หน้าต่างบานเดิม
ฉันเขียนบล็อกนี้ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเล่าไปทำไม...07-08-2009วันนี้ไปกินที่ Divinis กันอีกเช่นเคยAPPETIZERS1. Carpaccio of Beetroot with goat´s cheese and pine nuts 2. Marinated Tuna with vegetables 3. Warm Octopus salad 4. Burrata Mozzarella (อันนี้ปีว่าอร่อยและพิเศษกว่า Mozzarella Campana อีก) กินแล้วอร่อย ยืนยันอีกครั้ง.....PASTA1. Linguine with vongole Verace ของเราเอง เส้นกลมผัดกะหอยลาย อร่อยเหาะ2. Taglioline with lemon, Parmesan and basil เส้นแบนของปี WINEจำชื่อไม่ได้ รู้แต่เป็น Savignon จาก Casale Del Giglio ปีว่าพื้นที่แถวๆโรมนั่นล่ะ บริกรหนุ่มเดียวของที่นี่เป็นคนแนะนำ และเราก็ชอบเพราะหนุ่มมักมีคำแนะนำดีๆ เสมอ.... ไม่เน้นว่าจะต้องเป็นไวน์ราคาแพงเพื่อโขกเอากำไรจากลูกค้า อย่างนี้ได้ใจไปเต็มร้อยยยยยยยยและแน่นอนในการดื่มกินทุกครั้ง ขาดมิได้ก็น้ำเปล่านี่ล่ะ อ้ออีกหน่อย วันนี้ขนมปังของทางร้านนิ่มอร่อยมากๆๆๆๆๆๆ อิ่มหนำสำราญแล้ว เดินกลับบ้าน คืนนี้ปีอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะพรุ่งนี้มีนัดดวลปั่นจักรยานกะกลุ่มก๊วน และก็โทมัสด้วย จิตใจและร่ายกาย "ฟิต" และ "ฮึกเฮิม" พร้อมสู้ ... เต็มที่เราเดินผ่านย่าน Old Town ฉันเห็นตามมุมโค้งถนนตามซอกตามซอยมีหลักหินหรือปูนก็ไม่แน่ใจ เป็นหลักท้วมๆ หัวทู่ๆ สูงพอประมาณครึ่งน่องฉัน ฉันถามปีว่ามันมีไว้ทำไม ปีบอกฉันว่าเค้าทำไว้กันการกะเทาะจากล้อรถม้าน่ะ เมื่อก่อนถนนพวกนี้จะมีรถม้าวิ่ง...ถึงบ้านจัดการตัวเองกันเสร็จ เรายืนดูป้อมปราการเก่าอันเดิมที่ดูเหมือนเค้าเจาะจงสร้างไว้ให้เราสองคนโดยเฉพาะ จากหน้าต่างบานเดิม นอกเหนือจากป้อมปราการที่ว่าแล้วเรายังสามารถเห็นแสงสปอร์ตไลท์จากสนามฟุตบอลคลับดังเมืองเชคอย่าง Spata ในยามที่เค้ามีการแข่งขัน อยู่ด้านหลังของป้อมปราการ หรือบางทีเรายังได้เห็นความงามจากพลุ ที่เจ้าของงานใดงานหนึ่งประโคมจุดขึ้นฟ้า เป็นฉากที่งดงามจับตาไม่รู้ลืมวันนี้ (๑๘ เมษายน ๒๕๕๓) เอารูปมาเพิ่มเติม หลังจากพยายามเก็บภาพมาได้เมื่อไม่กี่วันมานี้ อิอิ มันไม่ชัดเอาเสียเลย พยายามใส่จินตนาการไปหน่อยนะ จริงๆ แล้วบล็อกนี้ยังเขียนไม่เสร็จดีหรอก ค้างๆ คาๆ ไว้ แต่ก็ยังไม่มีใจจะมาเขียนให้ถูกใจตัวเอง ยังไม่มีเวลาตรอง.... อ่านๆ คั่นๆ เรื่องบางเรื่องไปก่อนเนอะที่อยู่ๆ วันนี้อยากเอามันกลับมาเล่าไม่ใช่อันใดดอก แค่เอามาคั่น มาเบรก...เสียหน่อย ก็นะจิ้งจกทักยังต้องชะงัก แล้วเป็ดทัก คนสองภาคจะไม่หยุดได้อย่างไร....ย้อนรอยอดีตไปที่ 2 เมษา....ในคืนที่ฉันกลับถึงปรากคืนแรก เราดื่มไวน์และเม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คุยอะไรกันเรื่อยเปื่อยไปตามประสา.... ดูขนนกนั่นสิ ฉันชวนชี้ให้ปีดูขนนกที่ปลิวละล่องตามกระแสลม.... ฉันยังคงมองตามมันไปเรื่อยๆ อยากรู้ว่ามันจะร่วงหล่นลงตรงที่ใด เวลาผ่านไปเรื่อย... และเรื่อย.. ขนนกเริ่มคล้อยต่ำลง.... และต่ำลง.... แต่แล้วจู่ๆ ลมกระโชกมันขึ้นไปอีก ฉันยังคงเฝ้ามองมันจนปีต้องดึงฉันออกจากภวังค์ขนนก.....................................ปีพยักเพยิดให้ฉันมองดูสองสาวสวมชุดราตรีกระโปรงสุ่มเดินอยู่ด้านล่างนั่น ปีหัวเราะเบาๆ แล้วเม่อมองไปยังป้อมปราการที่ว่าการหมู่บ้าน New Town ดังเดิม "กระโปรงสุ่มที่สาวๆ สมัยก่อนเค้าใส่กัน เธอรู้มั้ยว่าเค้ามีเครื่องกลไว้คอยม้วนชายกระโปรงติดอยู่ข้างในสุ่มด้วย" ปีเล่าไปหัวเราะไป เหมือนกับปีได้หลุดกลับไปสู่โลกอดีต"หึ ไม่รู้อะ (จารู้ได้งัยวะ บ้านตรูมีแต่คอกระเช้า) เค้ามีไว้ไมอะ""เพราะสมัยก่อนถนนยังไม่ได้ปูด้วยหิน หรือราดคอนกรีต ชายกระโปรงหล่อนๆ ทั้งหลายก็ลากไปกับพื้นดินนั่น ยิ่งเวลาฝนตกเฉอะแฉะ ชุดหล่อนๆ ก็เลอะเทอะไปหมด เป็นเหตุให้นักออกแบบทั้งหลายต้องหยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาถกกันอย่างเคร่งเครียด ยังผลให้เกิดความแตกแยก แบ่งผู้คนออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มคนร่วมสมัยและกลุ่มอนุรักษ์นิยม..." ปีหยุดชั่วครู่ก่อนจะต่อเรื่องราวให้ฉันได้ฟังต่อไป"และด้วยเหตุนี้แฟชั่นยุคนั้น กระโปรงของสาวๆ จึงมีทั้งแบบมีเครื่องจักรกลที่สาวร่วมสมัยเธอว่ามันสะดวกสบาย แค่หมุนๆ เครื่องกลที่ว่าก็ไม่ต้องคอยนำพา มือไม้ก็ยังได้กางร่ม หรือขนเฟอร์นิเจอร์อื่นที่หล่อนๆ อยากจะขน ฝ่ายกลุ่มอนุรักษ์นิยมกับแนวคิดที่ว่า กะอีแค่ชายกระโปรง ถกกันมาได้แต่ไหนแต่ไร ทำไมฉันจะใช้สองมือของฉันถกมันต่อไปไม่ได้ ไม่เห็นต้องมีเครื่องอะไรนั่นเลย อย่างเดิมๆ นี่ก็ดีอยู่แล้ว ด้วยเหตูผลนั่นจึงยังมีภาพเขียนที่ผู้หญิงเอามือถกกระโปรงยกขึ้นไว้ให้เราได้เห็นกัน..."ฟังจบแล้วฉันก็ได้แต่จินตนาการตามที่ปีบอกเล่าให้ฟังถึงสภาพถนนหนทาง กับความเป็นอยู่ของคนยุคก่อนๆ ฉันนึกเห็นภาพหญิงร่างท้วมในชุดกระโปรงสุ่ม ท่วงท่าเธอดูแคล่วคล่องฉึบฉับกระฉับกระเฉง ยกโน่นแบกนี่สลับกับภาพสาวงามเอวอรชรในชุดหรูหรา ชายกระโปรงกรุยกราย ตัวกระโปรงโดยรอบจับจีบพับซ้อนเป็นชั้นๆ มองดูราวกับกับผ้ามัดประดับปะรำพิธี.. ฉันนึกแล้วก็ขำ มันก็สวยไปคนละแบบ ได้อารมณ์ไปคนละอย่างอะนะ..... (คิคิ)ค่ำคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน ณ หน้าต่างบานเดิม ปีได้ถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตให้ฉันฟัง"เมื่อก่อนตอนชั้นยังเด็ก ในเวลาหัวค่ำจะมีคนคอยจุดไฟตามคบที่เรียงรายตามถนนนั่น ชั้นชอบดู บางทีลุงแก่ๆ ที่มีหน้าที่จุดคบไฟก็ให้ชั้นลองจุดด้วยล่ะ" ปีเล่าให้ฉันฟังด้วยอารมณ์สนุก"เธอนึกดูนะ เมื่อก่อนบริเวณแถวๆ นี้จะเป็นตีกสูงเสมอกันกับตึกนั่นทั้งหมด (ปีชี้ไปยังตึกที่เยื้องไปทางซ้ายซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับกรอบหน้าต่าง) ป้อมปราการที่เธอเห็นข้างหน้านั่น มันเป็นเหมือนที่ว่าการหมู่บ้านสมัยก่อน เธอรู้มั้ยมีการพลักคนให้ตกมาตายด้วย" (ปีหันมามองฉันแว๊บนึง) "สมัยนั้นเกิดการต่อต้านโบสถ์ซึ่งก็คือคาทอลิกนั่นล่ะ ชาวบ้านเริ่มกังขากับการซื้อตั๋วไถ่บาปว่ามันไม่น่าจะถูกต้อง คำสอนมันชักจะไม่เข้าท่า หากคนเราเพียงแต่มีเงินซื้อตั๋วไถ่บาปจากโปปก็พ้นผิดไม่ต้องตกนรก อย่างนี้แล้วเห็นทีคงจะมีแต่คนรวยๆ ที่ได้ผ่านไปสวรรค์ ชาวบ้านเริ่มคัดค้านและต่อสู้โดยมี Jan Hus ซึ่งก็คือนักบวชนิกายโปรแตสแต้น เป็นผู้นำคนสำคัญ ภายหลัง Jan Hus ก็ถูกเผาทั้งเป็น ณ ที่....(ไหนก็จำไม่ได้ จำได้แต่เป็นที่สวิตเซอร์แลนด์) ชาวบ้านรวมตัวกันกดดันและกักขังนักบวชพร้อมทั้งคนของโบสถ์(คาทอลิก) ในที่สุดก็รุกดันและพลักคนเหล่านั้นลงมาจากหน้าต่างของตึกที่ติดกับป้อมปราการนั่น บานที่หันหน้าไปทางสวนธารณะ โดยมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งถือหอกไม้ไว้คอยท่าไว้อยู่ด้านล่างนั่น"ฉันฟังด้วยความหดหู่และสยดสยอง ด้วยฉันเองก็เป็นคาทอลิกคนหนึ่ง ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่คาทอลิกที่ดีนัก แต่ฉันก็รู้สึกละอายกับเรื่องที่เพิ่งได้ยินนี่ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย... สิ่งที่ฉันรู้มาตลอดคือโบสถ์ต้องช่วยเหลือผู้ยากไร้... ฉันเองยังเคยได้รับการช่วยเหลือนั้นเลย... บอกตามตรงว่าฉันเองสับสนไม่น้อยกับเรื่องที่ได้ยินนี่ ตอนรู้จักปีใหม่ๆ ฉันสงสัยว่าทำไมปีจึงไม่เข้าโบสถ์หรือนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ....... วันนี้เอง ฉันเพิ่งพอเข้าใจ......ปีหยุดมองปฏิกิริยาฉันเล็กน้อย ก่อนเล่าต่อไปว่า"สมัยชาร์ลที่ 4 ซึ่งถือได้ว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ชาร์ลที่ 4 มีความคิดอยากให้ปรากเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆ อย่างโรมหรือปารีส ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองหรือศาสนา จึงเริ่มสร้างเมืองโดยเริ่มจากโบสถ์ St.Vitus และ Prague Castle และต่อมาก็สร้างเมืองซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขต ๖ และปราก ๑ "เมื่อก่อนมันดูห่างไกลกันเลยทีเดียวล่ะ ไม่ได้มีตึกรามบ้านช่องติดกันอย่างทุกวันนี้"(ปีหันมาเล่าอย่างกับตัวเองนั้นเกิดทันยุคสร้างเมือง อิอิ)"พอชักเต็มแล้ว ก็วางแผนสร้างนิวทาวน์ ซึ่งก็คือพื้นที่แถวนี้" (ปีชี้นิ้วกราดไปทั่ว แล้วหยุดมองไปรอบๆ ฉันเชื่อว่าปีกำลังเรียกมโนภาพบรรยากาศเก่าๆ นั้นขึ้นมา)"เธอรู้มั้ย Wenceslas Square นั่นเมื่อก่อนมันเป็นตลาดขายม้าล่ะ ถนนยังเป็นดินเป็นโคลน" ปียิ้ม "ส่วน Karlovo namesti นั่นก็เหมือนกันเมื่อก่อนมันเป็นตลาดขายวัว"ปีเล่าอย่างชวนให้นึกภาพตาม... และฉันก็เห็นอย่างที่ปีอยากให้ฉันเห็น.... ปีทำให้ฉันเห็นความเรียบง่ายของคนที่นี่ ซึ่งไม่ได้สะดวกสะบายไปกว่าบ้านเราเลย แต่ทำไมบ้านเมืองเขาจึงเจริญไปกว่าบ้านเรานักนะ... *****หากใครหลงเข้ามาอ่าน ก็อย่าไปจริงจังกับสิ่งที่ฉันเล่านัก ข้อมูลอาจไม่ครบถ้วนร้อยเปอร์เซน เพราะบางทีฉันก็อาจจะแปลเพี้ยนไปจากต้นเสียงก็เป็นได้ เอาเป็นว่าสงสัยจุดไหนก็ไปค้นหารายละเอียดกันเองอีกทีแล้วกันนะ ฉันก็ว่าไปตามที่ฉันเข้าใจ...*****