Group Blog
 
All Blogs
 
ทริปเที่ยว จ.สงขลา ...เมืองความทรงจำหลากรส ตอน เที่ยวเมืองเก่า ชิมอาหารอร่อย

หลังจากนั่งรถออกไปไกลถึงสุดชายแดนไทย-มาเลย์ กันแล้ววันนี้ผมกับเพื่อนจะไปเที่ยวเมืองสงขลากันครับ และที่เราจะไปกันก็คือ ย่านเมืองเก่าสงขลา





ย่านเมืองเก่าสงขลาตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง มีถนนสายสำคัญน่าเดินเที่ยว 3 สาย คือ ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม เมื่ออดีตราว 200 ปีก่อน ตัวเมืองสงขลาตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบ เรียกว่า "เมืองสงขลาฝั่งแหลมสน" จนกระทั่งพ.ศ. 2385 จึงขยายมาทางฝั่งทิศตะวันออกบริเวณตำบลบ่อยาง เรียกกันว่า "เมืองสงขลาฝั่งบ่อยาง" โดยเริ่มแรกมีถนนสองสายคือ ถนนนครนอก เป็นถนนเส้นนอกติดกับทะเลสาบ และถนนนครใน เป็นถนนเส้นในเมือง ต่อมามีการตัดถนนสายที่สามเรียกว่าถนนเก้าห้องหรือย่านเก้าห้อง เพื่องานสมโภชเสาหลักเมือง ต่อมาเรียกกันว่า ถนนนางงาม







ปัจจุบันถนน นครนอก ถนนนครใน และถนนนางงามยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ มีห้องแถวไม้แบบจีน ตึกคลาสสิคสไตล์ชิโนโปรตุกีส ศาลเจ้าพ่อกวนอู โรงแรมนางงาม โรงแรมไม้เก่าแก่ประดับลายฉลุไม้วิจิตรบรรจง และขนมอร่อย ทั้งไทย จีน ฝรั่ง ให้เลือกชมและชิมอย่างเอร็ดอร่อย





เป็นถนนที่ประกอบไปด้วยอาคารและสถาปัตยกรรมที่งดงาม เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวความเป็นมาของชาวสงขลาผ่านมุมมองทางสถาปัตยกรรม นอกจากนั้นถนนนางงามยังเป็นแหล่งของกิน และแหล่งซื้อของฝากที่มีชื่อเสียง



หลังจากนั่งรถเวียนไปเวียนมา และลงเดินมองหาร้านอาหารอร่อย เราก็ได้พบกับร้านอาหารที่มีชื่อเมนูน่าสนใจว่า สตู ครับ และร้านที่ผมจะแนะนำก็คือ ร้านเกียดฟั่ง เป็นร้านขาย สตู หมูกรอบ ชากาแฟ





ร้านสตู เกียดฟั่ง เริ่มดำเนินการมาเมื่อปี พ.ศ.2480จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 ของตระกูล ต้นตำรับของความอร่อย คือ โกลัก ซึ่งเป็นชาวจีนไหหลำที่เดินทางมาหากินในเมืองสงขลา และทั้งสองได้อาศัยอยู่ด้วยกัน เพราะโกลักไม่มีครอบครัว โกลักจึงได้ถ่ายทอดสูตรการทำสตูหมูไก่ จากครั้งที่เคยเป็นกุ๊กอยู่ในเรือฝรั่ง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้แก่พ่อของโกยาว (รุ่นที่ 2)

ในสมัยสงคราม วัตถุดิบเป็นสิ่งหายาก จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนสูตรของสตูแบบอังกฤษที่เปลี่ยนการใช้เนยมาเป็นใช้กะทิแทนเนย และเครื่องปรุงบางชนิดก็ใช้เครื่องเทศจากเกาะอินโดนีเซียมาทดแทน เมื่อเปิดร้านสตูเกียดฟั่งที่ถนนนางงาม จึงมีการปรับสูตรให้ถูกปากลูกค้าท้องถิ่น สตูเกียดฟั่งจึงเป็นที่สตูที่ผสมผสานวัฒนธรรมการกินถึง 4 ประเทศ คือ อังกฤษ อินโดนีเซีย จีน และไทย เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน




วิธีการกินแบบดั้งเดิมนั้นเจ๊หล่าน และเจ๊เจิน (รุ่น3) เล่าว่า สตูส่วนใหญ่จะรับประทานคู่กับเนื้อหมู 3 ชั้นและมักจะเห็นภาพก๋ง(โกยาว) กับเด่ (คุณพ่อ)เอาสตูราดข้าวแล้วทาน แต่เมื่อขายลูกค้าจึงต้องคำนึงถึงเรื่องสุขอนามัยมากขึ้น ร้านสตูเกียดฟั่ง ช่วงเช้าเปิดขาย 07.00-13.00 น.โดยจะขายน้ำชากาแฟ สตู หมูกรอบที่รับประทานกับน้ำจิ้มรสเด็ดของทางร้าน

ช่วงบ่ายจะเริ่มขายซาลาเปา โดยจะเปิดขายตั้งแต่เวลา 15.00-21.30 น.ซาลาเปาเกียดฟั่งมีความเป็นพิเศษ ที่ทุกไส้จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ไส้หมูจึงมีสามขนาด ขนาดใหญ่จะกับเท่าฝ่ามือ จะขายลูกละ 25 บาท ส่วนขนาดกลาง ขนาดเล็ก ก็จะลดหลั่นขนาดลงมา รสชาติยามเมื่อเรากัดกินเนื้อซาลาเปาร้อน ๆ คำแรกจะเราจะมีความรู้สึกของแป้งที่แม้นจะเย็น แต่ยังคงความเหนียวนุ่มและกลิ่นหอมจากเครื่องตุ๋นยาจีน ซาลาเปาร้านนี้ผมทานมาแล้วครับ ต้องบอกท่านว่า ทานลูกเดียวก็อิ่มครับ หากใครชอบความเข้มข้น ทางร้านก็มีจิ๊กโฉ่ไว้บริการ นอกจากนี้ยังมีไส้สังขยา และไส้ถั่วดำ ที่ล้วนเป็นสูตรโบราณเก่าแก่ของทางร้าน และซาลาเปาสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นเป็นเดือน ๆ



ร้านเกียดฟั่ง ยังเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการช่วยเหลือเกื้อกูลกันซึ่งเห็นได้จากในร้านจะมีการขายกระหรี่พัฟ ที่บรรจุอยู่ในโถ ของตายายที่ชราไม่สามารถมานั่งขายเองได้ ที่นำมาฝากขายอยู่ด้วย และอีกมุมหนึ่งของร้านยังมีโต๊ะซ่อมนาฬิกาเก่าแก่ที่เปิดมาช่วง 2 อายุคนชื่อร้านแสงนวลและร้านข้าวเหนียวมะม่วงป้าชอุ่ม ซึ่งทางร้านก็เอื้อเฟื้อพื้นที่ ในมาฝากขาย และตั้งโต๊ะซ่อมนาฬิกา ที่ร้านเกียดฟั่ง ต้องบอกว่า น่านับถือครับ

ทีนี้ผมอยากจะบอกว่า สตู ที่ขาย ในพื้นที่สงขลา จะต่างจากสูตรที่ท่านทาน โดยทั่วไป เพราะสตูที่นี่ จะมีส่วนประกอบของ เนื้อหมู เนื้อไก่ ไส้อ่อน เลือด ตับ ม้าม และจะราดด้วยน้ำราดที่เข้มข้น ที่มีส่วนผสมของน้ำกะทิ และโรยด้วย หอมหั่นซอย รสชาติกลมกล่อม ไม่เค็ม มาก และหอมเครื่องเทศ ที่มีส่วนผสมในน้ำราด ท่านใดที่จะลิ้มลองสตูสงขลา ก็เชิญนะครับที่ร้าน เกียดฟั่ง ถนนนางงาม อ.เมืองสงขลา ซึ่งถนนเส้นนี้เป็นถนนวัฒนธรรม ของเมืองสงขลา ครับ



เพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยนะครับ จากรูปย่านเมืองเก่าสงขลา ที่ผมถ่ายมาเป็นบ้านไม้ใหญ่ๆ สีแดงสดและหน้าประตูบ้านเขียนว่า หับ โห้ หิ้น คิดว่าหลายๆ ท่านคงคุ้นๆ กับคำๆ นี้ใช่มั้ยครับ ใช่แล้วครับ หับ โห้ หิ้น เป็นชื่อบริษัทค่ายสร้างภาพยนตร์ในเครือของ GTH กันนั่นแหละครับ แต่หับ โห้ หิ้น ของที่นี่คือโรงสีข้าว ครับผมก็ไม่ทราบว่า เจ้าของบริษัทหับ โห้ หิ้น นำชื่อมาจากโรงสีข้าวที่นี่หรือเปล่านะครับ แต่เห็นว่าน่าสนใจดีเลยนำมาให้ชมกันครับ

หลังจากอิ่มอร่อยกับสตู อาหารขึ้นชื่อของที่นี่แล้วนะครับ เราจะไปเที่ยวกันต่อครับ



Create Date : 30 สิงหาคม 2554
Last Update : 5 กันยายน 2554 15:56:26 น. 0 comments
Counter : 4237 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wvhso6
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Friends' blogs
[Add wvhso6's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.