รวบรวมงานเขียน..สาวกห้ากระสอบ
 

(จบในตอน: ดัดแปลงจากเรื่องสั้นฝรั่งนะครับ)

ตะวันยามบ่ายฉายโชนเจิดจ้าเสียจนผมรู้สึกราวกับว่าหนังของตัวเอง
เกรียมไหม้ ฝุ่นสีน้ำตาลที่ปะปนอยู่ทุกอณูอากาศมันทำให้หายใจขัดและ
อึดอัดในอก ไกลสุดสายตาแทบไม่มีที่สิ้นสุดคือป่าพรุที่แน่นพรืดไปด้วย
หญ้าคาแห้งกรอบในยามแล้งและต้นเสม็ดตายซากที่ขึ้นเป็นหย่อมๆ ตาม
โคกเนินสูงๆ ต่ำๆ หาสีเขียวๆ ทำยายากเหลือขนาด หากไม่มีธุระด่วน
สำคัญที่จำเป็นจะต้องทำให้เสร็จสิ้นไปในบ่ายนี้ ผมคงไม่บุกบั่นเข้ามา
ในที่ไกลปืนเที่ยงที่ดูเหมือนจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างที่นี่
อีกเป็นแน่

ผมเหลือบสายตามองป้ายไม้กระดำกระด่างปักบนเสาโย้เย้ขณะเลี้ยว
มอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดบนลานโรยทรายแคบๆ นอกจากเสาไฟฟ้า
คอนกรีตริมถนน และทรายบกที่ดูเหมือนจะถูกลาดลงบนลานในเวลา
ไม่เกินขวบปีที่ผ่านแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะย้อนอดีตกลับไป
ให้เห็นสภาพในชนบทเมื่อสิบกว่าปีก่อน แม้แต่โอ่งปูนทาสีแดง
ขนาดใหญ่นั้นก็ยังอุตส่าห์หลงเหลืออยู่ในยุคที่น้ำประปามีใช้เกือบทุก
ตำบลชนบทของประเทศไทย มีเพียงรอยกระเทาะ คราบดำๆ ของรอย
น้ำฝนที่ไหลเป็นทางและสีจืดจางเท่านั้นที่บ่งบอกสภาพความเป็นไปตาม
วารเวลา มันทำให้ผมนึกถึงความกันดารของสมัยก่อนที่ยังไม่มีไฟฟ้า
เดินทางเข้ามาถึง โทรทัศน์ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก มีเพียงหนังตะลุงและ
มโนราห์เป็นมหรสพพื้นบ้านที่สร้างความบันเทิงและนานๆ จึงจะมีสักที
สมัยก่อนที่ยังมีการถือครูหมอโนราห์ ยังมีโจรลักควาย มียาสั่ง ฯลฯ
สิ่งต่างๆ เหล่านั้นค่อยๆ สาปสูญไปพร้อมๆ กับการคืบคลานเข้ามาของเจ้า
เสาคอนกรีตและสายทองแดงหุ้มฉนวนของการไฟฟ้านั่นเอง

ผมสาวเท้าเข้าไปเพิงค้าขายแบบเปิดหน้าถังตามที่เห็นในชนบทเก่าๆ ทั่วไป
โต๊ะขาเกและเก้าอี้ไม้โย้เย้สองสามชุดนั่นดูเหมือนจะอยู่ในมุมของมันไม่มีการ
เคลื่อนย้ายนับทศวรรษ สึกกร่อนและชราภาพไม่แพ้กันกับตัวเพิง ตู้ไม้เตี้ยๆ
แบบเปิดหน้า ต่อแบบหยาบๆ โดยฝีมือช่างชั้นเลววางค่อนไปทางหลังร้าน
และเป็นเคาเตอร์ไปในตัว บนฝาบนสุดของตู้จัดวางสินค้าไม่กี่ชนิด
มีโหลแก้วใส่บุหรี่กรองทิพย์และสามิตอย่างละโหล ขวดเหล้าขาวและเชี่ยงชุน
ไม่กี่ขวด ชั้นล่างลงไปมีปลากระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป น้ำปลา น้ำมันก๊าดใส่ขวด
ชนิดกลม ฯลฯ ชั้นล่างสุดสุมไว้ด้วยอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับชาวสวนยางอันได้แก่
ตะเกียงแก๊สแบบที่ชาวสวนใช้กรีดยาง หัวเชื้อกรดน้ำส้มบรรจุขวดพลาสติก
ก้อนโซเดียมคาร์ไบ อันเป็นเชื้อเพลิงของตะเกียงตัดยาง หรือที่ชาวบ้านเรียก
กันว่าก้อนแก๊ส สายตาของผมสะดุดลงที่คมวาววับของเหล็กมีดกรีดยางอันงุ้มงอ
มันเปล่งประกายจ้าสะท้อนลำแสงตะวันบ่ายที่ส่องทะแยงลอดใบจากมุงหลังคา
ลงมา ในความมืดสลัวของเพิงอันอับทึบเช่นนี้ ราวกับประกายตาของอะไร
สักอย่างที่ลึกลับจับจ้องมาที่ผมอย่างตรวจสอบค้นหา ผมรีบเมินสายตาไปที่อื่น
ด้วยความรู้สึกขัดๆ ทันใดนั้นประตูหลังเพิงก็เปิดออก

“ ยืนถ้านานแล้วหรือบ่าว นั่งก่อนตะ ฉันได้ยินเสียงรถเครื่องแล้วแต่หวางอิยุ่งอยู่กับ
คอกหมูหลังเริน* ตนอิเอาไอไหรหละ เอายาดองสักหิดม่าย ร้อนๆ พรรค์นี้ ลอง
เจ็ดหมูนเพลิงประลัย ดับร้อนกับร้อน กินแล้วหายเจ็บอกแหละ ”

“ ดีเหมือนกันน้า เผื่อได้เป็นแรงขึ้นมาบ้าง ”

ผมตอบ แต่ยังยืนอยู่ที่เดิม จับสายตามองดูร่างผ่ายผอมค่อยๆ ใช้มือยันฝา
เดินงกๆ เงิ่นๆ เข้ามาหยุดยืนประจันหน้ากับผมโดยมีตู้ไม้คั่นกลาง ชายวัยกลางคน
ยิ้มให้ผม ทว่าใบหน้าคล้ำเกรียมของแกดูชืดด้านราวกับเป็นหุ่นปูนปั้นที่ไร้ความรู้สึก
ดวงตาขุ่นมัวจับจ้องมายังผมอย่างแน่วนิ่งดูเหมือนจะไม่มีการกระพริบ ขณะที่มือ
ยื่นไปคว้าขวดเหล้าขาวจากซอกตู้มาเปิดจุกผมเอื้อมมือไปรับจอกใสใบเตี้ย
ก้นหนาที่แกเลื่อนมาให้ สายตาของแกยังคงจับจ้องผมแน่วนิ่งอยู่เช่นนั้นจน
ผมรู้สึกอึดอัด

“ แล้งปีนี้มันแล้งนานนะน้า ที่แถวนี้พวกอบต. เขาไม่คิดทำไอไหรกันบ้าง
เลยหรือแถวๆ อื่นเขามีโครงการพัฒนานู่นนี่ แต่แถวนี้สาว่ามันอยู่พรืออยู่พรรค์นั้น ”

ผมทำลายความเงียบขึ้นหลังจากซดยาดองเข้าไปครึ่งจอก และเสเบี่ยงกาย
ไปมองท้องทุ่งอันกรอบเกรียมเบื้องนอก เพราะไม่อยากจะสบสายตากับ
เจ้าของร้านตรงๆ ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยคลายความอึดอัดออกไป เพราะสายตา
ของแกยังคงจับจ้องผ่านผมไปยังความแห้งแล้งอันเวิ้งว้างสุดสายตา มันดู
อ้างว้างขรึมเฉยเสียจนผมนึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย

“ มันกะพรรค์นั้นแหละแถวนี้ อยู่พรืออยู่นั้น ที่ป่าพรุมันทำยาก พอแล้งน้ำ
ก็หาม่าย พอฝนลงน้ำกะมากนักแรง ไม่ที่อิปลูกไหร ยังแต่ต้นเหม็ดกับหญ้าคา
เท่านั้นที่ขึ้นได้นี่ถ้าน้ำเลเข้าถึงก็พอได้ขุดบ่อกุ้งกันมั่ง ”

ผมมองตามสายตาของแกไปยังกอจากที่ขึ้นคดเคี้ยวเป็นแถวลิบๆ อยู่แทบจะสุด
ปลายทุ่ง แล้วก็อดยักไหล่ไม่ได้

“ ก็จริงของน้า ที่พรรค์นี้มันทำอะไรไม่ได้จริงๆ ”

ผมรับคำไปเรื่อยเปื่อย พลางยกจอกขึ้นซดของเหลวรสขมฝาดลงลำคอจน
หมดสิ้น ตั้งจอกคืนไว้ให้ แกเอื้อมมือเหี่ยวย่นมาฉวยจอกไปใส่ในปี๊บสังกะสี
ริมฝา แล้วหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดบนฝาตู้ที่ผมแอบเรียกในใจว่าเคาเตอร์ตาม
ธรรมเนียม ดูจากท่าทีแล้วราวกับแกเป็นบาร์เทนเดอร์ชั้นดี หรือเครื่องจักรกล
อัตโนมัติที่คุ้นชินกับการบริการลูกค้าด้วยเครื่องดื่มชนิดเมา เพราะบนฝาตู้มัน
ไม่มีรอยเปื้อนน้ำเหล้าจากจอกที่ผมตั้งคืนไว้ให้แกแม้แต่น้อยนิด

แกยิ้มให้ผมอีกครั้งหนึ่งอย่างที่ผมรู้สึกไม่ชอบใจอีกตามเคย ทันใดนั้นแกหันขวับ
ไปทางหลังร้าน ผมกวาดสายตาตามไป แต่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ทว่าก่อนที่
ผมจะหลุดปากถามแกนั่นเอง เสียงหมูร้องอี๊ดอ๊าดก็ดังแว่วมา

“ ถ้า*สักประเดี๋ยวนะบ่าว หนาดท่า*มูสัง*มาเที่ยวเวียนลูกไก่แล้วหลาว
แม่ไก่ฉันเพิ่งฟักแรกวาซือ* ทั้งหยิว* ทั้งมูสัง ทั้งแลน* มันผลัดกันมา
เวียนไม่ได้หยุด ”


แกว่าพลางรีบหันกายสาวเท้าไปทางหลังร้าน ผมรีบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ก่อนจะก้าวออกจากเพิงทางประตูหน้า เพื่อควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ เหลือ
เพียงสองมวนเท่านั้นในซองที่ยับยู่ยี่ ค่อยซื้อกรองทิพย์สักซองตอน
เจ้าของร้านแกกลับมาแล้วเดินทางไปต่อคงจะดีกว่ากระมัง ผมคิดในใจ

เสียงออดแอดเอี๊ยดอ๊าดดังแว่วมาจากปากทางเข้า ผมหรี่ตามองฝ่าไอแดด
อันยิบยับ หญิงวัยชราถีบจักรยานคร่ำคร่าตรงเข้ามาที่เพิง และหยุดจอด
พิงมันไว้ที่ข้างฝาเพิงด้านนอก ผมยิ้มให้ขณะแกถอดงอบ*ออก ยกชาย
ผ้าขาวม้าที่พันคอขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่พรูพราวเต็มใบหน้า แกยิ้มตอบเห็นฟัน
ที่ดำเป็นคราบเพราะน้ำหมากเกาะ เดินผ่านผมไปชะโงกหน้ามองดูในเพิง
แล้วหันหน้ามายิ้มกับผมอีกครั้ง

“ บ่าวปล้ำไม่อยู่หรือ บ่าว ”

“ บ่าวปล้ำ ? ” ผมทวนคำ “ น้าที่เป็นเจ้าของร้านใช่ไหมป้า แกอยู่หลังร้าน
แถวคอกหมูของแกโน่นแหละ ”


ป้าส่ายศีรษะ

“ ยุ่งอิตายกับหมูของมันนั่น ไม่รู้จะรักษา*ไปทำไมนักหนา อยู่คนเดียวพอตาย
ไม่ใช่ว่าจะยกให้ใครได้ ว่ามันปล้ำสมชื่อ แต่ก็น่าเห็นดู* ความจริงคนดีๆ
เหมือนมันไม่ใช่ต้องอิมาอยู่อับสับ* พรรค์นี้ คนอื่นพอลูกเขาสาวก็ออกเรินยังผัว*
ว่าได้เลี้ยงพ่อตอนแก่ยังแต่มันที่โซ่ย* ไม่เหมือนเพื่อน ”


หญิงชราถอนหายใจ แล้วควักห่อหมากพลูที่เคียนเอวอยู่ออกมาหยิบใส่
ปากเคี้ยว เสียงหมูที่ร้องแว่วมานั้นเงียบไปแล้ว ผมเหลียวมองไปรอบๆ
และมองไปทางหลังเพิงทุกอย่างยังคงเงียบเชียบ และไม่มีวี่แววว่า
เจ้าของร้านจะกลับเข้ามา

“ เรื่องมันพันพรือล่ะป้า ”

ผมตั้งคำถามเอากับป้าอย่างสนใจใคร่รู้ พลางดีดก้นบุหรี่ที่หมดแล้ว
ลงบนพื้นใช้เท้าขยี้มันจมลงกับผืนทรายและเกร็ดมวนสุดท้ายขึ้นมาจุดสูบ
ป้าหันไปบ้วนน้ำหมากแล้วหันมาคุยต่อกับผมด้วยท่าทีกระตือรือร้นที่
ได้พูดถึงเรื่องของคนอื่น

“ มันอิพันพรือละบ่าว ว่าลูกสาวมันพอเป็นสาวนั่น พ่อมันอิให้แต่งกับลูก
พวกท่าคลองปล้านู้น ” แกหมายถึงท่าคลองฝั่งโน้น ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายน้ำ
ตรงกันข้ามกับหมู่บ้านนี้นั่นเอง “แต่ว่าไม่ทันได้แต่งกัน อีสาวก็ตายเสียก่อน
น่าเห็นดูละบ่าวเอ๋ย คนมันเวรของมันไม่ได้ตายดี ”

ป้าลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ ผมอัดควันบุหรี่เข้าปอดหนักๆ ขณะที่ฟังป้าแกเล่า

“ คืนนั้นมันกะออกไปตัดยางบนควนกับพ่อมันเหมือนทุกคืนนั่นแหละ พอดี
พ่อมันไม่สบาย ก็หลบ*มานอนหนำ*ก่อน มันก็ไม่รู้นึกพรือของมันเหมือนกัน
ปล่อยลูกสาวให้ตัดยางอยู่คนเดียวค่ำๆ มืดๆ แต่บ้านเราก็ไม่ใช่มีใครนี่บ่าวเอ๋ย
พี่น้องกันทั้งเพ ตากยางไว้หน้าบ้านสามสี่คืนก็ไม่เคยสูญ* เรื่องร้ายๆ ไม่เคยมี
จนว่าหวันช้าย* อีสาวมันก็ไม่หลบ พ่อมันตื่นก็เที่ยวหาหาเท่าใดกะไม่พบ
ไปบอกคนให้มาช่วยหา ก็หากันจนหัวค่ำ หากันเป็นอาทิตย์เป็นเดือนกะไม่พบ
จนเขาว่ามันไม่อยากแต่งงาน คงหนีตามตามใครอื่นไปเสียแล้ว จนว่าสองเดือน
ให้หลัง มีคนไปพบศพมันที่ในบ่อร้างหลังเขา คนไปแลเขาว่าเปื่อยเหลือแต่
กระดูกแล้ว คนทำมันอุบาทว์ บ่าวเหอ มันเชียด*คอเสียกับมีดกรีดยาง…
น่าเห็นดูแม่เหอ..”

เสียงของป้าสั่นเครือ ผมดูดบุหรี่เฮือกสุดท้ายจนไฟแดงวาบและรู้สึกร้อนผ่าว
ที่ริมฝีปาก ก่อนพยักหน้ากับป้าให้เล่าต่อไป

“ …นั่นแหละ ตั้งแต่นั้นบ่าวปล้ำก็ไม่พักทำไหร เที่ยวสืบจนจบหมดทั้งสอง
ปล้าคลอง ว่าตำรวจเขาไม่สืบแล้ว แต่บ่าวปล้ำมันปล้ำสมชื่อของมันนั่นแหละ
มันสืบเป็นปีๆ หมดเบี้ยไปเป็นหมื่นๆ ขายสวนขายนา ว่ามันเหมือนบ้าใครห้าม
กะไม่ฟัง จนว่าไปได้เค้ามาว่าก่อนหน้าลูกสาวมันสูญ มีคนเห็นเด็กบ่าวๆ
กะรุ่นสิบห้าสิบหกแหละมาเที่ยวเวียนลูกสาวมันแรกไปแลโนราห์ในอำเภอ
หลังจากอีสาวตาย เด็กบ่าวนั่นก็สูญไปกัน เห็นว่าไม่ใช่เด็กจังหวัดเรา
นี่บ่าวนั่นถ้ายังอยู่กะรุ่นๆ เดียวกับลูกบ่าวนี่แหละ เรื่องมันสิบปีมาแล้ว นี่ลูกบ่าว
ก็หนาดท่ายีบห้ายีบหกใช่ไหม ”

แกว่าพลางจ้องมองผมอย่างพิจารณาพลางพยักหน้าหงึกๆ เป็นทำนองยืนยัน
ความคิดของแกเอง ผมดีดก้นบุหรี่ปลิวแวบไป

“ ผมจะสามสิบแล้วป้า ว่าแต่แล้วเรื่องมันเป็นไงต่อล่ะ ”


ป้าหันไปบ้วนน้ำหมากอีกครั้ง

“ บ่าวปล้ำมันสืบจนได้เค้าว่าเด็กบ่าวนั่นอยู่ไหนแต่ไม่ทันตามพบ
มันก็ขับรถเครื่องไปชนจนว่ามันเองเกือบตาย นอนโรงบาลตั้งหลายเดือน
พอออกจากโรงบาลกะไม่มีปัญญาทำอะไรแล้ว บ้านบนควนก็ขายแล้ว
ก็ย้ายมาขายของอยู่นี่ พี่น้องก็หาไม่ ดีว่่าพ่อหลวงในวัดให้พวกเด็กมาช่วย
ซื้อของยกของให้ มาช่วยโน่นช่วยนี้เป็นทีๆ แต่ก็ลำบากนั่นแหละ
คนพอตาแลไม่เห็นกะเปล่า ไม่พักทำไหรพึด ”


“ หา..” ผมอุทานออกมาอย่างลืมตัว
“ ป้าว่าอะไรนะ น้านั่นแกมองไม่เห็นหรอกหรือ ?!!? ”


ผมนึกถึงการเดินงกๆ เงิ่นๆ คลำทางเข้ามาในเพิง ดวงตาขุ่นมัวคู่นั้น
ที่จ้องมองตรงไม่มีการกระพริบ การยกผ้าขึ้นเช็ดทั้งๆ ที่ไม่มีรอยเปื้อน
หยดน้ำสักนิด และการรับรู้ล่วงหน้าก่อนที่ผมจะทันได้ยินเสียงหมูร้อง
ด้วยซ้ำไป ที่เขาว่าประสาทสัมผัสของคนตาบอดนั้นไวกว่าคนตาดี
มันเป็นเช่นนั้นเอง อีกทั้งคำพูดที่ฟังดูแล้วขัดๆ กับความเป็นจริง
ก็คลองป่าจากนั่นมองเห็นอยู่ลิบๆ นั่น…

..ผมนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วก็เย็นวาบเข้าไปในไขสันหลัง ก็ผม
ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แกเรียกผมว่าบ่าวได้อย่างไร - - -


เสียงกุกกักดังขึ้นที่หลังเพิง ป้าและผมหันขวับไปมองพร้อมกัน ร่าง
ผ่ายผอมของชายเจ้าของร้านยืนอยู่ที่นั่น ดวงตาอันขุ่นมัวแลเหลือก
มาทางผมพร้อมๆ กับรอยยิ้มอันลึกลับทันใดผมรู้สึกอัดแน่นขึ้นมาในอก
ปลายมือและปลายเท้าเริ่มชาและแผ่ซ่านขึ้นมาทีละน้อย แขนและขา
เริ่มจะไม่มีเรี่ยวแรงราวกับจะเป็นอัมพาต คำพูดหนึ่งของชายเจ้าของร้าน
ดังก้องและสะท้อนกลับไปกลับมาในหัวสมองผมราวประกาศิต
ยมบาลในขุมนรก..


ตนอิเอาไอไหรหละ เอายาดองสักหิดม่าย ร้อนๆ พรรค์นี้ ลอง
เจ็ดหมูนเพลิงประลัย ดับร้อนกับร้อน กินแล้วหายเจ็บอกแหละ




======================================

คำแปลในศัพท์ภาษาใต้บางคำ

ถ้า = รอ, คอย บ่าว = เป็นคำเรียกคนหนุ่มทั่วๆไป อาจเป็น "หนุ่ม" ในภาคกลาง
ตะ = ซี , นะ หวาง = สว่าง , แจ้ง เริน = เรือน
ตนอิเอาไอไหรหละ = คุณจะเอาอะไรหละ
ตน = คุณ , ท่าน อิ = จะ ไอไหร = อะไร
สักหิดม่าย = สักหน่อยไหม

ยุ่งอิตาย = ยุ่งจะตาย รักษา = เลี้ยง เห็นดู = เอ็นดู , สงสาร
อับสับ = ลำบาก ยังผัว = มีผัว โซ่ย = ตกต่ำ , แย่





 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2552 11:55:50 น.
Counter : 269 Pageviews.  

 
 

สาวกห้ากระสอบ
Location :
melbourne Australia

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add สาวกห้ากระสอบ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com