|
จิตวิทยาของผู้นำ: บทเรียนจากวิกฤติการเมือง พ.ศ. 2551
เหตุวิกฤติการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยที่เกิดขึ้นในระหว่างปี พ.ศ.2551 นับว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าวิเคราะห์เพื่อการเรียนรู้มากทีเดียว เราสามารถมองเหตุการณ์นี้ได้ในหลายรูปแบบ แต่ผมอยากเลือกมองเพียงด้านเดียวคือ จิตวิทยาของผู้นำ
เราได้เห็นนายกรัฐมนตรีที่ไร้บารมีที่จะกระตุ้นให้ประชาชนจำนวนหนึ่งเชื่อถือ ถูกกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยึดทำเนียบจนต้องระเหเร่ร่อนหาสถานที่ทำงานไม่ได้ ครั้นออกพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินยังไร้บารมีที่จะสั่งการทหารให้ใช้มาตรการทางทหารยึดทำเนียบคืนทั้งที่นั่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมด้วย
เอาเข้าจริงๆ การมีตำแหน่งบังคับบัญชาหรือบริหารยิ่งใหญ่ที่สุดขนาดนายกรัฐมนตรีของประเทศก็ไม่สามารถกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามความต้องการของตนได้
ในทางจิตวิทยาสังคมนั้น ผู้นำคือผู้ที่สามารถใช้อำนาจกระตุ้นให้ผู้อื่นเต็มใจที่จะปฏิบัติตามที่ผู้นำปรารถนาให้ทำ
นักจิตวิทยาสังคมได้แบ่งอำนาจในการกระตุ้นคนออกเป็น 5 ประเภทคือ 1) อำนาจจากตำแหน่งหรือกฎหมาย 2)อำนาจจากการให้รางวัล 3) อำนาจจากการข่มขู่ 4) อำนาจจากการมีบารมี 5) อำนาจจากการมีความเชี่ยวชาญ
อำนาจประเภทที่ 1-3 นั้นพวกนักจิตวิทยาสังคมเรียกว่า อำนาจการเป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหาร ส่วนอำนาจที่ 4-5 นั้นเรียกว่า อำนาจการเป็นผู้นำ เราได้เรียนรู้อย่างชัดเจนว่า แม้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจประเภทที่ 1-3 แต่พอสั่งการไปแล้วทหารกลับไม่ทำตาม ทั้งที่ทหารมีระเบียบวินัยที่จะต้องเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา มีการจัดสายการบริหารที่เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด การไม่ทำตามคำสั่งสามารถทำให้ถูกลงโทษได้
กรณีของการที่ทหารดื้อไม่ทำตามที่นายกรัฐมนตรีต้องการ อาจจะเรียกว่า Hat (ตำแหน่ง) ไม่สำคัญเท่ากับ Heart (บารมี ความรัก ความเคารพ) ก็ได้ แต่เมื่อเราหันไปดูกลุ่มพันธมิตรบ้าง เราจะเห็นการจัดระเบียบหลวมมาก ไม่มีกฎหมายระเบียบอะไรมารองรับความสัมพันธ์ของกลุ่มคนที่มาร่วมเลย ไม่มีใครเป็นผู้นำชัดเจนแต่ร่วมกันนำ 5 คน และทั้ง 5 คนนี้ไร้อำนาจประเภทที่ 1-3 โดยสิ้นเชิง แต่เขากลับสามารถกระตุ้นให้ผู้คนมากมายมาร่วมชุมนุมและยึดทำเนียบได้ ฝนตกแดดออกยังไงก็มา
จะเห็นได้เลยว่า อำนาจกระตุ้นให้คนมาร่วมชุมนุมนั้นมาจากอำนาจที่ 4-5 บารมีและความเชี่ยวชาญของผู้นำกลุ่มเป็นส่วนสำคัญ พวกเขามาเพื่อฟังการอภิปรายข้อมูลเชิงลึกของผู้คนในฝ่ายรัฐบาล ซึ่งพวกเขามีความเชื่ออยู่แล้วว่าทุจริต
พวกเขามาเพื่อหาข้อมูลตอกย้ำความเชื่อที่มีอยู่แต่เดิม ยิ่งมารู้ข้อมูลเชิงลึกที่แฉกันบนเวที ยิ่งทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น ยิ่งนับถือแกนนำ 5 คนมากขึ้น ยิ่งเห็นความเสียสละตนเองของแกนนำมากขึ้น ยิ่งเกลียดนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชมากขึ้น
สิ่งที่เป็นคุณต่อแกนนำพันธมิตรคือ นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชชอบออกรายการโทรทัศน์และวิทยุ ยิ่งพูดยิ่งพลาด ยิ่งทำให้คนทั่วไปเห็นชัดขึ้นทุกวันว่า นายกรัฐมนตรีไม่ทำงานที่ควรทำคือพัฒนาประเทศ ไร้ผลงาน เอาแต่เถียง เอาแต่โทษ เอาแต่ทะเลาะกับผู้คนทั่วไปหมดไม่เว้นแม้แต่ผู้สื่อข่าวเด็กๆ วันนี้พูดอย่าง พรุ่งนี้พูดอีกอย่าง เอาแน่ไม่ได้
ในที่สุดนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีอำนาจประเภทที่ 4-5 แสดงให้ผู้คนเห็น ไร้คนเชื่อถือ จึงเป็นได้แต่เพียงผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารตามตำแหน่ง แต่ไม่ได้เป็นผู้นำ
อันที่จริงเราอาจจะมองในแง่คำสอนทางพุทธศาสนาอีกมุมหนึ่งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ศาลตัดสินคดีความเป็นเหตุต่อเนื่องให้ต้องออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชาชนก็ออกมาแถลง ว่า จะเสนอนายสมัคร สุนทรเวชกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งแบบสวนหมัดทันทีเหมือนกัน
ไม่มีสติพอที่จะยึดคำสอนในพุทธศาสนาว่าด้วย สัปปุริสธรรม ที่ว่า คนที่สมบูรณ์มีคุณค่าอย่างแท้จริงต่อมนุษยชาติควรมีคุณสมบัติว่า รู้หลักการหรือเหตุ รู้จุดหมายหรือผล รู้จักตนเอง รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักชุมชน และรู้จักบุคคล (ที่สำคัญเขาว่า โฆษกพรรคผู้ออกมาแถลงนั้นเคยบวชมานานก่อนจะมาเล่นการเมืองด้วย)
ความขาดแคลนสัปปุริสธรรมของนายสมัคร สุนทรเวชและสมาชิกพรรคพลังประชาชนที่ออกมาแถลงสวนทันทีนั้นทำให้คนจำนวนมากรู้สึกว่ารับไม่ได้ ผมคิดว่า สัปปุริสธรรม นั้นเป็นธรรมข้อสำคัญมากทีเดียวสำหรับการปฏิบัติตนในสังคมทั่วไป ไม่ยกเว้นว่าจะเป็นที่ใด ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน ที่ประชุมชนสาธารณะ และไม่เว้นว่าจะเป็นผู้ใด ฯลฯ
สำคัญตรงที่ว่า ถ้าปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง จะมีผลเสียหายต่อตนเองเป็นอย่างยิ่งอย่างทันทีด้วย เช่น ไปฟังดนตรีในโรงแสดงดันไปคุยกันเสียงดัง อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักกาล ไม่รู้จักชุมชน
เมื่อประเทศไทยได้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากนายสมัคร สุนทรเวช ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในช่วงแรก เพราะว่าบุคลิกภาพของนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้นแตกต่างจากคนที่เพิ่งพ้นตำแหน่งไปอย่างหน้ามือกับหลังมือ
การที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์สามารถพูดภาษาถิ่นได้ทั้ง 3 ภาคทำให้เกิดความหวังว่า เขาจะทำให้เกิดความสมานฉันท์ขึ้นมาได้จากคนทั่วประเทศ และการที่เขาพูดเสมอว่า เขาเป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนทั้งประเทศ ตอกย้ำด้วยการพยายามแสดงให้รู้โดยการเดินสายไปทุกภาค
กล่าวได้ว่านายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์เรียนรู้ความผิดพลาดของนายสมัคร สุนทรเวชและแก้ไขได้ดี แม้ว่าจะมีชนักปักหลังด้ามใหญ่คือการเป็นน้องเขยของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ตัวป่วนตัวใหญ่ที่สุดของประเทศ เขากลับทำให้คนไทยยอมรับได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่ความหวังนั้นก็ได้พังไปเมื่อมีการสลายม๊อบของตำรวจในวันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2551 ทำให้มีประชาชนตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ความหวังในตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่าจะพลิกฟื้นสถานการณ์บ้านเมืองให้ดีได้พลอยพังทลายไปด้วย
นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์น่าจะหมดอำนาจบารมีที่จะสื่อสารกับพันธมิตรประชาธิปไตยไปเสียแล้ว หมดอำนาจในการกระตุ้นให้พวกเขาเปลี่ยนใจเสียแล้ว
จิตวิทยาเสนออะไรในเรื่องการเป็นผู้นำ?
ข้อเสนออย่างง่ายจากจิตวิทยาสังคมคือ ใครที่ได้รับตำแหน่งเป็นผู้บริหารสมควรสร้างอำนาจบารมีและความเชี่ยวชาญซึ่งเป็นอำนาจของผู้นำ โดยที่อำนาจจาก 2 แหล่งนี้จะทำให้เขารัก เคารพ ยกย่อง บูชา ยินยอมที่จะกระทำการใดๆ ให้แก่ผู้บริหารที่สั่งการด้วยความเต็มใจ
ผมได้รวบรวมข้อเสนอของนักจิตวิทยาสังคมในการสร้างความเป็นผู้นำที่สามารถใช้อำนาจได้ดี เผื่อท่านที่ต้องการจะก้าวหน้าขึ้นไปสู่ตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นไปในองค์การต่างๆ ตลอดจนนักการเมืองที่จะเข้าไปบริหารท้องถิ่น จังหวัด และประเทศ จะฝึกหัดสั่งสมในตนเองให้แก่กล้า ของอย่างนี้ต้องการเวลาในการสั่งสมด้วย
การพัฒนาความเป็นผู้นำควรต้องปฏิบัติตนอย่างนี้ครับ
1. สร้างวิสัยทัศน์ที่ทำให้ผู้ตามใส่ใจคิดว่าควรไปสู่จุดนั้น ง่ายในการจำได้ และเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้ วิสัยทัศน์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ลูกน้องมักจะมีลักษณะ ชัดเจน ทำให้เห็นว่างานที่ทำมีความหมาย เป็นจุดประสงค์ร่วมของผู้คนในองค์การ เป็นอุดมคติที่องค์การต้องการไปให้ถึงจุดนั้น
เช่น บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ประกาศว่า บริษัทต้องการที่จะเป็นครัวของโลก วิสัยทัศน์นี้มีความชัดเจน ง่าย จำง่าย และเป็นไปได้ เพราะบริษัทนี้ผลิตอาหารสัตว์ เลี้ยงสัตว์ จำหน่ายเนื้อชำแหละ อาหารสำเร็จรูป ฯลฯ ไปในหลายประเทศ
การประกาศและรณรงค์ให้มุ่งไปสู่วิสัยทัศน์ด้วยการสื่อสารอย่างชัดเจนและจับใจ ส่วนมากมักจะใช้ถ้อยคำที่กระตุ้นอารมณ์ ทำให้จำง่าย เป็นคำขวัญ เช่น คิดใหม่ ทำใหม่ หรือตาดูดาว เท้าติดดิน เป็นต้น
2. แสดงความเชื่อมั่นด้วยความเชี่ยวชาญ ความเก่ง ความรู้ลึกซึ้ง และมองโลกในแง่ดีที่จะทำให้ลูกน้องเชื่อว่าจะไปถึงสภาพการณ์ในอนาคตอันเป็นวิสัยทัศน์นั้นได้ด้วยการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแข็งแกร่งขององค์การและจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข
แม้แต่การพูดการแสดงออกของผู้นำก็ต้องแสดงอย่างมั่นใจ ไม่พูดคำว่า ผมคาดว่า ผมหวังว่า แต่ต้องบอกว่า ผมเชื่อมั่นว่า รวมทั้งท่าทาง ใบหน้า นัยน์ตาต้องแสดงออกมาอย่างมั่นใจ ขอให้ดูตัวอย่างจากนายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ในการออกมาแสดงปาฐกถาทฤษฎีสองสูงให้ผู้คนได้ทราบในภาวะที่คนไม่มั่นใจในเศรษฐกิจของบ้านเมือง
3. การแสดงตนเป็นผู้ให้ การแสดงความห่วงใย ช่วยเหลือด้านสวัสดิการความเป็นอยู่ของลูกน้องให้เป็นตัวอย่างที่ประทับใจ ขอเล่าตัวอย่างที่ผมเคยได้ยินจากเจ้าของกิจการคนหนึ่งคือ ในโอกาสพิเศษครั้งหนึ่ง เจ้าของกิจการผู้นี้อยากทำบุญด้วยวิธีใหม่ เขาได้เลือกพนักงานที่กำลังเดือดร้อนทางการเงินแต่ประพฤติดีไว้จำนวนหนึ่ง แล้วไปเยี่ยมลูกน้องเหล่านี้ถึงบ้านเช่าพร้อมทั้งเอาข้าวสาร อาหารแห้งไปมอบให้ พร้อมทั้งมอบเงินค่าใช้จ่ายพิเศษให้จำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเช่าบ้าน
การให้ครั้งนี้สร้างความประทับใจได้มากเพราะมาในจังหวะที่พวกเขาเดือดร้อนพอดีเพราะมีพนักงานของเขาหลายคนติดค้างค่าเช่าบ้านอยู่พอดี นี่เป็นตัวอย่างเพียงครั้งเดียว ความจริงท่านผู้นี้ให้ความเมตตาต่อบรรดาพนักงานในบริษัทของท่านมานานหลายสิบปี จนเป็นที่เคารพรักของพนักงานเป็นอย่างยิ่ง
อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นเช่นเดียวกัน นโยบายของเขาคือแจกคนจน ไม่ว่าจะเป็นชาวนา แท็กซี่ คนจนในเมือง แจกเงินเดือนนักการเมืองฝ่ายตน ฯลฯ จึงจะแปลกมากถ้าหากพวกนักการเมืองในพรรคของเขาและคนจนจะไม่ชอบ ไม่เคารพ ไม่รักเขา
เรื่องการให้ (จาคะหรือทาน) เป็นสิ่งสำคัญมากในวัฒนธรรมไทย เพราะว่าค่านิยมไทยที่สำคัญคือ กตัญญู การให้ความช่วยเหลือผู้น้อยจะทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกกตัญญู อันจะนำไปสู่การตอบแทนบุญคุณต่อไป
4. พยายามทำให้ลูกน้องประสบความสำเร็จในการทำงานทีละน้อยเป็นตอน ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองให้เกิดขึ้นในตัวของลูกน้อง ด้วยการกำหนดเป้าหมายการทำงานเป็นขั้นๆ เมื่อลูกน้องทำสำเร็จตามเป้าหมายในระยะแรกๆ ควรทำพิธีฉลองความสำเร็จของลูกน้องเป็นครั้งคราว เพื่อเสริมแรงและทำให้ลูกน้องมองเห็นความเป็นไปได้ในทางดีของงานนั้นในระยะยาวว่ามีโอกาสประสบความสำเร็จได้
5. ใช้การกระทำที่ทำให้จำได้นานๆ เน้นคุณค่าที่ต้องการ เช่น นักบริหารที่รู้จักกันดีท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อพนักงานผลิตเหล็กของเขาทำงานได้บรรลุเป้าหมายเป็นครั้งแรก เจ้าของบริษัทขับรถจากสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานครมาจัดปาร์ตี้โดนัทและโค๊กเลี้ยงพนักงานทั้งหมดที่หน้าเครื่องจักร แล้วกล่าวขอบคุณและชมเชยพนักงานที่ร่วมกันทำงานจนบรรลุเป้าหมาย
เขากล่าวว่า คุณค่าของการทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้เป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ เมื่อทำได้เขามีความสุขถึงขนาดเลิกนัดนายแบงค์ที่มาพบเพื่อเจรจาให้ยืมเงินลงทุน ขับรถจากกรุงเทพฯ มาชลบุรีเพื่อมาร่วมแสดงความยินดีกับพนักงานถึงโรงงาน การปฏิบัติเช่นนี้ได้ทำให้พนักงานภาคภูมิใจและเล่าสู่กันฟังไปอีกนาน
6. เป็นผู้นำที่เน้นการกระทำตนอย่างมีจริยธรรมเป็นตัวอย่างการกระทำที่คงเส้นคงวาตามค่านิยมที่น่ายกย่อง ไม่เป็นผู้ที่ดีแต่พูดเรียกร้องคนอื่นให้ทำดีแต่ตนเองไม่สามารถทำได้ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ นายธนินทร์ เจียรวนนท์เน้นค่านิยมการช่วยเหลือตอบแทนบุญคุณคืนแก่สังคม เขาทำให้พนักงานเห็นด้วยการช่วยเหลือหลายแบบ เช่น ตั้งมูลนิธิช่วยศาสนา การไปช่วยสถานศึกษาในรูปแบบต่างๆ ฯลฯ พนักงานในกลุ่มบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ทุกคนรู้กันดีและยอมรับ
จริยธรรมเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวยิ่งสำคัญ ลูกน้องจะเคารพนับถือนายมาก ถ้าหากว่านายของเขาเป็นคนดีมีความประพฤติที่น่ายกย่องเป็นตัวอย่างในสังคมได้อย่างไม่อายใคร ผู้นำบางคนอาจจะมีความรู้เก่งมาก ทำงานได้เก่ง แต่ถ้าลูกน้องรู้ว่าชอบใช้อำนาจเอาประโยชน์ส่วนตนและครอบครัวเป็นใหญ่กว่าส่วนรวม พวกเขาจะเลิกนับถือในที่สุด
พูดให้ง่ายคือคนจะมีบารมีเป็นที่เคารพของคนอื่นได้ต้องประพฤติตนให้มีศีล
7. เป็นผู้นำควรมีการเชื่อมโยงกับผู้คนทั้งภายนอกและภายในองค์การ หรือจะพูดให้ง่ายคือ ต้องรู้วิธีสร้างบารมีในการช่วยเหลือคนทั้งภายนอกและภายในองค์การมาตั้งแต่อดีต ทำให้บุคคลเหล่านั้นรู้สึกว่าต้องแสดงมิตรไมตรีต่างตอบแทน เรื่องแบบนี้ในสังคมไทยเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะสังคมไทยเป็นวัฒนธรรมแบบกลุ่มนิยมที่ยึดถือค่านิยมสำคัญคือ ความกตัญญู ซึ่งผลการวิจัยในเมืองไทยของ ดร.สุนทรี โคมิน แห่งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์เองก็สนับสนุนข้อเสนอนี้
อย่างไรก็ตามความพิเศษของสังคมไทยอย่างหนึ่งคือ ความเชื่อมโยงของการเป็นญาติ เป็นมิตร นับว่าสำคัญ ตัวอย่างที่ชัดเจนมากคือ นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์นั้นมีฐานะเป็นน้องเขยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มีภรรยาเป็นผู้มีอิทธิพลในพรรคพลังประชาชน ด้วยเหตุนี้จึงดันนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ให้เป็น ส.ส. สมัยแรกและได้เป็นนายกรัฐมนตรี
คนหนุ่มสาวที่อาศัยเส้นทางแบบนี้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ในวงการเมืองของบ้านเรามีให้เห็นเสมอ เท่าที่เห็นในข่าวมักจะเดินตามพ่อแม่ที่เป็นนักการเมือง หรือบางทีพ่อแม่เอาไปฝากให้เดินตามนายกรัฐมนตรี คนพวกนี้มักจะได้ตำแหน่งตามอำนาจของพ่อแม่ แต่พวกเขาต้องพิสูจน์ตนเองมากกว่าคนอื่น เพราะว่าจะถูกสังคมตั้งข้อสงสัยในความสามารถ เพราะเขารับรู้ว่ามาเพราะเส้น เมื่อพ่อแม่หมดอำนาจฝากฝัง คนพวกนี้มักจะหายหน้าตามไปด้วยถ้าเก่งไม่จริง
อย่างไรก็ตามคนหนุ่มพวกนี้บางคนใช้เงินลงทุนซื้อเสียงเข้าไปเพื่อจองตำแหน่งที่สามารถใช้อำนาจฉ้อฉลจนได้ผลตอบแทนมากกว่าที่ได้ลงทุนซื้อเสียง
เรื่องแบบนี้เป็นของธรรมดาในวงการธุรกิจของเมืองไทย บรรดาลูกเจ้าของกิจการใหญ่ๆ มักจะได้รับการวางแผนมาอย่างดีให้สั่งสมประสบการณ์ในการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กด้วยการเข้าศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ซึ่งจะได้คบกับเพื่อนร่วมสถาบันที่เป็นลูกผู้มีฐานะสูงทางสังคม การเข้าเป็นสมาชิกสโมสรสำหรับคนชั้นสูง บางคนอาจจะเข้ารับราชการสักระยะเวลาหนึ่ง เมื่อกลับเข้ามาทำงานในกิจการของตนเองคนเหล่านี้จะเต็มไปด้วยประสบการณ์และเครือข่าย ซึ่งจะช่วยให้การทำงานใหญ่ๆ ได้สำเร็จสะดวกมากขึ้น
สรุปทั้ง 7 ประการนี้ไม่มีข้อใดจัดเป็นอำนาจประเภทที่ 1-3 เลย ล้วนแล้วแต่จัดว่าเป็นแหล่งอำนาจที่ 4 กับ 5 คืออำนาจบารมีและความเชี่ยวชาญ หัวใจสำคัญของการเป็นผู้นำในสังคมไทยนั้นคือ บารมี ผู้บริหารควรสั่งสมบารมีด้วยการทำตามแนวทาง 7 ประการที่ได้เสนอไว้ ยิ่งเริ่มเร็วได้เท่าไรก็ดีเท่านั้น
จะทำนอกจาก 7 ประการนี้ก็ได้ ตราบใดที่มันจะไปเพิ่มอำนาจบารมีและความเชี่ยวชาญให้ก็ถือว่าดีทั้งนั้นสำหรับอนาคตของท่าน
Create Date : 15 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 15 ตุลาคม 2551 0:17:46 น. |
|
6 comments
|
Counter : 759 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: เกรียงไกร IP: 202.44.210.41 วันที่: 17 ตุลาคม 2551 เวลา:11:13:08 น. |
|
โดย: sithichoke (sithichoke ) วันที่: 20 ตุลาคม 2551 เวลา:10:12:20 น. |
|
โดย: Mena IP: 125.24.99.243 วันที่: 30 ตุลาคม 2551 เวลา:19:17:26 น. |
|
โดย: คงเดช IP: 58.9.234.247 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา:23:18:39 น. |
|
โดย: สิทธิโชค IP: 203.156.27.231 วันที่: 1 ธันวาคม 2551 เวลา:12:49:24 น. |
|
โดย: คงเดช IP: 58.9.98.215 วันที่: 27 ธันวาคม 2551 เวลา:22:40:58 น. |
|
|
|
|
sithichoke |
|
|
|
|
การดำเนินกิจกรรมใดๆในองค์การ นอกจากลักษณะที่ดีที่ผู้นำควรมีแล้ว ผมว่าผู้ตามก็มีความสำคัญไม่น้อยนะครับ ขอยกตัวอย่างในกรณีของผมเองซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับบทความที่ได้เสนอไปในวิชา จิตวิทยากับการบริหาร (ภาค 2)
ผู้ใต้บังคับบัญชาของผมสองคนขออนุมัติลาออกก่อน(ก่อนกำหนด) คนหนึ่งเป็นพนักงงานอายุ 57 อีกสามปีเกษียณ ก็ดูมีเหตุมีผลกับการที่จะลาออก เพราะได้เงินคุ้มค่าที่สุด แต่ว่าอีกกรณีหนึ่งเป็นวิศวกร อายุงาน11 ปี ขออนุมัติเช่นเดียวกัน (ขอเป็นรอบที่ 3) แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ไป เพียงแต่เปลี่ยนไปเป็นขอย้ายฝ่าย (ทั้งๆที่รอการอนุมัติแล้ว แต่เจ้าตัวขอระงับด้วยตนเอง)
เจอปัญหาอย่างนี้เข้า ผมในฐานะที่เป็นหัวหน้าแผนกที่ลูกน้องต้องการจะจากไปพร้อมกันสองคน (ในแผนกมี 7 คนรวมผมด้วย) ก็ต้องหันกลับมามองตัวเองว่า ว่าตัวเองเป็นผู้นำแบบไหนในกันแน่
พิจารณาแล้วก็พบว่าตัวเอง ไม่เป็นแน่ๆคือแบบที่ 2 และ 3 ส่วนแบบที่ 1 นั้นเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนแบบอื่นไม่กล้าพิจารณาตัวเอง
ข้อสงสัยที่วิศวกรคนนี้ทำไมอยากจะไปจากงานที่ตนทำมาสิบกว่าปี มันเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะเดิมวิศวกรคนนี้อยากจะลาออกและได้เงินก้อนไปก้อนหนึ่งตามความตั้งใจเดิม เพราะพนักงานคนนี้มีธุรกิจส่วนตัวภายนอก มักเอาเวลางานไปทำงานนอกเสมอ และงานที่ปฏิบัติก็ไม่ค่อยจะสมบูรณ์แบบ แต่เป็นเพราะระบบของหน่วยงานเองที่ไม่สามารถดำเนินการเช่นเดียวกับเอกชน (และผมก็ไม่นิยมใช้วิธีรุนแรง) ไล่ออกไม่ได้ ตัดเงินเดือนไม่ได้ (อย่าให้เล่ามากกว่านี้เลยครับ) วิธีเดียวที่ทำได้คือต้องใช้วิธีแบบหางานให้ทำ คิดเชิงบวก สงสัยต้องนำวิธีการพัฒนา Psycap มาใช้แล้วครับ
ครับ แต่พอมาถึงวินาทีสุดท้ายวิศวกรคนนี้เปลี่ยนจากลาออกเป็นย้าย มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า การบริหารของเราเป็นอย่างไรกันแน่
แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่า พนักงานท่านนี้เค้ามีจุดมุ่งหมายการย้ายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารใดๆของผม เพราะอะไรไม่ขออธิบายเพิ่มเติม แต่ดุจากจุดมุ่งหมายแล้วต้องการจะทำงานใน ที่สามารถจะสนับสนุนงานนอกได้สะดวกกว่า
ก่อนหน้าจะพนักงานคนนี้จะขอลาออกนั้น ผมได้ลองใช้วิธีทุกอย่างที่เป็นเชิงบวก แต่พบว่าประสิทธิภาพที่ได้ในงานนั้นไม่มีพัฒนาการใดๆ ผมจึงสงสัยว่า การพัฒนา Psycap นี้จะสามารถใช้ได้กับคนที่ไม่มีความต้องการจะทำงานกับเราได้หรือไม่และทำอย่างไร
เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้มี Hope อะไรกับเราเลย มีเป้าหมายโดยใช้ Pathways อื่นที่ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติงานกับเรา แล้วเราควรจะดำเนินการอย่างไร ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งหัวหน้าและลูกน้อง
ในฐานะองค์การควรจะทำอย่างไรกับกรณีเช่นนี้ ซึ่งมีมากเหลือเกินในองค์การรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ และในฐานะส่วนบุคคลที่เป็นหัวหน้าควรจะปฏิบัติอย่างไร
ขอบคุณครับ