S e 7 e N ... i N T e R L u D E ...
Group Blog
 
All blogs
 

" ปลุกอารมณ์ ... "

ช่วงนี้กระแส ซุปเปอร์โบล์ กำลังมาแรง ... ทีมที่ผมชอบก็เป็น 1 ในนั้นด้วย พอดีเมื่อวันก่อนได้ดู Any Given Sunday ... 1 ใน Screen ที่ผมชอบที่สุดของเรื่อง ... คือประโยคข้างล่างนี้แหละครับ ...


I don't know what to say really.
Three minutes ... to the biggest battle of our professional lives ... all comes down to today

Either we heal as a team or we are going to crumble ... Inch by inch ... play by play ... till we're finished.

We are in hell right now, gentlemen ... believe me
and we can stay here and get the shit kicked out of us.

Or we can fight our way back into the light.
We can climb out of hell. One inch, at a time.

Now ... I can't do it for you ... I'm too old ... I look around and I see these young faces and I think
I mean ... I made every wrong choice a middle age man could make.

I pissed away all my money believe it or not.

I chased off anyone who has ever loved me.
And lately, I can't even stand the face I see in the mirror.

You know when you get old in life things get taken from you. That's, that's part of life.

But, you only learn that when you start losing stuff. You find out that life is just a game of inches. So is football.

Because in either game ... life or football, the margin for error is so small.

I mean one half step too late or to early you don't quite make it. One half second too slow or too fast
and you don't quite catch it.

The inches we need are everywhere around us. They are in ever break of the game every minute !!! every second !!!

On this team, we fight for that inch !!!

On this team, we tear ourselves, and everyone around us to pieces for that inch !

We CLAW with our finger nails for that inch.
Cause we know when we add up all those inches
that's going to make the fucking difference between WINNING and LOSING ... between LIVING and DYING !!!

...

I'll tell you this ... in any fight it is the guy who is willing to die who is going to win that inch.
And I know if I am going to have any life anymore
it is because, I am still willing to fight, and die for that inch because that is what LIVING is. The six inches in front of your face.

Now I can't make you do it. You gotta look at the guy next to you ... Look into his eyes ... Now I think you are going to see a guy who will go that inch with you.

You are going to see a guy who will sacrifice himself for this team because he knows when it comes down to it, you are gonna do the same thing for him.

That's a team, gentlemen ...

and either we heal now !

as a team ... or we will die as individuals !

That's football guys ...

That's all it is ...

Now ... whatta ya gonna do ?!?!?

1999, Speech from Tony D'Amato (Miami Sharks Head Caoch)






 

Create Date : 26 มกราคม 2549    
Last Update : 27 มกราคม 2549 17:51:14 น.
Counter : 289 Pageviews.  

" อีกไม่นาน ... มันจะดีกว่านี้ "


ตีสามกว่าแล้วสินะที่ผมยังนั่งทำงานอยู่ที่ Office ... จนลุงยามของบริษัทฯ คิดว่า บริษัทฯ รับยามหนุ่มเพิ่มอีก 1 คนแล้ว ...

ปัญหาในบริษัทฯ ผมยังไม่ค่อยคลี่คลายในทางที่ดีสักเท่าไหร่ (แต่มันก็มีแนวโน้มว่าใกล้จะดี) ...

ผมก็ได้แต่หวังว่า ...

“อะไรๆ มันจะดีขึ้น ... มันจะดีขึ้น ... มันต้องดีขึ้น ... ทนอีกนิด ... พยายามอีกนิด ... สู้ๆ !!!”

นี่ก็จะเข้าเดือนที่สองแล้วที่ผมยังไม่ได้เงินเดือน ... แม้ว่าจะมีเงินก้อนที่ใหญ่มากๆ ลอยคอรอพวกผมอยู่ในธนาคารที่ไต้หวันก็ตาม ...

ผม และผู้บริหารอีกสองคน กำลังพยายามทำทุกทาง ทุกอย่าง ที่จะ Transfer เงินดังกล่าวจากไต้หวัน Swift เข้า ธ.กรุงเทพ ให้ได้ก่อนสิ้นปี ...

เพื่อ Cash Flow ของบริษัทฯ จะได้เดินต่อไป ... เพื่อที่พนักงานคนอื่นๆ ในบริษัทฯ จะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ ...

แม้ว่าหลายๆ คนจะไม่ค่อยชอบหน้าผมก็เถอะ ...

มันยากจังครับ ที่ผมจะทำให้คนหลายๆ คนยอมรับในระยะเวลาอันสั้น ... ถึงผมจะอายุน้อยกว่าพวกคุณมาก แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าผมทำงานน้อยกว่า หรือรับผิดชอบงานน้อยกว่าพวกคุณเลยสักนิด ...

อย่ามาหมั่นไส้ผมนักเลยครับ ... อย่ามองผมด้วยหางตาเวลาเดินผ่านหน้าห้องทำงานของผม ... แค่งานผมก็เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้วครับ จะให้ผมต้องคอยไปเอาอกเอาใจพวกคุณอีกเหรอครับ ...

วันนี้ผมได้เมล์ที่พวกคุณด่าฝ่ายบริหาร (แน่นอน มันรวมถึงผมด้วย) คุณรู้มั๊ยครับว่าทันทีที่อ่านจบ พวกผมเสียใจมากๆ เลยนะครับ ... ท้อใจด้วย ... คุณด่าว่าพวกผมล้มบนฟูก ... ด่าว่าจ่ายเงินให้พวกคุณช้า เพราะเอาเงินไปใช้จ่ายส่วนตัว ...

พวกคุณรู้มั๊ย ... ที่พวกผมตัดจ่ายให้พวกคุณน่ะ ... มันมากกว่าที่พวกผมได้อีกนะ !!!

ในทุกวันที่คุณมาบ้างไม่มาบ้าง ... มาก็มาแบบไร้ใจ นั่งเอาหำตากแอร์เล่นเนตฯ ไปวันๆ ... ในขณะที่พวกคุณเลิกงานตอน 5 โมงครึ่งเป๊ะๆ ... พวกผมไม่เคยกลับก่อน 5 ทุ่มสักวัน ... ในขณะที่พวกคุณหยุดไปเที่ยวตั้งแต่วันที่ 24 ธค. 48 แต่พวกผมจนทุกวันนี้ ยังต้องนั่งทำงานหาเงินเพื่อให้พวกคุณใช้เที่ยวปีใหม่ ... ในขณะที่พวกคุณขับรถไปนอนต่างจังหวัดกัน แต่ผมนอนในห้องทำงาน อาบน้ำในบริษัทฯ ... หรือแม้แต่ในขณะที่พวกคุณเขียนเมล์มาด่าเสียๆ หายๆ ... พวกผมกำลังนั่งประชุมร่างสัญญากับผู้ถือหุ้นอยู่ …

ผมและผู้บริหารอีก 2 คนที่ท่านด่าเสียๆ หายๆ ในเมล์เนี่ย ... ไม่มีใครสักคนได้พัก หรือนอนเกิน 5 ชม. ต่อวัน จนถึงทุกวันนี้เลยครับ ...

แล้วพวกคุณกล้าดียังไง ถือสิทธิ์อะไรมาด่าพวกผมแบบนี้ ...

ผมเห็นน้องฝ่ายบัญชีที่เค้าอยู่ช่วยงานพวกผมอ่านเมล์ของพวกคุณ ... น้องเค้าอึ้ง น้องเค้าน้ำตาไหล น้องเค้าเสียใจนะครับ ... ผมพูดไม่ออกเลย ไม่รู้จะปลอบ หรืออธิบายอะไรยังไงให้น้องเค้ารู้สึกดีขึ้น ...

พวกคุณจะรู้มั๊ยครับ ... เวลาทำงานหนักๆ เพื่อพวกคุณ ... แล้วได้อ่านเมล์ที่พวกคุณด่าเนี่ย ... มันบั่นทอนไฟในตัวพวกตัวผมให้มอดลงได้ดีฉิบหายเลยครับ ...

ผมตั้งใจจะเมล์กลับไปสั้นๆ ดังนี้ครับ ...

“ถ้าพวกมึงคิดที่จะเอาเวลาที่เขียนเมล์มาด่า หันมาช่วยงานพวกกูบ้าง อะไรๆ ก็คงดีกว่านี้ เร็วกว่านี้ ... อายุก็เยอะแล้ว มือไม่พาย ยังเสือกเอาตีนมาราน้ำ”

แต่ผมเลือกที่จะลบทิ้งครับ ... ผมไม่อยากให้อะไรๆ มันแย่กว่านี้ ไม่อยากให้เกิด Conflict ภายในองค์กรมากกว่านี้ ... แค่นี้ก็แทบมองหน้ากันไม่ติดแล้ว ...

ผมเชื่อนะครับ อีกไม่ช้า ถ้าทุกๆ อย่างลงตัว พวกคุณได้เงิน พร้อมอะไรอีกหลายๆ อย่าง พวกคุณจะยอมรับเด็กอย่างผมบ้าง ... ไม่ใช่ทำงานแบบสักแต่ว่าดูแค่หัวหงอก หรือหัวดำ ...

... ผมจะพยายามให้ดีที่สุด เพื่อพวกมึงครับ ...




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2548    
Last Update : 26 มกราคม 2549 11:49:01 น.
Counter : 228 Pageviews.  

" LosT iN CircLE oF LiFE ..."

สี่ทุ่มครึ่งกว่าๆ ณ.ห้องทำงานของผม ...

ผ่านหน้าต่างที่ผมแง้มออกมาเพื่อต้อนรับลมหนาวแห่งเดือนธันวาคม ให้เข้ามาในห้อง

ผมมองเห็นแสงไฟตามตึกรามบ้านช่อง แข่งกันเปล่งแสงราวกับว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าใคร ... ก็คงเหมือนบรรดาเจ้าของอาคารเหล่านั้น ที่แข่งกันแสดงความยิ่งใหญ่ของตนเองข่มคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ... ชั้นต้องสว่างกว่าคนอื่น

สังคมปัจจุบันมันก็เป็นแบบนี้เสมอ ... ผู้คนต้องแข่งขันกันตลอดเวลา แต่ที่น่าตลก และตกใจมากที่สุดก็คือ ...

“บางครั้ง พอย้อนกลับมาดูตัวเองแล้ว ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าแข่งกับอะไร ? แข่งไปเพื่ออะไร ?”

ควันบุหรี่ค่อยๆ ม้วนตัวออกจากริมฝีปากของผม ... ผมแทบไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าผมเริ่มกลับมาสูบมันเมื่อไหร่ ? แต่ช่างแม่งเหอะ ... บางทีผมก็แค่หวังว่ามันจะช่วยพาเอาความเครียดในสมองผมลอยไปตามควันได้บ้าง ...

“ตรู๊ดดดดดด ... ตรู๊ดดดดดด ...”

เสียงโทรศัพท์ในห้องเรียกสติผมคืนมา แล้วมองไปทางที่มาของเสียงนั้น

“สวัสดีครับ ... ครับ ... ได้ครับ ... เสร็จแล้วผมจะรีบส่งเมล์ไปให้ทันทีเลยก็แล้วกันครับ” ชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ รับโทรศัพท์แล้วตอบไปในขณะที่อีกมือกำลังจดอะไรบางอย่างลงในกระดาษ ...

ผมอดสมเพชเค้าอยู่ในใจลึกๆ ไม่ได้ว่า ทำไม ? คนวัยหนุ่มอย่างเค้าต้องมาทำงานในขณะที่คนอื่นๆ กำลังดูทีวี หรือมีความสุขกับการดื่มเบียร์

“ทำไมมึงยังไม่กลับบ้าน ? งานเยอะเหรอวะ ?” ผมถามไปอย่างนั้นแหละ ถ้างานมันไม่เยอะ มันไม่มานั่งทำอยู่แบบนี้หรอก ...

เงียบ ...

ไอ้เวรนี่มันไม่ตอบผม ... มันทำเป็นไม่เห็นผมอยู่ในสายตา ... ช่างมัน ผมก็ไม่ได้อยากจะเสียเวลามาเสวนาอะไรกับมันนักหรอก เพราะอีกสักพักผมก็จะกลับบ้านไปดู DVD เรื่อง Initial-D ที่ยืมมาจากเพื่อนแล้ว

“เฮ้อ ...” เสียงถอดหายใจของมันดังมาเป็นระยะๆ ... กวนประสาทผมฉิบหาย ... ช่างแม่งเหอะ ... บางทีมันก็แค่หวังว่าทุกครั้งที่มันถอนหายใจจะช่วยพาเอาความเครียดในสมองมันลอยไปตามลมได้บ้าง ...

“มึงทำงานดึกอย่างนี้ทุกวันเลยเหรอวะ ?” ผมว่าจะลองถามมันดูอีกครั้ง ถ้าครั้งนี้มันกวนตีนผมด้วยการเงียบเหมือนคราวที่แล้วอีกล่ะก็เป็นได้เห็นดีกันแน่ ...

“ครับ ... ก็เกือบทุกวันแหละครับ ...” มันตอบแบบสุภาพ เหมาะกับหน้าจืดๆ ของมัน ... ผมพอใจที่มันตอบ ไม่อย่างงั้นคงต้องได้เปลืองแรงสั่งสอนมารยาททางสังคมให้มันแน่ๆ

“กลับบ้านสิวะ ... กลับไปนอน ... มึงปวดหัวไม่ใช่เหรอ ? ... กูรู้นะว่ามึงเป็นไมเกรนตั้งแต่เด็ก ... ถามจริงๆ เหอะ มึงทำงานหนักขนาดนี้เพื่ออะไรวะ ?” ผมดูอาการมันก็รู้ว่าตอนนี้มันกำลังปวดหัวอยู่ ผมแอบเห็นมันเอามือกุมขมับตัวเองเป็นระยะๆ

“เพื่ออนาคตที่ดีครับ ... ผมฝันอยากมีชีวิตที่ดี ... ชีวิตที่ดีก็คือความเป็นอยู่ที่ดี ... การที่คนเราจะมีความเป็นอยู่ที่ดีได้ต้องมีเงินไม่ใช่เหรอครับ ... นั้นคือเหตุผมว่าทำไมผมถึงต้องทำงานหนักขนาดนี้น่ะครับ ... คิดดูสิครับถ้าผมไม่ทำงานหนักแล้วผมจะประสบความสำเร็จได้ยังไง ? ถ้าผมไม่มีเงิน แล้วผมจะมีความเป็นอยู่ที่ดีได้ยังไง ?” มันอธิบายซะยาวเลย ...

ถุย !!! ไม่อยากบอกเลยว่า ผมล่ะโคตรเกลียดคนที่คิดอย่างมันเลย สังคมทุนนิยมหล่อหลอมความคิดแบบนี้ให้คนรุ่นมันไปหมดทุกคนแล้วมั้ง มีเงินแปลว่ามีความสุข ? ผมอยากจะหัวเราะใส่หน้ามันจัง ... แสดงว่ามันไม่เคยขับรถเปิดกระจกริมหาดทรายแล้วปล่อยให้ไอแดดอุ่นๆ ปะทะใบหน้า หรือปีนเขาไปตะโกนแหกปากบนยอดภูชี้ฟ้าตอนตีห้าแน่ๆ นี่ต่างหากล่ะ ความสุขของชีวิต ...

“ใครเค้าบอกมึงว่านั่นคือความเป็นอยู่ที่ดี ? มึงคิดไปเองต่างหาก ...” ด้วยความสงสารปนสมเพช ผมเลยพยายามชี้ทางสว่างให้มัน

“สังคมบอกผมครับ ... เค้าบอกผมว่าใครก็อยากให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง ...”

ยังไม่ทันที่มันจะพูดจบ ผมแทรกขึ้นมาว่า “คนรอบข้าง ? มึงลองหันไปดูรอบข้างมึงสิว่าตอนนี้มึงมีใครอยู่รอบข้างมึง” ให้ตายสิ !!! ผมไม่ได้ใจร้าย หรืออยากพูดจาทำร้ายจิตใจอะไรมันนักหรอกนะ แค่อยากเตือนสติมันบ้างก็เท่านั้น

ผมเห็นมันเงียบ ... บางทีมันอาจจะกำลังคิดทบทวนคำถามเมื่อสักครู่ของผมอยู่ก็ได้ ...

..... หยดน้ำค่อยๆ ไหลรินออกมาจากสองตาของมัน .....

“เฮ๊ย !!! มึงร้องไห้ทำไมวะ !!!” ผมตะโกนถามมัน ดูสิ ... ร้องไห้อย่างกับเด็กๆ ไปได้

“ไม่มี ... ไม่มีเลย ... ผมมองไปรอบข้างแล้วครับ ... ผมไม่เจอใครเลย ... เพื่อน ... ครอบครัว ... คนรัก ... ทุกๆ คนค่อยๆ เดินไปจากผม ... ไม่ใช่สิ ... ไม่ใช่ ... เป็นผมเองต่างหาก ที่ค่อยๆ เดินออกห่างจากพวกเค้า ... จนตอนนี้ ... ถ้าผมไม่เงยหัวออกมาจากงาน ผมคงคิดเสมอว่าทุกๆ คนทิ้งผม ...” มันคร่ำครวญในสิ่งที่มันเป็นอยู่ มันคงรู้ตัวแล้ว ทีนี้อยู่แค่ว่า ... มันจะเริ่มเดินกลับไปหาพวกคนที่มันทิ้งมาเมื่อไหร่ ...

“ไง ... ทีนี้มึงก็รู้แล้วใช่มั๊ยว่าเป็นมึงเองที่ทิ้งคนอื่นๆ แล้วยังเสือกหน้าด้านหาว่าทุกๆ เค้าทิ้งมึง ...” ผมเตือนสติมันอีกระลอก ... ผมก็ได้แต่หวังว่า มันน่าจะรู้ตัวได้แล้วว่า มันควรจะดำเนินชีวิตยังไงต่อไป ...

แต่ !!! ชีวิตไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ... ผมอดสงสารมันไม่ได้จริงๆ ... ทั้งๆ ที่มันรู้ตัวแล้วแท้ๆ ... ผมเห็นมันฟุบหน้าที่เปื้อนน้ำตาลงบนโต๊ะทำงาน ... ท่ามกลางเอกสารต่างๆ ที่มันเคยคิดว่าจะช่วยให้มันมีความสุข ...

มันไม่รู้หรอกว่าอาการปวดหัวข้างเดียวตั้งแต่เด็กที่มันเข้าใจว่าไมเกรนนั้น ... จริงแล้วมันคือเนื้องอกในสมอง ...

ผมพยายามเตือนมัน ให้มันรู้สึกตัวแล้ว ผมทำให้มันปวดหัว ผมทำให้มันป่วย เพื่อหวังแค่ให้มันหันมาดูแลตัวเองบ้าง ... แต่ มันเลือกที่จะยอมทนปวด แล้วทำงานต่อ

ชื่นชม หรือสังเวช ... ยอมรับเลยว่าผมไม่รู้จะใช้คำไหนกับมันดี ... มันอุส่าห์รู้ตัวแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ชีวิตควรจะเดินแบบไหน ...

อาการเนื้องอกในสมองก็ไม่ให้โอกาส ... ไม่ให้เวลามันกลับไปแก้ไขอะไรให้ดีขึ้น ...

ผมมองหน้าตัวเองที่เปื้อนน้ำตาฟุบอยู่บนโต๊ะ ...

ถุย !!! นี่น่ะเหรอ ... ชีวิตที่มีความสุขของที่คนหลงทางอย่างมึง ...

ผม ... คือตัวตนของมันที่มันอยากจะเป็น ...
ส่วนมัน ... ก็คือตัวตนของมันในโลกแห่งความเป็นจริง ...

ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อนที่อยากจะบอกกับตัวเองว่า ...

“มึงอยากจะอยู่ในโลกแบบไหนก็เลือกเอา ...”

แล้วคุณล่ะ ... เคยคุยกับตัวเองบ้างมั๊ย ?




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2548    
Last Update : 31 ธันวาคม 2548 3:22:11 น.
Counter : 266 Pageviews.  

" โอ้ละหนอ My Work !!! "

ผมเป็น คนติดงาน ... ผมเริ่มรู้ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

กว่าที่ผมจะรู้ตัว ก็ตอนที่หันซ้าย หันขวา แล้วพบว่า เหลือผมที่นั่งทำงานอยู่ในบริษัทฯ เป็นคนสุดท้ายเสมอ ...

พบว่าตามกฎระเบียบของบริษัทฯ ในสัญญาจ้าง กำหนดให้ทุกๆ เสาร์-อาทิตย์ เป็นวันหยุดของบริษัทฯ แต่ผมก็ขับรถมาบริษัทฯ อย่างเต็มใจทั้งวันเสาร์ และวันอาทิตย์ ...

พบว่าบางทีตั้งใจขับรถไปเที่ยว ... ขับไป ฟังเพลงไปเพลินๆ ... เสือกเลี้ยวเข้าบริษัทฯ ตามความเคยชิน ซะอย่างนั้น !!!

บริษัทฯ ที่ผมทำอยู่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงถ่ายเลือด พนักงานทยอยกันลาออก เกินกว่า 50% ปัญหาต่างๆ ที่เคยสร้างไว้ ก่อให้เกิดหนี้สินให้กับบริษัทฯ มากมาย พอเห็นท่าไม่ดี หรือเงินเดือนออกช้า ก็ไม่พอใจกัน แล้วก็ลาออกกันง่ายๆ ซะอย่างนั้น ! หนี้สินบริษัทฯ ก็ช่างหัวมัน เป็นพนักงาน ไม่ใช่เจ้าของบริษัทฯ ไม่ต้องไปสน ...

ความหนักหนา สาหัส และภาระ จึงต้องตกมาสู่พนักงานที่ยังเชื่อว่าบริษัทฯ ยังไหว ... ยังไปรอด ... ยังน่าจะมีทางออกที่ดี ... และผมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เชื่อว่าบริษัทฯ ผมยังไม่ตายครับ ...

รายได้ลดลง แต่งานหนักมากขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และแน่นอนหนี้เพิ่มขึ้น ... มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมเองก็ยอมรับว่าท้อแท้อยู่บ้างกับภาวะที่กำลังเป็นอยู่ ... จนถึงขั้นตัดสินใจว่า จะสู้ต่อ หรือจะออกไปทำงานอีกที่ๆ เคยมาติดต่อผมให้ไปร่วมงาน

แต่พอย้อนกลับมานึกถึงความสุข ความผูกพันที่มี เวลาที่ผมลำบาก บริษัทฯ ให้อะไรกับผมไว้มาก บางทีไม่ได้เป็นตัวเงิน แต่เป็นจิตใจ ... สุดท้าย ผมเลยตัดสินใจสู้ต่อ ...

ผมรู้สึกว่า ถ้ารอดจากวิกฤติคราวนี้ไปได้ ผมคงจะภูมิใจมากๆ แน่ ที่ได้เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ คนที่เหลือ ที่อยู่ร่วมสู้ฝ่าฟันจนรอดตายในวิกฤติครั้งนี้ได้ ...

มันคงเหมือนนักรบที่ฝ่าฟัน และดีใจกับชนะในสมรภูมิที่โหดร้าย ...

หลายต่อหลายครั้งที่เราประชุมกัน สรุปปัญหาต่างๆ สุมหัวกันหาวิธีแก้ไข มีหลายงานที่เกิดปัญหาแล้วพวกเราก็โบ้ยความผิดให้พระเจ้า 555 บอกว่า คงเป็นอีกหนึ่งในหลายๆ เหตุการณ์ที่พระเจ้ากำลังทดสอบจิตใจพวกเรา ... แต่ ท่านครับ ... พอได้แล้วครับ ทดสอบพวกเรามามากพอแล้วครับ ...

ไม่เป็นไรนะ ถ้าผมจะไม่มีวันหยุด ... ไม่เป็นไรหรอก ถ้าผมจะไม่ได้ไปเที่ยว ไปดูหนัง ฟังเพลง ...

หวังว่าครั้งนี้ ... เทพีแห่งโชคจะหันมายิ้มให้ผมสักครั้ง ...


ปล. พักเรื่องเครียดๆ ด้วยรูปลูกชายสุดรักของผมครับ ชื่อน้องแพนด้าครับ ผมตั้งชื่อนี้ให้ เพราะอะไรน่ะเหรอ ? ก็คุณๆ ดูเอาสิครับ มันเหมือนแพนด้าย่อส่วนซะขนาดนี้ !!!





 

Create Date : 04 ธันวาคม 2548    
Last Update : 19 ธันวาคม 2548 22:39:19 น.
Counter : 304 Pageviews.  

-" เจาะลึกต้นเหตุ "ความเหงา" ของผม (กับคำสารภาพของเด็กมีปัญหา) "-


ผมยอมรับครับว่า ผมเป็นหนึ่งในคนจำพวกที่พวกท่านหลายๆ คนพากันเรียกว่า "เด็กมีปัญหา" ครับ ...

ผมเคยสงสัยว่า "ความเหงา" ที่เป็นเพื่อนสนิทของตัวผมนั้น มันเกิดมาจากไหนกัน ... ทำไมมันถึงรักผมจัง ไม่ยอมหนีหายไปจากใจผมสักที ...

อารมณ์เหงาของผมมักจะเกิดขึ้นในเวลากลางคืน ... เวลาที่คนส่วนใหญ่ใช้สำหรับนอนหลับ พักผ่อน

แต่สำหรับผม ... มันคือเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองในที่เงียบๆ ปราศจากเสียงรบกวนรอบข้าง ปราศจากความวุ่นวายรอบตัว และปราศจากคนข้างกาย ... สักคน

ส่วนหนึ่งของการแปลงร่างจาก "เด็กชาย" มาเป็น "เด็กมีปัญหา" คงมาจากการที่ผมถูก "ตัดหาง" จากครอบครัวก็ได้มั้งครับ ...

ผมต้องมาอยู่กับญาติตอน ม.ปลาย เพราะว่าอยู่ใกล้โรงเรียน กลับบ้านแค่อาทิตย์ล่ะวัน พอนานเข้าก็เป็น 2 อาทิตย์ต่อ 1 วัน ... แล้วก็ค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ ...

แต่ ... ก็ยังไม่ถึงกับขาดสักทีเดียวครับ สายใยเล็กๆ เพียงเส้นเดียวที่ยังทำให้ผมติดต่อกับครอบครัวก็คือ "เงิน" ที่โอนเข้า ATM สำหรับไปโรงเรียนทุกๆ ต้นเดือน ...

จนกระทั่งผมเข้ามหาวิทยาลัย ... ผมทำงานครั้งแรกตอน ปี 2 ผมมีรายได้ ... สายใยหนึ่งเดียวที่เคยเหลืออยู่ ระหว่างผมกับครอบครัวก็เริ่มขาดผึ่ง !!!

ผมย้ายจากบ้านญาติมาอยู่คอนโดฯ ใช้ชีวิตแบบบุฟเฟ่ต์ (ตามมีตามเกิด) โถ ... เงินเดือนเด็กฝึกงานมันจะสักแค่ไหนกันครับ ?

ทำไมผมไม่ขอครอบครัวล่ะ ? ... ตอบตรงนี้คือในความรู้สึกผมณ. ตอนนั้น (ตอนที่ความคิดยังเป็นเด็กโง่อยู่) ผมคิดในใจเสมอว่า

"ในเมื่อพวกเค้าไม่สนใจเรา ทำไมต้องไปหน้าด้านขอพวกเค้ากินวะ"

ความคิดในตอนเด็กนี้เองที่ทำให้ผมเริ่ม "ปีกกล้าขาแข็ง" (และปากหมา มาในทุกวันนี้) ผมทำงานจ่ายค่าหน่วยกิตเอง ยังดีที่ ม.รามฯ เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ผมจึงเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยได้ และขอบคุณค่าหน่วยกิตที่แสนถูกที่ทำให้ผมรอดตายมาได้ถึงทุกวันนี้

... ในคอนโดฯ ห้องหนึ่งขณะที่ผมหาตังค์เรียน ม. ที่ค่าหน่วยกิตถูกที่สุดในประเทศ บ้านอีกหลังที่ครอบครัวผมอาศัยอยู่ก็หาเงินส่งน้องชายผมเรียน ม. ที่ค่าหน่วยกิตแพงที่สุดในประเทศ (น้ำเน่าฉิบ) ...

ผมควรรู้สึกยังไง ? โกรธเหรอ ? น้อยใจเหรอ ? ไม่หรอกครับ ... มันแย่กว่านั้นอีกครับ ...

ผมกลับรู้สึกห่างจากครอบครัวนั้นมากขึ้น ... มากยิ่งขึ้น ... ผมเริ่มมีความคิดที่เป็นตัวเองมากขึ้น เริ่มเรียนรู้ผิดชอบชั่วดีโดยเอาตัวเองเข้าแลก ... เหมือนหมาข้างถนน !!!

ผมเริ่มหนีความรู้สึก "ไม่มีใคร" แบบเด็กๆ ด้วยการออกไปไหนมาไหนกับเพื่อน ... ผมมีเพื่อนทุกระดับชั้นตั้งแต่ลูกนักการเมือง ไปยันพวกเด็กมอไซค์ฯ รับจ้าง (ซึ่งทั้งสองระดับที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวนี้ แม่งกลับมีปัญหาเดียวกันคือ ยาเสพติด ... ตลกดีมั๊ยล่ะครับ ?)

ผมผ่านการใช้ชีวิต แบบวิดพิ้น มาอย่างขึ้นสุด ลงสุด ตั้งแต่ได้รับเชิญให้กินอาหารร่วมโต๊ะกับคณะฑูตฯ จากประเทศต่างๆ และผมก็เคยตกต่ำขนาดอยู่ในคอนโดฯ ที่มืดสนิทเพราะโดนตัดไฟฟ้า ตัดโทรศัพท์ และกินน้ำก๊อกแทนข้าวเย็นเพราะไม่มีเงิน ...

ผมมีชีวิตเป็นของตัวเองมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ครอบครัวก็เริ่มติดต่อผมน้อยลง และผมก็เริ่มที่จะเดินไปคุยกับครอบครัวน้อยลงเช่นกัน ... ทั้งๆ ที่ผม และพวกเค้าอยู่ห่างกันเพียงแค่สิบกว่าป้ายรถเมล์ ... แต่ในใจผม พวกเค้าอยู่ห่างออกไปเป็นคนละโลก

ระหว่างโลกของครอบครัวแสนอบอุ่น กับโลกแบบปากกัดตีนถีบ ...

พอมาถึงบรรทัดนี้ หลายๆ ท่านที่อ่านดู คงรู้สึกว่าผมเป็นเด็กมีปัญหา ... แต่สิ่งที่ผมแตกต่างจากพวกเด็กมีปัญหาคนอื่นๆ และกล้าพูดได้อย่างเต็มปากจนถึงทุกวันนี้คือ ...


"ถึงกูจะเป็นเด็กมีปัญหา แต่กูไม่เคยติดยา !!!"


To be Continue ...




 

Create Date : 28 กันยายน 2548    
Last Update : 4 ธันวาคม 2548 13:54:45 น.
Counter : 347 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

หนุ่ม No.7
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หนุ่ม No.7's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.