หมดอาลัยในชะตาชีวิต (Learned Helplessness)

เวลาที่ผ่านไปไม่นานมานี้ได้ยินท่านนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ร้องเพลงโชคมนุษย์ด้วยอารมณ์สุนทรีย์เลยคิดถึงการทดลองทางจิตวิทยาที่ทำให้สัตว์ทดลองเกิดความท้อแท้ในชะตาชีวิตของตนเองจนเกิดความหมดอาลัยตายอยากกับโชคชะตาหรือชะตาชีวิตของตนเอง เป็นการทดลองที่สนุกตื่นเต้น น่าสงสารด้วย แต่ก่อนจะเล่า ขอวกไปหาเหตุการณ์ในสังคมปกติสักสองสามเรื่องเป็นตัวอย่างจริงๆ ก่อนนะครับ เพราะว่ามันเกี่ยวพันกันครับ

หลายปีมาแล้วรายการทีวีได้มีการสัมภาษณ์ภรรยาในคดีที่ถูกสามีทำร้ายร่างกายอย่างสาหัสเป็นข่าวโด่งดังในหนังสือพิมพ์หลายวัน หลายคนที่ได้ชมการสัมภาษณ์คุยกับผมด้วยความงงงันว่า ภรรยาคิดอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะโดนสามีทำร้ายอย่างรุนแรงจนบาดเจ็บสาหัส แต่กลับกล่าวว่า ยินดีให้อภัยแก่สามี ไม่เอาเรื่องเขา มิหนำซ้ำยังให้เหตุผลสรุปว่า ตนเองทำตัวให้เป็นสาเหตุที่ทำให้สามีทำร้ายเสียอีกด้วย ที่สำคัญคือยังจะกลับไปอยู่ร่วมกับเขาอีก ทั้งที่ถูกทำร้ายมาตลอดเวลาที่อยู่กินด้วยกัน

เมื่อถามว่าทำไมถึงจะกลับไปอยู่ด้วยกันอีก เธอตอบว่า ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน เคยหนีไปหลายครั้งแล้วเขาก็ตามไปพบทุกที แล้วต้องกลับไปอยู่กับเขาทุกทีแบบว่า หนีไปไหนไม่รอดแล้วเลยยอม จะทำอะไรก็ทำ ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว

ผมว่าภรรยาคงเกิดการเรียนรู้ที่จะไม่ยอมช่วยตัวเองจากปัญหาความทุกข์ที่เผชิญอยู่ (Learned Helplessness) ด้วยความหมดอาลัยตายอยากในชะตาชีวิตตนเอง

หันมามองปัญหาชาวนาชาวไร่ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาเผชิญกับปัญหายิ่งทำไร่ทำนาไปเรื่อยๆ ยิ่งขาดทุน ยิ่งต้องกู้ ยิ่งต้องขายที่ดินใช้หนี้ จนในที่สุดต้องกลายเป็นผู้เช่าที่ดินของตนเองเพื่อทำไร่ทำนาต่อไปอีก ยอมทำนาต่อไปทั้งที่รู้ว่า ทำไปก็เป็นหนี้มากขึ้น

ชาวนาแทบทุกคนมักให้เหตุผลว่า ไม่รู้ว่าจะไปทำอาชีพอะไรอีก นอกจากการทำนาทำไร่ที่เคยทำมาตั้งแต่ยังหนุ่มสาว รู้ทั้งรู้ว่า ทำนาทำไร่ต่อไปก็ไม่ทำให้มีอะไรดีขึ้นมาก็ต้องทำต่อไป ไปไหนไม่รอด นี่คือการเรียนรู้ที่จะไม่ช่วยตัวเอง (learned Helplessness) เป็นความหมดอาลัยตายอยากในชะตาชีวิตของตนเองอีกแล้ว

การที่จะหวังว่าชาวนาชาวไร่จะผลิตข้าวให้มีคุณภาพดี มีผลผลิตต่อไร่สูงจึงเป็นไปไม่ได้

คำพร่ำรำพันก่อนตายของจิวยี่ในสามก๊กที่ว่า ฟ้าให้จิวยี่มาเกิดแล้วทำไมต้องให้ขงเบ้งมาเกิดด้วย ก็บอกความหมดอาลัยตายอยากในชะตาชีวิตของตนเองเหมือนกัน เพราะไม่ว่าจิวยี่จะใช้อุบายกำจัดเล่าปี่และขงเบ้งอย่างไรก็ไม่สำเร็จ มิหนำซ้ำยังโดนขงเบ้งเล่นงานกลับอย่างเจ็บแสบทุกครั้งไป

แม้แต่ในทางการเมืองบ้านเราขณะนี้ (ยุครัฐบาลนายกฯ สมัคร สุนทรเวช) ผมว่ามีคนไทยเป็นจำนวนมากที่รู้สึกว่า เราไม่สามารถช่วยตนเองพ้นจากความทุกข์ที่เรากำลังเผชิญอยู่กับภาวะแตกแยกทางการเมืองที่กำลังเป็นอยู่ ไม่รู้จะจัดการมันอย่างไร และเริ่มหมดอาลัยตายอยากกับโชคชะตาของบ้านเมืองเหมือนกันนะครับ

การเรียนรู้ที่จะเลิกช่วยเหลือตนเองจากปัญหาทุกข์ร้อนที่เผชิญอยู่ หรือความหมดอาลัยตายอยาก ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตนในหลายกรณีรอบตัวเราตามที่เล่าไป เกิดขึ้นจากผู้ที่อยู่ในสถานการณ์เลิกคิดที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น เพราะว่าเขาคิดว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม มันไม่สามารถแก้ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่นั้นได้ เพราะมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา เขาทำอะไรกับมันไม่ได้ เขาคุมชะตาชีวิตของตนเองไม่ได้ ดังนั้นเลิกคิดสู้ ยอมมันเสียดีกว่า จึงเกิดอาการหมดอาลัยตายอยากขึ้นมา
คนเราหมดอาลัยตายอยากยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตได้อย่างไร

ผมได้เอ่ยถึงการหมดอาลัยตายอยาก (Learned Helplessness) หลายครั้ง เลยอยากเล่าอาการนี้ให้ละเอียด เพราะการทดลองทางจิตวิทยาเกี่ยวกับอาการนี้มันน่าตื่นเต้นเหลือเกิน

เรื่องมีอยู่ว่า นักจิตวิทยาคนดังในทศวรรษนี้ชื่อ Martin Seligman กับพวกคือ Christopher Peterson และ Steven F. Maier ได้ร่วมกันทำการทดลองกับสัตว์ทดลองในห้องทดลองทางจิตวิทยาพบว่า หนูที่โดนช๊อคไฟฟ้าสักระยะหนึ่งโดยหนีไม่พ้นไม่ว่าจะพยายามเอาตัวรอดโดยวิธีใดก็ตาม เช่น วิ่งไปอยู่ตามที่ต่างๆ ในกรง ไต่ผนัง ฯลฯ มันจะพยายามอยู่สักพักหนึ่ง หลังจากนั้นหนูจะไม่ยอมขยับตัวเลย ยอมโดนช๊อคไฟฟ้าอย่างนิ่งเฉย

พวกเขาตั้งข้อสงสัย (Hypothesis) ว่า อาการของหนูเหล่านี้มาจากการที่หนูเกิดการเรียนรู้ว่า พวกมันไม่สามารถควบคุมสิ่งที่จะเกิดกับตัวเองได้ คือไม่ว่ามันจะทำอย่างไรก็หยุดการช๊อคไฟฟ้าไม่ได้ จึงยอมแพ้ต่อโชคชะตาในที่สุด
เพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยนี้ เขาได้ใช้แผนการทดลองที่เรียกว่า Yoke Experiment คือใช้ผู้รับการทดลองเป็นคู่ ให้ทุกอย่างเหมือนกัน แต่จะต่างกันเพียงอย่างเดียวคือตัวแปรสาเหตุ

พวกเขาใช้สุนัขเป็นสัตว์ทดลอง โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม และ 2 ระยะ
ระยะแรก เขานำสุนัขเข้ารับการทดลองทีละคู่ โดยตัวหนึ่งมาจากกลุ่มหนึ่ง และตัวที่สองมาจากกลุ่มที่สอง โดยให้ตรึงสุนัขไว้คู่กัน ใช้แผ่นสวิตช์บังศีรษะสุนัขไว้ทั้ง 2 แก้ม ทั้ง 2 ตัว แต่สวิตช์ข้างแก้มของตัวที่หนึ่งจะสามารถปิดกระแสไฟฟ้าที่ไหลมาช๊อคสุนัขทั้งสองตลอดเวลาได้ถ้าสุนัขตัวที่หนึ่งเอียงแก้มไปกระทบแผ่นสวิตช์

ส่วนตัวที่สองนั้นแม้จะมีแผ่นบังแก้มเหมือนตัวที่หนึ่ง แต่แผ่นนี้ไม่สามารถหยุดกระแสไฟฟ้าได้ ดังนั้นชะตาชีวิตของมันจึงต้องขึ้นอยู่กับว่า ตัวที่หนึ่งจะเอียงแก้มปิดสวิตช์ได้หรือเปล่า

ถ้าตัวที่หนึ่งสามารถทำได้ ตัวที่สองก็รอดจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลมาช๊อค ถ้าตัวหนึ่งทำไม่ได้ ตัวที่สองก็โดนไปกับเขาด้วย ชะตาชีวิตของมันจึงขึ้นอยู่กับความสามารถของสุนัขตัวที่หนึ่ง ส่วนตัวมันเองนั้นทำอะไรก็หนีไม่พ้นจากการโดนช๊อคไฟฟ้า

การทำเช่นนี้นานเข้า ทำให้กลุ่มสุนัขตัวที่หนึ่งเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดจากการโดนช๊อคไฟฟ้าด้วยการเอียงแก้มกระทบกับสวิตช์

ในขณะที่กลุ่มสุนัขตัวที่สองไม่สามารถบังคับควบคุมกระแสไฟฟ้าได้เลย การโดนช๊อคหรือไม่โดนที่เกิดขึ้นกับตัวมันนั้นขึ้นอยู่กับสุนัขตัวที่หนึ่งเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่มันเรียนรู้คือ อย่าไปทำอะไรเลย ไม่มีประโยชน์ ยังไงก็หยุดการช๊อคไม่ได้ เป็นการฝึกให้เรียนรู้ที่จะไม่ช่วยตนเองจากการช๊อคไฟฟ้า ซึ่งจะทำต่อไปในระยะที่สอง

ระยะที่สอง เซลิกแมนได้นำเอาสุนัขทั้งสองกลุ่มไปใส่ในกรงตาข่าย ซึ่งแบ่งพื้นที่กรงออกเป็น 2 ห้อง กั้นกลางด้วยตะแกรงที่สุนัขสามารถกระโดดข้ามไปมาได้ แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าไปช๊อคทีละห้องภายหลังจากเปิดไฟสัญญาณในห้องที่สุนัขอยู่นั้นชั่วเวลาหนึ่งแล้ว

ผลปรากฏว่า สุนัขกลุ่มที่หนึ่งเรียนรู้ที่จะกระโดดหนีการช๊อคไฟฟ้าได้ เมื่อสัญญาณไฟปรากฏ พวกมันจะกระโดดข้ามไปมาระหว่างห้องในกรงได้โดยไม่ถูกช๊อค

ในขณะที่สุนัขในกลุ่มตัวที่สองไม่ยอมเรียนรู้ ยอมนอนกับพื้นและโดนช๊อคไฟฟ้าอย่างไม่ยอมช่วยตนเองเลย

อาการของสุนัขกลุ่มที่สองนั้นเรียกว่า เรียนรู้การไม่ช่วยตนเองหรือหมดอาลัยตายอยาก ซึ่งเกิดกับมันตั้งแต่มันโดนฝึกในระยะที่หนึ่งของการทดลอง ตามที่เซลิกแมนกับพวกตั้งสมมติฐานเอาไว้ก่อนการทดลองนั่นเอง
เซลิกแมนกับพวกได้นำเอาสุนัขกลุ่มที่สาม (อย่าลืมว่าพวกนี้ไม่ได้ผ่านการทดลองระยะที่หนึ่งเหมือนกลุ่มหนึ่งและสอง) มาร่วมการทดลองในระยะที่สองนี้ด้วย ปรากฏว่าสุนัขในกลุ่มที่สามนี้ทุกตัวสามารถเรียนรู้ที่จะกระโดดหนีไปมาระหว่างกรงได้เช่นเดียวกับสุนัขกลุ่มที่หนึ่ง กล่าวได้ว่า พวกนี้ไม่เคยได้รับการฝึกให้หยุดการช๊อคไฟฟ้ามาก่อน

แสดงว่าถ้าไม่ได้ผ่านประสบการณ์แบบหมดอาลัยตายอยากมาก่อน สุนัขก็สามารถเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดจากการโดนช๊อคไฟฟ้าได้

เซลิกแมนกับพวกอธิบายว่า สุนัขในกลุ่มที่สองได้เกิดอาการเรียนรู้ที่จะไม่ยอมช่วยตนเอง มันหมดอาลัยตายอยากกับชะตาชีวิตของตนเองตั้งแต่การทดลองในระยะที่หนี่งแล้ว

เมื่อนำมาทดลองในระยะที่สองจึงไม่ยอมเรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหวอะไรอีก เพราะมันคิดว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรก็หนีการช๊อคไม่ได้
ภายหลังจากการทดลองที่ผมได้เล่าไปแล้วนั้น ได้มีการทดลองในทำนองนี้อีกมากครั้ง ทั้งได้มีการทดลองในผู้รับการทดลองที่เป็นมนุษย์ด้วย (โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า มีการเอามนุษย์ไปผ่านการทดลองแบบสุนัขที่เล่าไปนะครับ เขาออกแบบการทดลองแตกต่างออกไปครับ)

ได้ข้อสรุปอยู่ที่ว่า คนและสัตว์สามารถเกิดอาการเรียนรู้ที่จะหมดอาลัยตายอยากได้ถ้าหากว่า เขารับรู้ว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่สามารถหนีรอดไปจากเหตุการณ์ได้เพราะเขาไม่สามารถควบคุมอะไรที่จะเกิดกับเขาในเหตุการณ์นั้นได้เลย ดังนั้นอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปเลย

คราวนี้เข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไมภรรยาในกรณีที่โดนสามีทำร้ายสาหัสแล้วยังยอมอยู่กับเขาอีก ก็เพราะว่า เธอหมดอาลัยแล้ว เธอไม่สามารถหนีไปจากเขาได้ เธอไม่รู้จะหนีไปไหน เห็นมั๊ยครับว่า เธอควบคุมเหตุการณ์นี้ไม่ได้เลย

ชาวนาไทยยิ่งน่าสงสารครับ พันธุ์ข้าวก็ต้องซื้อ จะหว่านก็ต้องรอฝน หว่านแล้วต้องภาวนาอย่าให้ฝนขาดช่วง ดำนาเสร็จก็ต้องระวังหอยและศัตรูข้าว รวมทั้งภาวนาให้ฝนอย่าทิ้งช่วง พอข้าวโตขออย่าให้กองทัพหนู เพลี้ยมาลง พอมีรวงข้าวก็ต้องภาวนาอย่าให้ฝนตกอีก

แม้แต่เกี่ยวข้าวได้แล้วยังต้องภาวนาให้เถ้าแก่ให้ราคาข้าวดีอีกต่างหาก เพราะได้ไปกู้เงินเขามาซื้อปุ๋ยไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูทำนาแล้ว ยังไงก็ต้องขายให้เขา

ชีวิตชาวนาชาวไร่จึงเป็นชีวิตที่พวกเขาควบคุมอะไรไม่ได้เลยในอาชีพการทำนา ต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมนอกตัวทุกอย่าง ซึ่งเขาคุมอะไรไม่ได้เลย พวกเขาจึงมีชีวิตแบบหมดอาลัยตายอยาก ทำนาไปเรื่อยๆ ที่นาของตัวเองหายไปอยู่ในมือนายทุนเรื่อยๆ

ทางแก้ที่ชาวนาชาวไร่คิดได้ก่อนหมดอาลัยตายอยากในชะตาชีวิตคือ ขูดเลข แทงหวย หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แปลกๆ มาช่วยชีวิตให้ดีขึ้น เช่น ต้นตะเคียนให้หวย ลูกไก่สามขา ลูกวัวห้าขา ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์เราส่วนใหญ่ถึงตาจนเข้าก็ต้องทำอย่างนี้ละครับ คือหาอำนาจเหนือธรรมชาติมาช่วย
ถ้าสิ่งที่เขาคิดว่าศักดิ์สิทธิ์ช่วยอะไรไม่ได้ ที่นี้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ

(โปรดติดตามตอนต่อไป จะชวนคุยถึงการป้องกันและการแก้ไขต่อครับ)



Create Date : 13 สิงหาคม 2551
Last Update : 21 สิงหาคม 2551 19:23:39 น. 0 comments
Counter : 1225 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

sithichoke
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




[Add sithichoke's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com