Group Blog
 
All blogs
 

(กรรมลิขิต)‏ จากการทำแท้ง ...





อย่าทำแท้งหรือสั่งให้ทำแท้งโดยเด็ดขาด

ตัวอย่างผลกรรมสั่งให้ทำแท้ง

ที่ว่าได้อะไรมาเยอะ ก็อย่างเช่น เห็นผลกรรมของการทำแท้งหรือให้ทำแท้งครับ เพราะมีพี่คนหนึ่งอายุประมาณ 53 ปีไปบวชด้วยในครั้งนี้ วันที่มาวันแรก ผมเห็นเท้าของเค้าบวมเปล่ง เดินไม่ค่อยสะดวกต้องถือไม้เท้าเดินทีละนิดทีละนิด สีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก

ต่อมาจึงเริ่มคุ้นเคย พี่คนนี้เล่าให้ฟังว่า เมื่อปีกว่าที่ผ่านมา อยู่ดีดี หมอนรองกระดูกก็ไปกดทับเส้นประสาทจากที่เคยเป็นท่อ กลายเป็นแบนและส่งผลให้เดินไม่ได้ จะช่วยเหลือตัวเองก็ทำไม่ได้ แต่ดีที่มีพี่สาวคอยเอาใจใส่ เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้จนซึ้งในน้ำใจ ส่วนการรักษาก็มีแต่ทรงกับทรุด

อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีเหตุบังเอิญให้พี่สาวมาเจออาจารย์ที่เป็นคนนำไปบวช (อ.โสพณ ขาวสำรวย) อาจารย์ก็บอกให้บวช และบอกว่าถ้าไม่บวชครั้งนี้ก็ไม่มีโอกาสบวชแล้ว (พูดเป็นนัย) แต่พี่คนนี้ก็บอกว่าแล้วจะไปได้ยังไง เดินยังไม่ได้เลย อาจารย์จึงบอกให้ไปจับเส้นที่บางเลน

แล้วพี่คนนี้ก็ไปรักษาและอาการก็ดีขึ้นจริง ๆ จนกระทั่งมาบวชได้ และเรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นคือ อาการของพี่คนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เท้าก็หายบวมและเดินคล่องขึ้น บางครั้งแทบไม่ต้องใช้ไม้เท้า

และก็มาถึงช็อตสำคัญ

อาจารย์ถามพี่คนนี้ว่า ถามจริง คุณเคยไปฆ่าคนมารึเปล่า พี่คนนี้ก็บอกว่าไม่เคย แต่ตอนหนุ่ม ๆ เป็นคนเจ้าชู้มาก และเคยบังคับให้ผู้หญิงไปทำแท้ง

และก็มาถึงบางอ้อ อาจารย์โสพณบอกว่า เจอมาแล้วหลายราย คนที่ทำแท้งหรือให้คนอื่นทำแท้ง จะได้รับผลกรรมคือเป็นมะเร็ง

ตัวอย่างหมอทำแท้ง

ถ้าเป็นผู้หญิงจะเป็นมะเร็งมดลูกและมะเร็งเต้านม มีแพทย์หญิงคนหนึ่งโดนหมอใหญ่บังคับให้ทำแท้งวันละ 5 รายเป็นเวลา 7 ปีแล้ว

ตอนนี้แพทย์หญิงคนนั้นมีเนื้องอกเต็มมดลูก ไม่สามารถเอาเครื่องมือเข้าไปตรวจสอบได้ ต้องใช้นิ้วอย่างเดียว ล่าสุด อาจารย์โสพณจึงขอทดสอบการรักษาแนวใหม่ (หลังจากที่เคยรักษาแบบอื่น ๆ ได้ผล แต่ไม่หนักเท่านี้) โดยให้แพทย์แผนปัจจุบันผ่าเนื้องอกออกให้หมด แต่ปัญหาก็คือ เมื่อผ่าแล้ว เซลล์มะเร็งจะกระจายเร็วมาก ต้องใช้คีโม แต่ก็ต้องเสี่ยงตายกับผลร้ายของคีโมที่ทำลายเซลล์ดีด้วย ถึงขั้นนี้ อาจารย์จะใช้วิชาแพทย์แผนไทยรักษา โดยใช้สมุนไพรไทย และอีกอย่างก็คือจะให้นั่งกรรมฐานเพื่อลดกรรมด้วย ผลเป็นอย่างไร ผมจะได้มานำเสนอครับ

คนมีส่วนร่วมก็สร้างกรรมด้วย
นอกจากทำแท้งเอง หรือทำแท้งให้คนอื่น หรือบังคับให้คนอื่นทำแท้งแล้ว พวกที่มีส่วนร่วมให้ไปทำแท้งก็มีผลกรรมหนักเช่นเดียวกัน เช่น แนะนำสถานที่ทำแท้ง เป็นต้น อย่างกรณีใกล้ตัวผมก็มีพี่สาวคนหนึ่ง ดันขี่รถพาผู้หญิงไปทำแท้ง ถึงแม้จะด้วยความปรารถนาดีก็ตาม แต่ผลกรรมส่งผลให้ปัจจุบัน จากที่เคยมีเงินใช้เหลือเฟือ กลายเป็นตัวเองเรียกว่าตกอับ

และเมื่อวานนี้เอง มีรุ่นน้องที่ผมเล่นสนุ้กบอกว่า นี่ยังดี วันก่อนมีเพื่อนมาขอยืมเงิน เค้าจึงถามว่าเอาไปทำอะไร เพื่อนก็บอกว่าจะไปทำแท้ง จึงไม่ได้ให้ยืม เพราะฉะนั้น การให้คนยืมเงินก็ต้องแน่ใจว่าไม่ได้ให้ไปทำแท้งน่ะครับ ไม่งั้นซวยตามกัน

ทำไมถึงกรรมหนัก

คิดดูสิครับว่าคำว่าชีวิตจะเกิดขึ้นหลังจากเชื้อของพ่อไปผสมกับไข่ของแม่ ภายใน 7 วันจะเริ่มสร้างเป็นเซลล์ใหม่และขยายเซลล์ไปเรื่อย ๆ และในช่วงเริ่มต้นนี้เอง ที่ทางพุทธศาสนาบอกว่าจะมีดวงจิตเข้ามาสถิตย์ในเซลล์ แต่ถ้าหากถูกทำแท้ง ดวงจิตนี้ก็ต้องมีความอาฆาตอย่างแน่นอน เพราะหมดหนทางที่จะสร้างบุญกุศลหรือมีชีวิตอีก 60 ปี (ค่าเฉลี่ย)

ยิ่งบางคน เริ่มมีหัว มีแขนขา แต่ก็ถูกบีบให้ออกมาจากช่องคลอด ทรมานแค่ไหน ดวงจิตนี้จึงกลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรติดตามตัวแม่และคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด



มาถึงตรงนี้ หลายคนก็อาจค้านว่า เห็นบางคนไปทำแท้งก็ยังไม่เห็นเป็นไร ก็ตอบว่า เพราะเค้ายังใช้บุญไม่หมด บุญหมดเมื่อไหร่ กระแสกรรมจะไหลเทครับ เพราะฉะนั้น คนที่อยู่สบาย ๆ ก็อย่าประมาทครับ บุญหมดเมื่อไหร่ กรรมกระแทกแน่

วิธีบรรเทากรรม

อาจารย์โสพณบอกว่า การบรรเทากรรมจากการทำแท้ง ทำได้โดยถวายพระพุทธรูปแก่วัด โดยให้มีน้ำหนักองค์พระเท่าน้ำหนักตัวของคนทำ (แสดงว่าองค์ใหญ่เท่าคนจริง) หรือให้นั่งกรรมฐาน (นั่งสมาธิ หรือวิปัสสนา เหมือนกัน) และอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร

งั้นก็ทำแท้งก่อนแล้วค่อยถวายพระ ง่ายดี!

ด้วยความช่างสงสัย ผมก็ย้อนถามอาจารย์ว่า ถ้าอย่างนั้น วิธีแก้กรรมก็ง่ายดี คนก็กล้าทำแท้งทั่วบ้านทั่วเมืองสิ อาจารย์ก็ตอบว่า คนที่จะแก้กรรมได้ ก็ต้องชดใช้กรรมไประดับหนึ่งก่อน ไม่ใช่ว่าจะไม่ต้องรับกรรมเลย





 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2551 11:32:01 น.
Counter : 1822 Pageviews.  

กฏแห่งกรรม




**** เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย

เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

**** เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ

เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

**** เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่

เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

****เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต

เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

****เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก

เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

****เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม

เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

****เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี

เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

**** เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย

เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

**** เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า

เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้ญาติในชาติก่อน

**** เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า

เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

**** เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง

เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

**** เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น

เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

**** เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้

เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

**** เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส

เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

**** เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญาอ่อนและหูหนวก

เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

**** เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ

เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

**** เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย

เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

****ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา

ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด






ผลกรรมเมื่อผิดศีล 5

ผิดศีลข้อ 1 ( ฆ่าสัตว์,เบียดเบียนทำร้ายสัตว์,กักขังทรมาณสัตว์) ผลกรรมคือ

1. มักมีปัญหาสุขภาพ ขี้โรค มีโรคเรื้อรัง รักษาไม่หาย รักษายุ่งยาก
2. มีอุบัติเหตุบ่อยๆ อาจมีอุปฆาตกรรม คือกรรมตัดรอน ทำให้ตายก่อนอายุขัย
3. อาจพิกลพิการ มีปัญหาร่างกายไม่สมส่วน ไม่สมประกอบ
4. กำพร้าพ่อแม่ คนใกล้ตัวโดนฆ่า
5. อายุสั้น ตายทรมาณ ตายแบบเดียวกับที่ไปฆ่าไปทรมาณสัตว์ไว้
6. อัปลักษณ์ มีปมด้อยด้านสังขาร


แนะนำหนทางทุเลา : ตั้งสัจจะว่าจะพยายามไม่ฆ่าสัตว์ไม่ทำร้ายหรือเบียดเ บียน ไม่แกล้ง ไม่กักขัง ว่างๆก็ไถ่ชีวิตสัตว์เช่นไปตลาดซื้อปลาที่เค้ากำลังจ ะขายให้คนไปทำกินให้เราซื้อไปปล่อยในเขตอภัยทาน (ท่าน้ำของวัด) หรือ ซื้อยาสมุนไพรยาแผนปัจจุบันไปให้ถวายพระที่วัด หรือไปตามโรงพยาบาลทั้งของคนปกติและของสงฆ์เพื่อบริจ าคค่ารักษา หรือรับอุปถัมภ์ค่ารักษาพยาบาลบริจาคเลือดและร่างกาย ให้สภากาชาดไทยหรือตามโรงพยาบาลต่างๆและอื่นๆตามแต่ท ่านจะสะดวกและตามกำลัง

ผิดศีลข้อที่ 2 (ลักทรัพย์ ขโมย ฉ้อโกง ยักยอก ทำลายทรัพย์) ผลกรรมคือ

1. ธุรกิจไม่เจริญก้าวหน้า เจ๊ง ขาดทุน ฝืดเคือง โดนโกง
2. มีแต่อุบัติเหตุให้เสียทรัพย์สิน ต้องชดใช้ให้คนอื่นอย่างไร้เหตุผล
3. ทรัพย์หายบ่อยๆหลงลืมทรัพย์วางไว้ไม่เป็นที่ หาก็ไม่เจอ
4. มีคนมาผลาญทรัพย์เรื่อยๆทั้งคนใกล้ตัวและคนทั่วไป
5. ลูกหลานแย่งชิงมรดก โดนลักขโมยบ่อยๆ 6.ตระกูลอับจนไม่มีที่สิ้นสุด มีแต่คนมาทำลายทรัพย์


แนะนำหนทางทุเลา : ตั้งสัจจะไม่ยุ่งกับทรัพย์สินของคนอื่น หากอยากได้ให้ขอเสียก่อน จนกว่าเจ้าของจะอนุญาตด้วยความเต็มใจหมั่นทำบุญสังฆท าน บริจาคค่าน้ำค่าไฟวัดเพื่อที่ศาสนาจะได้ไม่ขาดแคลนปั จจัยส่งผลบุญให้เราไม่ขัดสนมอบทุนการศึกษาแด่ผู้ที่ข าดแคลนทุนทรัพย์ผลบุญ ทำให้เรามีปัญญาที่จะหาทรัพย์อย่างสุจริตรวม ทั้งต้องตั้งสัจจะที่จะมีสัมมาอาชีพไม่ฉ้อโกงใครแม้แ ต่สลึงเดียวและอื่นๆตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลัง

ผิดศีลข้อ 3 (ประพฤติผิดในกาม ผิดลูกเมียเขาล่วงเกินบุตรธิดาของผู้อื่นก่อนได้รับอ นุญาตแย่งคนรักของคนอื่น,กีดกันความรักคนอื่น,นอกใจค ู่ครอง,หลอกลวง,ข่มขืน,ค้าประเวณี, ล่วงเกินทางเพศต่างๆ) ผลกรรมคือ

1. หาคู่ครองไม่ได้ ,ไม่มีใครเอา, หน้าตาอัปลักษณ์ ,โดนเพศตรงข้ามล้อเลียนจนมีปมด้อย
2. เป็นหม้าย ,ผัวเมียตายจาก, ผัวหย่าเมียร้าง,คบใครก็มีเหตุให้หย่าร้างเลิกรา
3. คนรักนอกใจ ,คนรักมีชู้ ,มีเมียน้อย ,คบใครก็เจอแต่คนเจ้าชู้ ,โดนหลอกฟัน, ท้องไม่รับ, เสียตัวฟรี ,โดนข่มขืน
4. ไม่มีมิตรจริงใจ, เพื่อนฝูงไม่รัก, พี่น้องก็ไม่รัก ,พ่อแม่ทอดทิ้ง ,ชีวิต
ขาดความอบอุ่น, มีแฟนก็ไม่มีใครจริงจังด้วย,ครอบครัวไม่อบอุ่น
5. มีความผิดปกติทางเพศทางร่างกาย, ทางจิตใจ, ถูกกีดกันทางความรัก, สังคมไม่ยอมรับความรักของตน, มีความรักหลบๆซ่อนๆ
6. ต้องมีเหตุพลัดพรากจากคนรักและของรักอยู่เสมอ (ก่อนเวลาอันควร)


แนะนำหนทางทุเลา : ตั้งสัจจะว่าจะไม่ทำผิดเรื่องทางเพศไม่ทำให้ใครรู้สึ กผิดหวังเสียใจในเรื่องความรัก ไม่กีดกันไม่คิดแย่งหรือไปรักกับคนรักของใคร ไม่คิด
ทำร้ายความรู้สึกคนรัก ไม่ล่วงเกินบุตรธิดาของใครก่อนได้รับอนุญาต รักเดียวใจ
เดียว ไม่นอกใจไม่มีกิ๊ก พอใจในคู่ครองของตนเอง


หมั่นทำบุญถวายเทียนคู่ให้วัด ถวายธงคู่ประดับวัด ช่วยออกค่าใช้จ่ายงานแต่งงานและอื่นๆตามแต่ท่านจะสะด วกและตามกำลังหรือให้ธรรมะด้านความรักแก่คู่รักที่รู ้จัก เอาใจใส่คู่ครองคนรักเอาใจใส่พ่อแม่ของตนเองหากรักพ่ อแม่เอาใจใส่พ่อแม่อย่างดีจะได้รับผลบุญ ทำให้ความรักของเราสดใสไม่เจ็บช้ำหากทรมาณพ่อแม่ ทำอย่างไรกับพ่อแม่ไว้ต่อไปชีวิตรักก็จะเลวร้ายพอ ๆ กับความรู้สึกเสียใจของพ่อแม่ที่เราได้กระทำไว้

ผิดศีลข้อ 4 (โกหก ปลิ้นปล้อน กลับคำ ไม่มีสัจจะ หลอกลวงผู้อื่นใส่ร้ายผู้อื่น ยุแยงให้คนแตกกัน ใช้วาจาดูหมิ่น พูดส่อเสียด พูดคำหยาบขี้โม้ นินทา ด่าทอ ด่าพ่อล้อแม่ ด่าและเถียงผู้มีพระคุณ ผิดสัญญาสาบานแล้วไม่ทำตาม ) ผลกรรมคือ

1.ปากไม่สวย ฟันไม่สวย มีกลิ่นปาก มีปัญหาเรื่องปากเรื่องฟันอยู่เนืองนิจ
2.มีแต่คนพูดให้เสียหาย มีคนซุบซิบนินทาเรื่องของเรา มีคนคอยใส่ร้ายดูหมิ่นและส่อเสียดเราอยู่เสมอ
3.ไม่มีใครจริงใจด้วย มีแต่คนมาพูดจาหลอกลวง ผิดสัญญาต่อเรา
4.เกิดในสังคมที่พูดแต่คำหยาบคำส่อเสียดปลิ้นปล้อน นินทาอยู่เนืองนิจ เพียงตื่นมาก็พบเจอความไม่เป็นมงคล (สังคมที่ปากไม่เป็นมงคล)
5.หลงเชื่อคนอื่นได้ง่าย โดนหลอกได้ง่าย ไม่มีความระวังเวลาโดนโกหก
6.ไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเรา, เป็นคนที่พูดอะไรแล้วคนเมิน,พูดติดๆขัดๆ, นึกจะพูดอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ


แนะนำหนทางทุเลา : ตั้งสัจจะว่าจะไม่พลั้งปากโกหกหรือส่อเสียดนินทายุแย งใคร ไม่ด่าใคร พูดตามความเป็นจริงทุกอย่าง สิ่งใดควรพูดก็ควรพูดไม่ควรพูดก็อดทนไว้ไม่ด่าไม่เถี ยงไม่นินทาผู้มีพระคุณเช่นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ให้คำสั ญญาใครไว้ต้องรักษา อย่าสาบานอะไรพร่ำเพรื่อว่าง ๆ ก็ออกค่าใช้จ่ายให้ค่าทำฟันแก่คนยากคนจนและอื่น ๆ ตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลังหมั่นให้สัจธรรมความจริ งแก่คนทั่วไป พูดแต่ธรรมะ สอนธรรมะอยู่เสมอหมั่นพูดหรือเผยแพร่ธรรมะให้คนอื่นฟ ังบ่อยๆ ทำตัวให้มีธรรมะให้มีสัจจะพูดอะไรก็ไม่ผิดคำพูดไม่กล ับคำ ไม่หลอกลวงใคร คนจะเชื่อถือมากขึ้น

ผิดศีลข้อ 5 (ดื่มของมึนเมา เสพยาเสพติด ให้ยาเสพติด ให้ของมึนเมา ขายของมึนเมา ขายยาเสพติด) ผลกรรมคือ

1. สติปัญญาไม่ดี ขี้หลงขี้ลืม เรียนไม่เก่ง อ่านหนังสือไม่จำ อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ
2. เกิดในตระกูลที่โง่เขลา เต็มไปด้วยอบายมุข
3. หากกรรมหนักจะเกิดเป็นเอ๋อ ปัญญาอ่อน เป็นโรคทางปัญญา
4. ลูกหลานสำมะเลเทเมา มีลูกหลานติดยาเสพติด
5. เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ไม่มีสติระวัง มีแต่ความประมาท
6. มักลุ่มหลงในสิ่งผิดได้ง่าย เป็นคนที่โดนมอมเมาให้หลงใหลในสิ่งผิดได้ง่าย (ขาดสติ)


แนะนำหนทางทุเลา : ตั้งสัจจะว่าจะไม่ดื่มของมึนเมาและยาเสพติดทุกชนิดไม ่จำหน่าย จ่ายแจกของมึนเมาและยาเสพติดทุกชนิดหมั่นทำธรรมทานวิ ทยาทานให้ปัญญาความรู้แก่คนทั่วไปและอื่นๆตามแต่ท่าน จะสะดวกและตามกำลัง






 

Create Date : 16 ตุลาคม 2551    
Last Update : 22 ตุลาคม 2551 17:21:15 น.
Counter : 409 Pageviews.  

ไหว้พระธาตุประจำปีเกิด


พระธาตุจอมทอง เป็นที่ประดิษฐานของพระทักษิณโมลีธาตุ (พระธาตุ ส่วนที่เป็น พระเศียรเบื้องขวาของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) มีขนาดโตประมาณ เมล็ดข้าวโพด สันฐานกลมเกลี้ยง สีขาวนวลเหมือน ดอกบวบ หรือ สีดอกพิกุลแห้ง ตามประวัติเล่าว่า พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่ ดอยจอมทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 218 ปัจจุบัน พระธาตุ ถูกบรรจุไว้ในพระโกศ 5 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ภายใน พระวิหารจตุรมุข ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส คล้ายพระเจดีย์ กว้าง 4 เมตร สูง 8 เมตร ตามประวัติว่าสร้างขึ้นโดย พระเจ้าดิลกปนัดดาธิราช หรือ พระเมืองแก้ว กษัตริย์ราชวงศ์มังราย เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2060

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

นะโมพุทธายะ นะมามิ ติโลกะโมลี

โลหะกูเฎ ปะติฎฐิตัง ปูชิตัง สัพพะโลเกหิ

กิตติมันตัง มะโนหะ รัง อะหัง วันทามิ

อสัพพะทา อัง คะวะเย ปุเรรัมเมิโกวิลา

รัคคะปัพ พะเต สะหิเหมะคูหา คัพเภ

ทักขิณะโมลี ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะทา



พระธาตุลำปางหลวง ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระเถระสามองค์ได้เสด็จจาริกไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ จนถึงบ้านสัมภะการีวัน (บ้านลำปางหลวง) พระพุทธเจ้าได้ประทับเหนือดอยม่อนน้อย มีชาวลัวะคนหนึ่งชื่อ ลัวะอ้ายกอน เกิดความเลื่อมใส ได้นำน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้างมะพร้าว และมะตูมมาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ฉันน้ำผึ้งแล้วทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือ แล้วทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อว่าลัมพกัปปะนคร แล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศามาหนึ่งเส้น มอบให้แก่ลัวะอ้ายกอน ลัวะอ้ายกอนได้นำพระเกศานั้น บรรจุในผอบทองคำ และใส่ลงในอุโมงค์พร้อมกับถวายแก้วแหวนเงินทองเป็นเครื่องบูชา แล้วแต่งยนต์ผัด (ยนต์หมุน) รักษาไว้ และถมดินให้เรียบเสมอกัน แล้วก่อเป็นพระเจดีย์สูงเจ็ดศอกเหนืออุโมงค์นั้น ในสมัยต่อมาก็ได้มีกษัตริย์อีกหลายพระองค์ มาก่อสร้างและบูรณซ่อมแซม จนกระทั่งเป็นวัดที่มีความงามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

ยาปาตุภูตา อะตุลานุภาวาจีรัง

ปะติฎฐาสัมภะ กัปปะปุเร เทเวนะ

คุตตา อุตตะราภิทัยยา นะมามิหันตัง

วะระชินะธาตุง ฐะเปติ มะหา ฐาเน

เจติยัง ปูชิตา นะเะเทเวหิ

อะหัง วันทามิ ธาตุโย


พระธาตุช่อแฮ เป็นเจดีย์บรรจุพระเกศาและพระบรมสารีริกธาตุพระศอกซ้ายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปูชนียสถานที่ศักดิ์ศิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของเมืองแพร่มาแต่โบราณตามตำนานกล่าวว่าขุนลัวะอ้ายก๊อมเป็นผู้สร้าง ปรากฏหลักฐานการบูรณะปฏิสังขรณ์ระหว่าง พ.ศ. 1879-1881 ในสมัยพระมหาธรรมราชา(ลิไท) เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระมหาอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัย ลักษณะองค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ศิลปะแบบเชียงแสนสูง 33 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 11 เมตร สร้างด้วยอิฐโบกปูน หุ้มด้วยแผ่นทองเหลือง ลงรักปิดทอง

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

โกเสยยะ ธะชัคคะ

ปัพพะเต สัตตะมะโนรัมเม

พุทธะ เกสาธาตุ ปะติฎฐิตา

อะหัง วันทามิ สัพพะทา

อะหัง วันทามิ ธาตุโย

อะหัง วันทามิสัพพะโส



พระธาตุแช่แห้ง จากพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า พระยาการเมือง เจ้านครน่านได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากกรุงสุโขทัย มาประดิษฐานไว้ที่ดอยภูเพียงแช่แห้ง และตามตำนานกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับสรงน้ำที่ริมฝั่ง แม่น้ำน่านทางทิศตะวันออก ที่บ้านห้วยไค้ และเสวยผลสมอแห้ง ซึ่งพระยามลราชนำมาถวาย แต่ผลสมอนั้นแห้งมาก พระพุทธเจ้าจึงทรงนำผลสมอนั้นไปแช่น้ำก่อนเสวย และทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปที่นี่จะมีผู้นำพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน จึงเรียกพระสถูปที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุแห่งนี้ว่า พระธาตุแช่แห้ง

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

ยาปาตุภูตา อะตุลานุภาวาจีรัง

ปะติฎฐิตา นันทะกัปปะเก

ปุเร เทเวนะ คุตตา วะระพุทธะธาตุง

จิรัง วันทามิหันตัง ชินะธาตุโย

โส ตะถาคะตัง

อะหัง วันทามิ สัพพะทา อะหัง วันทามิ ทูระโต


วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งซึ่งประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร ประดิษฐานอยู่ในวิหารลายคำ เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ชาวเมืองจะอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้แห่ไปตามถนนรอบเมืองเพื่อให้ประชาชนสรงน้ำโดยทั่วถึงกัน แต่เดิมที่ดินบริเวณวัดนี้เป็นตลาด เรียกชื่อว่า วัดลีเชียง (ลี หมายถึง ตลาด) จนถึงปี พ.ศ. 1888 พระเจ้าผายู กษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์มังรายทรงโปรดฯ ให้สร้างวัดนี้ขึ้น พร้อมทั้งสร้างพระเจดีย์สูง 24 ศอกองค์หนึ่ง เพื่อใช้เป็นที่บรรจุอัฐิพระราชบิดาของพระองค์ สถาปัตยกรรมสำคัญของวัดนี้ได้แก่ วิหารลายคำที่มีจิตรกรรมฝาผนังงดงาม พระอุโบสถ หอไตรที่มีปูนปั้นรูปเทวดาประดับ และเจดีย์ทรงกลมแบบล้านนา

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

อิติ ปะวะระสิหิงโค อุตตะมะยโสปิ

เตโข ยัตถะ จิตโตโส สักกาโร

อุปาโท สะกาละพุทธะสาสะธัง โชตะยันโตวะ

ทีโป สุระนะเรหิ มะหิโต ธะระมาโนยะ

พุทโธติ นะมามิ สิหิงคะพิมพัง

สุวัณณาภิรัมมัง ลังกาชาตัง


วัดหนองบัว อยู่ชานเมืองอุบลราชธานี ห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตรตามถนนเลี่ยงเมือง จะมีทางแยกจากถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 700 เมตร ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ คือ พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ครบรอบ 25 ศตวรรษ ของพุทธศาสนาในปี พ.ศ. 2500 **โดยได้จำลองแบบมาจากเจดีย์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย นับเป็นวัดเดียวในภาคอีสานที่มีเจดีย์แบบนี้ **สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเป็นป่าโปร่ง ร่มรื่น


คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

ปะฐะมัง โพธิปัลลังกัง ทุติยัง

อะนิมิสสะกัง ตะติยัง จังกะมะ

เสฏฐัง จะตุตถะกัง ระตะนะฆะรัง

ปัญจะมัง อะชะปาละนิโคธัง

ฉัฏฐัง ราชายะตะนัง สัตตะมัง มุจ

จะลินทัง อะหัง วันทามิ ทูระโต


วัดพระบรมธาตุ เป็นวัดเก่าแก่ สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ชาวบ้านเรียกว่า วัดพระเจ้าทันใจ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ และมีตำนานว่าสร้างเสร็จในหนึ่งวัน พระเจ้าทันใจนี้ล่ำรือกันว่าศักสิทธิ์นัก จริงๆ แล้วพระเจ้าทันใจมีอยู่อีกหลายวัด แต่ที่เป็นที่นับถือมากที่สุดคือที่วัดพระบรมธาตุ พระครูพิทักษ์บรมธาตุ (ทองอยู่) เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุได้จดจำเอารูปทรงของเจดีย์ชเวดากองมาสร้างครอบเจดีย์องค์เก่า ซึ่งมีรูปทรงสมัยสุโขทัยไว้ และยังสร้างพระบรมธาตุองค์เล็กๆ 16 องค์ และเจดีย์ใส่พระพุทธรูปอีก 16 องค์ และโขงจุดไฟเทียนอีก 6 โขง ไว้รายรอบเจดีย์องค์ใหญ่ด้วย

ด้านซ้ายมือของเจดีย์จะเป็นทางเข้าวิหารเก่าครึ่งตึกครึ่งไม้และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองปางมารวิชัยภายในวิหารยังมีธรรมาสน์เก่าเป็นไม้แกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม ทางซ้ายของเจดีย์เป็นพระอุโบสถครึ่งตึกครึ่งไม้ มีประตูไม้แกะสลักรูปป่าหิมพานต์ หน้าบันและจั่วเป็นไม้แกะสลักไว้อย่างวิจิตร หน้าบันที่สวยมากจะอยู่ทางด้านหลังของพระอุโบสถ บานหน้าต่างเป็นภาพพระพุทธประวัติใช้ไม้แกะสลักปิดทองสวยงามมาก วัดพระบรมธาตุเป็นวัดที่กล่าวได้ว่า สวยงามที่สุดในจังหวัดตาก ในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีชาวบ้านเป็นจำนวนมาก นำดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา นอกจากนั้นยังมีงานประเพณีที่สำคัญอีกงานหนึ่ง คือ ประเพณีขึ้นธาตุเดือนเก้า

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

สัมมาสัมพุทธะ นะลาตะ

อัฏฐิ จะตุเกสาธาตุยา

คันธะวะ รัง

ฐิตัง ปะระมา

ธาตุ เจติยัง

อะหัง วันทามิ สัพพะธา


พระบรมธาตุดอยสุเทพ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราช เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 9 โดยพระเจ้ากือนาทรงรับสั่งให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่พระมหาสุมนเถระ นำมาจากเมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งได้ขุดพบจากนิมิตฝันของพระมหาสุมนเอง เมื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาสู่เชียงใหม่แล้ว พระธาตุได้แยกเป็นสองส่วน พระเจ้ากือนาทรงเลื่อมใส ได้อัญเชิญบรรจุไว้ที่พระธาตุวัดสวนดอก

ส่วนองค์ที่สอง ได้อัญเชิญขึ้นบนหลังช้างเพื่อเสี่ยงทายว่า ช้างหยุดที่ใด ก็จะสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่นั่น แล้วปล่อยช้างไป ช้างได้มุ่งหน้าไปสู่ทิศตะวันตก ขึ้นไปยังดอยสุเทวะฤาษี หรือดอยสุเทพปัจจุบัน แล้วมาหยุดที่ยอดดอยสุเทพ พระเจ้ากือนาทรงรับสั่งให้สร้างพระเจดีย์ ณ ที่นั้น มีขนาดสูง 5 วา เมื่อ พ.ศ. 1916 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2068 พระเจ้าเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ของเชียงใหม่ ได้ทำการบูรณะพระเจดีย์ โดยได้นิมนต์พระมหาญาณมงคลโพธิ จากลำพูนมาเป็นประธานการบูรณะ โดยขยายพระเจดีย์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม สูง 11 วา กว้าง 6 วา ที่ปรากฏทุกวันนี้

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

สุวัณณะ เจติยัง เกสา

วะระมัตถะลุงคัง วะรัญญะธาตุง

สุเทวะนามะทัง

นะระเทเวหิ

สัพพะปูชิตัง

อะหัง วันทามิ สัพพะ



พระธาตุพนม เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ของภาคอีสาน ประดิษฐานบนเนินที่เรียกว่าภูกำพร้า ปัจจุบันเป็นบริเวณวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมราว 52 กิโลเมตร พระธาตุพนมสร้างขึ้นแต่สมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ประมาณ พ.ศ. 8 โดยเจ้าเมือง 5 องค์คือ พระยาสุวรรณภิงคารนะ พระยาคำแดง พระยาอินทปัตถะนคร พระยาจุลนีพรหมทัต และพระยานันทเสน เพื่อบรรจุพระอุงรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้า ลักษณะพระเจดีย์เป็นเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยม หรือทรงแจกัน ก่อด้วยอิฐมีลวดลายจำหลักลงไปในแผ่นอิฐ มีซุ้มคั่นด้านละซุ้ม ซ้อมกัน 3 ชั้น ลดหลั่นกันลงมาอย่างวิจิตร พระธาตุพนมได้รับการบูรณะเรื่อยมาตามกาลเวลา และในวันที่ 11 สิงหาคม 2518 องค์พระธาตุพนมได้หักโค่นลง ประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศได้ร่วมกันสละทุนทรัพย์ก่อสร้างขึ้นใหม่ และมีพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นบรรจุอีกครั้งในวันที่ 23 มีนาคม 2522

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

ปุริมายะ ทักขิณายะ ปัจฉิมายะ อุตตะรายะ เหฎฐิมายะ อุปะริมายะ

ทิสายะ กะปะณะสิริส สะมิง

ปัพพะเต กัสสะเปนะ ฐาปิตัง

พุทธะอุรังคะธาตุง สิระสา นะ มามิ เสตะฉัตตัง สุวัณณะระชะตัง

ระตะนัง ปะณีตัง พุทธะอุรังคะเจติยัง

อะหัง วันทามิ สัพพะทา



พระธาตุหริภุญชัย เป็นปูชนียสถานสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งในภาคเหนือ และเป็นมิ่งขวัญของชาวลำพูน ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุหริภุญชัย ในกลางเมืองลำพูน ภายในวัดเป็นลานกว้าง มีวิหารหลายหลัง หอระฆังสวยงาม ปรากฏในตำนานว่า สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอาทิตยราช กษัตริย์นครหริภุญชัยราว พ.ศ.1586 ต่อมาได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุนี้อีกหลายครั้งในรัชกาลพระเจ้าติโลกราชเมื่อ พ.ศ.1986 ได้โปรดให้เสริมพระธาตุเป็น 23 วา ฐานกว้าง 12 วา 2 ศอก ยอดมีฉัตร 7 ชั้น

หลังจากนั้นพระเมืองแก้วได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์และสร้างระเบียงหอก ซึ่งเป็นรั้วล้อมพระธาตุ 500 เล่ม แล้วทรงสร้างวิหารหลวง และใน ปีพ.ศ.2329 พระเจ้ากาวิละได้ทรงทำการบูรณะพระบรมธาตุ และทรงสร้างฉัตรหลวงขึ้น 4 มุม และสร้างฉัตรยอดเจดีย์ด้วยทองคำเป็น 9 ชั้น ฐานพระธาตุเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ 10 วา และสร้างรั้วทองเหลืองล้อมรอบองค์เจดีย์ด้านในองค์พระธาตุเป็นสีทองอร่ามเป็นที่ต้องตาต้องใจนักท่องเที่ยวต่างเมืองผู้มีโอกาสได้ไปเยือนยิ่งนัก ทางจังหวัดลำพูนได้จัดให้มีงานนมัสการประจำปีขึ้นในวันเพ็ญ เดือน 6 ซึ่งก็คือวันวิสาขบูชา

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

สุวัณณะเจติยัง หะริ ภุญชะยัฎฐัง

วะระโมลีธารัง อุรัฎฐิ เสฎฐัง

สะหาอังคุลิฎฐิง

กัจจายะเน นะ ฐิตะปัตตัปปะการัง

สีเสนะ มัยหัง ปะระมามิธาตุง



วัดเกตการาม ตามพุทธประวัติ กล่าวไว้ว่าประดิษฐานพระทันตธาตุที่พระอินทร์นำมาจากพระบรมธาตุที่โทณพราหมณ์ได้แอบซ่อนไว้ เมื่อครั้งมีการแบ่ง พระบรม สารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าให้แก่เจ้าเมืองต่างๆ ด้วยเหตุที่ พระธาตุเจดีย์องค์นี้ มนุษย์ไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ ดังนั้น นอกจากนมัสการด้วยการบูชารูปแล้วยังสามารถบูชา พระเจดีย์ ที่วัดเกตการาม เชียงใหม่ ซึ่งมีชื่อพ้องกับพระเกศแก้ว จุฬามณี เจดีย์วัดนี้ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ในเขตย่านการค้าของชาวต่างชาติ ตามประวัติ ว่าสร้างโดยพญาสามฝั่งแกน เมื่อ พ.ศ. 1971 แต่พระเจดีย์ได้พังทลายลง ในปี พ.ศ. 2121พระสุทโธรับ สั่งให้ สร้างขึ้นใหม่ให้เป็นเจดีย์ทรงลังกาแบบล้านนา นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีพระวิหารใหญ่ที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ และพิพิธภัณฑ์เก็บของใช้พื้นบ้านให้ชม (เปิด 08.00 - 16.00 น.) ที่ตั้ง บ้านวัดเกต ถ.เจริญราษฎร์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

ตาวะติงสายะ ปุรัมเม เกสะจุฬา

มะณี สะรีระปัพพะตา ปูชิตา

สัพพะ เทวานัง ตังสิระสา ธาตุ

อุตตะมัง อะหัง วันทามิ สัพพะทา


พระธาตุดอยตุง นับเป็นโบราณสถานอันเก่าแก่แห่งหนึ่งในภาคเหนือ ตามประวัติตำนานได้กล่าวไว้ว่า พระมหากัสสะปะเถระเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ได้อาราธนาอัญเชิญเอายังพระบรมสารีริกธาตุกระดูกไหปลาร้า(พระรากขวัญเบื้องซ้าย) ของพระพุทธเจ้า มามอบถวายแด่พระเจ้าอุชุตราชเจ้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนกชัยบุรี รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์สิงหนวติ เป็นประธานพร้อมด้วยมุขมนตรีเสวกอำมาตย์ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ ได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุขึ้นมาบรรจุสร้างขึ้น ณ ที่ดอยดินแดง (คือดอยตุงปัจจุบัน) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1454 ต่อมาอีก 100 ปี มีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อว่า พระมหาวชิรโพธิเถร ได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมามอบถวายให้พระเจ้ามังรายะนะธิราช แล้วจึงได้พร้อมใจกันนำเอาพระบรมธาตุขึ้นบรรจุสร้างใหม่ขึ้นมาอีกองค์หนึ่งบนดอยตุง พร้อมได้ปฏิสังขรณ์องค์เดิม

คำบูชาพระธาตุ (ตั้งนโม 3 จบ)

อิมัสสะมิง ภัททะกัปเป จะตุพุทธา พุชฌิต ตะวา กะกุสันธะโกนาคะมะนะ

กัสสะปะ โคตะ มะราชะเคเห จะระติ

ปิณฑายะ มิถิลายะนะ คะเรสิ จะระติ ปิณฑายะ อะตีตาพุทธาเน อิมัสมิง ฐาเนสีทิ สิริสุภะปะวะรัง มังคะลัง ตะโมลากะถามุนิราชัง สาทะรัง นมามิหันตัง วะระชินาธาตุง อะหัง

วันทามิ สัพพะทานะตัง วะชิระ

ธาตุโย อะระหัง วันทามิ สัพพะทา


บุญรักษาค่ะ




 

Create Date : 11 ตุลาคม 2551    
Last Update : 11 ตุลาคม 2551 14:36:09 น.
Counter : 1658 Pageviews.  

~ บัวสี่ เหล่า และ คนสี่จำพวก ~









พระพุทธองค์ท่านทรงหยั่งเห็นสันดาน
ของมนุษย์ประดุจดังดอกบัว ๔ เหล่า.
เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับคำอารธนาของ
ท้าวสหัมบดีพรหมแล้ว
ทรงเปรียบเทียบมนุษย์กับดอกบัว ๔ ประเภท
คือ..บัวสี่เหล่า คือ บัวใต้น้ำเป็นหนึ่งในระดับของสติปัญญา
จากเรื่องบัวสี่เหล่า นั้นแสดงให้เห็นถึงความสามารถ
ของคนที่เรียนรู้เรื่องต่างๆ เป็น 4 ระดับ คือ. ...


•บัวสี่เหล่า คือ บัวใต้น้ำเป็นหนึ่งในระดับของสติปัญญา
จากเรื่องบัวสี่เหล่า นั้นแสดงให้เห็นถึงความสามารถของ
คนที่เรียนรู้เรื่องต่างๆ เป็น 4 ระดับ คือ. ..


๑ อุคฆติตัญญุ คือ...พวกฉลาดมาก เหมือนบัวที่
พ้นน้ำแล้ว พวกมีสติปัญญา ฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ
เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว
เพียงได้ฟังหัวข้อธรรมที่ยกขึ้น ก็จะเข้าใจได้โดยง่าย
เปรียบเหมือนดอกบัวที่พ้นน้ำแล้วพอเจอแสงอาทิตย์ก็
เปล่งบานรับแสงอาทิตย์ฉันใดผู้เป็นบัณฑิตก็ฉันนั้น

๒ วิปจิตัญญู คือ...พวกฉลาดพอควร เหมือนดอก
บัวที่อยู่เสมอน้ำ พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง
เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจราณาตามและ
ได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม ก็จะสามารถรู้
และเข้าใจได้ในเวลาไม่ช้า เปรียบเสมือน
ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ ซึ่งจะบานในวันถัดไป
เพียงฟังคำอธิบายก็เข้าใจได้เปรียบเหมือนดอกบัวที่
คอยแสงอาทิตย์พร้อมที่จะรับแสงและบาน

๓ เยยะ คือ...พวกฉลาดปานกลาง หรือเวไนย
สัตว์ พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่ เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อ
ได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝน
เพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ
มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธาปสาทะ
ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า
เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ
ซึ่งจะค่อยๆโผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
เหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ มีโอกาสที่จะโผล่ขึ้นมาในวัน
ต่อๆไป เมื่อได้รับการอบรมบ่มสติปัญญาพอควรก็จะเข้าใจ
ธรรมได้

๔ ปทปรมะ คือ...ผู้ที่โง่เขลา เหมือนบัวที่อยู่ในโคลนตม
.พวกที่ไร้สติปัญญาและยังเป็น มิจฉาทิฏฐิ แม้ฟังธรรมก็
ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ทั้งยังขาดศรัทธา
ปสาทะ
ไร้ซึ่งความเพียรเปรียบเสมือน ดอกบัวที่จมอยู่โคลนตม
ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลาอีกด้วยไม่มีโอกาสโผล่
ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบานได้อีกยากที่จะสอนให้เข้าใจได้ ไม่มี
โอกาสโผล่เหนือน้ำ
ฉะนั้นบุคคลจำพวกนี้สอนไปก็ยากที่จะเข้าใจเขาก็จะอยู่
ใต้ตรมโคล่ไม่มีวันโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเพราะปัญญาเขามีแค่
นั้น
เขาจึงเปรียบบัวใต้น้ำคือพูดง่ายๆนะผู้โง่เขลานั้นเอง




"บัวสี่เหล่า"

หนึ่งคือบัวพ้นน้ำล้ำคุณค่า
สุริยาจรัสแจ้งแสดงผล
ผลิดอกบานทันทีที่แย้มยล
เปรียบดั่งคนรู้ธรรมล้ำปัญญา

สองคือบัวปริ่มน้ำตามวิถี
ลุราตรีผ่านพ้นบนความเขลา
จึ่งผลิดอกเบ่งบานสานวัยเยาว์
ปัญญาเจ้าปานกลางหว่างบุคคล

สามคือบัวใต้น้ำตามความหมาย
วันเคลื่อนคลายผ่านพ้นจนสมาน
บัวเจริญงดงามท่ามชลธาร
ชูช่อบานดั่งใจในสักวัน

สี่คือบัวจมโคลนจนหม่นหมอง
หมดครรลองพบทางกระจ่างใส
ต้องจมปลักโคลนตมทับถมไป
สุดท้ายไซร้เป็นภักษาเต่าปลาปู

บัวสี่เหล่าสี่กอที่ก่อเกิด
ต่างกำเนิดจากโคลนตมบ่มนิสัย
ต่างผลลัพธ์ต่างพงศ์จำนงนัย
มโนมัยด้วยธรรมล้ำปัญญา




บุญรักษาค่ะ




 

Create Date : 10 ตุลาคม 2551    
Last Update : 10 ตุลาคม 2551 18:15:25 น.
Counter : 11090 Pageviews.  


sharefeeling
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




" อนุภาพของความ รู้สึก มันอยู่ที่การสื่อสาร "
<

sharefeeling

อนาคต เป็นเรื่อง ของเวลา ที่เราไม่รู้ และ ไม่มี ขอบเขต ... เวลาเท่านั้น ที่จะไหล ไป อย่างสม่ำ เสมอ เวลาเป็นตัวเก็บสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นทุกอย่างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความลับ หรือ ปิดเป็นความลับ ถึงจะรีบร้อน .. จะเร่งรีบแค่ไหน เวลา ที่ ไหลไปเรื่อย ๆ ก็จะไหลไป .. อย่างสม่ำเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง..

~ sharefeeling online ~
Friends' blogs
[Add sharefeeling's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.