มาด้านนี้มากกว่า 10ปีและ ณ เวลานี้ผมก็เป็นผู้นำที่อยู่ในทีมที่จะ ขีดเส้นตายและตัดสินใจทำระบบ 3G ในระบบ GSM ให้กับ Operator ยักษ์ใหญ่ของไทยรายหนึ่ง(ที่คนชอบด่า) และรายอื่นอีกได้ว่า พวกเราจะเข้าสู่ 3G ได้ไหม ในสิ่งใดก็ตามที่คุณ จะเอามาตอบในนี้ผมอยากบอกว่าอย่าเอา ทฤษฏีจากหนังสือหรือ paper มาตอบตามความเข้าใจของคุณจะดีกว่าเพราะในทางปฏิบัติ แล้วมันอาจจะไม่ใช้อย่างที่คุณคิดก็ได้คับ ซึ่ง จุดแรกเลยตั้งแต่ที่คุณ post คุณบอกว่า speech coding กับ cdma มันคนละเรื่องกัน มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะคับ ในเมื่อ เวลาคนเราพูดมันเป็น analog แล้วจะแปลงเป็น Digitel ต้อง ใช้วงจรทางไฟฟ้าเข้ามาแปลงซิคับ ซึ่งกระบวนการนี้ละคับเรียกว่า การ speech coding ซึ่งจะมีอยู่ 3 แบบคือ
1 waveform coders
2 parametric coders
3 hybrid coders <----ซึ่งตัวนี้ละคับที่จะพูดถึง
ซึ่ง CELP ก็คือวงจรประเภท hybrid เนี้ยล่ะคับ ซึ่งวงจรชนิดนี้จะนำไปใช้ในการ Modulation กับระบบ CDMA คับ แล้วถ้ามันคนละเรื่องกันจริง ทำไมมันถึงต้องพึ่งกันล่ะคับ ???? ส่วนในสิ่งที่คุณชอบที่จะเอ่ยถึงนั้นมันก็คือ EVRC ซึ่งสิ่งที่คุณพูดมาตลอดนี้ผมก็รู้จักคับ คุณคิดผิตมาตลอดเลยมันเกี่ยวคับกับ CDMA แต่มันเป็นเหมือนระบบใหม่ที่ถูกจะพัฒนาขึ้นมาให้ใช้ใน IS-127 คับ ซึ่งในจุดตรงนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับที่คุณจะมานั่งเถียงเลยน่ะคับว่ามันไม่ใช่ ในเมื่อพื้นฐานของมันก็คือ CEPL นั้นเอง คุณยังบอกเองเลยว่ามันพัฒนามาจาก CEPL มาเป็น RCEPL จากที่เคยใช้ใน IS-95 ก็ถูกพัฒนามาเรื่อยล่ะคับโดยอยู่ในพื้นฐานเดียวกัน แต่จะบอกให้น่ะคับว่าในสิ่งที่คุณเข้าใจว่ามัน ตัดเสียงรบกวนมันพึ่งมาเป็นที่ EVRC น่ะคับคุณคิดผิดคับ การที่มัรสามารถที่ได้ขนาดนี้มันเป็น คุณสมบัติของ CDMA อยู่แล้ว น่ะคับขอบอกว่าเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เพราะที่มันทำได้เนื่องจาก การส่งรหัสแบบ DSSS ต่างหากมันไม่ได้เกี่ยวกับว่าระบบ CDMA 2000 1x จะทำได้นี้คับ WCDMA ซึ่งมีรากฐานมาจาก CDMA ก็ทำได้เช่นกัน หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีใหม่ของเกาหลีที่พัฒนาขึ้นมาใหม่โดย LG กับบริษัทชั้นนำในเกาหลีซึ่งเป็นที่ถกกันในวงในอยู่ตอนนี้ที่ชื่อว่า CDMA 2002 1xE (ซึ่งระบบนี้คาดว่าจะถูกสร้างและพัฒนาขึ้นมาสู้กับ ญี่ปุ่นในระบบ 4G) ก็เป็นเช่นกัน คับเพราะฉะนั้นมันไม่ได้พึ่งมาเป็นแต่อย่างใดในตอนนี้แต่มันเป็นพื้นฐานมาตั้งนานแล้วคับ
สุดท้ายนี้ผมก็ขอทิ้งท้ายว่า ถ้าคุณจะค้านอะไรที่มันเป็นแบบนี้ผมขออย่าให้เอาในหนังสือมาตอบจะดีกว่าเพราะว่ามัน จะไม่ได้ความอะไรเลยในทางปฏิบัติ เพราะบางครั้งหนังสือมันก็ทำให้คนเป็นคนความรู้น้อยได้เหมือนกัน เพราะในทางจริงๆแล้ว ระบบบางอย่างถูกคิดมาแบบหนึ่งแต่พอถึงมาใช้ต้องมาทำอีกแบบหนึ่ง แบบนี้จะเอาแน่อะไรกับมันได้ล่ะคับ เช่นตัวอย่างหนึ่งที่อยากจะยกคือ ระบบ GSM ซึ่งผมแน่ใจว่าคุณคงต้องใช้ แน่นอน ว่าระบบ มันจะมี Traffic ch. อยู่ 8 แต่ทำไมบางครั้งเราจำเป็นที่จะต้องเอามาใช้แค่ 4 เองล่ะคับเพราะอะไรทำไมล่ะคับ เห็นไหมบางครั้ง ทฤษฏี มันก็เอามาใช้ไม่ได้หมดในทางปฎิบัติคับ รวมทั้งเรื่อง GPRS ด้วยว่าทำไมเราถึงต้องให้บริการแค่ 4 slot ทำไมไม่ 8 slot เห็นไหมคับ ที่ผมอยากจะแนะนี้มันก็มีเท่านี้คับ เพราะด้วยความที่บางครั้งผมเห็นคุณจะเน้นตำรามาอ้างมากกว่า ก็เลยแยง แต่ขยันเขียนดี ขอชม แล้วเดียวต่อไปผมจะตั้งกระทู้เกี่ยวกับ 3G อีกยังไงก็ขอเชิญคุณมานั่งถกกันต่อน่ะคับขอเชิญไงก่อนเลย


จากคุณ : Communicator - [ 13 ก.ย. 46 21:09:03 A:203.148.136.67 X:203.209.49.175 ]




ความคิดเห็นที่ 51

ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ เรื่องค็อกเทลปาร์ดี้นั้นผมก็เคยอ่านครับ ดูเหมือนจะมีอยู่ในตำรา cdma ทุกเล่มกระมังครับ ความจริงมันเป็นตัวอย่างที่ดีนะ แต่มันยาว ขี้เกียจเขียน ก็เลยคิดเอาเรื่องส้วมเข้ามาแทนครับ มันสั้นดี เอาไว้ผมเขียนหนังสือมาขายเองมั่งผมจะเอาส้วมนี่ล่ะมาใช้เป็นตัวอย่าง ฮ่า ฮ่า ฮ่า

แต่อย่าใช้คำว่า modulation มาใช้กับ cdma หรือ TDMA นะครับ มันผิดน่ะครับ พวก CDMA, TDMA, FDMA หรืออะไรนี่ มันเป็นเทคนิคการทำ multiple access และไม่ค่อยเกี่ยวกับ modulation ซึ่งก็คือการแปลงสัญญาณจากรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่ง (เช่น digital modulation ที่ใช้ในระบบมือถือก็มีพวก QPSK, 8PSK, GMSK อะไรเทือกนั้น)

ส่วนระบบ GSM นั้นก็เกิดปัญหาจาก interference เหมือนกันล่ะครับ เพียงแต่ผลกระทบของมันไม่ได้เป็น exponential เหมือนกันที่จะเกิดใน cdma

ปัญหาเรื่องความจุในระบบ GSM ก็อยู่ที่ความจุของเครือข่าย ซึ่งแปรผันตรงกับจำนวนแบนด์วิดธ์ที่มี ถ้ามีแบนด์วิดธ์ให้ใช้น้อย ก็ต้องนำเอาช่องความถี่เดิมมาใช้บ่อยขึ้น เมื่อใช้บ่อยขึ้นก็ทำให้เกิด co-channel interference มากขึ้น ซึ่งก็เป็นผลให้คุณภาพของเสียงแย่ลง

วิธีแก้ก็มีสองวิธี วิธีแรกคือ ช่างมัน ทนเอา ปล่อยให้มันแย่อยู่อย่างนั้นแหละ ส่วนวิธีที่สองคือ ยอมเสียตังค์ซื้อ feature พวก soft capacity เช่น RF Hopping, IUO และอะไรอื่นๆอีกมากมาย

ส่วนวิธีแก้ปัญหาที่ประเทศอื่นๆ (ที่เค้ามีองค์กรกลางคอยดูแล) ก็คือ รื้อผังความถี่ใหม่หมดและให้ GSM Operator ทุกเจ้าทำเครือข่ายให้เป็น dual band (GSM900/1800)

แต่ถ้าจะว่ากันจริงๆทางเทคนิคแล้ว เทคโนโลยี cdma สามารถรองรับ traffic ได้เยอะกว่า GSM ถ้าเทียบที่แบนด์วิดธ์เท่ากันครับ (คือมันมี spectral efficiency--Erlang/km2/MHz สูงกว่า) ส่วนจะมากกว่าเท่าไหร่นั้น ผมก็ไม่เคยนั่งคำนวณดูจริงๆจังๆซะที เพราะรายละเอียดมันเยอะพอสมควร นักศึกษาบางคนเค้าเอาเรื่องนี้ทำปริญญานิพนธ์ด้วยซ้ำไป ดังนั้น ผมซึ่งมีเวลานั่งหายใจเล่นๆแค่วันละสองสามชั่วโมงคงต้องขอบายครับ เอาไว้ไม่รู้จะทำอะไรจริงๆแล้วอาจจะลองนั่งคำนวณดู

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 21:39:06 ]




ความคิดเห็นที่ 52

โอ๋ย ตายล่ะ ถ้าไม่รังเกียจ จะขอความกรุณาคุณ Communicator อธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหมครับ ว่า speech coding กับ multiple access technique นั้นเป็นเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่องอย่างไร และ DSSS คืออะไร

ถือเป็นการถกกันทางด้านเทคนิคนะครับ ดีกว่าจะมากล่าวหาว่าผมเข้าใจผิด เอาจากตำรามาตอบอย่างเดียว ถ้าคุณไม่อธิบายให้ผมเข้าใจว่าผมเข้าใจผิดตรงไหน เอาแต่หาว่าผมเข้าใจผิดอยู่ถ่ายเดียว ผมก็ยังไม่ยอมรับในประสบการณ์สิบกว่าปีของคุณอยู่ดีล่ะครับ

แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 46 21:59:19

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 21:53:07 ]




ความคิดเห็นที่ 53

"...เช่นตัวอย่างหนึ่งที่อยากจะยกคือ ระบบ GSM ซึ่งผมแน่ใจว่าคุณคงต้องใช้ แน่นอน ว่าระบบ มันจะมี Traffic ch. อยู่ 8 แต่ทำไมบางครั้งเราจำเป็นที่จะต้องเอามาใช้แค่ 4 เองล่ะคับเพราะอะไรทำไมล่ะคับ เห็นไหมบางครั้ง ทฤษฏี มันก็เอามาใช้ไม่ได้หมดในทางปฎิบัติคับ..."

เพราะอะไรล่ะครับ?

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 13 ก.ย. 46 22:04:02 ]




ความคิดเห็นที่ 54

ฮี่ๆ ผมใช้คำผิดจริงๆด้วย :-) ไปฝังใจกะไอ้ modulation มากไปหน่อย :-)

จากคุณ : Kindaichi - [ 13 ก.ย. 46 22:53:37 ]




ความคิดเห็นที่ 55

ตื่นมานั่งอ่านที่คุณ Communicator เขียนอีกทีแล้ว (เมื่อคืนนี้หลังจากนั่งดวดน้ำองุ่นเน่าหมดไปขวดนึงแล้วง่วงนอน) อ่านแล้วก็ให้เป็นห่วงตัวเองว่าถ้าผมทำงานไปนานๆแล้วจะเป็นอย่างคุณรึเปล่า เพราะผมสังเกตตัวเองอยู่เหมือนกันว่าสมองมันชักจะไม่ไวเท่าสิบหรือสิบห้าปีก่อนซะแล้ว สงสัยจะเป็นเพราะน้ำองุ่นเน่าน้ำข้าวกลั่นพวกนี้ล่ะกระมัง ตื่นมาตอนนี้ก็ยังมึนตึ้บ แฮงก์โอเวอร์อยู่เลยนะเนี่ย แต่นอนต่อไม่ได้แล้วล่ะ

ผมอ่านที่คุณคอมฯเขียนอธิบายแล้ว รู้สึกว่าคุณเข้าใจระบบนี้ไม่เท่ากับที่ผมเข้าใจน่ะครับ และขออนุญาตแนะนำนิดนึงครับว่า ลองหาตำรามาอ่านปรับปรุงความเข้าใจเสียบ้างเป็นระยะๆก็ดีครับ ผมเองก็ทำงานในวงการนี้มาไม่มากไม่น้อยไปกว่าคุณซักเท่าไหร่ ก็ยังต้องลับสมองตัวเองอยู่เรื่อยๆครับ เด็กรุ่นใหม่ๆมันจะได้ไม่ว่าเอาได้ว่าแก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นานอะไรอย่างนั้น

ยังไงก็ ถ้าคุณคอมฯมีข้อชี้แนะอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากการที่บอกว่าอย่าอ้างตำราหรือเปเปอร์มาตอบ ก็แนะนำมาได้นะครับผม เพราะผมเพิ่งเริ่มมาจับงานที่เป็น CDMA และ WCDMA ได้ซักสองสามปีนี่ล่ะ

ว่าแต่ว่า คุณคอมฯดื่มบ้างรึเปล่าครับ ถ้าผมได้กลับกรุงเทพฯคราวหน้าจะชวนไปสังสรรค์กันซะหน่อย ถ้าไม่รังเกียจนะครับ :-)

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 14 ก.ย. 46 06:12:17 ]




ความคิดเห็นที่ 56

ขอบคุณคับที่เป็นห่วงผม คับอันที่จริงผมก็ไม่ค่อยได้มีความรู้อะไรมากเท่าไรหรอกคับเพราะว่าในสิ่งที่ผมรู้ มันก็แค่นี้ล่ะคับ แต่ผมก็จะ update ข้อมูลเสมอๆเหมือนกันคับ แต่ไม่ใช่การอ่านหนังสือ บางครั้งเรา 2 คนอาจ คนล่ะความถี่กันก็ได้คับ เนื่องด้วยจากตัวผม ที่ผมทำงานด้านนี้มา 10ปี ยังไม่ได้นับก่อนหน้านี้น่ะคับ ผมก็คิดว่าผมคงเป็นคนที่ยังไงก็ยังไม่เต็มอยู่ดี เพราะถ้าส่วนตัวแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านจะแต่ชอบทำมากกว่า มันก็เป็นอะไรทำนองเนี้ยล่ะคับ
จากข้อความนี้ผมก็เลยอยากจะขอแสดงความคิดที่เล็กน้อย สักนิดหนึ่ง

กับเรื่องแรกเลย ขอเริ่มจากส่วนตรงนี้เลยน่ะคับ
Communicator อธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหมครับ ว่า speech coding กับ multiple access technique นั้นเป็นเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่องอย่างไร และ DSSS คืออะไร

multiple access คือ การเข้าถึงหลายทาง (แหมเริ่มต้นก็บ้านนอกแล้วซิเรา) ซึ่งเราจะพิจารณาจากการสื่อสารทิศทางใดทิศทางหนึ่งเท่านั้น เช่น BTS ติดต่อ กับ MS หลายเครื่อง พร้อมๆกัน แบ่งออกเป็น FDMA,TDMA,CDMA ซึ่งแต่ละอันผมจะไม่อธิบายน่ะคับเดียวจะหาว่าผมสอนจรเข้ว่ายนําอีก มันก็เท่านี้ล่ะคับแบบหยาบๆ

ต่อมาคือ speech coding คือ
การนำเอารหัส Analog มากระทำกับ วงจร Electronic ชนิดหนึ่ง จาก สามชนิดที่มีอยู่ ให้เป็นสัญญาณ Digitel ซึ่งทุกระบบต้องใช้ แน่นอน 1 ล้าน % นี้ก็แบบหยาบๆอีกเช่นกัน

DSSS คือ Direct Sequence Spread Spectum หรือ การเข้ารหัสที่ผ่านการ Modulation ซึ่งการเข้ารหัส code นี้จะนิยมใช้ใน CDMA มาตั้งแต่กรุงศรียังไม่แตก(อันนี้ผมเวอร์เล่น) ซึ่งการ Spread มีอยู่ 4 แบบคือ DSSS,FHSS,THSS,Hybrid
อันนี้ก็อธิบายแบบหยาบๆเช่นกัน

ต่อมาคือการ Modulation คือกระบวนการแปลงข้อมูล digitel ที่มันเป็น 0 กับ 1 ให้ไปเป็นสัญญาณที่มีลักษณะให้เหมาะสม กับการส่งผ่านช่องสัญญาณโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า นี้ก็คือการอธิบายหยาบๆเช่นกัน

ดั้งนั้นในสิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ คุณ บูมเมอร์ดันบอกผมว่าผมเข้าใจผิดหมดแล้วบอกคุณ Kin อีกคน ผมก็เลยงงว่าในสิ่งเหล่านี้ มันผิดตรงไหน เริ่มกันเลยน่ะคับ

ส่วนที่ 1 คือ
แต่อย่าใช้คำว่า modulation มาใช้กับ cdma หรือ TDMA นะครับ มันผิดน่ะครับ พวก CDMA, TDMA, FDMA หรืออะไรนี่ มันเป็นเทคนิคการทำ multiple access และไม่ค่อยเกี่ยวกับ modulation ซึ่งก็คือการแปลงสัญญาณจากรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่ง

ผมยังสงสัยอยู่ว่า มันผิดตรงไหนคับ มันมีแต่ถูกกับถูกอยู่แล้วว่า ระบบ ที่เป็น digitel ที่ต้องอาศัย คลื่นแม่เหล็กเป็นพาหะ มันจะต้องอาศัยการ Modulation ทุกอย่างเลยคับ แม้กระทั่งดาวเทียมจนถึง วิทยุสมัครเล่น ดังนั้น TDMA,CDMA,FDMA,FDD,TDD มันต้อง Mos เพราะฉะนั้นอันนี้ล่ะที่ผมว่าคุณยังไม่เข้าใจไงล่ะคับ ซึ่ง CDMA ที่คุณเถีงคุณ Kin ว่าเข้าผิด มันก็ยังต้อง Modulation เลย แล้วระบบนี้ยังทำการ modulation แบบ BPSK ด้วย เพราะฉะนั้นที่คุณบอกว่าอย่าเอามาใช้นั้นคุณว่ามันคือการ Multi access นั้นคุณยังเข้าใจผิดเลยว่า Multi access นี้มันคือ กระบวนการในการ เข้าถึงลูกข่ายน่ะคับไม่ใช่ ความสามารถทางเชิง เทคนิคเลย

คราวนี้ผมจะขออธิบายให้คุณฟังอีกสักครั้งน่ะคับ อย่าหาว่าผมอวดฉลาดหรืออะไรเลยน่ะคับ แต่ผมอยากให้คุณอ่านแล้วคิดดูใหม่คับ

เริ่มกันตั้งแต่การ Speech coding ของ cdma ก่อนเลยน่ะคับ มันคือการที่ระบบกระทำกระบวนการ แปลงเสียง Analog (เสียงคนที่พูด) ให้เป็น Digital โดยการอาศัยวงจรประเภท Hybrid ในการแปลงโดยอาศัยการเข้ารหัสของวงจรแบบนี้คือ CELP (Code-book Excited Linear Prediction) ซึ่งเทคนิคนี้เราเรียกว่าการ Speech coding ของ CDMA หลังจากนั้นระบบเสียงก็จะเป็นระบบ Digital แล้วระบวนการต่อมาก็คือ การนำสัญญาณ ที่ Speech แล้วมา Modulation โดยการนำเอา PN-code หรือที่บางทีเขาเรียกว่า widebrand หรือ Pseudo-random (สัญญาณ Binary ที่มี บิต 0 กับ 1 ที่เกิดจากกานสุ่ม) มาทำการ MoS กับสัญญาณที่อยากจะส่ง ซึ่งสัญญาณที่ได้ออกมาจะป็น widebrand ซึ่งการ Modulation นี้ CDMA จะใช้เทคโนโลยี แบบ DSSS (Direct Sequence Spread Spectum) ซึ่งการ Modulation ของ CDMA นี้จะป็นวงจรแบบ BPSK (Binary Phase Shift Keying) พอหลังจากนั้นมาฟัง Rx เราก็จะรับ RF นั้นมาทำการ DeModulation โดยการนำเอา Pseudo-noise ที่ส่งมา เอามา MoS กับ Code. หลังจากนั้นก็จะได้ข้อมูลออกมาแบบเดียวกับที่ส่ง ซึ่งในบางครั้งในทางปฎิบัติจริงๆแล้วสัญญาณ รบกวนอาจยังมีอยู่ ในส่วนล่าง ของ NarrowBrand หลังจากที่ Noise ถูกหักล้างกันไปแล้ว บางครั้งหรือเกือบจะทุกครั้งก็ยังจะมี Noise ฮยู่บางส่วนอยู่ที่ Narrow brand ดังนั้นเราจึงต้องสร้างวงจรชนิดหนึ่งขึ้นมาที่เรียกว่า Noise Level มาเป็นตัวช่วยกรอง Noise ที่อาจมีอยู่ตรงส่วนล่างของ Narrowbrand ออกไปอีก ซึ่งวงจรนี้เราสามารถที่จะสร้างมันโดยการนำเอามาคำนวณ หาจาก Process Gain แล้วเราก็นำค่า Gp มาสร้างวงจร ซึ่งในส่วนตรงนี้ล่ะ มันเป็น Option เสริมที่นำมาใช้ในระบบ IS-95 ตั้งนานแล้ว แต่ในส่วน IS-127 ที่คุณมาบอก คือ Adaptive Noise Suppression ซึ่งก่อนหน้านี้ IS-95 ทางปฎิบัติเราก็สร้างกันขึ้นมาแล้วในฐานะเป็น ตัวช่วยเพิ่มแต่ พอมาใน IS-127 มันก็ถูกนำเข้ามาเลยในฐานะก้อนเดียวกันกับระบบไม่ใช้ส่วนเสริมอีกต่อไป เพราะฉะนั้นอันที่จริงมีมาตั้งแต่
IS-95 แล้วแต่ในทาง Technical เขาจะไม่พูดถึง ก็เท่านั้นเอง เหมือนกับ PDA ล่ะคับบางรุ่นก็มี Bluetooth บางรุ่นก็ไม่มีแต่ เราสามารถให้มันมีได้โดยการใช้ Option เสริม ในแบบ SD Card ได้

ส่วนต่อมาก็คือ
"...เช่นตัวอย่างหนึ่งที่อยากจะยกคือ ระบบ GSM ซึ่งผมแน่ใจว่าคุณคงต้องใช้ แน่นอน ว่าระบบ มันจะมี Traffic ch. อยู่ 8 แต่ทำไมบางครั้งเราจำเป็นที่จะต้องเอามาใช้แค่ 4 เองล่ะคับเพราะอะไรทำไมล่ะคับ เห็นไหมบางครั้ง ทฤษฏี มันก็เอามาใช้ไม่ได้หมดในทางปฎิบัติคับ..."

เพราะอะไรล่ะครับ?

อันนี้ผมถามคุณน่ะคับ ซึ่งคุณน่าจะหาเหตุผลมาตอบผมน่ะคับไม่ใช้มาถามย้อนผมอีกน่ะคับ เพราะในสิ่งนี้มันเป็นเชิงเทคนิคอย่างที่คุณอยากรู้แน่นอน รองคิดดูคับ

สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณน่ะคับ ที่มานั่งทนอ่านอะไรที่ไร้สาระแบบนี้อีก คับ


จากคุณ : Communicator - [ 14 ก.ย. 46 23:15:48 A:203.148.136.67 X:203.209.48.245 ]




ความคิดเห็นที่ 57

เอาล่ะ ไหนๆกระทู้นี้ก็เหลือแต่เราสองคนแล้วนะครับคุณคอมฯ เอาเป็นว่า คุยกันแบบสบายๆ ไม่เครียดก็แล้วกันนะครับผม ท่านอื่นๆที่บังเอิญโชคร้ายผ่านเข้ามาอ่าน ก็ถือซะว่า มีคนบ้ากะคนเมามาสิงสู่นั่งถกกันในกระทู้นี้ก็แล้วกันนะครับ

จากข้อความของคุณคอมฯในตอนแรกเริ่มที่ตั้งกระทู้ (ผมตัดมาแปะบางส่วน) เป็นดังนี้ครับ

"...CDMA มันจะเข้ารหัส แบบ DSSS ซึ่งคุณสมบัติแบบ นี้มันจะสามารถที่จะสร้าง band ที่แคบ ยืดออกให้กว้างได้ หลังจากนั้นมันจะถูกสร้าง Noise ขึ้นมาผสมกับ code ในลักษณะ widebrand ที่ถูกเข้ารหัสไว้หลังจากนั้นพอถึงผู้รับอีกคนก็ กรองเอาเฉพาะ Narrow brand มาเท่านั้น เพราะฉะนั้นคนที่รับจะได้ยินแต่เสียงเราเท่านั้น เช่น คุณไปยืนคุณข้างถนน มันก็มี Noise อยู่แล้วคุณก็คุยไปด้วยระบบก็จะได้รับทั้ง Noise จากถนน และเสียงคุณ และมันจะถูก Encode แบบ DSSS เสียงคุณกับรถมันก็ปนกันไปในเครือข่าย แต่พอถึงผู้ระบบ ระบบมันจะ DemoS widebrand ตัวนั้นออกมามันก็จะได้ Narrowbrand มา เพราะฉะนั้น Noise มันก็เลยไม่ถูก MOS มาด้วยเพราะว่ามันไม่ได้ถูก เข้า code ให้มีรหัสเดียวกันดังนั้นคุณจึงจะได้แต่เสียงที่ถูกเข้ารหัสไว้เท่านั้นเอง..."

จากข้อความสุดท้ายที่ว่า "...เพราะฉะนั้น Noise มันก็เลยไม่ถูก MOS มาด้วยเพราะว่ามันไม่ได้ถูก เข้า code ให้มีรหัสเดียวกันดังนั้นคุณจึงจะได้แต่เสียงที่ถูกเข้ารหัสไว้เท่านั้นเอง..." ทำให้ผมเข้าใจจากที่อ่านว่า เสียงพูดและเสียงรบกวนนั้นถูกผสมด้วย spreading code คนละอัน และเมื่อทั้งสัญญาณทั้งสอง (ทั้งเสียงพูดและเสียงรบกวน) เดิินทางมาถึงเครื่องรับ (เช่น สถานีฐาน) จะมีเฉพาะเสียงพูดเท่านั้นที่ถูก despread (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออ่านถึงข้อความ "... เพราะฉะนั้น Noise มันก็เลยไม่ถูก MOS มาด้วยเพราะว่ามันไม่ได้ถูก เข้า code ให้มีรหัสเดียวกันดังนั้นคุณจึงจะได้แต่เสียงที่ถูกเข้ารหัสไว้เท่านั้นเอง..." ยิ่งทำให้เข้าใจไปอย่างนั้นครับ)

และเมื่ออ่านต่อไปอีกนิดจะพบว่า "...ถ้าพูดแบบง่ายก้คือ คุณ ส่งเลขข้อหนึ่งให้เพื่อน แบบว่า คุณมีเลฃ10,20,30 แบบนี้คือ สิ่งที่คุณต้องการส่ง หลังจากนั้นคุณก็เอา 10 คูณเข้าไปคุณจะได้ 100,200,300 เลข 10 นั้นคือการ MoS หลังจากนั้นคุณเขียนเลฃเพิ่งเข้าไปอีกเช่น 1,23,19,25 อะไรก็ได้สมมตินี้คือ Noise มันก็จะปนกับตัวเลขของคุณ เป็น 100,1,200,23,300,19,25..."

แสดงให้เห็นว่า Noise ที่คุณคอมฯพูดถึงนั้น ถูกเพิ่มเข้ามาหลังจากทำ spreading สัญญาณเสียงพูดแล้ว ซึ่ง Noise ประเภทดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากภาค CODEC ครับ และ Noise ที่แทรกเข้ามาหลังจาก CODEC และ spreading แล้วนั้นจะเป็นอะไรไปเสียไม่ได้ นอกจาก 1) noise ในภาคเชื่อมต่อระหว่าง CODEC กับ Spreader 2) noise ในภาค RF 3) noise ใน air interface และ 4) noise ในภาครับปลายทาง

แต่ในความเป็นจริง "เสียง" รบกวน หรือ audio noise นั้นเกิดขึ้นที่ภาครับของส่วน CODEC ซึ่งก็คือ ที่อินพุทของไมโครโฟนแล้ว ดังนั้นเสียงรบกวนที่มีความถี่อยู่ในช่วง 0-4000 Hz นั้นก็จะถูกรวมเข้าไปกับสัญญาณเสียงพูดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ

ความเห็นของผมในกรณีนี้มีอยู่ว่า ทั้งเสียงพูดและเสียงรบกวน (audio noise) ถูกรับเข้ามาด้วยไมโครโฟนตัวเดียวกัน ดังนั้นมันจึงรวมกันไปเป็นอินพุทเพียงอินพุทเดียวเมื่อเข้าไปสู่วงจร CODEC ดังนัั้น เอาท์พุทของภาค CODEC ก็จะมีทั้งเสียงพูดและเสียงรบกวนผสมอยู่ในสัญญาณเดียวกัน ก่อนที่จะถูกนำไปเข้ารหัสแบบ CELP (หรืออะไรก็แล้วแต่) และดังนั้น ทัั้งสัญญาณเสียงพูดและ audio noise ที่แทรกเข้ามากับไมโครโฟน หลังจากผ่าน CODEC แล้วจะถูก spread ด้วย Pseudo-Noise อันเดียวกัน

แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 46 22:28:57

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 15 ก.ย. 46 22:21:16 ]




ความคิดเห็นที่ 58

เอาล่ะ ทีนี้กลับมาถึงประเด็นที่ว่า ทำไปผมถึงบอกว่าอย่าเอาคำว่า modulation มาใช้กับ CDMA หรือ TDMA (หรือ FDMA)

ความเห็นของผมต่อคำว่า Multiple Access Technique มีอยู่ว่า มันคือกลไกที่จัดสรรให้อุปกรณ์สื่อสารหลายๆตัวนั้น ส่งสัญญาณเข้ามาใช้ช่องสัญญาณที่มีอยู่จำกัดได้พร้อมๆกัน โดยที่เครือข่ายสามารถแยกแยะได้ว่า สัญญาณที่ได้รับนั้นเป็นของอุปกรณ์ตัวไหน

ตัวอย่างเช่นถ้าเป็น FDMA หรือ Frequency Division Multiple Access ก็หมายความว่า เรา (ระบบ) สามารถแยกแยะว่า สัญญาณที่ได้รับเป็นของอุปกรณ์ตัวไหน ก็ด้วยการแบ่งความถี่ให้อุปกรณ์แต่ละตัวใช้เป็นจำเพาะเจาะจงไป เช่น อุปกรณ์ ก. ให้ใช้ความถี่ 100.00 MHz อุปกรณ์ ข. ให้ใช่้ความถี่ 100.5 MHz ฯลฯ อะไรอย่างนี้เป็นต้น (ส่วน Multiple access แบบอื่นคงไม่พูดถึง เพราะมันจะยาวไป ขี้เกียจพิมพ์ และไวน์หมดขวด เริ่มง่วงนอนแล้ว)

ดังนั้นผมจึงบอกกับคุณคินดะอิจิว่า คำว่า CDMA, TDMA หรือ FDMA มันไม่ใช้ modulation เพราะมันคือกลไกการจัดสรรช่องสัญญาณที่มีอยู่ให้อุปกรณ์หลายๆตัวเข้ามาใช้ได้พร้อมๆกัน ( "เกือบ" จะพร้อมกันในกรณี TDMA)

ส่วน Multiple Access แบบไหนจะเอาวิธี modulate แบบไหนมาใช้นั่นก็อีกเรื่องนึง

ตัวอย่างเช่น ใน GSM ใช้ Multiple Access แบบ FDMA/TDMA และใช้การมอดูเลทแบบ GMSK, พอมาเป็น EDGE กลับใช้ 8PSK (แต่ก็เป็น FDMA/TDMA เหมือนกัน) ส่วน CDMA ใช้ modulation แบบ BPSK (ตามที่คุณคอมฯว่า...) พอมาเป็น WCDMA มันก็ใช้ modulation แบบ (คล้ายๆ) QPSK, ระบบโทรศัพท์ทางไกลชนบทผ่านดาวเทียมขององค์การโทรศัพท์ก็เป็น modulation แบบ QPSK และใช่้ multiple access technique แบบ FDMA/DAMA/Aloha เป็นต้น

ผมจึงบอกว่า กลไกการทำ Multiple Access นั้นมันคนละเรื่องกับ modulation ไงล่ะครับ

(นิยามของคำว่า modulation ของคุณคอมฯกับของผมนั้นคล้ายๆกันครับ คือการแปลงสัญญาณจากรูปหนึ่งไปยังอีกรูปหนึ่ง)

แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 46 23:07:44

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 15 ก.ย. 46 23:02:18 ]




ความคิดเห็นที่ 59

ต่อเรื่องคำว่า modulation อีกนิดหน่อย

ผมให้นิยามคำว่า modulation คล้ายๆกับที่คุณคอมฯให้ไว้ ก็คือ "...กระบวนการแปลงข้อมูล digitel ที่มันเป็น 0 กับ 1 ให้ไปเป็นสัญญาณที่มีลักษณะให้เหมาะสม กับการส่งผ่านช่องสัญญาณโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า..."

ถ้านำมาใช้กับ digital RF modulation ผมก็ว่านิยามที่คุณคอมฯให้มานั้นก็ค่อนข้างตรงประเด็นเลยทีเดียวครับ

แต่ทีนี้พอมาเป็น direct sequence CDMA เค้ากลับเอาคำว่า modulation มาใช้กับกระบวนการ spreading แถมยังเรียกความเร็วข้อมูลหลัง spreading ว่า symbol rate อีกแน่ะ (ใช้คำว่า chip rate ยังพอรับได้ครับ)

กระบวนการ spreading ก็คือการแปลงสัญญาณจาก narrow band (เช่น สัญญาณเอาพุทจาก CELP CODEC มีแบนด์วิดธ์ 13 kb/s หรือจาก EVRC CODEC มีแบนด์วิดธ์ 4/8/14 kb/s) ให้เป็น wideband ที่มีแบนด์วิดธ์ 1.2288 Mb/s (หรือ Mchips/s) โดยการผสมสัญญาณ narrow band เข้ากับ Pseudo Noise

สัญญาณที่ได้หลังจาก spreading มันก็ยังคงเป็นสัญญาณเบสแบนด์อยู่ดี เพียงแต่มีแบนด์วิดธ์กว้างขึ้น เพราะฉะนั้นถ้ากลับไปดูนิยามของคำว่า modulation ที่ว่า "...กระบวนการแปลงข้อมูล digitel ที่มันเป็น 0 กับ 1 ให้ไปเป็นสัญญาณที่มีลักษณะให้เหมาะสม กับการส่งผ่านช่องสัญญาณโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า..." คุณคอมฯคงเห็นด้วยกับผมว่า กระบวนการ spreading ใน cdma ไม่ควรถูกเรียกว่าเป็น modulation เพราะสัญญาณอินพุทกับเอาท์พุทของกระบวนการ spreading นี่มันก็ยังเป็น digital baseband คือ 0 กะ 1 อยู่ดี

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 15 ก.ย. 46 23:41:47 ]




ความคิดเห็นที่ 60

เอาล่ะ ทีนี้ลองมาเทียบแผนผังที่ผมเขียน กับที่คุณคอมฯได้กรุณาอธิบาย

เสียงพูด ---> ไมโครโฟน ---> วงจรเข้าและถอดรหัสสัญญาณเสียง (CODEC--coder & decoder)
"...เริ่มกันตั้งแต่การ Speech coding ของ cdma ก่อนเลยน่ะคับ มันคือการที่ระบบกระทำกระบวนการ แปลงเสียง Analog (เสียงคนที่พูด) ให้เป็น Digital โดยการอาศัยวงจรประเภท Hybrid ในการแปลงโดยอาศัยการเข้ารหัสของวงจรแบบนี้คือ CELP (Code-book Excited Linear Prediction) ซึ่งเทคนิคนี้เราเรียกว่าการ Speech coding ของ CDMA หลังจากนั้นระบบเสียงก็จะเป็นระบบ Digital..."

---> แปลงให้เป็นสัญญาณ cdma (เบสแบนด์)
"...แล้วกระบวนการต่อมาก็คือ การนำสัญญาณ ที่ Speech แล้วมา Modulation โดยการนำเอา PN-code หรือที่บางทีเขาเรียกว่า widebrand หรือ Pseudo-random (สัญญาณ Binary ที่มี บิต 0 กับ 1 ที่เกิดจากกานสุ่ม) มาทำการ MoS กับสัญญาณที่อยากจะส่ง ซึ่งสัญญาณที่ได้ออกมาจะป็น widebrand ซึ่งการ Modulation นี้ CDMA จะใช้เทคโนโลยี แบบ DSSS (Direct Sequence Spread Spectum)..."

---> แปลงสัญญาณ cdma เบสแบนด์ให้เป็นคลื่นวิทยุ
"... ซึ่งการ Modulation ของ CDMA นี้จะป็นวงจรแบบ BPSK (Binary Phase Shift Keying)..."

---> วงจรขยายสัญญาณวิทยุ

จริงๆแล้วก่อนจะนำไปเข้าภาค BPSK (ความจริงผมว่ามันเป็น QPSK นะ คือ มี BPSK ที่ตั้งฉากกันสองแกน) ควรจะมีภาค scramling อีก ถือว่าเป็นที่รู้กันก็แล้วกันครับ

ทีนี้พอมาถึงภาครับ ก่อนอื่นเลยก็ต้องแปลงจากสัญญาณคลื่นวิทยุกลับมาเป็นสัญญาณเบสแบนด์ก่อน นั่นก็คือส่วนของ RF demodulator เพราะฉะนั้น สัญญาณที่ออกมาจากภาค RF demodulator ก็คือสัญญาณเบสแบนด์ซึ่งมีแบนด์วิดธ์ 1.2288 Mchips/s ใช่ไหมครับ...หลังจากนั้นก็...

"...นำเอา Pseudo-noise ที่ส่งมา เอามา MoS กับ Code. หลังจากนั้นก็จะได้ข้อมูลออกมาแบบเดียวกับที่ส่ง..."

ซึ่งถ้ากลับไปดูที่ผมเขียนไว้ข้างบนก็จะตรงกับขั้นตอนนี้ครับ

C1 x (V1C1 + V2C2) = V1C12 + V2C1C2 = V1C12 (เพราะ C1 x C2 = 0)
C2 x (V1C1 + V2C2) = V1C1C2 + V2C22 = V2C22 (ด้วยเหตุผลเดียวกัน)

และในทางปฏิบัติจริง C1 x C2 ไม่มีทางมีค่าเท่ากับ ศูนย์ อย่างเก่งก็เพียงมีค่าใกล้เคียงศูนย์ (นั่นก็คือ ในทางปฏิบัติไม่มีทางที่จะได้ Orthogonality Factor = 100%) ดังนั้นจึงต้องมีการกรองเอา V2C1C2 และ V1C1C2 ออกไป นี่คือสิ่งที่คุณคอมฯบอกว่า...

"...ในบางครั้งในทางปฎิบัติจริงๆแล้วสัญญาณ รบกวนอาจยังมีอยู่ ในส่วนล่าง ของ NarrowBrand หลังจากที่ Noise ถูกหักล้างกันไปแล้ว บางครั้งหรือเกือบจะทุกครั้งก็ยังจะมี Noise ฮยู่บางส่วนอยู่ที่ Narrow brand ดังนั้นเราจึงต้องสร้างวงจรชนิดหนึ่งขึ้นมาที่เรียกว่า Noise Level มาเป็นตัวช่วยกรอง Noise ที่อาจมีอยู่ตรงส่วนล่างของ Narrowbrand ออกไปอีก..."

เมื่อกรองเอา pseudo-noise ไปแล้ว ก็จะเหลือเพียงสัญญาณเบสแบนด์ที่เป็น narrow band ซึ่งก็คือสัญญาณเสียงพูด (บวกกับสัญญาณเสียงรบกวนที่เข้ามากับไมโครโฟน) ที่ถูกเข้ารหัสรวมๆกันมาตั้งแต่ต้นทาง ใช่ไหมครับ

แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 46 00:19:20

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 16 ก.ย. 46 00:10:57 ]




ความคิดเห็นที่ 61

มาถึงตอนนี้ ผมเดาว่าคุณคอมฯคงยอมรับแล้วว่า EVRC ก็คือกรรมวิธีการเข้ารหัสช่องสัญญาณเสียงพูดประเภทนึง (ผมเดาจากข้อความ "...EVRC ก็มีการ speech code อีกแบบคือ RCELP คับ...") ซึ่งก่อนหน้านี้คุณคอมฯเคยบอกว่ามันไม่ใช่ (ในอีกกระทู้นึง (ซึ่งคุณใช้อีกชื่อนึง บอกว่า "...ส่วน EVRC ที่คุณพูดนั้นมันไม่ใช่ประเภทการเข้าโค้ดเลยครับ ลองไปศึกษามาใหม่ดูดีๆน่ะครับ...")

ทีนี้ลองมาดูว่า EVRC นี่มันช่วยเพิ่ม capacity ให้กับ CDMA ยังไงบ้าง โดยผมจะเทียบเพียงแค่ Processing Gain (Gp) (โดยคร่าวๆก็คือ spreading gain รวมกับ coding gain)

แบนด์วิดธ์ที่ได้จาก CELP ที่ใช้ใน IS-95 นั้นคือ 13 kb/s ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับ system chip rate คือ 1.2288 Mchips/s ก็จะได้ Gp ประมาณ 30 dB ในขณะที่แบนด์วิดธ์ที่ได้จาก EVRC สามารถเป็นได้สามค่า คือ 4, 8 และ 14 kb/s ซึ่งค่าเฉลี่ยก็คือ 8.67 kb/s ถ้าเอาค่านี้มาหา Gp ก็จะได้ประมาณ 31.5 dB ซึ่งจะมากกว่า CELP ประมาณ 1.5 dB (ซึ่งก็คือประมาณ 1.4 เท่า)--ง่า...นี่คือ คิดแบบเมาๆมั่วๆตอนตีสี่นะครับ ถ้าจะเอาละเอียดคงต้องรอให้ผมสร่างซะก่อน)

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 16 ก.ย. 46 00:56:21 ]




ความคิดเห็นที่ 62

แถมอีกนิดสำหรับคุณคินฯ

สำหรับเรื่อง capacity ในระบบ cdma ผมไม่มีตัวเลขหรอกครับว่าต้องมีผู้ใช้กี่คนพร้อมๆกันคุณภาพมันถึงจะห่วยลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวเลขห้าล้านนั้นผมยกขึ้นมาให้ลองสังเกตดูเล่นๆเฉย

แต่เท่าที่สัมผัสมาด้วยตัวเองเมื่อคราวไปทำ WCDMA IOT/MVI ให้กับ SK Telecom ที่ประเทศเกาหลีใต้นั้น ผมพบว่า คุณภาพของเสียงนั้นต่างกันอย่างไม่ต้องสังเกตเลยทีเดียว จุดที่ผมใช้ทดสอบนั้นก็คือในห้องพักที่โรงแรมนั่นเอง อยู่ห่างจากย่านพลุกพล่านประมาณสองกิโลเมตร จำนวนเซลที่ครอบคลุมบริเวณนั้นคงมีซัก 10 เซลเห็นจะได้

โทรฯทางไกลคุยกับเพื่อนที่อยู่เมืองไทยเวลาเที่ยงคืน เสียงชัดแจ๋วแหวว ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นการคุยข้่ามประเทศ แต่ ณ จุดทดสอบเดียวกันในเวลาราวๆหกโมงเย็น เสียง:-)จนแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้ง

นี่ล่ะครับ ประสบการณ์การใช้งาน cdma ของผม ผมถึงบอกว่ามันไม่ใช่ระบบเทวดา

โอ...ผมถามฝากไว้อีกนิดสิครับคุณ Communicator ว่าทำไมเราถึงต้องเอาความถี่ GSM 1900 MHz ที่ใช้กับไทยโมไบล์ไปกั๊กไม่ให้ UMTS ได้เกิดด้วยล่ะครับ (ถ้าเปิดเผยได้น่ะนะครับ เพราะเห็นบอกว่าเป็นผู้นำทีมขีดเส้นตายโปรเจ็กต์ 3G)

แหะๆ เกือบลืมตอบคุณคอมฯอีกข้อนึง เรื่อง GSM radio timeslot (ผมนึกว่ายกตัวอย่างเฉยๆ ผมก็เลยถามกลับน่ะสิ)

ผมเดาว่าคำตอบของคุณคอมฯคือ ปริมาณ paging capacity และจำนวน SDCCH ไม่พอ ก็เลยต้องแบ่งเอา timeslot ที่มีอยู่มาใช้เป็น SDCCH โดยที่มี timeslot 0 เป็น non-combined BCCH.....ใช่ไหมครับ

แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 46 01:14:13

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 16 ก.ย. 46 01:10:03 ]




ความคิดเห็นที่ 63

OK คับจากที่ผมอ่านมาผมว่าบางที่เราอาจจะมี ความถี่ที่เกือบจะใกล้กันแล้ว เดี๋ยวผมว่าอีกนิดเดียวก็จะเป็น Brand เดียวกันแล้วน่ะคับ

ส่วนแรกเลยคือ ที่ผมว่า
"EVRC ที่คุณพูดนั้นมันไม่ใช่ประเภทการเข้าโค้ดเลยครับ ลองไปศึกษามาใหม่ดูดีๆน่ะครับ".

ในส่วนตรงนี้เราอาจจะเข้าใจกันผิดอีกนิดแต่ถ้าพอได้เข้าใจกันผมว่าเราก็จะเข้าใจกันมากขึ้น งงไหมคับผมว่าผมเขียนงงน่ะเนี้ย เอาเป็นว่าเราจะเข้าใจกันมากขึ้นแล้วกัน

ในตอนแรกที่ผมกล่าวหาคุณ บูมเมอร์นั้นเนื่องจาก ที่ผมลองอ่านข้อความของคุณแล้ว อาจจะทำให้เราไม่เข้าใจในภาษาที่สื่อกันก็ได้

ส่วนที่คุณสื่อ คือ คุณเถียงผมว่า CDMA ไม่ได้เข้า รหัสแบบ CELP แต่เข้าแบบ EVRC ซึ่งในตอนนั้นที่ผมกล่าวหาคุณ เพราะในทางจริงๆ แล้ว มันไม่มีวงจรประเภท EVRC แต่มีแบบ RCELP ซึ่งการใช้คำแบบนี้อาจทำให้เราเข้าใจกันผิตก็ได้ ซึ่งคุณอาจที่จะหมายถึง ประเภทCODEC แต่ผมสื่อที่จะพูดถึง ประเภทการใช้วงจรในการเข้ารหัส code ซึ่งจุดนี้มันอาจที่จะทำให้เราสองคนเข้าใจกันผิดก็เป็นได้ งั้นถ้าจุดตรงนี้มันทำให้เราสองคนมองกันคนละด้านมาตลอดงั้นผมก็จะเป็นคนเปลื่ยน มามองด้านเดียวกับคุณด้วยแล้วกันน่ะคับ ว่าเราพูดถึงประเภท CODEC

ส่วนเรื่องที่สองเกี่ยวกับการ modulation หรือ การ mos ผมว่าคุณก็คงเริ่มเข้าใจบ้างแล้วล่ะคับ ซึ่งยังมีอีกนิดหนึ่ง ก็คือว่า

คำว่า Spread นั้น ที่มันจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทที่ผมบอกไปนั้น มันจะมีกรรมวิธีไม่เหมือนกันใช่ไหมล่ะคับ แต่ที่เราพูดกันอยู่นี้เราจะอาแค่การ Modulation ของ CDMA มาพูดใช้ไหมล่ะคับดังนั้นเราก็จะพูดเกี่ยวกับ DSSS เท่านั้นน่ะคับ คราวนี้ ถามว่า เอาคำว่า mos หรือ modulation มาใช้กับ มันผลิตไหม อธิบายแบบนี้แล้วกันน่ะคับว่า เอาเป็นว่าการ modulation นั้นมันขึ้นอยู่กับชนิดของ วงจรและ หน้าที่ของมันดีกว่า เช่น ในระบบ CDMA นี้ เราจะนำเอา สัญญาณ มา 2 แล้วมา mos กัน โดยใช้ eXcusive OR เป็นตัว mos เพื่อให้เกิดสัญญาณ ที่เกิดมาจากการสุ่มนั้นกับสัญญาณ massage ให้มันรวมกันได้ ซึ่งการกระทำแบบนี้ คนที่มันคิดค้นมัน จะดันเรียกว่า การ Spread Spactum เราก็เลยต้องมาเรียกการ Mos แบบว่า Spread spectum กันมาตลอดเลย เพราะฉะนั้น เรื่องการ บัญญัติคำไม่ตรงวัตถุประสงค์แบบนี้ต้องโทษคนคิด (คนคิดนี้คือสถาบันวิจัยLab ที่ใหญ่ที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดที่ชื่อว่า Ball Lab ของ AT&T เป็นผู้ก่อตั้ง) อย่างเช่นการ mos ของสัญญาณ ที่แป้นกดล่ะคับ ว่ากดเบอร์ 1 ถี่ในแถว A จะ Mos กับ ความถี่ในแถวที่กำหนด เท่านั้น ไม่สามารถไปเอาแถวอื่นมา Mos กับความถี่ที่ กำหนด อื่นได้ซึ่งกรรมวิธีนี้ก็เรียกว่าเป็นการ Modulation เหมือนกันที่เรียกว่า DTMF ไง ถามว่าไงมันไม่เห็นตรงกับนิยามเลยว่าไหมว่าเป็นสัญญาณ ดิจิตอล 0 กับ 1 แปลงให้ส่งไปในอากาศ ผมเห็นมันก็อยู่ในโทรศัพท์ ไม่ใช่เหรอ ว่า งง :-x จัง แล้วเรียกว่าการ modulation ได้ไงเนี้ย เห็นไหมคับว่าเพราะฉะนั้นการ mos ในเชิงทางเทคนิคมันไม่ได้หมายความว่ามันจะกำหนดตายตัวว่าทำกับแบบนี้เรียก modulation ทำกับแบบนี้เรียก mix ซึ่งปัจจัยหลายอย่างตรงนี้มันลึกมาก ถ้าหากเชิงเทคนิคแล้ว จะมีแยกลงไปอีกว่า ให้ Mos แบบ NOR,XOR,NAN,...etc หรือ หากผ่าน Gain ให้ mix ผ่าน R,L,C ให้อะไรอีกมากมายเลย โอยอะไรมันจะขนาดนั้น บางครั้งผมยังสงสัยเลยน่ะคับว่า มานั่งจำมันทำไมวะเราเนี้ย น่าไปจำเรื่องอื่นบางดีกว่า ผมว่าน่ะบางครั้งคุณ บูมเมอร์ ก็น่าจะคิดอะไรแบบผมบางน่ะ ว่าช่างมันเถอะเยอะนักก็ ช่างมันบ้างก็ได้บ้างครั้งคนเราก็ไม่ต้อง เปะๆๆ อะไรขนาดนั้นก็ได้ เพราะว่ามันยังมีอีกเยอะให้เราต้องจำมากมายเลย โอ๊ยตึบ ซึ่งในจุดตรงนี้ คุณ Kin อาจจะใช้คำที่ผิตเช่นกัน

อีกสักเรื่องคับ คือเรื่อง Gp นั้นส่วนตัวผมแล้วจะมองแบบนี้ คับว่า

Gp = BW rf / R info มันน่าจะออกมาแบบนี้น่ะคับ

ซึ่ง ได้เท่าไรวานช่วยคิดด้วยอีกทีน่ะคับ ขอบคุณล่วงหน้าคับ

ส่วนการเรื่องการ modulation นั้นเรื่อง

---> วงจรขยายสัญญาณวิทยุ

จริงๆแล้วก่อนจะนำไปเข้าภาค BPSK (ความจริงผมว่ามันเป็น QPSK นะ คือ มี BPSK ที่ตั้งฉากกันสองแกน) ควรจะมีภาค scramling อีก ถือว่าเป็นที่รู้กันก็แล้วกันครับ

แน่นอนคับอันนี้ผมลืมอธิบายไปว่ามันว่าต้องมี QPSK อีกอย่างแน่นอน ในการ Modulation สัญญาณ ด้วย Sin and Cos อันนี้ก็ขอขอบคุณน่ะคับที่ยกขึ้นมาพูด

ส่วนต่อมาคือ

โอ...ผมถามฝากไว้อีกนิดสิครับคุณ Communicator ว่าทำไมเราถึงต้องเอาความถี่ GSM 1900 MHz ที่ใช้กับไทยโมไบล์ไปกั๊กไม่ให้ UMTS ได้เกิดด้วยล่ะครับ (ถ้าเปิดเผยได้น่ะนะครับ เพราะเห็นบอกว่าเป็นผู้นำทีมขีดเส้นตายโปรเจ็กต์ 3G)

เหตุการณ์เหล่านี้เจอกันบ่อยคับ กับธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำกับรัฐ การกั๊ก ไว้ก็เนื่องจาก ว่าระบบ 3 G นี้คือเนื้อก้อนโตแบบมหาศาลเลย ถ้าไม่กั๊กไว้แล้วไปตกกับเอกชนรายใดรายหนึ่ง ก็อาจจะทำให้รัฐเสียโอกาสที่จะ โกยได้ นี้มันก็เป็นจุดแรกเลย ซึ่งการวิเคราะห์ว่ามันจะโกยเงินมหาศาลนี้มาจาก คุณ สุธรรม มลิลา มั่งถ้าจำไม่ผิตน่ะเพราะตอนนั้นผม อยู่ที่ UK แล้วเพื่อน mail มาบอก ก็เลยไม่แน่ใจเรื่องชื่อ แต่ถ้าพาดพิง ผมก็ขอโทษเขาด้วยแล้วกัน ต่อมาส่วนที่สองคือ เงินงบประมาณที่มีเพียงแค่น้อนนิด เหมือนหยิบมือเดียว เพียงแค่เท่านี้ก็หมดสิทธิ์แล้วล่ะคับ เพราะว่า ไม่มีเงินก็ไม่มีสิทธิ์ล่ะคับ คุณ บูมเมอร์ก็รู้ใช่ไหม เพราะนี้ตอนนี้บริษัทที่เขาเอาผมมาจาก บริษัทแม่ เขาก็กำลังกุมขมับกันอยู่เหมือนกัน เพราะผมเล่าให้เขาฟังว่า มันต้องหนาน่ะ เพราะว่าถ้าไม่แน่จริงไม่มีทาง ขนาดบริษัทแม่ของผมที่ UK (ลืมบอกไปว่าคือบริษัท Vodafoneไม่รู้ว่าจะรู้จักไหม ผมว่าคุณคงรู้น่ะเพราะว่าอยู่เกี่ยวกับด้านนี้เหมือนกันนิ) เขายังทุ่มมาแล้ว 1000ล้านปอด์น ยังมีข้อเสียอยู่เลย แล้วคุณจะมาเอาอะไรกับ ค่ายคุณล่ะพูดแบบนี้ไปคิดนักเลย แต่เขาก็บอกว่า อยากที่จะให้ ทำให้ได้ เห็นไหมคับแค่นี้เขาก็หวังจะกอบโกยแล้ว ยิ่งตอนนี้พวกผมเลยรีบไปสร้าง brand ให้ DTAC โชว์เต็มที่เลยกับ EDGE เนี้ยหวังอีกเยอะ อันที่จริงแล้ว DTAC ทำได้เยอะมากเลย เพราะว่า BW เขามีมากกว่า ทำอะไรก็เต็มที่กว่า ไม่เหมือนอีก 4 ข่าย และ อีก1 CDMA แต่วันนี้ ณ เวลานี้ ผมกล้าฟันธงไปตรงนี้เลยว่า ประเทศไทยเราได้ใช้ 3 G ก่อนเพื่อนบ้านแน่นอน คับอดใจรอหน่อย หยอดเงินไว้ เอามาจ่าย ค่า บิลล์ แน่ๆ เพราะ ตอนนี้มีหลาย technology เหลือเกิน ทั้ง
UWC-136 , WCDMA , CDMA 1xEV-DO , Hybrid ,WTDMA ,... โอยตึบอีกแล้ว แต่ที่ Vodafone ทำการ test ไปนี้ก็เป็น UMTS ทำร่วมกันกับยักษ์ใหญ่ทั้งหมดเลย แต่เครื่องที่ผม test มีแค่ ซีเมนท์ กับ อีริคสัน น่ะ ไม่รู้โนเกียไปไหน แต่ work ดีคับ Download หนังเนี้ยใช้ เวลาที่ 2Mbps เลยจริงตามทฤษฎีเลย แต่รองรับคนได้ไม่เกิน 3000 คนในเวลานั้นน่ะคับ ก็เลยต้องรื้อ

อ้อ นั่ง บ่นไร้สาระมาตั้งนาน โอยเหนื่อยแล้ว ถ้ายังไงมีเวลาคุณกันอีกก้เข้ามาน่ะคับ เพราะอย่างน้อยเราก็ได้มานั่งคุยกันอย่าง เป็นกันเอง คนนี้เริ่ม คนนี้ติ คนนี้ตอบ มันดีคับ

อ่าส่วนคำตอบนั้น ใช่ คับมีส่วน ตรงจุดนั้นเลย ในบางครั้งเราอาจทำแบบนั้น เมื่อต้องการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบ คับ

ถ้าไงวันหลังอยากคุยกันอีก ก็ลอง mail มาหาผมดูได้น่ะครับที่

Mrmobileman@hotmail.com

ยินดีคุณทุกเวลาคับ งั้นคืนนี้ขอบคุณน่ะคับ ที่ขยันขันแข็งมากในการเสวนากับคนบ้าแบบผม มันก็ยังดีคับที่เราได้อะไรจากกันอีกมากอย่างน้อยมันก็คำว่า " เพื่อน " ล่ะคับที่ ที่ทำให้เราได้จากเหตุการนี้

ขอบคุณ

คุณ บูมเมอร์ น่ะคับ

จากคุณ : Communicator - [ 16 ก.ย. 46 03:22:18 A:203.148.136.67 X:203.209.49.61 ]




ความคิดเห็นที่ 64

"...บางครั้งผมยังสงสัยเลยน่ะคับว่า มานั่งจำมันทำไมวะเราเนี้ย น่าไปจำเรื่องอื่นบางดีกว่า ผมว่าน่ะบางครั้งคุณ บูมเมอร์ ก็น่าจะคิดอะไรแบบผมบางน่ะ ว่าช่างมันเถอะเยอะนักก็ ช่างมันบ้างก็ได้บ้างครั้งคนเราก็ไม่ต้อง เปะๆๆ อะไรขนาดนั้นก็ได้ เพราะว่ามันยังมีอีกเยอะให้เราต้องจำมากมายเลย..."

ครับ เห็นด้วยครับ ผมกะว่าซักวันถ้าเบื่อมากๆ จะลาออกมาเปิดร้านขายหมาแล้วล่ะ ตอนนี้ยังออกไม่ได้ เดี๋ยวไม่มีตังค์ซื้อฟิล์มมาถ่ายรูปเล่นน่ะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 16 ก.ย. 46 07:31:41 ]




ความคิดเห็นที่ 65

ฮี่ๆ เห็นพี่ๆ(เดาว่าน่าจะเป็นพี่แน่ๆ ดูจากอายุงานแล้ว ห่างกับผมโข) แจมกัน 2 คน แต่ไม่ได้มีคนอ่านกันแค่ 2 คนแน่ครับ ผมก้อตามอ่านอยู่ ;-)

จากคุณ : Kindaichi - [ 16 ก.ย. 46 09:26:05 ]




ความคิดเห็นที่ 66

เอา...พี่ก็พี่ครับคุณคินฯ

"...อีกสักเรื่องคับ คือเรื่อง Gp นั้นส่วนตัวผมแล้วจะมองแบบนี้ คับว่า

Gp = BW rf / R info มันน่าจะออกมาแบบนี้น่ะคับ

ซึ่ง ได้เท่าไรวานช่วยคิดด้วยอีกทีน่ะคับ ขอบคุณล่วงหน้าคับ..."

เอา modulated bandwidth (BW rf) มาคิดมันก็ใกล้เคียงครับ อาจจะได้ค่า gain มากกว่านิดหน่อย แต่ถามว่า เราจะ bandwidth ตรงไหนมาคิดล่ะครับคุณคอมฯ ที่ -3 dB หรือที่ -6 dB?

ถ้าเป็นผมคงเอาที่ -3 dB bandwidth แต่อย่าลืมว่า modulated bandwidth นี่มันรวม BT product (ความ "บาน" ของของแบนด์วิดธ์หลังจาก modulate แล้ว) เข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าหักเอา BT product ออกไป ค่า processing gain มันก็เหลือใกล้เคียงกับการเอา system chip rate มาคำนวณอยู่ดี

ดังนั้น เอา system chip rate มาหารด้วย Rinfo ทื่อๆเลยก็ง่ายดีครับ

จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 16 ก.ย. 46 11:04:13 ]




ความคิดเห็นที่ 67


ถ้าจะกรุณาอ่ะครับ คราวต่อไปถ้าจะถกกันช่วยแปลใส่วงเล็บข้างหลังศัพท์หรืออธิบายให้ด้วยได้ไหมครับ อยากรู้แต่อ่านแล้วยิ่งงงมากขึ้นอ่ะครับ

จากคุณ : Cart - [ 16 ก.ย. 46 18:00:08 ]




ความคิดเห็นที่ 68

สวัสดีคับ คุณ บูมเมอร์ และคุณ Kin ที่ยังเป็นผู้หลงถูกทางเข้ามายังติดตาม งั้นเข้าเรื่องก่อนเลยดีกว่าคับ
เรื่องที่ 1

ถ้าสนตัวผมแล้ว ผมจะมองออกมาลักษณะนี้อ่ะคับ

ว่าสมมุติ Data rate = 9600 bps and Chip rate 1.2288 Mcps , BW 1.25 MHz

เพราะฉะนั้นจากสูตร ของที่ผมบอกก็คือ

Gp = BW / R

ผมก็นำเอา

1.25MHz/9600bps
คำตอบออกมาก็น่าจะประมาณ
130.2 คิดเป็น dB ก็ประมาณ 21.15 dB อันนี้ถ้าคิดผิตต้องขอโทษด้วยเพราะนั่งคิดในกระดาษ แต่ที่ผมคิดได้ประมาณ นี้อะน่ะคับ
แต่ถ้าเอา Chip rate มาหารด้วย R อันนี้ผมไม่เคยลองคิดดูอ่ะน่ะคับงั้นถ้าผมลองมาคิดดูว่า เอา Chip มาคิดจะได้แบบนี้คือ

1.2288MHz/9600 bps

แบบนี้อ่ะเปล่าคับ ใช่หรือเปล่าแบบนี้ที่คุณบอก งั้นถ้าเราคิดแบบนี้เราจะมองใน แกน PSD (Power Spread Density) ยังไงล่ะคับ
ถ้าเราเทียบ กับแกน Frequency อ่ะคับ ผมว่ามันก็น่าจะเพี้ยนไปบ้างน่ะคับ เพราะว่าเราจะต้องนำเอา Gp นี้มาคิดแก้ปัญหาในระบบด้วยถ้ามันผิดหรือ
เพี้ยนไปนิดเดียวมันก็จะทำให้เราทำงานได้พลาดได้น่ะคับ
ผมจะลองยกตัวอย่างจากเหตุการที่คุณเจอมาดูแล้วกันน่ะคับว่าทำไมบางเวลามันถึงห่วยจังเลยน่ะเจ้า CDMA เนี้ย
ถ้าในระบบ TDMA/FDMA นั้นขนาดขนาดความจุของระบบขึ้นอยู่กับขนาดของสเปกตัมความถี่ที่มีอยู่ และ BW ของ สัญญาณแต่ละช่องเป็นหลัก
โดยคำนาณหาขนาดความจุนั้นต่อนข้างง่าย เช่น คำนาวณหาขนาดความจุในแต่ละ cell ของ FDMA จาก ขนาด spectum ความถี่ที่มีอยู่ หาร
ด้วยขนาด BW ของช่องสัญญาณเสียงแต่ละช่อง และถ้าระบบมีการจัดวาง cell เป็นกลุ่มล่ะ 7 cell เพื่อลดปัญหาของการแทรกสอด Co-Channel
ก็ให้เอาผลที่ได้มาหาร ด้วย 7 อีกผลลัพธ์ที่ได้ ก็จะคือขนาดความจุของแต่ละ cell ภายในระบบ

แต่ในกรณีของ CDMA เนี้ยขนาดความจุของระบบนั้นจะขึ้นอยู่กับระดับสัญญาณรบกวน (interference) เป็นหลัก นั้นก็คือระบบจะยังคงสามารถ
ที่จะทำงานได้โดยปกติตราบใดที่ปริมาณของสัญญาณรบกวนนั้นยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป (อันนี้ผมลองใช้กรณีของคุณที่ korea มาเป็น
เหตุการณ์อ่ะน่ะคับขอยืมหน่อย) สัญญาณที่รบกวนเหล่านี้มันจะเกิดจากผู้ใช้รายอื่นที่อยู่ในบริเวณรอบข้างที่มีการใช้งานที่ความถี่เดียวกัน หรือเราจะ
พิจารณาว่า
cell หนึ่ง cell ที่มีผู้ใช้ทั้งหมดจำนวน k คน กำลังของสัญญาณรบกวนจากผู้ใช้อื่นๆทั้งหมดภายใน cell ก้จะมีค่า เท่ากับ P(k-1)
P คือ กำลังของสัญญาณที่ spread แล้ว เพราะฉะนั้น ค่ความหนาแน่นของ N จะต้องมีค่าเท่ากับ P(k-1)/BW ก็จะได้

N = P(k-1) / BW ลืมบอกไปว่าต้องเป็น N ห้อย 0 ด้วย

ต่อมาพลังงานของสัญญาณข้อมูล 1 bit คือ Eห้อยb จะมีค่าเท่ากับ
P/R โดยที่ R ก็คือ อัตราการส่ง (bps)
ดังนั้นเราก็จะได้

E/N(0) = (P/R)/(P(K-1)/BW) = W/(R(K-1))

ถ้าเรากำหนดให้ Process Gain G(p) =BW/R

จะได้

k = 1+G/(E/N)

สมการนี้คิดเฉพาะผลของสัญญาณรบกวนจากผู้ใช้ใน cell เดียวเท่านั้น่ะคับ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะมาคิดถึงผลกระทบของ cell รอบข้างด้วยขนาดของ
สัญญาณรบกวน จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1.5 เท่า ก็จะได้

k=1+G/[1.5(E/N)]

ถ้าหากสายอากาศที่ใช้เป็นแบบที่กำหนดทิศทางให้ครอบคลุมเพียงแค่ 1/3 ของพื้นที่ทั้งหมดก็จะสามารถลดสัญญาณรบกวนลงได้อีก เราจะสามารถจะ
ประมาณค่าการลดทอนของสัญญาณรบกวนโดยคูณ ค่าสัญญาณรบกวนกับค่าตัวแปร S ซึ่งมีค่าประมาณ 2.4 เท่า และ ในขนาดที่ผู้ใช้นั้นยังไม่พูด
แต่ฟังอยู่ระบบมันจะไม่สร้าง สัญญาณรบกวนต่อผู้ใช้รายอื่นอยู่ดังนั้นค่าที่ลดลงก็กำหนดด้วยตัวแปร V โดยที่ 1/V จะคือ % ของเวลาที่ไม่มีสัญญาณ
เสียง เราก็จะได้สมการ

k=1+G/[1.5(E/N)]SV

ก็จะประมาณนี้ แต่ถ้าเรานำค่า G=Chip rate/BW ผมว่าค่ามันก็น่าจะต่างออกไปน่ะคับ

ดังนั้นในกรณีนี้ก็คือว่า เราจะแก้ไขปัญหาของระบบ CDMA ได้ไงในเวลาที่ ขนาดของความจุในระบบมีปัญหา ผมว่าน่ะ อันที่จริงการที่ระบบมันแย่นี้มัน
มันไม่ได้
มาจากตัวระบบเองหรอก ผมว่ามันมาจากองค์ประกอบอื่นอีกด้วยเช่น เรื่อง Attenna และ การออกแบบเครือข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่ว่ากี่ตารางกิโลเมตร
รวมทั้งคำนึงถึง Pattern ของระบบด้วย แล้วยิ่งถ้า ใน 3G อ่ะน่ะคับ ยิ่งแย่ใหญ่เลย

ซึ่งในจุดตรงนี้เรามองข้ามกันไป ก็เลยทำให้ระบบมันยังแย่อยู่ ว่าต้องเหนื่อยอีกแล้วซิเนี้ย เครียดมากๆๆๆๆ

ถ้าส่วนตัวคุณ ฐูมเมอร์คิดยังไงก็ช่วยกัน แชร์หน่อยน่ะคับเดี๋ยวเพื่อจะได้ ไอเดียใหม่ๆบาง อ้อไหนลองเราเรื่องที่ไป test ที่ korea ให้ผมฟังบางซิคับ
เพื่อ จะได้เจอปัญหาอย่างอื่นบางในยุคหน้าเนี้ยล่ะคับ ลองแสดงความคิดเห็นและปัญหามาเยอะๆน่ะคับ เพื่อจะได้มีการแก้ปัญหากัน

โอ็ยยิ่งคิดยิ่งเครียด มาหาเรื่องที่สบายๆคุยกันบางดีกว่า เห็นว่าจะเปิดฟาร์มสุนัขเหรอคับ ดีคับดีผมว่าเพลินดี ของผมก็เลี้ยงไว้ตัวคับ ชิวาวา ซนสุดๆ เลยเลี้ยง แล้วแก้เครียดได้เหมือนกันน่ะผมว่า

ขอบคุณคับ


จากคุณ : Communicator - [ 16 ก.ย. 46 19:07:31 A:203.148.136.67 X:203.209.49.13 ]




ความคิดเห็นที่ 69

ขออนุญาตหายตัวไปซักเดือนนึงนะครับ

สัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้าผมอยู่มะนิลา ตามด้วยฮ่องกงอีกสองสัปดาห์ กว่าจะว่ามีเวลาสมองโล่งๆเข้ามานั่งตอบกระทู้ได้นานๆอย่างนี้อีกก็คงราวๆปลายเดือนตุลาฯโน่นล่ะ

ตอนนี้ก็คงได้แต่เข้าโฉบอ่านกระทู้เล่นเฉยๆครับ

แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 46 22:22:16

จากคุณ : สวัสดีครับ (บูมเมอร์) - [ 18 ก.ย. 46 20:39:26 ]




ความคิดเห็นที่ 70

สวัสดีคับ คุณบูมเมอร์
แล้วไงเดียวเจอกันคับ ช่วงนี้ผมก็เริ่มยุ่งเหมือนกันคับ
งั้นขอให้เที่ยวให้สนุกน่ะคับ ผม


จากคุณ : Communicator - [ 18 ก.ย. 46 23:46:26 A:203.148.136.67 X:203.209.48.127 ]




ความคิดเห็นที่ 71

งงอิ๊บอ๋าย

ไม่ใช่งงสิ คือมันไม่รู้เรื่องเลย เลยไม่งง

จากคุณ : เชื่อผมเหอะ แล้วดีเอง - [ 21 ก.ย. 46 12:35:00 ]




ความคิดเห็นที่ 72

//www.hutchclub.com/

จากคุณ : หน้ากากแอ๊คชั่น - [ 1 ต.ค. 46 03:04:49 ]


โดย: บูมเมอร์ วันที่: 30 ธันวาคม 2548 เวลา:13:35:06 น.  

 




โดย: zMee วันที่: 30 ธันวาคม 2548 เวลา:15:18:10 น.  

 


โดย: น้ำพุ IP: 202.29.53.1 วันที่: 26 กรกฎาคม 2549 เวลา:11:24:29 น.  

 
สวัสดีครับ ผมอยากได้เอกสารเกี่ยวกับการเข้าถึงหลายทาง


โดย: น้ำพุ IP: 202.29.53.1 วันที่: 26 กรกฎาคม 2549 เวลา:11:28:59 น.  

 


โดย: vondon IP: 124.120.62.91 วันที่: 7 กันยายน 2549 เวลา:15:16:55 น.  

 
cdmaก็ดีนะ ดีแค่ระบบมันจะมอดเสียงในย่านความถื่เฉพาะเท่านั้น


โดย: เด IP: 58.9.29.199 วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:16:02:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

บูมเมอร์
Location :
บ้านดุง (Bandung) Indonesia

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add บูมเมอร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.