~~U R My Happiness...LeeSungMin&ZhouYuMin~~
Group Blog
 
All blogs
 

Only You#1

Story by aumin
couple : kyumin+kihae



... วันเปิดภาคเรียน ...

“อ๊ากกกก...ตายแล้ว ทำไมขอบตากูมันดำขนาดนี้วะเนี่ย แล้วจะ ไปมหาวิทยาลัยยังไงล่ะทีนี้ อายเขาตายเลย โอยยย...จะบ้าตาย หมดหล่อกัน พอดี” ชายหนุ่มร่างสูงร้องโวยวายเสียงดังลั่นหน้ากระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนภาพตัวเองก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว
สาเหตุที่ทำให้ผมต้องตื่นมาในสภาพแบบนี้ก็คงเป็นเพราะว่ากว่าผมจะข่มตาตัวเองให้หลับลงได้ก็ปาเข้าไปประมาณตีสามกว่าๆ ถูกแล้วครับเมื่อคืนผมนอนไม่หลับ ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้นที่จะได้เรียนมหาวิทยาลัยกับเขาเสียที กว่าจะมีวันนี้ได้เล่นเอาผมเเทบเเย่ทีเดียวครับเพราะการเอนทรานซ์สำหรับคนอย่างผมมันไม่ง่ายเลยน่ะสิ ก็ผมมันเรียนไม่เก่งเหมือนคนอื่นๆ เขานี่ครับ แต่ก็ต้องพยายามเอาเพราะผมอยากให้พี่ชายเพียงคนเดียวดีใจและภูมิใจในตัวผม….แล้วผมก็ทำได้ เฟรชชี่อย่างผมเลยดีใจ และตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ

ผมเลือกเอาเวลาอีก 15 นาที 7 โมงเป็นเวลาออกจากบ้านพร้อมเพื่อนคู่ใจคันโปรดที่พี่ชายของผมซื้อให้เป็นของขวัญที่ผมเอนท์ติด ดูเอาเถอะครับ ลูกบ้านอื่นสอบติดมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่เขาได้แต่รถเก๋งเป็นของขวัญ ส่วนผมน่ะหรอ.....จักรยาน พี่ชายของผมเขาอ้างว่าก็บ้านเราอยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยจะซื้อรถยนต์ไปทำไมให้สิ้นเปลือง ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงได้จักรยาน คันนี้เป็นพาหนะคู่ใจพาตัวเองมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัย

หลังจากจอดรถ (จักรยาน) เสร็จแล้ว ผมยกข้อมือมองนาฬิกา ก่อนจะเดินไปยังสวนสาธารณะของมหาวิทยาลัย เหลือเวลาอีกตั้งเกือบชั่วโมง กว่าจะถึงเวลาเรียน ผมเลยกะว่าจะนั่งอ่านหนังสือ (การ์ตูน) เสียหน่อย เป็นการพักผ่อนสมองน่ะครับ

สวนสาธารณะแห่งนี้กว้างใหญ่และสวยงามมากๆ เลยครับ เพราะตกแต่งด้วยพรรณไม้หลายหลากชนิด สีเขียวของใบไม้ก็ดูตัดกับสีสวยสด ของดอกไม้นานาพรรณได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังมีน้ำพุอยู่ตรงกลางสวน ทำให้บรรยากาศร่มรื่นสร้างความรื่นรมย์ให้แก่ผู้ที่มานั่งพักผ่อนได้ไม่น้อยทีเดียว รวมทั้งผมด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สวนสาธารณะแห่งนี้จะมีผู้คนมากมาย ทั้งนักศึกษาและบุคคลภายนอกมายึดเป็นที่หย่อนใจและออกกำลังกายในตอนเช้าๆ แบบนี้ ผมรู้สึกชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลย มันทำให้ผมนึกถึงฉากสวีทหวานแหววในละครยังไงก็ไม่รู้ที่พระเอกนางเอกชอบมาสารภาพรักกันท่ามกลางหมู่มวลไม้ดอกและทุ่งหญ้าเขียวขจี นึกๆ ไปแล้วก็อยากเป็นพระเอกขึ้นมากะทันหัน ว่าแต่ผมจะมีโอกาสแบบนั้นกับเขาบ้างไหมนะ

‘อ๊ะ… ตรงนั้นว่างพอดีเลย’ ผมรีบพาตัวเองกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ไปยังม้านั่งตัวหนึ่งที่มี ‘ใคร’ บางคนนั่งอยู่ โดยยังเหลือที่ว่างข้างๆ สำหรับนั่งได้อีกหนึ่งคน
“ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งไหมครับ” ผมถามอย่างสุภาพ จะให้นั่งเลยไม่ได้หรอก ผมน่ะ คนมีมารยาทนะครับ
เจ้าของที่นั่งนั้นละสายตาจากหนังสือที่อ่านอยู่เงยหน้าขึ้นมองผม พร้อมส่ายหน้าและยิ้มให้ก่อนจะหรุบตาลงสนใจหนังสือในมือต่อ แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะดูเหงาและเศร้า แต่ดวงตากลมโต ริมฝีปากบางอิ่มสีชมพูระเรื่อ จมูกโด่งได้รูปและแก้มใสดูมีเลือดฝาดประกอบกับใบหน้าขาวสะอาดหมดจดที่เรียวเล็กแต่ก็มีเนื้อตรงผิวแก้มให้น่าหยิก น่าสัมผัส น่าหลงใหล ผมสีน้ำตาลอ่อนซอยสั้นพลิ้วไปตามสายลมอ่อนไหว มันกำลังทำให้ผมอึ้ง...อึ้งในความน่ารักของคนตรงเบื้องหน้า ‘คนอะไร น่ารักชะมัดเลย ตาโต แก้มป่อง ปากนิด จมูกหน่อย โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว...’ และก่อนที่ผมจะคิดเลยเถิดไปไกลกว่านี้ เจ้าของใบหน้าน่ารักก็สะกิดผมพลางหยิบสมุดเล่มเล็กในกระเป๋าบนตักออกมาเขียนอะไรบางอย่าง ส่งให้ผม
“ทำไมคุณไม่นั่งล่ะครับ ที่ตรงนี้ว่างไม่มีใครนั่ง” ผมอ่านข้อความนั้น ก่อนจะส่งรอยยิ้มออกมาอย่างอายๆ
“เอ่อ...ขอ...ขอโทษครับ ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจมองคุณนะครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” ผมพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักพร้อมกับก้มศีรษะให้เขาด้วยความรู้สึกผิดแล้วนั่งลงข้างๆ คนตัวเล็กยื่นสมุดเล่มนั้นให้ผมอีกครั้ง
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ” พอผมอ่านเสร็จ คนน่ารักก็ยิ้มกว้างให้ อย่างเป็นมิตร และทำท่าหัวเราะเบาๆ คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่ดูแล้วน่ารักยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก ผมจะทำยังไงดี กลัว...กลัวเหลือเกินว่า เขาจะได้ยินเสียงหัวใจของผมที่มันเต้นรัวไม่เป็นส่ำอยู่ตอนนี้
“เอ่อ ผม...ผมชื่อ โจคยูฮยอนครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เรียกผมว่า คยูฮยอน ก็ได้นะครับ” ผมตัดสินใจพูด ถ้าเงียบต่อไปโดยไม่พูดอะไรเลย ผมว่า ผมคงต้องขาดใจตายกองอยู่ตรงหน้าเขาแน่ๆ
“เราชื่อ ลีซองมิน ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน เรียกว่า ซองมิน ก็ได้” ผมอ่านข้อความในสมุดเล่มเดิม ก่อนจะยิ้มออกมาจนแก้มแทบปริ เขายินดีที่ได้รู้จักผม ดูสิ แม้แต่สรรพนามยังเปลี่ยนเป็นแทนตัวเองว่า ‘เรา’ ด้วย ผมจะเข้าข้างตัวเอง ได้ไหมนะว่าเราสองคนสนิทกันมากขึ้นแล้ว ผมดีใจจังเลย
“ยิ้มอะไรอีก” เขาถามผมด้วยวิธีแบบเดิมและมองผมด้วยสีหน้างงๆ กึ่งสงสัย ผมอ่านตัวหนังสือนั้นแล้วหยิบปากกาของตัวเองเขียนข้อความลงไป ต่อจากที่เขาเขียนไว้ แต่ไม่ได้ตอบคำถามที่เขาถามผมไว้หรอก ก็จะให้ตอบว่า ‘ยิ้มเพราะความน่ารักของคุณ’ น่ะหรอ ผมไม่กล้าแสดงความรู้สึกถึงขั้นนั้นหรอกครับ มันเขิน
“ขี้โกงนี่นา ทำไมคุณถึงไม่พูดล่ะ” คราวนี้เขาไม่ตอบ เพียงแค่เงยหน้ามองผมด้วยสายตาที่...ที่ผมรู้สึกเหมือนหัวใจมันร่วงตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเรียบร้อย แล้วซองมินก็รีบเก็บของลุกขึ้นโดยเร็ว

‘ทำไมเขาไม่พูดนะ...เขาเป็นอะไรไม่น่าจะเป็นใบ้นี่ ก็ยังได้ยินเราพูด อยู่เลยนี่นา’

ผมได้แต่เก็บความสงสัยเหล่านั้นไว้ในใจ แล้วรีบคว้าข้อมือเล็กเป็น การรั้งเขาไว้ ผมยังไม่อยากให้ซองมินไปเลย

“อย่าเพิ่งไปเลยนะครับ อย่า...อย่าโกรธผมเลย ผมขอโทษ คุณไม่พูดก็ไม่เป็นไรครับ ผมจะไม่ถามคุณอีกแล้ว เอ่อ เดี๋ยวผมไปซื้ออะไรมาให้คุณดื่มดีกว่านะ...นั่งลงก่อนนะครับ” ผมพูดพลางดึงข้อมือของอีกฝ่ายลงอย่างเบามือที่สุด อยากให้ดื่มอะไรเย็นๆ เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง

ซองมินโบกไม้โบกมือคงอยากจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่คนขายาวกลับวิ่งออกไปไกลเกินกว่าเขาจะยั้งไว้ทัน
เวลาผ่านไปสักครู่คยูฮยอนก็เดินกลับมาพร้อมกาแฟเย็นในมือทั้งสองข้าง แต่…

“อ้าว หายไปไหนแล้วล่ะ ผมไปเดี๋ยวเดียวเองนะ...ซองมินอ่ะ” ชายหนุ่มหน้าคมสอดส่ายสายตาละห้อยมองหาจนทั่ว เขาค่อยๆ นั่งลงบนม้านั่งตัวเดิม แล้วสายตามันก็เหลือบไปเห็นกระดาษสีขาวชิ้นเล็กๆ วางอยู่



เราไปก่อนนะ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้รอนาย เราไม่ได้โกรธ แต่ต้องรีบไปจริงๆ
ซองมิน

สีหน้าผิดหวังเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มดีใจ คนน่ารักไม่ได้โกรธเขาอย่างที่คิด ริมฝีปากเปื้อนยิ้มดูดลิ้มชิมรสกาแฟจากหลอดสีชาอย่างมีความสุข...กาแฟที่ว่าขมก็ยังหวาน

นี่สินะที่เขาเรียกกันว่า...รักเเรกพบ
.

.

.
“เฮ้...ไอ้คยู จะรีบไปไหนวะ รอก่อน” คิบอมตะโกนเสียงดังพร้อมกับวิ่งลงบันไดตามหลังคยูฮยอนมาอย่างรวดเร็ว หากมันก็ยังไม่ไวเท่าร่างสูงที่เดินนำหน้าเขาอยู่ดี

“กลับบ้าน” คยูฮยอนหันมองเพื่อนรักแวบเดียว ก่อนจะเดินต่อ

“ถ้าแกก้าวขาอีกก้าวเดียว ฉันจะไม่ให้ลอกการบ้านภาษาอังกฤษ” เพื่อนรักของคยูฮยอนคลี่ยิ้มอย่างเป็นต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักฝีเท้า

‘เอาอีกแล้ว ไอ้เพื่อนเวร มึงใช้ไม้นี้อีกแล้วหรอวะ คนจะรีบกลับบ้านกลับช่อง โอ๊ย ให้ตายเถอะ’ ไม่ว่ายังไงโจคยูฮยอนก็ต้องยอมแพ้คิมคิบอมตราบใด ที่ยังมีการบ้านวิชาภาษาอังกฤษที่เขาสุดแสนจะเกลียด และไม่เคยคิดจะชอบ มัน อยู่บนโลกใบนี้

“มีอะไรว่ามาสิ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าจะรีบกลับบ้าน” เสียงห้าวบอกกับเพื่อนสนิท หลังจากหยุดฝีเท้าจนอีกฝ่ายวิ่งตามมาทัน

“นี่ เมื่อเช้าฉันนั่งรถมาเห็นแกคุยกับใครที่สวนสาธารณะ เขาเป็นใครน่ะ คยู”

‘เอ๊ะ ไอ้นี่ มันเป็นคนสอดรู้สอดเห็นตั้งแต่เมื่อไรวะ รู้สึกตั้งแต่กลับจากอเมริกามาชักจะเอาใหญ่แล้วนะ’

คิบอมเพื่อนของคยูฮยอนคนนี้เพิ่งกลับมาเกาหลีได้ไม่นานเพราะย้ายตามพ่อที่กำลังขยายกิจการด้านรถยนต์ไปเปิดสาขาใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา คิบอมจึงจำเป็นต้องไปเรียนต่อไฮสคูลที่นู่น พอจะขึ้นมหาวิทยาลัยมันก็ขอพ่อกลับมาเรียนต่อที่เกาหลีโดยอ้างว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะอยู่เมืองใหญ่ๆ อย่างอเมริกา คยูฮยอนจำได้ว่า เพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยประถมก่อนจะไปเรียนต่อเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาสักเท่าไร (เว้นแต่กับคนที่สนิทกันจริงๆ คิบอมจะพูดมากเป็นพิเศษ) แต่...อย่าทำให้มันโมโหเพราะถ้าคิบอมโมโหแล้วต่อให้เอาช้างจากเมืองไทยมาฉุดยังไงก็ไม่อยู่ แถมบางทียังเอาแต่ใจเป็นบ้าอยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากทำอะไรต้องได้ทำใครจะขัดมันไม่ได้ แต่ไหงพอกลับมามันถึงได้เพิ่มนิสัยอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นเข้าไปด้วยก็ไม่รู้

“นี่แกกำลังด่าว่าฉันเป็นคนสอดรู้สอดเห็นอยู่ใช่ไหม เออก็ได้... งั้นการบ้านภาษาอังกฤษก็ไม่ต้อง…” คิบอมพูดยังไม่ทันจบประโยคดี คยูฮยอนก็แทรกขึ้นมา เขารู้หรอกว่าเพื่อนรักกำลังจะใช้ไม้ตายอันเดิมอีกแล้ว

“เออ ก็ได้ๆ เล่าให้แกฟังก็ได้ แล้วอย่าไปเล่าให้ใครฟังต่อนะโว้ย โดยเฉพาะไอ้ชินดง ห้ามโทรไปเล่าให้มันฟังเด็ดขาด เข้าใจไหม” คยูฮยอนย้ำพร้อมส่ายหน้าช้าๆ กับถอนใจเบาๆ ‘ยุ่งชะมัดเลย ไอ้เพื่อนนรกเอ๊ย’ แล้วก็เดินนำเพื่อนรักไปยังลานจอดรถเพื่อรับเจ้าเพื่อนคู่ใจที่รอเขามาตั้งแต่เช้า

ปกติแล้วคยูฮยอนจะเล่าเรื่องส่วนตัวทุกเรื่องให้เพื่อนซี้คนนี้ฟังเสมอ แต่ขอยกเว้นเรื่องความรัก ก็เพราะเหตุการณ์ในสมัยที่เขาเรียนอยู่มัธยมต้นนั่นหล่ะ ครั้งที่คยูฮยอนแอบชอบเพื่อนคนหนึ่งในห้อง เจ้าตัวเลยไปปรึกษากับคิบอมเพื่อนรัก เจ้าคิบอมนี่ก็ดันไม่รู้อะไรเอาซะเลยดันเอาเรื่องไปปรึกษาชินดงเพื่อนสนิทในกลุ่มต่ออีกคน โดยลืมไปว่าเพื่อนตัวเองน่ะมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศขนาดไหน ถ้ามีการจัดประกวดมันคงได้รางวัลไปแล้ว เรื่องนี้เลยกลายเป็นหัวข้อทอล์คอ็อฟเดอะทาวน์รู้กันทั้งระดับชั้น คยูฮยอนจำได้ว่าตัวเองถูกล้อจนแทบจะเอาหนังหน้าหล่อๆ แทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยทีเดียว ดีนะที่เจ้าชินดงมันไม่ตามมาเรียนที่นี่ด้วย ไม่งั้นล่ะก็...แย่แน่ๆ เลยคยูฮยอน ทำให้นับแต่นั้นมาถ้าเขาแอบชอบใครอีกเขาจะไม่ปรึกษากับใครอีกเลย นอกจากตัวเอง...จนกระทั่งวันนี้

“เออ รู้แล้วๆ รีบๆ เล่ามาสักทีสิ”

คยูฮยอนเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เจ้าเพื่อนรักฟังอย่างละเอียด( ขนาดไม่ค่อยอยากจะเล่าเลยนะเนี่ยเจ้าคยู : คนแต่ง) โดยไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกตัวเองที่มีต่อซองมินเพราะถึงยังไงคิบอมมันต้องรู้อยู่แล้ว ก็มันเห็นเขานั่งคุยกับซองมินตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนี่นา

“ในที่สุดก็มีความรักจนได้เลยนะเพื่อน ฮ่าๆ เออ แล้วแกแน่ใจหรอคยู ว่า...ว่าเขาเป็น...เหมือนพวกเรา”

“เป็นอะไรเหมือนพวกเราวะ” คยูฮยอนถามด้วยความสงสัยอย่างคน ไม่รู้จริงๆ

“โธ่! ไอ้โง่ ก็เป็นผู้ชายชอบผู้ชายไงเล่า” คิบอมบอกเสียงเบาจนเกือบกระซิบ

“อ๋อ เป็น ใช่ซะยิ่งกว่าใช่ หน้าสวยขนาดนั้น ท่าท่างแบบนั้นไม่ใช่ก็บ้าแล้ว ฉันดูออกหน่า” คยูฮยอนตอบเสียงหนักแน่นเหมือนกับว่าชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้อีกแล้ว

“เอาให้มันแน่นะโว้ย ฉันไม่อยากเห็นแกเสียใจอีก”

“แน่สิวะ กลับบ้านได้แล้ว ลุงคนขับรถเขามารอแกนานแล้วมั้ง” เพื่อนของคิบอมเลื่อนรถจักรยานมาแล้วนั่งบนเบาะ

“เออ งั้นฉันไปล่ะนะ พรุ่งนี้เจอกัน” คิบอมยกมือบอกลา

“เออ” คยูฮยอนรับคำลาเพื่อนรักเสร็จก็รีบปั่นจักรยานมุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่


.................................

“คยูฮยอน”

“..................”

“คยูฮยอน”

“..................”

“เฮ้ย ไอ้คยู ” คังอินตะโกนพร้อมกับมือหนาที่ส่งไปยังไหล่ของน้องชายอย่างไม่เบานัก จนทำให้ร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าตกใจจนแทบจะตกเก้าอี้

“เป็นบ้าหรือไง นั่งยิ้มอยู่ได้คนเดียว เรียกตั้งนานก็ไม่ได้ยิน เหม่ออยู่นั่นแหละ เป็นอะไร” คังอินบ่นยาวเป็นชุดตามอาการของน้องชาย

“เปล่า ... ก็แค่นั่งเฉยๆ พี่นั่นแหละทำผมเกือบตกเก้าอี้เลย ผลักมาได้” คยูฮยอนบู้หน้าใส่พี่ชายเล็กน้อยโทษฐานที่ทำให้เขาตกใจทั้งจากเสียงตะโกน และแรงจากมือที่มันมากระทบกับไหล่

“ไอ้บ้า นั่งเฉยๆ ตอนกินข้าวนี่นะ แล้วเมื่อไรแกจะกินเสร็จ ห๊า แล้วอีกอย่างเมื่อกี้พี่ก็แค่สะกิดแกนะ ไม่ได้ผลักซะหน่อย”

“สะกิด?” คยูฮยอนเอียงคอมองหน้าพี่ชายตัวเอง ‘นี่หรอ เขาเรียกว่า สะกิด ถ้าพี่ผลักผม ผมมิต้องโดนหามส่งโรงพยาบาลเลยหรอ’

“นี่ถามจริงๆเหอะคยู แกเป็นอะไรหรือเปล่า พี่เห็นนั่งเหม่ออย่างนี้มาหลายวันแล้วนะ มีอะไรบอกพี่ได้นะ” คราวนี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมจะรับฟังปัญหาของน้องชายเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าคนเป็นน้องมันคง ไม่ต้องการ

“ไม่มีอะไรหรอก ผมอิ่มแล้วนะ ราตรีสวัสดิ์” คนตอบๆ ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบเฉยแล้วต่อด้วยการก้าวขายาวๆ โดยไม่สนใจเสียงเรียกตามหลังของพี่ชายเลยแม้แต่น้อย

“โธ่ ไอ้คยูเอ๊ย ดูก็รู้ว่าแกต้องมีอะไรปิดปังพี่ไว้แน่ๆ ข้าวก็ไม่แตะสักคำ แต่บอกว่าอิ่ม” คังอินเอ่ยกับตัวเองเบาๆ หลังจากไอ้น้องชายปากแข็งมันขึ้นห้องไปได้สักพัก เขานั่งกินข้าวต่อและคิดอะไรไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็มีแต่เรื่องคยูฮยอนทั้งนั้น
นอกจากเจ้าคยูแล้วคังอินก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกเลยหลังจากที่พ่อกับแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน เขาจึงต้องรับภาระเลี้ยงดูเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับน้องชายคนนี้ แต่นั่นก็ไม่เคยทำให้คังอินรู้สึกแย่เพราะยามใดที่ท้อแท้ก็จะมีน้องชายตัวน้อยของเขาคอยให้กำลังใจอยู่เสมอดังนั้นจึงไม่แปลกที่คังอินจะทั้งรักและเป็นห่วงคยูฮยอนยิ่งกว่าสิ่งใด

“เฮ้ย หรือว่า มันกำลังมีความรัก แต่มันมีแฟนด้วยหรอวะ หรือมีแล้วไม่บอก หรือ... ฮะ...เฮ้ย” การสั่นสะเทือนของวัตถุในกระเป๋ากางเกงตัดความคิดทั้งหมดของคังอินลง เจ้าของโทรศัพท์สะดุ้งด้วยความตกใจ

‘ทำไมมันสั่นแรงจังวะ’ แต่เมื่อเห็นรายชื่อที่แสดงบนหน้าจอมือถือมันก็ทำให้เขายิ้มดีใจจนลืมเรื่องน้องชายไปชั่วขณะ

“ว่าไงจ๊ะ ที่รัก” กรอกเสียงทักทายอย่างสดใส โดยหารู้ไม่ว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าตัวเองกำลังจะโดนพายุลูกใหญ่สาดเข้าใส่เต็มๆ

“ว่าไงอะไรห๊าเจ้าหมี แกนัดฉันไว้ตอนสองทุ่มไม่ใช่หรอ แหกตาดูนาฬิกาซิว่านี่มันกี่โมงแล้ว”

“ว๊าก ตายแล้ว ขอโทษจ้า ทึกกี้ เค้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยนะตัวเอง รับรองไม่เกินหนึ่งชั่วโมง คังอินไปถึงแน่นอนจ้า”

“แกไม่ต้องมาแล้ว ไอ้หมีบ้า ไอ้ ...ไอ้ผู้ชายเฮงซวย แกกล้าดียังไง ปล่อยให้ฉัน
คอยเกือบชั่วโมง เลิก...เลิกกันไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก เราขาดกัน” อีทึกตะโกนเสียงดังใส่โทรศัพท์อย่างไม่อายใครหน้าไหนทั้งนั้น ก่อนจะกดตัดสายอย่างอารมณ์เสีย

“เฮ้อ เอาอีกแล้ว ทึกกี้งอนอีกแล้ว จะง้อยังไงดีวะเนี่ย ไอ้คยูเอ๊ย ฉันก็มัวแต่คิดเรื่องแกจนลืมพา ‘เมีย’ ไปเที่ยวเลย ตายแล้วไงคราวนี้ อีกกี่วันจะได้คืนดีกันเนี่ย โอ๊ย ฉันต้องตายแน่เลย ถ้าไม่ได้นอนกอดทึกกี้” คังอินวางโทรศัพท์บนโต๊ะอย่างอ่อนใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจอะไรที่ถูกคนรักบอกเลิก ก็เขาน่ะเจอ แบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วตั้งแต่คบกันมาหนึ่งปีเต็ม เป็นอย่างนี้ทุกทีเวลาทะเลาะกันทีไร

ตั้งแต่คยูฮยอนเจอซองมินวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว เขาคิดถึงซองมินแทบบ้าวันๆ เอาแต่นั่งเหม่อตื่นแต่เช้าทุกวันทั้งที่ไม่เคยจะตื่น(นอกจากวันที่มหาวิทยาลัยเปิดเรียนวันแรก) เพื่อไปรอซองมินตรงม้านั่งในสวนสาธารณะที่เคยคุยกัน แต่ก็ไม่มีแม้เงาของคนน่ารักโผล่มาเลยนับแต่วันนั้น คยูฮยอนเริ่มกลัว...กลัวซะแล้วสิว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกับซองมินอีก... โอ๊ย คิดแล้วมันเศร้า ผมต้องตรอมใจตายแน่ๆเลย



คอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมือง

“เอ๊ะ ทำไมไฟในห้องเปิดล่ะ หรือว่า ...” อีทึกไขกุญแจผลักบานประตูเข้าไป พอเห็นร่างบางของใครบางคนกำลังนั่งดูโทรทัศน์อย่างใจจดใจจ่ออยู่บนโซฟาสีชมพูตัวสวยภายในห้องรับแขกจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู เขาก็ค่อยโล่งอก พี่ชายหน้าสวยร้องเรียกชื่อของใครคนนั้นออกมาด้วยความดีใจ

“ซองมิน กลับมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย ไหนมาให้พี่กอดทีซิ” อีทึกอ้าแขนรอรับ
ซองมินยังไม่ทันตอบคำถามก็รีบวิ่งเข้าหาต้นเสียงอันคุ้นหูแล้วกระโดดกอดพี่ชายทำให้คนรอรับเซด้วยน้ำหนักตัวที่มากกว่า

“หนีพี่ไปเที่ยวเป็นอาทิตย์รู้ไหมพี่คิดถึงแย่เลย เราไม่รักพี่แล้วใช่ไหม” คนเป็นพี่กล่าวด้วยน้ำเสียง (แกล้ง) น้อยใจน้องชายสุดที่รัก

“อย่าน้อยใจไปเลยนะ ผมกลับมาแล้วนี่ไง” ซองมินอ้อนพี่ชายด้วยภาษามือที่ใช้อยู่ทุกครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องใช้สมุดกับปากกาเหมือนยามที่สื่อสารกับใครบางคน

“ซองมิน จะยอมไปหาหมอกับพี่แล้วใช่ไหม” ผู้เป็นพี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังจนรอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางลง ตามที่สัญญากันไว้ ถ้าซองมิน ยอมไปหาหมอรักษาอาการที่พูดไม่ได้ อีทึกจะอนุญาตให้ไปเที่ยว คนเป็นน้องจึงต้องพยักหน้ารับอย่างจำใจ

“แล้วพรุ่งนี้จะไปสวนสาธารณะกี่โมง” อีทึกถามถึงกิจวัตรประจำวันของน้องชายที่มักจะชอบตื่นแต่เช้าไปนั่งอ่านหนังสือหรือไม่ก็เดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน

“ก็คงประมาณเจ็ดโมงเหมือนเดิมล่ะครับ ทำไมหรอพี่อีทึก”

“เปล่าหรอก แค่ถามดูเฉยๆ”

“พี่อีทึก ผมอยากหางานทำ” มือทำท่าพร้อมส่งสีหน้าวิงวอนพี่ชายสุดฤทธิ์

“หยุดเลยซองมินอยู่บ้านนั่นแหละดีแล้ว พี่หาเลี้ยงเราได้น่า แล้วไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกนะ” คำตอบของพี่ชายเล่นเอาคนฟังหน้าเปลี่ยนสีทันควัน ‘ว่าแล้วว่าพี่ต้องพูดแบบนี้’ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“แล้วทำไมพี่กลับเร็วล่ะ ก็ไหนเขียน short note บอกไว้ว่าจะกลับดึกไง”

“ก็ไอ้หมีมันผิดนัดไม่ตรงเวลา พี่เลยกลับมาก่อน” คนถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งโมโหกึ่งน้อยใจ

“อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ บางทีพี่คังอินเขาอาจจะมีปัญหาอยู่ก็ได้นะ ทุกทีพี่เขาเป็นคนตรงเวลาดีนี่ครับ” ซองมินบอกพี่ชายก่อนจะยิ้มบางๆ พลางเอามือแตะไหล่เป็นการปลอบ

‘จริงสินะ ตั้งแต่คบกันมา คังอินไม่เคยปล่อยให้เราต้องรอเลยแม้แต่ครั้งเดียว’ พี่ชายซองมินคิด แต่...มันก็อดน้อยใจไม่ได้นี่นา

“เราดูสิ ป่านนี้ยังไม่โทรมาง้อพี่เลย” อีทึกพูดยังไม่ทันขาดคำเสียงดนตรีประกอบเพลงที่ตั้งไว้สำหรับสายของคนพิเศษก็ดังมาจากวัตถุเครื่องสวยสีเงิน

“นั่นไง พี่คังอินโทรมาแล้วใช่ไหม รับสิพี่อีทึก” น้องชายของอีทึกทำท่าทางประกอบการสื่อสารพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางชี้มือไปยังโทรศัพท์มือถือ แล้วก็เดินเข้าห้องนอนตัวเอง

“มีอะไร” อีทึกไม่ได้โกรธแล้ว เขาเพียงน้อยใจมีอะไรทำไมคังอินถึงไม่ยอมบอก

“ทึกกี้ อย่าโกรธเลยนะ ผมขอโทษ พอดีเจ้าคยูมันมีปัญหานิดหน่อยผมมัวแต่คิดเรื่องมัน...จน...จนลืมนัดคุณไปจริงๆ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างรู้สึกผิด แต่ที่เพิ่งโทรมาง้อตอนนี้เพราะอยากให้คนรักใจเย็นลงก่อน แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ อีทึกเข้าใจความรู้สึกนี้ดีว่าคังอินเป็นห่วงน้องชายมากแค่ไหน เขาไม่เคยคิดน้อยใจหรือโกรธเลยถ้าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากเรื่องของน้อง เพราะความรู้สึก ที่คังอินมีต่อคยูฮยอนมันก็ไม่ต่างจากความรู้สึกที่เขามีให้ซองมิน

“คยู เป็นอะไร” อีทึกถามด้วยความเป็นห่วงแม้ว่าเขาจะเคยเจอน้องชายของคนรักเพียงสองสามครั้งตอนที่ไปบ้านคังอินแต่อีทึกก็รู้สึกรักและเอ็นดูคยูฮยอนเหมือนเป็นน้องชายอีกคน

คังอินเล่าอาการทั้งหมดของคยูฮยอนให้คนรักฟังและทั้งคู่ก็ลงความเห็นว่า น้องชายคงกำลังตกหลุมรักใครสักคน ก็อาการนี้น่ะทั้งคังอินและอีทึกรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร ว่าแต่คนนั้นของคยูฮยอนเป็นใครกันนะ

……………………………

“ซองมิน คุณอยู่ไหน ผมคิดถึงคุณจนจะบ้าตายอยู่แล้วนะ” คยูฮยอน ทำเสียงเหมือนปิ่มจะขาดใจ ขณะนั่งอยู่บนม้านั่ง (ตัวเดิม) ก่อนจะสะดุ้งที่อยู่ๆ ก็มีแก้วน้ำสีชมพูใบสวยยื่นมาตรงหน้า เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องตกใจสุดขีด ชายหนุ่มเด้งตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยิ้มออกมาเต็มแก้ม ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น

“ซอง...ซองมิน มา...มาได้ยัง...ยังไงครับ” ลิ้นมันรัวพันกันไปหมด อยากจะเดินเข้าไปกอดเหลือเกิน แต่ก็ต้องห้าม (ใจ) ไว้ ขืนทำอะไรบุ่มบ่ามไป ซองมินไม่พอใจหล่ะยุ่งเลย ฮะ...เฮ้ย แล้ว...แล้วที่พูดไปเมื่อกี้ว่า ‘ผมคิดถึงคุณ จนจะบ้าตายอยู่แล้วนะ’ ซองมินจะได้ยินไหมนี่ โอ๊ย เขินอ่า

“นั่งลงเถอะคยูฮยอน ยืนบิดไปบิดมาอยู่ได้” ซองมินสื่อความไม่ใช่ทั้งภาษาเขียนหรือภาษามือหากแต่เป็นการแสดงออกทางสีหน้าและดวงตาที่ปรายมองชายหนุ่มอย่างเขินอาย (โดนจ้องหน้าแบบนี้เป็นใครๆ ก็ต้องเขินทั้งนั้นแหละ) ก่อนจะนั่งลงตรงที่เดิมที่ๆ เขาเคยพบกับคนๆ นี้ครั้งแรก

คยูฮยอนนั่งดื่มน้ำจากแก้วสีชมพูใบนั้น...ใบที่คนน่ารักที่ขอทึกทักเอาเองแล้วกันนะว่าเป็นคนน่ารักของเขายื่นให้ เขาไม่รู้หรอกว่ามันเป็นน้ำอะไร รู้แต่เพียงว่า มันช่างหวาน...หวานเหลือเกิน

‘เธอเป็นแฟนฉันแล้วรู้ตัวบ้างไหม แล้วเมื่อไรหนอฉันจะได้เป็นแฟนของเธอ’*
คยูฮยอนกับซองมินคุยกันอยู่อย่างนั้นทั้งด้วยภาษาเขียน ภาษามือ ภาษาทางสีหน้า และภาษา...ใจ (ดูเหมือนอันหลังนี่คยูฮยอนจะทึกทักคิดเอาเองอีกแล้ว) ทั้งสองคุยกันตั้งแต่เช้าจนบ่ายและไม่มีทีท่าว่าเรื่องที่ยาวยืดเยื้อนั้นจะจบลงอย่างง่ายดายเหมือนไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นสิบปีสิบชาติ หากใครคนหนึ่งไม่วิ่งเข้ามาเสียก่อน

“คยู ว่าแล้วต้องอยู่ที่นี่ ฉันมาตามไปเรียน แล้วนั่นใครน่ะ” เจ้าของเสียงหอบเพราะความเหนื่อยอ่อนราวกับวิ่งรอบสนามมาแล้วสักสิบรอบเอ่ยถามพลางจับข้อมือใหญ่แน่นอย่างกับติดกาวไม่ให้เลื่อนหลุด ทำให้ใครบางคนแอบเหลือบมองภาพนั้น ก่อนจะบอกลาคยูฮยอนและผู้มาใหม่ ไม่รู้จะยืนอยู่ต่อไปอีกทำไม แต่ชายหนุ่มก็ใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมมาจับข้อมือเล็กไว้ก่อน

“อย่าเพิ่งไปสิครับ ซองมิน นี่ทงเฮ เพื่อนผมเอง” หลังจากปล่อยมือซองมินแล้ว คนพูดก็หันหน้าไปทางเพื่อนสนิทอีกคน

“นี่ ซองมินเป็น...เพื่อนฉันเอง” ทั้งสองคนที่ถูกแนะนำตัวต่างก็ยิ้มให้กันแต่ถ้าสังเกตดีๆ มันกลับเป็นรอยยิ้มที่แตกต่างกัน...โดยสิ้นเชิง

คำว่า เพื่อน ของคยูฮยอนตอนที่พูดถึงเขากับซองมินน้ำเสียงมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ทำไม...ทำไมทงเฮจะไม่รู้ว่า ความหมายมันต่างกันอย่างไร...ทำไมจะไม่รู้ว่าคยูฮยอนคิดอย่างไรกับซองมิน...คยูฮยอนรักซองมิน!

“นี่ ทงเฮ นายปล่อยฉันได้แล้ว จะจับมือฉันไว้อีกนานไหม... เอ่อ ซองมิน ผมต้องไปก่อนนะครับ แล้ว...แล้วเมื่อไรเราจะได้เจอกันอีก” จับน้ำเสียงดูก็รู้ว่านายเเคร์เขามากเเค่ไหน คิดแล้วก็ตวัดตามองใบหน้านั้นกอปรกับริมฝีปากแดงเม้มแน่น

“ให้โชคชะตาลิขิตเองเถอะนะ เราตอบคยูฮยอนไม่ได้หรอก” ซองมิน ยื่นข้อความนี้ให้คนตัวสูง ก่อนจะถอยออกมาด้วยรอยยิ้มที่มีให้ทั้งสองอย่างจริงใจ ‘ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้เจอนายอีกเมื่อไร แต่ฉันจะมารอนายที่นี่ ทุกวันนะ...คยูฮยอน’

แล้วผมจะได้เจอกับโชคชะตานี้อีกเมื่อไรกัน




* เพลง เธอเป็นแฟนฉันแล้ว ของวงกะลา


โปรดติดตามตอนต่อไป




 

Create Date : 01 เมษายน 2551    
Last Update : 1 เมษายน 2551 20:41:38 น.
Counter : 239 Pageviews.  

คุณชายปากร้ายกับนายจอมห้าว#1



Story by : aumin

Couple : KyuMin Ft. KiHae




กริ๊งงงงง!!!

เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยเสียงหวีดร้องดังสนั่นทั่วทั้งห้องนอนเล็กๆ ของบ้านเช่าหลังหนึ่ง บนเตียงไม้หลังย่อมปรากฏร่างเด็กหนุ่มผิวขาวสะอ้านกำลังนอนกลิ้งตัวไปมาจนผ้าห่มผืนหนาที่เคยปกคลุมมิดกายมากองขยุกขยุยอยู่ตรงปลายเท้า สีหน้าบ่งชัดว่าเจ้าตัวไม่สบอารมณ์กับเสียงปลุกที่ทำให้เขาต้องตื่นจากภวังค์ความฝัน มือเล็กป้อมยกชูขึ้นเหนือศีรษะแล้วกระแทกลงบนปุ่มกดด้านบนของเจ้าเครื่องบอกเวลาเรือนโปรดเต็มแรง ทันใดนั้นทั้งห้องก็กลับคืนสู่ความเงียบ เจ้าของห้องเองก็กลับคืนสู่นิทรา...

จนกระทั่งเข็มยาวและเข็มสั้นของนาฬิกาปลุกคิตตี้สีชมพูเดินมาบรรจบกัน เจ้าของร่างเล็กอวบก็ได้ฤกษ์ลุกจากเตียงนอนเสียที ลีซองมินสะดุ้งตื่น ร้องเสียงลั่น ลุกลี้ลุกลนกระโดดออกจากที่นอนแทบจะทันทีที่ดวงตากลมโตเบิกโพลงจับจ้องตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนน้อยบนหัวเตียง เจ็ดโมงสี่สิบนาที สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ คือ เขาต้องจัดการกับตัวเองอย่างไรก็ได้ให้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องเรียนภายในเวลา 20 นาที ไม่อย่างนั้นคงถูกเช็คชื่อสาย แล้วยิ่งเป็นคาบแรก ซองมินก็ยิ่งไม่อยากให้เกิดความผิดพลาด เพราะการเข้าห้องเรียนสาย มันคงส่งผลเสียต่อคะแนนเก็บของเขาอย่างแน่นอน

“เฮ้ย!! ปลุกไว้เจ็ดโมงไม่ใช่หรอวะ ทำไมมันเลยมาไกลขนาดนี้เนี่ย น้ำเนิ้มไม่ต้องอ่งไม่ต้องอาบมันแล้วโว้ย” ซองมินเดินโวยวายมาถึงห้องนอนอีกห้องที่ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้เป็นเจ้าของ “เออ น้องเนิ้งก็ไม่รู้จักมาปลุกกันบ้างเลย” บ่นแล้วก็วิ่งกลับมาจัดแจงเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ปะแป้งพอเป็นพิธี ก่อนจะหยิบกุญแจรถคู่ใจโยนใส่กระเป๋า รีบร้อนก้าวออกจากบ้าน









ซองมินบิดเร่งเครื่องยนต์ปาดซ้ายปาดขวาแซงบรรดารถคันน้อยใหญ่ที่เบียดเสียดหนาแน่นเต็มท้องถนน เหลือเพียงเลี้ยวตรงทางแยกข้างหน้า เขาก็จะถึงที่หมายด้วยความปลอดภัย หากสิ่งที่คิดมันกลับผิดถนัด เมื่อรถยนต์คันหรูสีดำสนิทคันหนึ่งขับเคลื่อนเข้ามาใกล้กับยานพาหนะสองล้อของซองมิน และตามมาด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


เอี๊ยดดดดดดดด

คนตัวเล็กอุทานเสียงดังตามเสียงล้อที่เสียดสีกับพื้นถนน โชคดีที่คนขับรถยนต์คันนั้นแตะเบรกทันเวลา ซองมินเองก็มีสติพอที่จะรู้จักหลบหลีก ร่างเล็กใช้เท้ายันพื้นฟุตบาทเป็นการทรงตัวไว้ได้ทั้งรถทั้งคน

พอถอดหมวกกันน็อกและจอดรถเข้าข้างทางแล้ว เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์สีหวานก็หันมาเจรจากับคู่กรณีที่เปิดประตูออกมายืนรออยู่ก่อนแล้ว ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพกล่าวขอโทษขอโพยเด็กหนุ่มเป็นการใหญ่....ผิดกับใคร บางคนที่ซองมินมองผ่านกระจกรถยนต์คันโตเข้าไปเห็น ’เขาผู้นั้น’ เอาแต่นั่งหน้าเคร่งเต๊ะท่าเป็นคุณชายมาดขรึมอยู่บนเบาะด้านหลังฝั่งเดียวกับคนขับ หน้าตาก็ดีหรอกนะ แต่ทำตัวได้น่าหมั่นไส้ชิบ ทำไมเจ้านายกับลูกน้องมันถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้วะเนี่ย

ซองมินนึกตำหนิอยู่ในใจ แต่ก็มิได้ติดใจอะไรนักหนา เมื่ออีกฝ่ายยอมรับผิดแล้ว เรื่องมันก็น่าจะจบๆ กันไป หากประโยคเหล่านี้มันไม่หลุดลอดออกมาจากปากไอ้ขี้เก๊กนั่น ประโยคยืดยาวที่เล่นเอาซองมินจดจำฝังใจ

“เสร็จแล้วก็รีบไปเถอะลุงชาง เดี๋ยวผมก็เข้าเรียนสายกันพอดี เสียเวลาจริงๆ ขับรถไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ” คนพูดพูดหน้าตาย แต่ทำเอาคนฟังโกรธจนลมแทบออกหู ซองมินกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บจี๊ด จะขยับปากต่อวาจาแต่ก็ไม่ ทันการ เพราะรู้ตัวอีกทีรถคันดังกล่าวก็แล่นฉิวออกไปไกลเสียแล้ว

"โธ่เว้ย น่าเจ็บใจจริงๆ ชาตินี้ขออย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลย ไอ้บ้า!!!"


กว่าซองมินจะมาถึงหน้าห้องเรียนก็เลยเวลาเรียนมากว่า 15 นาที นึกแล้วก็พาลเจ็บใจไอ้เด็ก (เวร) นั่น ร่างที่ยืนสั่นเล็กน้อยเพราะวิ่งหอบมาไกลชั่งใจอยู่ไม่นานก็หมุนลูกบิดประตูแล้วเดินเข้ามานั่งตรงที่ว่างชิดผนังห้อง...ที่ว่างที่เหลืออยู่...เพียงที่เดียว ซองมินจ้ำเดินอย่างรีบร้อน กระทั่งไม่ทันมองว่านั่งลง ข้างใคร พอเขาหย่อนก้นนั่งปุ๊บ เสียงสวรรค์ก็มาปั๊บ


“คาบหน้าถ้านักศึกษาคนใดมาสายครูจะหักคะแนนนะคะ” คนหน้าหวาน (แต่แอบห้าว) ได้แต่แบะปากยิ้มแห้งกับประโยคกึ่งเตือนกึ่งตำหนิ ก็ที่เขาต้องมาสายแบบนี้มันเพราะใครกันล่ะ ซวยแต่เช้าจริงๆ ลีซองมิน

“ทำไมมาสาย”

“อ่อ อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ” เด็กหนุ่มตัวเล็กตอบ โดยยังไม่ทันได้หันไปมองเจ้าของคำถามเสียงเรียบที่นั่งอยู่ข้างๆ แถมยังไม่ได้เอะใจอะไรสักนิด เพราะเจ้าตัวมัวแต่ก้มหน้ายัดกระเป๋าใส่ใต้โต๊ะ

“ก็ขับรถไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเอง ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”

เอ๊ะ...ประโยคนี้มัน...คุ้นๆ นะ ซองมินเพิ่งจะเริ่มเอะใจ แล้วเงยหน้าขึ้นจากสมุด lecture ทันทีที่เห็นใบหน้ายียวนของอีกฝ่ายยื่นเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มก็แทบผงะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนหล่อยื่นหน้าเข้ามาใกล้เกินไป หรือเป็นเพราะตกใจ ที่เป็นคนคนเดียวกับที่เขาบ่นถึงมาตลอดทาง แต่ยังไงมันก็ทำให้ซองมินต้องร้องออกมาเสียงหลงอย่างห้ามไม่อยู่


“เฮ้ย นี่..นาย ไอ่..ไอ่เลว ไอ่ขี้เก๊ก” ดันมาเรียนที่เดียวกับฉันอีก บ้าเอ๊ย

“กรุณาเงียบด้วยนะคะ คนอื่นต้องการสมาธิ”

“ขอโทษครับ” คนโดนตำหนิลุกขึ้นก้มศีรษะ แล้วหันมาขว้างค้อนใส่ไอ้คนที่มันนั่งเท้าคางเชิ่ดหน้าเชิ่ดตา (ได้กวนประสาทที่สุดในโลก) ทำเหมือนไม่รู้สึกผิดอะไรเลย หนำซ้ำยังจะมาด่าเขากลับอีกต่างหาก

“นี่ ระวังปากหน่อยนะอ้วน เรื่องอะไรมาด่าฉัน”

“เฮ้ย นายไม่มีสิทธิ์มาด่าฉันนะ” ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในห้องเรียน ไอ้หมอนี่ เจอดีแน่ อย่างน้อยมันก็ต้องโดนเข้าสักหมัด กล้าดียังไงมาหาว่าซองมินอ้วน

“ทำไมจะด่าไม่ได้ ทีนายยังด่าฉันทั้งไอ้เลว ไอ้ขี้เก๊ก” ซองมินเหยียด ริมฝีปาก แล้วว่าต่ออย่างระวังไม่ให้เสียงดังจนเกินไป

“ก็นายมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

“เหรอ งั้นนายก็อ้วนจริงๆ ลีซองมิน ฮ่าๆ”

“อะ...ไอ้บ้า...เฮ้ย แล้วนายรู้จักชื่อฉันได้ยังไง” คู่กรณีของซองมิน ถอนหายใจ เบะปากยิ้มเหยียด

“นอกจากอ้วนแล้วยังจะโง่อีกเหรอ ตอนอาจารย์เช็คชื่อ นายก็เพิ่งขานชื่อตัวเองไป แถมยังมาสายอีกต่างหาก”

“......” เงียบ แล้วก็เบือนหน้าหนี จนคนพูดเริ่มแปลกใจ


ทำไมอยู่ๆ ก็เงียบไปล่ะ หรือว่า เราจะว่าแรงเกินไป

“ซองมิน” คนถูกเรียกสะบัดหน้ามาทางเจ้าของเสียงทุ้มห้าว

“เป็นใครมาเรียกชื่อฉันเฉยๆ ไม่ได้สนิทกันสักหน่อย”

“เป็นบ้าอะไรของนาย อยู่ๆ ก็เงียบ”

“ฉันไม่อยากต่อกลอนกับคนหน้าด้านอย่างนาย ฉันคงสู้คนปากสุนัขอย่างนายไม่ได้หรอก สู้เอาเวลามาฟังอาจารย์ดีกว่า”

“เฮ้ย!!! ด่าฉันอีกแล้วเหรอ โอ๊ย” คนตัวสูงลูบศีรษะตัวเอง หลังจากเพิ่งได้รับแรงกระแทกจากด้ามปากกาไวท์บอร์ดที่ลอยมาจากหน้าห้อง


ไอ้บ้าเอ๊ย ลอยมาไงวะเนี่ย เจ็บฉิบหาย

“จะคุยอีกนานไหม นายโจคยูฮยอนครูสั่งงานไปได้ยินหรือเปล่า”

“ให้ทำรายงานมาส่งอาทิตย์หน้าครับ” เมื่อลูกศิษย์เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด พร้อมกับเดินมายื่นอาวุธประจำกายคืนให้ อาจารย์สอนประวัติศาสตร์จอมโหดก็อธิบายหัวข้อรายงานต่อไป

“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า” คยูฮยอนเหล่หางตาแล้วบอกเสียงแข็ง

“เงียบปากไปเลยอ้วน” คนตัวเล็กจิ๊ปาก แต่ก็ไม่ได้ต่อความอะไร แล้วหันกลับมาฟังอาจารย์พูดต่อ

“อืม เอาเป็นว่า งานนี้ทำเป็นคู่แล้วกัน เพื่อไม่ให้ยุ่งยากและเสียเวลาในการแบ่งกลุ่ม ครูขอสรุปให้ทำคู่กับคนที่นั่งข้างๆ เลยแล้วกันนะ” และทันทีที่อาจารย์พูดจบ เสียงของคนคู่หนึ่งก็ดังลอดออกมาพร้อมกัน

“หา!! ทำคู่กับนายเนี่ยนะ”

“คยูฮยอนกับซองมินมีปัญหาเหรอ งั้นก็ไปถอนซะนะ ไม่ต้องทำ ไม่ต้องเรียน”

“เปล่าครับ อาจารย์ ผมไม่ได้มีปัญหา แต่รุ่นพี่ซองมินเขามีครับ”

“อ้าว เฮ้ย...มะ ไม่ใช่นะครับอาจารย์” รุ่นพี่ปีสามเพียงคนเดียวในชั้นโบกมือเป็นระวิง

“งั้นก็ดี ตกลงเอาตามนี้แล้วกัน คาบนี้พอแค่นี้ เจอกันสัปดาห์หน้าพร้อมรายงาน”

“โอ๊ย ทำไมซวยจังวะ” เสียงเล็กบ่นพึมพำ

“ฉันต่างหากล่ะที่ซวย ต้องมาทำงานกับรุ่นพี่ปัญญาอ่อน”

“นายน่ะสิ ปัญญาอ่อนไอ้เด็กปีหนึ่ง” ไอ้เด็กไม่มีสัมมาคารวะ เขาเป็น รุ่นพี่แท้ๆ จะเรียกพี่สักคำก็ไม่มี


มันเวรกรรมอะไรของฉันเนี่ย รู้งี้ลงเรียนตั้งแต่ปีที่แล้วก็ดี

“เออ แบ่งงานดีกว่า ขี้เกียจจะเถียง”

“พรุ่งนี้ 10 โมงเจอกันที่ห้องสมุด วันนี้ไม่ว่างจะรีบกลับบ้าน” ซองมินเป็นคนนัด

“เอาเบอร์นายมา” มือเรียวหยิบโทรศัพท์ยี่ห้อดังรุ่นใหม่ล่าสุดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ขณะที่ซองมินขมวดคิ้วมอง ทำท่าเหมือนไม่แน่ใจ

“เอามาเหอะน่า ฉันไม่ได้พิศวาสนายจนต้องขอเบอร์หรอก”

“แล้วนายกำลังทำอะไร”

“ก็ขอเบอร์ เอ่ย ก็...ก็มันจำเป็น เผื่อฉันโทรไปถามเรื่องงาน” คนตัวสูงหรุบตาหลบใบหน้าหวานที่กำลังอมยิ้ม ซองมินไม่ได้เขินนะ แต่สะใจที่เห็น ไอ้คุณชายมันอายจนทำอะไรไม่ถูก

“เอามานี่ เดี๋ยวกดให้” พอได้รับโทรศัพท์คืน คยูฮยอนก็รีบกดปุ่มสีเขียว

“ยิงเบอร์ฉันไปแล้วนะ”

“ใครเขาอยากได้เบอร์นาย” ซองมินทำหน้าเฉย ดวงตาคมเลยจ้องเขานิ่ง

“กวนประสาท”

“ก็นายมากวนฉันก่อนทำไมล่ะ”

“ใครกวน เมื่อกี้ฉันอุตส่าห์พูดดีด้วยแล้วนะ”

“พูดดียังไง ฉันเป็นรุ่นพี่นาย แก่กว่านายตั้งสองปี ทำไมไม่รู้จักหัดเรียกพี่” ชายหนุ่มยืนกอดอก ทำเสียงขึ้นจมูก

“ก็ไม่อยากเรียก” ใครมันจะไปเรียกลง ท่าทางเหมือนเด็กกะโปโลขนาดนี้

“ไอ้บ้า” คนตากลมค้อนขวับ

“ด่าอยู่นั่นล่ะ กลับบ้านไปได้แล้วไป”

“เอ๊ะ อย่ามาจับนะ” ไอ้คุณชายขี้เก๊กนี่ เรื่องอะไรเอามือมายีผมฉันเนี่ย

“ผมนิ่มดีนี่ ฮ่าๆ”

“ไอ้บ้า”

“คำก็บ้า สองคำก็บ้า ถ้าฉันบ้านายก็ไม่ต่างกันนักหรอก ซองมิน” คนหน้าหล่อส่งยิ้มกวน

“ถอยไป ฉันจะกลับบ้าน พรุ่งนี้เจอกัน 10 โมงเช้า ห้ามเลทด้วย” คนตัวเล็กพาดเป้บนบ่าแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไป ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนกอดอกอมยิ้มอยู่คนเดียวหลังห้อง





“พี่ซองมิน ทำไมวันนี้กลับดึกจัง” น้องชายเดินลงบันไดมาทักคนที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมาด้วยท่าทางอ่อนเพลีย หลังจากที่ได้ยินเสียงรถ

“ทำโอทีอยู่ อ้าว แล้วทำไมนายยังไม่นอนล่ะ ทงเฮ”

“ฉันก็รอพี่นั่นล่ะ” ทงเฮเดินมารับเป้ของซองมินไปวางบนโต๊ะ “กินข้าวมาหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้ว นายล่ะ”

“กินไปตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว”

“อืม งั้นพี่ไปนอนก่อนนะ ง่วง พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานที่มหา’ลัยด้วย” พี่ชายร่างป้อมเดินหาวผ่านน้องชายร่างบางไปไม่ทันไรก็ต้องชะงัก เพราะเสียงเรียกที่รั้งเขาไว้

“ฉันไม่อยากให้พี่ทำงานจนกลับดึกแบบนี้เลย มันอันตรายรู้ไหม”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีใครมาทำอะไรพี่หรอกน่า” ซองมินยิ้มให้น้องแล้วจับหัวทุยมาโยกเล่นเบาๆ

“ถ้ามินิมาร์ทที่ฉันทำอยู่ขาดคน พี่ไปทำกับฉันนะ จะได้กลับบ้านพร้อมกัน แล้วอีกอย่างมันก็ไม่หนักเท่างานก่อสร้างที่พี่ทำอยู่ด้วย”

“อืม ถ้าว่างก็จะไป พี่ไปอาบน้ำนอนก่อนนะ ตาจะปิดอยู่แล้ว” คนเป็นพี่ก้าวขาออกห่างน้องชายมาบนห้อง ส่วนทงเฮก็ได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ


ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า พี่ซองมินเสียสละงานสบายอย่างพนักงานขายของที่ร้านมินิมาร์ทแถวบ้านให้น้อง ส่วนตัวเองก็ไปทำงานหนักๆ อย่างงานก่อสร้าง

เฮ้อ! ทำไมงานมันถึงได้หายากขนาดนี้นะ



เมื่ออาบน้ำใส่ชุดนอนเสร็จเรียบร้อย ซองมินก็หวังจะได้พักผ่อนหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมานานหลายชั่วโมง วันนี้เขาทำงานหนักจริงๆ ทั้งแบกอิฐหามปูนสารพัด จนเมื่อยล้าไปหมดทั้งตัว พอหัวถึงหมอนก็เลยหลับเป็นตาย ไม่ได้ยินแม้เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะเขียนหนังสือข้างเตียง


…………………………………..
…………………………..
…………………


เหอๆ ยังจำกันได้อยู่หรือป่าวเอ่ย เป็นยังไงก็ติชมกันได้เต็มที่เลยนะจ๊ะ อ่านเเล้ว งงๆ ป่วงๆ ก็บอกกันได้เน้อ เรื่องนี้ ตอนเเรกก่าเเต่งให้กี้ร้าย เเต่ไหง เเต่งไปเเต่งมาออกมาเป็นกี้เเบบนี้ก็ไม่รู้

ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะคะ เเล้วติดตามตอนต่อไปด้วยนะจ๊ะ




 

Create Date : 28 มีนาคม 2551    
Last Update : 28 มีนาคม 2551 21:17:36 น.
Counter : 279 Pageviews.  

Hate You, Love You #2 (The End)



Hate You, Love You #2 (The End)

Yaoi : KyuMin+Kihae

Story By : aumin


...........................

“เฮ้ย!! มือถือฉันหาย” เสียงอุทานหนึ่งดังแหวกเสียงเจ๊าะแจ๊ะจอแจของเด็กนักเรียนชั้นม.ปลายปีหนึ่งห้องหนึ่ง ช่วงพักกลางวันที่เคยเสียงดังคับห้อง กลายเป็นความเงียบกริบตามด้วยสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาทางต้นตอของเสียง

“หาดูดีหรือยัง ยูจิน” เสียงห้าวของหัวหน้าห้องร้องถาม

“ดีที่สุดแล้ว ฉันคงต้องขอค้นกระเป๋ากับโต๊ะเรียนของทุกคน” เด็กหนุ่ม เจ้าของชื่อดังกล่าวเอ่ยกับเพื่อนที่พากันนั่งหน้าสลอน โดยแต่ละคนมองเขาอย่างไม่วางตา รวมทั้งคยูฮยอน คิบอม และซองมินด้วย

“งั้นก็ค้นสิ เชิญ” หัวหน้าห้องผายมือออกพร้อมกับคำอนุญาต แล้วก็นำเพื่อนทุกคนออกมายืนดูอยู่หน้าห้อง เวลาผ่านไปสักพักกระทั่งเสียงอุทานเดิม ร้องตะโกนขณะกำลังรื้อค้นกระเป๋าของซองมิน

“เฮ้ย!! มือถือฉัน ซองมิน นี่นาย นายขโมยมือถือฉันหรอ”


หลักฐานที่ปรากฏในมือของยูจินทำเอาทุกคนในห้องเบิกตากว้าง โดยเฉพาะซองมิน เพื่อนๆ แต่ละคนเริ่มส่งเสียงฮือฮา เท่าที่ฟังดูแล้วไม่มีใครเชื่อกับคำพูดของยูจินเลยแม้แต่น้อย นอกจากเพื่อนในกลุ่มของเจ้าเด็กคนนั้น

“ยูจิน เราไม่ได้เอาไปนะ” เสียงใสร้องบอกกับเจ้าของโทรศัพท์ และเพื่อนในห้อง

“หลักฐานคาตาอยู่แบบนี้ นายยังแก้ตัวอีกหรอ ซองมิน”

“เฮ้ย พูดกันดีๆ ก็ได้นี่หว่าไอ้ยูจิน มึงจะตะคอกใส่เพื่อนกูทำไม” คิบอมโต้กลับ หากเพื่อนอีกคนของซองมินกลับยืนนิ่งเฉย

“เฮ้ย หยุดเลย กูมีวิธีพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่มันพูดจริง หรือใครกันแน่ที่ มันโกหก” หัวหน้าห้องจอมห้าวเดินเข้ามาห้ามทัพ

“ก็เห็นอยู่ว่าของกลางมันอยู่ที่ใคร จะพิสูจน์ให้เสียเวลาทำไม” เสียงนิ่งเรียบของประโยคเมื่อครู่ทำเอาซองมินแทบล้มทั้งยืน ที่โดนใส่ความเมื่อกี้กลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปในพริบตา เมื่อเทียบกับวาจาและสายตาเฉยชาของโจคยูฮยอน ร่างสูงเดินก้าวขายาวๆ พาตัวเองออกจากห้อง ตามติดด้วยซองมินและคิบอม

“เฮ้ย ไอ่หัวหน้า มึงพิสูจน์ไปก่อนนะโว้ย เดี๋ยวกูมา”

“อ้าว ไอ่คิบอม ดะ...เดี๋ยวก่อนสิวะ”

ซองมินวิ่งตามคยูฮยอนออกมาตรงระเบียงทางเดิน มือเล็กคว้าข้อมือแกร่งไว้แน่น แต่เพียงแค่คยูฮยอนบิดมันออกเล็กน้อย มือของซองมินก็ปลิวร่วงลงมาอย่างง่ายดาย

“คยูฮยอน เรา...เราไม่ได้ทำนะ”

“ถ้านายไม่ทำแล้วใครมันจะทำ จะบอกว่ายูจินเอามือถือมายัดใส่กระเป๋านายเองอย่างนั้นหรอ” คราวนี้เสียงที่เคยเย็นชากลับกลายเป็นแข็งกร้าว

“คยูฮยอน นาย...เชื่อคนอื่น...มากกว่าเราหรอ”

“เฮ้ย คยู มึงอย่าเพิ่งตัดสินอย่างนั้นสิวะ มึงก็น่าจะรู้นิสัยซองมินดี เพื่อนเราไม่มีทางทำแบบนั้นหรอกนะเว้ย” เสียงทุ้มห้าวแทรกขึ้นทันทีที่เจ้าตัววิ่งมาถึงจุดที่เพื่อนยืนอยู่

“แล้วมึงรู้จักเขาดีแค่ไหนกันไอ้คิบอม นิ่งๆ เงียบๆ แบบนี้น่ะร้ายนัก กูเห็นมานักต่อนักแล้ว”

“คยูฮยอน เราไม่ได้ทำจริงๆ นะ ขอร้อง เชื่อเราเถอะนะ เราไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิด” เจ้าของร่างเล็กยึดท่อนแขนแข็งแรงแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง พร่ำร้องขอความเห็นใจจากคยูฮยอน

“ปล่อยนะ ซองมิน เลิกมาตามตื้อ ตามตอแยฉันสักที ฉันเกลียดคนอย่างนาย โธ่เว้ย!!” เด็กหนุ่มตัวสูงสะบัดแขนตัวเองออกจากการเกาะกุม แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะไม่คิดว่าร่างของคนตัวเล็กจะเสียหลักเซกระแทก เข้ากับเสาปูนของระเบียงอย่างแรง ก่อนจะทรุดฮวบกองลงกับพื้น

อัก!!!

“โอ๊ย” คนเจ็บร้องครางเสียงแผ่ว

“ซองมิน!!” คนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ถึงกับตะโกนเรียกเพื่อนเสียงดังก้อง คิบอมกำลังจะเข้าไปประคองหากแต่ร่างของอีกคนกลับมาขวางเขาไว้เสียก่อน

“ซองมิน...นาย เป็นยังไงบ้าง ฉัน...”

ฉันขอโทษ

น้ำเสียงสั่นๆ แสดงความห่วงใยชัดเจน คราวนี้คยูฮยอนมิอาจทำเย็นชากับซองมินได้อย่างทุกครั้ง หัวใจของคนตัวสูงเต้นแรงจนเจ็บร้าวไปทั้งอก เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันออกมาเป็นแบบนี้ ไม่อยากเห็นซองมินต้องเจ็บตัว และที่สำคัญคือ เขาไม่อยากเห็นซองมินต้อง...ร้องไห้

เด็กหนุ่มย่อตัวลงโอบประคองไหล่บางทั้งสองข้าง แต่แล้วคยูฮยอนก็ต้องชะงัก ดวงตาคลอน้ำเงยขึ้นมาสบมองเขานิ่ง สายตาที่มองมามันต่างไปจากทุกครั้ง มันช่างเย็นชา...เย็นชาจนว่างเปล่า มือเล็กสั่นเทาวางทับกับมือที่โอบ อยู่บนไหล่ทั้งสองข้างแล้วค่อยๆ แกะมันออกช้าๆ ใบหน้าเล็กหมองพยายามฝืนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แต่ความจริงมันกลับตรงกันข้าม คยูฮยอนกลับรู้สึกถึงความเหินห่าง....เหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน เสียงที่เคยกังวานใสกลับกลายเป็นเยือกเย็น โดยซองมินพยายามฝืนบังคับให้มันสั่นน้อยที่สุด เอื้อนเอ่ยวาจากับชายหนุ่มนัยน์ตาคมที่สบมองเขาด้วยความห่วงหาอาทร แต่ดูเหมือนความห่วงใยเหล่านั้น ซองมินคงไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว

“เรา...เราขอโทษนะโจคยูฮยอน ขอโทษจริงๆ...ฮึก...ขอโทษที่ทำให้ชีวิตนายต้องวุ่นวาย ต่อไป...เรา...เราจะไม่ทำแบบนั้นอีก เราจะไม่ตามตื้อ ตามตอแยนาย.....แต่...เราขอ...ขอหัวใจที่เคยให้นายไปคืนนะคยูฮยอน แล้วก็ต้องขอโทษอีกครั้งที่มันทำให้นายรำคาญมาตลอด เราสัญญาว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ถ้าโจคยูฮยอนอยู่ที่ไหน...ที่นั่นจะไม่มีลีซองมิน ที่ผ่านมาถือซะว่านายฝันร้ายไป ก็แล้วกันนะ นับจากนี้ไปถือว่าเรา...ไม่เคยรู้จักกัน”

อึก!!!

สิ้นวาจานั้นแล้ว คยูฮยอนถึงกับสะอึก ความเจ็บปวดแล่นริ้วให้สั่นชา ทั่วทั้งอก ประดุจดั่งคมมีดกรีด เชือดและเฉือนลงกลางใจจนขาดวิ่นก็ไม่ปาน ขณะนี้ร่างกายทำได้เพียงแค่ทรุดตัวลงแล้วทอดสายตาเจ็บปวดอาลัยอาวรณ์ มองอีกคน

ซองมิน...ฉันขอโทษ…ขอโทษที่ทำให้นายต้องเจ็บปวด หากย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะไม่ทำร้ายนาย...จะไม่ทำให้นายต้องเจ็บเพราะฉันอีกเป็นอันขาด

หัวใจของคนๆ หนึ่ง หากมันโดนทำร้ายบ่อยครั้ง ต้องรองรับความรุนแรงและหนักหน่วงที่เพิ่มทวีอย่างไม่หยุดยั้ง ก็ยากนักที่มันจะฝืนต้านทน มันย่อม แตกสลายเป็นธรรมดา

ความรักของซองมินมันมีค่าเกินกว่าที่จะมายกให้ใครฟรีๆ โดยเฉพาะกับคน ที่ไม่เคยแลเห็นคุณค่าของมันเลย หัวใจของเขาน่าจะมีค่ามากกว่านั้นไม่ใช่หรือ หากได้อยู่กับคนที่ต้องการมันจริงๆ


ซองมินพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน เรียวปากบางยิ้มให้คิบอม ขาเล็กกำลังก้าวพาเจ้าของออกเดิน หากเส้นทางนั้นกลับถูกขวางกั้นโดยร่างสูงของใครคนหนึ่ง

“ซองมิน” เจ้าของเสียงทุ้มแผ่วพยายามขยับเขยื้อนร่างสั่นเทิ้มของตัวเองมาใกล้กับคนตัวเล็ก คว้าเอามือน้อยมากอบกุมแน่น กระนั้นแค่ซองมิน ออกแรงดึงเพียงนิดมันก็หลุดออกเป็นอิสระ ดวงหน้าหวานเรียบตึงผ่านเลยคยูฮยอนไปราวกับเขาไม่มีตัวตน แล้วหยุดฝีเท้าลงตรงที่เพื่อนยืนอยู่

“คิบอม...นายเชื่อเราไหม” คนถูกถามดึงเอาร่างเล็กของเพื่อนสนิทมากอดไว้หลวมๆ มือหนาลูบแผ่นหลังบางเบาๆ เพื่อปลอบโยน

“ซองมิน ใครไม่เชื่อนายก็ช่างมันเถอะนะ จำไว้นะนายยังมีฉัน มีทงเฮ เราเป็นเพื่อนกันนะซองมิน ถ้าไม่เชื่อนายแล้วฉันจะไปเชื่อใครล่ะ หืม ไหนลองยิ้มให้ฉันดูหน่อยซิ ลีซองมิน ถ้านายยังขืนเศร้าแบบนี้อีกล่ะก็ ทงเฮต้องเล่นงานฉันน่วมแน่เลย โทษฐานไม่ยอมดูแลนายให้ดี”

ในตอนนี้คงมีแค่เพียงคำปลอบโยนของคิบอมเท่านั้นที่มันจะสามารถเรียกรอยยิ้มของซองมินให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง คนตัวเล็กปาดน้ำตาแล้วฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันกระต่ายส่งให้เพื่อนรัก ทิ้งให้ ใคร คนที่คิบอมประหวัดถึงเมื่อครู่เฝ้ามองด้วยความเจ็บแปลบ ซองมินจะทำผิดจริงหรือไม่ มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาแล้ว ความเปลี่ยนแปลงระหว่างเขากับซองมินต่างหากเล่าที่กำลังทำให้โจคยูฮยอนเป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส

“คิบอม ฝากบอกทงเฮด้วยนะว่า เราขอกลับบ้านก่อน”

“อืม แล้วฉันจะเก็บ lecture ไว้ให้นะ” ซองมินรับคำสั้นๆ แล้วเดินหันหลังจากไปด้วยใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา และดูเหมือนมันกำลังจะไหลลงมากลบทับของเดิมอีกระลอก


ขอเวลาเราอีกสักพักนะ คิบอม ทงเฮ แล้วเราจะกลับมาเป็นลีซองมิน คนเดิม...ลีซองมินคนที่เคยยิ้ม เคยหัวเราะไปพร้อมๆ กับนายสองคน


“เจ็บไหมมึง กูดูออกมาตั้งนานแล้วว่ามึงเองก็รักซองมิน ถ้ามึงไม่รักเขา มึงคงไม่เจ็บปวดเจียนตายขนาดนี้หรอก กูรู้นิสัยมึงดีคยูฮยอน ถ้ามึงไม่รักเขามึงคงไม่ยอมให้เขาตามตื้อมึงอยู่ทุกวัน แล้วตอนที่ซองมินนอนอยู่ห้องพยาบาลมึงคงไม่ร้อนรนขนาดนั้นถ้ามึงไม่ได้รัก ไม่ได้เป็นห่วงเขา เมื่อไหร่มึงจะยอมรับกับตัวเองสักทีว่ามึงรักซองมิน”

“กูรักเขาไม่ได้” คยูฮยอนตอบเสียงเบาแทบกระซิบ

“ทำไม นี่...นี่มึงอย่าบอกกูนะว่าที่มึงไม่ยอมรับหัวใจตัวเอง เพราะมึงกลัวผิดหวังอีก” เพื่อนของเขายังนิ่งและเงียบ คิบอมเอามือตบหน้าผากดังฉาด ทำหน้าเหมือนเอือมระอาเต็มทน ก่อนสบถออกมาเสียงดัง

“ไอ้เวรเอ๊ย มึงไม่เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยหรอวะ มึงกลัวว่ามึงจะเจ็บแล้วซองมินล่ะ เขาเจ็บไม่เป็นหรือไง มึงต้องทนทำเป็นไม่รักเขา เกลียดเขาเพราะไม่อยากจะมีความรักอีกแล้วเนี่ยนะ มึงทำอะไรอยู่รู้ตัวหรือเปล่าไอ้คยูฮยอน มึงจะทำให้ตัวมึงกับคนที่มึงรักต้องเจ็บทำไมเนี่ย เวรกรรม กูไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาด่ามึงแล้ว ไอ้...ไอ้โง่!!”

“มันไม่ใช่อย่างที่มึงคิด เรื่องนั้นกูลืมมันหมดแล้ว ที่กูต้องทำเป็นไม่สนใจ ซองมิน เพราะกูรักเขา กูรักเขามาก มึงก็รู้ไม่ใช่หรอว่าฐานะบ้านกูมันเป็นยังไง พ่อกูกำลังจะโดนฟ้องล้มละลาย บ้านกูกำลังจะถูกยึด ต่อไปแม้แต่ที่ซุกหัวนอนกูก็จะไม่มี แค่ตัวกูเองกูยังเอาไม่รอด แล้วกูจะมีปัญญาที่ไหนไปดูแลซองมิน ถ้าความรักของกูมันทำให้คนที่กูรักต้องลำบาก สู้กูปล่อยให้เขาไปเจอคนที่ดีกว่ากูไม่ดี กว่าหรอ ยอมเจ็บตอนนี้มันก็ยังดีกว่าเขาต้องมาทนอยู่กับคนอย่างกูไม่ใช่หรอวะ” คิบอมขมวดคิ้วมองเพื่อนเพียงครู่ก็เอ่ยต่อ

“มึงก็เลยทำร้ายเขาโดยการแกล้งทำเป็นเกลียดเขาเพื่อให้เขาเลิกรัก เลิกสนใจมึง แล้วมึงก็ทำตัวเป็นพระเอกผู้เสียสละ แอบรัก แอบดูแลเขาอยู่ห่างๆ เนี่ยนะ เหอะ ไอ้บ้าเอ๊ย!!! มึงเอาอะไรคิดวะ ทำไมมึงไม่รู้จักพูด ไม่รู้จักปรึกษา ทำไมทำตามใจตัวเองแบบนี้” คิบอมตะคอกใส่เอามือกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตัว แล้วผลักออกไปกระแทกกับเสาต้นเดิมที่มันเคยทำให้เพื่อนของเขา ต้องเจ็บ

“มึงมีสิทธิ์อะไรมาคิดแทนซองมิน มึงรู้ได้ยังไงว่าซองมินเขาจะมีความสุขถ้าเขาอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่มึง มึงดูถูกความรักของซองมินเกินไปแล้ว ไอ้คยูฮยอนทำไมมึงไม่สู้ ทำไมไม่สู้เพื่อคนที่มึงรัก มึงทนได้ยังไงคยูฮยอนที่ต้องเห็นคนที่ตัวเองรักต้องไปอยู่กับคนอื่น ถ้าซองมินไม่ได้รักมึงกูจะไม่ว่าอะไรเลยถ้ามึงจะปล่อยเขาไป แต่นี่เขารักมึง รักมึงจะตายอยู่แล้ว มึงยังเสือกจะผลักไสเขา ไปให้คนอื่นทั้งๆ ที่เขาไม่เต็มใจเนี่ยนะ มึงรู้ไหมถ้าเป็นกู กูจะสู้ ต่อให้ตายกูก็จะสู้ กูไม่มีวันยอมปล่อยทงเฮไปให้คนอื่นหรอก ไอ้บื้อ!!!” คิบอมกัดฟัดกรอด ถลึงตาใส่แล้วก้าวเท้าฉับๆ เดินกลับเข้ามาในห้องเรียน

ใช่...คิบอมมันพูดถูก เขามันขี้ขลาดทั้งๆ ที่หัวใจมันก็ยอมรับกับตัวเองทุกวันว่า รัก คยูฮยอนรักซองมิน และซองมินก็เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้คยูฮยอนพยายามลืมเรื่องราวความรักที่มันเคยสร้างความเจ็บปวด เขาคงตัดสินใจยอมเริ่มต้นใหม่กับความรักที่ซองมินหยิบยื่นให้ หากไม่เพราะอุปสรรคที่มันซัดเข้ามาขัดขวางจนเขาเองก็ตั้งรับไม่ทัน คยูฮยอนจำเป็นต้องเลี่ยงที่จะแสดงออกตามความรู้สึกของหัวใจโดยการฝืนเก็บมันไว้แล้วข่มใจเอาความเย็นชามาแทนที่ ยอมที่จะรักและมองดูซองมิน อยู่ห่างๆ เขาอยากจะรัก อยากจะดูแลซองมิน...แบบเพื่อนมากกว่าที่จะเป็นความรักแบบที่ครั้งหนึ่งมันเคยทำให้เขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และก็ไม่คิดอยากจะเปิดประตูต้อนรับมันอีก เพียงเพราะไม่อยากให้คนที่เขารักยิ่งกว่าสิ่งใดต้องมาทนลำบากกับคนที่หมดสิ้นทุกอย่างๆ เขา ซองมินคงจะมีความสุขถ้าได้อยู่กับคนที่เพียบพร้อม ความรักมันเคยทำให้เขาเจ็บปวดก็จริง แต่มันคงไม่มากไปกว่าความเจ็บปวดที่ต้องมาทนเห็นคนที่รักอยู่อย่างไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นความเจ็บปวดที่คยูฮยอนกลัวมันคงเป็นอย่างหลังมากกว่า

ไม่ได้กลัวเสียใจที่จะรักซองมิน แต่กลัวเสียใจที่ความรักของเขามันจะ ทำให้ซองมินต้องอยู่อย่างยากลำบาก

แต่แล้วความคิดทั้งหมดมันก็ต้องถูกรื้อทิ้ง คยูฮยอนเพิ่งจะประจักษ์แจ้งแก่ใจก็วันนี้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาความคิดของเขามันผิดมหันต์ เขามันโง่อย่างที่เพื่อนบอก โง่ที่ริอาจมาดูถูกความรักของซองมิน ทำให้คนที่รักยิ่งต้องทนทุกข์ทรมาน ต้องเจ็บปวดกับการกระทำของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า...อย่างไม่น่าให้อภัย



“เฮ้ย พวกมึงสองคนหายไปไหนมาวะ ทุกคนรู้กันหมดแล้วนะเรื่องซองมินอ่ะ”

“มึงทำยังไงวะ ไอ้หัวหน้า” คิบอมย้อนถาม

“ก็แค่บอกไอ้ยูจินว่ากูจะเอาของกลางไปตรวจลายนิ้วมือ เท่านี้มันก็กลัวจนตัวสั่นแล้ว”

คิบอมทำท่าเหมือนไม่เข้าใจ หัวหน้าห้องผู้ชาญฉลาดเลยจำต้องอธิบายต่อ “พวกกูอ่ะ ไม่เชื่อตั้งแต่ที่มันตะโกนโหวกเหวกโวยวายแล้ว มึงกับคยูฮยอน เพิ่งย้ายมาเรียนม.ปลายที่นี่ มึงสองคนไม่รู้หรอกว่าไอ้ยูจินมันนิสัยเลวแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร มันชอบอิจฉาคนอื่น โดนแบบซองมินมาหลายรายแล้ว แต่ที่ทุกคนในห้องตกใจก็เพราะไม่คิดว่าครั้งนี้มันจะทำกับซองมิน มันคงอิจฉาที่คราวนี้ซองมินสอบได้คะแนนดีกว่ามัน ใครจะไปเชื่อน้ำหน้าอย่างมัน แล้วยิ่งคนดีๆ อย่างซองมินใครเชื่อว่าเป็นขโมยก็โง่เต็มทนแล้ว ไอ้นี่น่ะมันก็ดีแต่เรียนเก่งอย่างเดียว เรื่องอื่นเม่งโง่หมด” จบประโยคยืดยาวของหัวหน้าห้องแล้ว คิบอมก็ขอพูดบ้าง

“งั้นสรุปว่า ไอ้ยูจินมันแกล้งใส่ร้ายซองมิน โดยเอาโทรศัพท์มือถือของมันไป ใส่ในกระเป๋าของซองมิน แล้วก็ให้ทุกคนเข้าใจว่า ซองมินเป็นคนเอาไป เนี่ยนะ”

“เยส”

“เม่ง งี่เง่าชะมัด...มึงนี่เจ๋งว่ะ สมกับที่เป็นหัวหน้าห้อง”

“แน่น๊อน” หัวหน้าฮยอกแจยักไหล่ปลาบปลื้มกับความชาญฉลาดของตัวเองก่อนที่สายตามันจะเหลือบเห็นคนหน้าหมองบอกบุญไม่รับอย่างกับแบกโลกไว้ทั้งใบ

“เฮ้ย ไอ้คยูฮยอนทำไมยืนเงียบเลยวะ เป็นอะไรหรือเปล่ามึง”

“เปล่า...ซองมินกลับไปนานหรือยัง”

“คงจะถึงบ้านแล้วล่ะป่านนี้ เป็นอะไรก็ไม่รู้ตอนเข้ามาเก็บของตางี้อย่างบวมเลยถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ยอมบอก เสียใจเรื่องที่โดนใส่ความก็ไม่ใช่ พวกมึงเป็นเพื่อนสนิทซองมิน ดูแลเขาหน่อยนะโว้ย”

คยูฮยอนพยักหน้าให้หัวหน้าห้อง แล้วเดินเอื่อยเหมือนคนหมดแรงมาล้มตัวลงนอนฟุบกับโต๊ะ หูคิบอมคงไม่ฝาด เขาได้ยินเสียงสะอื้นดังลอดออกมาเป็นระยะจากคนที่ก้มหน้านิ่งอยู่กับที่เป็นนานสองนาน เด็กหนุ่มยื่นหน้าไปใกล้แล้วแตะมือกับแขนของเพื่อน ใบหน้าที่แหงนเงยมองเขานั้นมันทำให้คิบอมอึกอักแทบพูดไม่ออก คยูฮยอนตาแดงก่ำ

“เฮ้ย คยู มึง...มึงร้องไห้ ใจ...ใจเย็นเว้ยมึง กู...กูขอโทษที่ว่ามึงแรงไป”

“คิบอม กูมันโง่ กูไม่เชื่อเขา กูมันงี่เง่า กูทำให้ซองมินต้องเจ็บ….ตอนนี้แม้แต่หน้ากูเขายังไม่อยากจะมองเลย กูมันโง่ ทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์ยกหัวใจให้แล้ว แต่กูกลับทำลายด้วยมือกูเอง เขาคงไม่ให้อภัยกูแล้วล่ะ คิบอม มันคงสายไปแล้วจริงๆ ที่กูจะกลับไปรักเขา ซองมินเกลียดกูแล้ว เขาคงไม่อยากได้หัวใจกูแล้ว กูมัน...” คิบอมดึงมือ ที่เอาแต่บีบขมับตัวเองออก

“เฮ้ย มึงหยุดด่า หยุดโทษตัวเองเหอะมึงอย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยนะเว้ย คยูฮยอน ซองมินเขาไม่มีวันเกลียดมึงหรอก”
…………………………….

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ซองมินก็เอาแต่หลบหน้าคยูฮยอน หากจำเป็นต้องคุยกันจริงๆ ก็ทำเหมือนคนแปลกหน้า ถามคำตอบคำ หน้าตาและน้ำเสียงนิ่งเฉยไร้อารมณ์ แม้คยูฮยอนจะพร่ำขอโทษเป็นร้อยเป็นพันรอบ ซองมินยังคงเฉยเมยและเย็นชา เป็นอย่างนี้มาร่วมสองอาทิตย์ คิบอมกับทงเฮก็เริ่มจนปัญญา เกิดมาเพิ่งเคยพบ เคยเจอคนทิฐิแรงกล้าจริงๆ ก็ครั้งนี้ ทงเฮรู้ดีว่าซองมินน่ะใจแข็งแต่ไม่คิดว่ามันจะแกร่งเกินกว่าหินผาเยี่ยงนี้ มิน่าล่ะ ตอนตาม คยูฮยอนมันถึงได้อึดขนาดนั้น

“ขอเดินไปโรงเรียนด้วยคนได้ไหม” เสียงทุ้มเอ่ยกับคนตัวเล็กที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน วันนี้เขามาดักรอซองมินแต่เช้ามืด แต่แล้วความหวังของคยูฮยอนก็ดูเหมือนจะริบหรี่ลงทุกทีเมื่อคนที่เขาพูดด้วยยื่นส่งความเงียบและเมินเฉยมาเป็นคำตอบ

“ซองมิน ฉันขอโทษ ขอโทษที่...ว่านายแบบนั้น” หากใบหน้ากับน้ำเสียงอันเศร้าสลดมันสามารถเรียกร้องความสงสารจากซองมินได้บ้างก็คงจะดี ซองมินยังมุ่งหน้าเดินต่อมากกว่าจะหันหลังกลับมาสนใจคนที่เดินตามหลังต้อยๆ

และตอนกลับบ้านก็เป็นเช่นกัน...

“ฉัน...ฉันถือกระเป๋าให้นะ”

“ไม่ต้อง” ซองมินไม่ได้ตะคอก ไม่ได้ตวาด เพียงส่งเสียงเรียบตามปกติแล้วก็เลื่อนกระเป๋าออกจากมือของคยูฮยอน เล่นเอาคนตัวสูงใจแป้วไปก็หลายครั้ง

เป็นแบบนี้มาหลายวันจนคนใกล้ตัวอย่างทงเฮเริ่มจะทนไม่ไหว ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง เขาเคาะประตูเรียกเป็นนานกว่าซองมินจะเปิด คงจะรู้ว่าทงเฮมาเพื่อจุดประสงค์ใด

“มีอะไรค่อยคุยพรุ่งนี้นะ วันนี้เราเหนื่อยขอนอนพัก”

“ไม่ได้ วันนี้เราต้องคุยกันซองมิน” พูดแล้วก็อัญเชิญตัวเองรีบแทรกผ่านบานประตูที่ทำท่าว่ากำลังจะปิดมานั่งลงบนเตียงของเจ้าของห้อง

“ถ้าจะพูดถึงเขาไม่ต้องพูดหรอกทงเฮ เราไม่อยากฟัง” ย้ายตัวเองมานั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือ เปิดตำราเตรียมจะทำการบ้าน

“แต่นายต้องฟังซองมิน” ทงเฮยื่นคำขาดพร้อมมือที่ตะปบลงกับหนังสือเรียนที่กองอยู่บนโต๊ะออกจากมือเล็กอวบ ก็ยอมรับอยู่หรอกว่าตอนแรกก็หมั่นไส้ไอ้คยูฮยอน แต่พอฟังเหตุผลจากคิบอมแล้วก็อดสงสารมันไม่ได้ สงสารทั้งซองมินทั้งคยูฮยอน เขากับคิบอมคงจะช่วยได้เท่านี้ ถ้าไม่สำเร็จก็คงต้องปล่อย ไปตามเวรตามกรรม

“ซองมิน ฟังฉันหน่อยนะ ขอร้อง” เพื่อนของทงเฮทำท่าลังเล คงคิดว่าเขาอุตส่าห์ขอร้องเป็นครั้งแรกตั้งแต่คบกันมา ในที่สุดซองมินก็อนุญาตยอมให้ ทงเฮปริปากอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
.
.
.

“ซองมินเห็นใจคยูฮยอนมันเหอะนะ มันเคยเจ็บมาแล้ว มันต้องเลิกกับแฟนเก่าเพราะมันจน แล้วยิ่งมาเจอเรื่องที่พ่อมันจะโดนฟ้องอีก คยูฮยอนมันเลยกลัวๆ ที่จะยอมรับความรักจากนายตั้งแต่แรก แต่...แต่มันรักนายมาตั้งนานแล้วนะ มันจำเป็นที่จะต้องทำกับนายแบบนั้น มันกลัวๆ ว่านายต้องมาลำบากกับมัน” แต่แทนที่คำอธิบายของทงเฮจะช่วยให้ซองมินเข้าใจคยูฮยอนมากขึ้น มันกลับยิ่งทำให้ซองมินรู้สึกแย่หนักกว่าเดิมเมื่อความคิดของเขามันสวนทางกับของทงเฮ

“กลัวว่าเราจะเป็นแบบคนๆ นั้น? งั้นตอนนี้ก็คงสมใจเขาแล้ว เราก็เลิกยุ่ง เลิกสนใจเขาแล้วไง”

“โธ่ ซองมิน คยูฮยอนมันเลิกคิดอย่างนั้นแล้ว นายอย่าพูดแบบนี้สิ”

“เขาคิดว่าเราเป็นคนเห็นแก่เงินมากกว่าความรักอย่างนั้นหรือ เขาเห็นความรักของเรามีค่าน้อยกว่าเงินอย่างนั้นหรือ ทงเฮ” ซองมินถามเอากับทงเฮเสียงอ่อน

“มะ...ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง เอาเป็นว่า คยูฮยอนมันรักนายมาก มันรู้ตัวแล้วว่ามันผิด นาย...นายให้อภัยมันเถอะนะ ซองมิน”

“ทงเฮ เราไม่ได้โกรธเขานะ”

“งั้นนายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมสิ ซองมิน อย่าทำแบบนี้เลยนะ นาย ทำแบบนี้ นายก็เจ็บ คยูฮยอนก็เจ็บ ให้โอกาสคยูฮยอนอีกครั้งนะ”

“แต่เขาทำให้เราเจ็บ เขาทำให้เราผิดหวัง เขาไม่เคยเชื่อใจเราเลย” ทงเฮสบตามองคนพูด วางมือปลอบโยนบนบ่าของเพื่อนรัก

“ซองมิน ถ้านายออกมาจากชีวิตคยูฮยอน นายจะไม่เสียใจหรอ”

“เรา...ยอมเสียใจ” เสียงสั่นเครือกับใบหน้าที่หมองเศร้าแบบนั้น ต่อให้ตายยังไงทงเฮก็ไม่มีวันยอมเชื่อหรอกว่าเพื่อนของเขาคิดอย่างที่พูดจริงๆ

“ซองมิน...คิดดูดีๆ นะ นายทนเห็นคนที่เรารักต้องเจ็บปวดได้หรือ ฉันขอถามอีกครั้งนะ แล้วต่อจากนี้ไปฉันกับคิบอมเราจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องของนายสองคนอีก...นายจะไม่ให้อภัยคยูฮยอนจริงๆ หรือ นายจะทำใจยอมปล่อยให้ระหว่างนายกับคยูฮยอนเป็นแบบนี้ต่อไปได้หรือ ซองมิน” เพื่อนของทงเฮก้มหน้าเงียบไปเพียงอึดใจ ซองมินถอนใจหนักแล้วเงยหน้ามาตอบเสียงแผ่ว

“ไม่ได้หรอกทงเฮ...ยังไง เรา...ก็รักเขา.....แต่ เราอยากให้เขารู้จักความรักของเราให้มากกว่านี้ เราอยากให้เขาเห็นคุณค่าของหัวใจเรามากกว่านี้ก่อน แล้วเรา...เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”

‘เฮ้อ ค่อยยังชั่ว นึกว่าความรักจะต้องมาพ่ายแพ้ต่อทิฐิเสียแล้ว’ ทงเฮปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่ ตบฝ่ามือกับหัวไหล่ของคนที่เป็นทั้งญาติและเพื่อนสนิทเบาๆ สองสามที

“ยังไงก็อย่าให้นานนักนะ เดี๋ยวคยูฮยอนมันจะตรอมใจเสียก่อน”

“มันก็ขึ้นอยู่กับเพื่อนของทงเฮว่าเขาจะพิสูจน์ตัวเองได้หรือเปล่า” คนฟังโคลงศีรษะให้กับความใจแข็งของซองมิน ให้ตายสิวะบทจะใจแข็งก็แข็งขึ้นมา จนน่ากลัว

‘แค่นี้มันยังพิสูจน์ไม่พออีกหรอซองมิน ต้องให้คยูฮยอนมันตายไปต่อหน้าต่อตาเลยหรือไง เฮ้อ คยูฮยอนเอ๊ย มึงพลาดอย่างหนักเลยล่ะ คราวนี้’ ทงเฮเพียงแค่คิด ไม่กล้าพูดออกไปหรอก ขืนพูดอีกเรื่องคงยาวไม่จบไม่สิ้น เผลอๆ อาจจะโดนซองมินไม่พอใจเอาได้โทษฐานยุ่งวุ่นวายจนเกินเหตุ

.............................

วันนี้ยังคงเหมือนกับวันที่ผ่านมา คยูฮยอนเดินมาโรงเรียนพร้อมกับ ซองมิน แต่พอถึงห้องเรียนกลับมีเพียงชายหนุ่มหน้าหงอยเดินเข้ามาคนเดียว คนที่นั่งอยู่ก่อนจึงส่งเสียงถามหาเพื่อนอีกคน

“ซองมินล่ะ”

“อยู่ห้องสมุด”

“เป็นไงมั่งวะ ซองมินใจอ่อนหรือยัง” คยูฮยอนส่ายหน้ากับคำถามของ คิบอม จะใจอ่อนยังไงเดินอยู่ด้วยกันแท้ๆ จะเดินเข้าห้องสมุดก็ไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ จู่ๆ ก็เดินแยกออกไปเสียดื้อๆ

“อดทนหน่อยนะโว้ยคยูฮยอน เออ เรื่องที่บ้านมึงเป็นไงบ้างวะ” สีหน้าหมองอยู่แล้วยิ่งดูแย่หนักกว่าเดิม

“คิบอม กูอาจจะต้องลาออก”

“เฮ้ย!! ทำไมวะ” ดวงตาเล็กเบิกกว้าง

“พ่อกับแม่กูต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด ส่วนกูก็ต้องหาเงินเอง ถ้าอยากเรียนก็ต้องส่งเสียงตัวเอง แต่กูอยากลาออกไปทำงานหาเงินช่วยพ่อกับแม่มากกว่า” คิบอมร้องเสียงหลงกับความคิดของคยูฮยอน เอาอีกแล้ว มันคิดเองทำเองอีกแล้ว ดีนะที่ถามมันก่อนที่มันจะตัดสินใจทำอะไรแบบนั้น

“มึงจะบ้าหรอ มึงห้ามลาออกเด็ดขาด มาอยู่บ้านกูนี่ แล้วก็ไม่ต้องกังวล เรื่องเงิน”

“มึง...มึงหมายความว่ายังไง” คยูฮยอนเอียงหน้ามองคนพูด

“มึงมาอยู่บ้านกู พ่อกับแม่กูเขาไม่ว่าอะไรหรอก ดีด้วยซ้ำจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนกูตอนเขาไปทำงานที่ต่างประเทศ” เมื่อเห็นเพื่อนทำท่าจะขัด เสียงทุ้มห้าวจึงรีบแทรกแซงก่อนที่อีกเสียงมันจะพูดออกมาทัน

“เฮ้ย ห้ามปฏิเสธ คยูฮยอนกูเป็นเพื่อนมึงนะโว้ย เมื่อเพื่อนลำบากมึงจะให้กูทนอยู่เฉยๆ ทั้งๆ ที่กูก็มีปัญญาจะช่วยได้เนี่ยนะ ถ้ามึงไม่สบายใจ มึงก็มาช่วยงานที่บริษัทพ่อกูก็ได้นี่หว่า ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียนเดี๋ยวกูคุยกับแม่ให้ เอาไว้ มึงเรียนจบจนมีงานมีการทำแล้วค่อยเอามาคืนก็ได้ แม่กูเขาเต็มใจอยู่แล้ว” คยูฮยอนเข้าใจดีว่ายังไงคุณนายคิมผู้ขึ้นชื่อว่ารักและตามใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนยิ่งกว่าสิ่งใดต้องไม่ขัดข้องอยู่แล้ว แต่มันจะไม่มากเกินไปหรือถ้าเขาจะรับน้ำใจของคิบอม

“คิบอม มันมากเกินไปนะเว้ย กูรับเอาไว้ไม่ได้หรอก รบกวนพ่อกับแม่มึงเปล่าๆ” ความเกรงใจมันก็เป็นคุณสมบัติที่ดีอยู่หรอกนะ แต่มันต้องไม่ใช่เวลานี้ และต้องไม่เอามาใช้กับคิมคิบอม เด็กหนุ่มตอกกลับเสียงฉุน ริมาปฏิเสธความหวังดีและความตั้งใจของกูหรือไอ้คยูฮยอน

“มึงจะเกรงใจทำเหี้ยอะไร มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า...พอ มึงหุบปากไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ที่กูช่วยมึงเนี่ยกูไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย พ่อแม่กูก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะฉะนั้นมึงไม่ต้องมาคิดเกรงใจกูเลย เราเป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยเหลือกันสิวะ จะให้กูทิ้งมึงปล่อยให้มึงลำบาก กูทำไม่ได้หรอก ถือว่ากูขอร้อง มึงอย่าปฏิเสธความหวังดีของกูเลยนะ” อีกฝ่ายครุ่นคิดอย่างหนักใจ เมื่อคิบอมมันพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะปฏิเสธมันยังไง แล้วอีกอย่างตั้งแต่คบกันมาก็มีครั้งนี้แหละที่มันยอมพูดคำว่า ขอร้อง คยูฮยอนเม้มปากแน่นก่อนจะเปิดมันออกพูดกับเพื่อนรัก

“แล้ว...แล้วตอนที่ทงเฮมาค้าง จะให้กูนอนห้องเดียวกับพวกมึงหรอ”

“ไอ้บ้า บ้านกูมีตั้งหลายห้อง มึงก็ไปนอนห้องอื่นสิวะ กูไม่ได้จะให้มึงนอนห้องเดียวกับกูสักหน่อย แล้ว...แล้วตอนทงเฮมาค้าง กูจะให้มึงมานอนห้องเดียวกับกูทำเพื่อ...” บทจะโง่ก็โง่เหลือหลายเลยเพื่อนกู มันเอาอะไรคิดวะ ถ้าเมียกูมานอนด้วยกูจะให้มึงเสนอหน้าอยู่ทำไม

“ขอบใจมากนะ คิบอม”

“เออ ไม่เป็นไร กว่าจะรับน้ำใจกูได้ล่อเอากูพูดจนเหนื่อยเลยนะมึง ไปกินข้าวเป็นเพื่อนกูหน่อย เมื่อเช้ากูยังไม่ได้กินเลย ทงเฮเขารีบมาทำงานแต่เช้ากูเลยต้องไปรับเขาก่อน” สองหนุ่มลุกจากเก้าอี้ กอดคอกันเดินออกจากห้องมุ่งตรงไปยังตึกด้านหลังของโรงเรียน สถานที่ตั้งของโรงอาหาร

....พักกลางวัน....


“ซองมินไปกินข้าวกันเถอะนะ เดี๋ยวค่อยมาทำต่อก็ได้ ไม่กินข้าวเดี๋ยว ไม่มีแรงนะ” ยังคงเป็นเสียงจากคนเดิม หากซองมินยังนั่งทำการบ้านต่อโดยไม่ยี่หระกับเสียงทุ้มอ่อนโยน แม้เพียงสักนิด

“ซองมิน ไปกินข้าวกันเหอะ การบ้านน่ะเอาไว้ทำที่บ้านก็ได้” ทงเฮทน ไม่ไหวเลยต้องออกโรงพูดกับคนดื้อ (เงียบ) เสียเอง แต่คำตอบที่ได้รับก็เล่นเอา ทุกคนอ่อนแรงไปตามๆ กัน ไม่สำเร็จอีกแล้ว

“ไปกินกันก่อนเถอะ เราไม่หิว เราง่วง อยากนอน” เออแฮะ เข้าใจหาเหตุผล ทงเฮบอกไม่ให้ทำการบ้าน ซองมินก็เลยเลี่ยงด้วยการมุดหน้าลงกับท่อนแขนแล้วหมอบกับโต๊ะมันเสียเลย

“เอ่อ เราไปกันเถอะ” ทงเฮทำหน้าเจื่อนหันไปพูดกับชายหนุ่มร่างสูง ทั้งสองคน แล้วก็เดินนำมายังโรงอาหาร




“นายอดทนหน่อยนะ คยูฮยอน อย่าเพิ่งถอยนะโว้ย ซองมินคงใจแข็งได้ไม่นานหรอก” ทงเฮเอื้อมมือไปแตะกับไหล่ของเพื่อนที่นั่งบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม กับเขา

“ขอบใจมากนะทงเฮ ฉันจะไม่ยอมเสียซองมินไปเด็ดขาด ต่อให้ตายยังไงฉันก็จะไม่ยอม”

“เออ มันต้องอย่างนี้สิวะ” คิบอมส่งยิ้มให้กับถ้อยคำอันหนักแน่นของเพื่อนรัก ทั้งสามคนนั่งจัดการกับอาหารบนโต๊ะไปได้สักพักใหญ่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เด็กนักเรียนหลายสิบชีวิตพากันวิ่งหน้าตาตื่นมาที่โรงอาหาร เหมือนมาบอกข่าวอะไรสักอย่างแล้วก็วิ่งนำกลุ่มที่นั่งทานข้าวอยู่จนต้องลุกฮือตามกันออกไปทางอาคารเรียนของชั้นมัธยมปลาย คิบอม ทงเฮและคยูฮยอนเห็นจะอยู่เฉยไม่ได้ เด็กหนุ่มตัวสูงก้าวมาคว้าแขนของเพื่อนนักเรียนคนหนึ่ง แล้วรีบเร่งถามเอาความ

“เกิดอะไรขึ้นหรอ เขาวิ่งกันทำไม”

“อ้าว คิบอม นายยังไม่รู้เรื่องอีกหรอ อาคารชั้นม.ปลายไฟไหม้” เจ้าของแววตาตระหนกสามคู่อุทานเสียงก้อง แวบแรกของความคิด คือ เพื่อนอีกคน...ซองมิน ซองมินนอนอยู่บนห้อง!!! และแน่นอนคนที่ร้อนรนกระวนกระวายมากกว่าใครเพื่อนคงเป็นใครไม่ได้นอกจากโจคยูฮยอน สองขายาวพุ่งออกเต็มแรงวิ่งฝ่าฝูงชนที่พากันวิ่งพล่านมาหยุดอยู่ที่ด้านล่างของอาคารจุดเกิดเหตุตามด้วยเพื่อนที่วิ่งกระหืดกระหอบมาอีกสองคน เสียงทุ้มห้าวเอาแต่ตะโกนเรียกหาผู้เป็นที่รัก

“ซองมิน!!...นายอยู่ไหน ซองมิน!!” สายตาคมสอดส่ายหาเจ้าของร่างเล็กจนทั่ว เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังพยุงเอาร่างของเพื่อนคนหนึ่งออกมาจากตึกที่เต็มไปด้วยหมอกควัน คยูฮยอนไม่รีรอให้เสียเวลาเขารีบวิ่งตรงรี่ไปหา ฮยอกแจ

“ฮยอกแจ...ซองมินล่ะ ซองมินอยู่ไหน”

“ซอง...ซองมิน ติดอยู่บนห้อง ยังไม่มีใคร...เข้าไปช่วยได้เลย นี่ ฉันมาจากห้องน้ำ” เสียงหอบอ่อนเพลียตอบคยูฮยอน ก่อนที่ทั้งร่างจะถูกยกขึ้นเปล หามส่งโรงพยาบาล

“ฮะ...เฮ้ย คยู มึงจะทำอะไร ไม่ได้นะโว้ย” คิบอมคว้าหมับเข้าที่ลำแขนของคนที่มันตั้งท่าจะวิ่งฝ่ากองเพลิงเข้าไปข้างใน ก็รู้อยู่หรอกว่าคยูฮยอนมัน ตั้งใจจะทำอะไร เขาเองก็เป็นห่วงเพื่อนที่ติดอยู่บนห้อง แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วมันอันตรายเกินกว่าจะปล่อยให้คยูฮยอนเข้าไปช่วยซองมิน ดีไม่ดีเพื่อนของเขาอาจจะไม่มีโอกาสกลับออกมาอีกเลยก็ได้ คิบอมจึงอยากให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานดับเพลิงมากกว่าที่จะยอมให้เพื่อนต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงกับเรื่องที่มันไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่คยูฮยอนไม่คิดเช่นนั้นแน่ร่างสูงกระตุกแขนทั้งสองข้างออกจากมือของคิบอมและทงเฮแล้วกระโดดข้ามแผงเหล็กหน้าอาคารที่เจ้าหน้าที่นำมาวางกั้นเป็นเขตหวงห้ามสำหรับพื้นที่อันตราย คยูฮยอนวิ่งผ่าน เจ้าพนักงานดับเพลิงกว่าสิบนายขึ้นตึกไปเหมือนไม่ได้ยินเสียงตะโกนร้องห้าม เด็กหนุ่มก้าวขาวิ่งขึ้นบันไดโดยไม่คิดเกรงกลัวต่อควันไฟลุกโชนและหมอกควันสีดำมืด ในใจคิดแต่เพียงว่าต้องหาคนที่เขารักให้พบ ณ วินาทีนี้ไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าซองมินอีกแล้ว แม้แต่ชีวิตของเขาก็ตาม

“ซองมิน...แค่กๆ ซองมิน นายอยู่ไหน...ได้ยินฉันไหมซองมิน” คยูฮยอนโบกมือปัดกลุ่มควันสีเข้มวิ่งมาจนถึงห้องเรียนแล้วเขาก็ต้องหัวใจหล่นวูบกับ ภาพของร่างเล็กคุ้นตาที่พยายามกระเสือกกระสนดิ้นรนจะคลานออกมาให้พ้นประตู แต่ก็ทำไม่สำเร็จเสียที คยูฮยอนจึงรีบปราดเข้าช้อนเอาร่างของคนกำลังจะหมดสติมาแนบอก เปลือกตาบางพยายามหรี่มองคนตรงเบื้องหน้า ริมฝีปากสั่นเอ่ยวาจากับชายผู้เป็นที่รักแผ่วเบาเหมือนจะหมดลม

“คยูฮยอน...นายๆ รีบออกไปเถอะ...ยังไง...เรา...เราก็ออกไปไม่ได้หรอก...เราไม่ไหวแล้ว...แค่ก...คยูฮยอน...”

“ไม่นะ...เราต้องออกไปด้วยกัน ซองมิน นายต้องไม่ไปอะไร เราต้องอยู่ด้วยกัน...ได้ยินไหมซองมิน ฉันรักนายนะ ซองมิน ฉันรักนาย…ฮึก...ฮื่อๆ...ซองมิน” คยูฮยอนซบหน้ากับผิวแก้มนิ่มเต็มชื้นด้วยสายน้ำตา เขาร้องไห้โฮ พร้อมกระชับร่างของคนในอ้อมกอดแน่น แล้วกดริมฝีปากประทับรอยรักลงเบาๆ บนหน้าผากสวย คนตัวเล็กของเขาดูเหมือนจะหายใจแผ่วลงทุกที...ทุกที แต่ก็ยังอยากจะเอ่ยคำกับคนที่เพิ่งจะเปลี่ยนสถานภาพจากเพื่อนมาเป็นคนรัก แต่ไม่รู้ ว่ามันจะสายเกินไปสำหรับเขาสองคนหรือเปล่า

“คยูฮยอน เรา...เราขอโทษ...เรา...รัก...คยูฮยอนนะ...ฮึก...ฮื่อๆๆ...รักมาก นายรีบออกไปเถอะ ไม่ต้องห่วงเรา เราขอร้องออกไปเถอะ คยูฮยอน” เจ้าของใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาพยายามเอามือยันแผ่นอกของคนร่างสูงให้ออกห่างกาย ไม่...เขาไม่ยอมให้คยูฮยอนต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ คยูฮยอนต้องอยู่ต่อ แต่การกระทำของซองมินกลับยิ่งทำให้อ้อมแขนแข็งแรงเพิ่มแรงกอดรัดแนบแน่นกว่าเดิม

“ไม่...ซองมิน...นาย...นายห้ามหลับนะซองมิน...แค่กๆ...ถ้า...ถ้าจะตายเราก็ต้องตายด้วยกัน...ฉันจะไม่ยอมให้อุปสรรคอะไร...มาขวางกั้นเราสองคนอีกแล้ว...แค่กๆๆ” คยูฮยอนสูดควันเข้าเต็มปอดจนสำลัก เขายกใบหน้าขึ้นจากร่างของผู้เป็นที่รัก ดวงตาคมพร่าเหมือนมองเห็นหน้าต่างกระจกแผ่นใหญ่มันเคลื่อนขยับคล้ายจะหล่นมายังตำแหน่งที่เขาสองคนนั่งอยู่ หากมันร่วงตกลงมาจริงๆ แผ่นกระจกใสทั้งบานคงจะหล่นกระทบลงบนแผ่นหลังของคนที่คยูฮยอนโอบกอดอยู่เป็นแน่ เห็นดังนั้นแล้วเขาก็ไม่รอช้ารีบพลิกกายมากำบังร่างของคนรัก และมันก็เป็นดังคาด หน้าต่างร้อนระอุด้วยเปลวเพลิงทั้งบานร่วงลงมาแตกละเอียดโดยมีแผ่นหลังหนาเป็นที่รองรับ

อักกกกก!!!


“คยูฮยอนนนน” ซองมินขยับปากเป็นชื่อคนรักด้วยความตกใจ ก่อนที่สติของทั้งคู่จะดับวูบลงปราศจากการรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากสัมผัสจากอ้อมกอดของผู้เป็นที่รักยิ่ง

............................................

“คยูฮยอน” ร่างบนเตียงผู้ป่วยขยับริมฝีปากเรียกหาคนรัก เปลือกตาบางที่หลับสนิทมาตลอดคืนค่อยฝืนเปิดออกทีละน้อยจนต้องกับแสงของ หลอดไฟบนเพดานสีขาว ซองมินขยับกายเชื่องช้าเพราะยังอ่อนเพลียจะลุกขึ้น นั่งก็ฝืนไม่ไหวจึงได้แต่นอนนิ่งส่ายสายตามองหาคนที่ควรจะอยู่เคียงข้างเขาอีกคน

“ซองมิน!!! คิบอมๆ ซองมินฟื้นแล้ว” เด็กหนุ่มตัวเล็กกวักมือเรียกคนรักให้ลุกจากโซฟา คิบอมรีบก้าวมายืนข้างเตียงคู่กับทงเฮ

“นายเป็นยังไงบ้าง ซองมิน โอเคไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” คิบอมเป็นคนถาม ส่วนทงเฮก็เอาแต่ลูบสำรวจไปตามแขนตามขาของเพื่อนรัก พอแน่ใจว่าซองมินปลอดภัยดีไม่เป็นอะไรก็ค่อยถอนมือออก

“เราไม่เป็นอะไรหรอกทงเฮ คิบอม แล้ว...แล้วคยูฮยอนล่ะ เขาอยู่ไหน”

“เอ่อ...คือ” ทงเฮมองตากับคนที่ยืนอยู่ข้างตัว เหมือนเป็นการขอความช่วยเหลือว่าควรจะทำอย่างไร ไอ้บอกน่ะมันต้องบอกอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้บอกซองมินตอนนี้มันจะดีหรือ

“คยูฮยอนล่ะ...ทงเฮ คยูฮยอนอยู่ไหน” เสียงสั่นแหบพร่าย้ำถามซ้ำหลายหน คิบอมจึงต้องตอบแทนคนที่เอาแต่ก้มหน้าเลี่ยงคำถามของซองมิน

“คยูฮยอนยังอยู่ห้องไอซียู มันเพิ่งผ่าตัดเสร็จ...ซองมิน! อย่าเพิ่งไปเลย นายนอนพักก่อนดีกว่า คยูฮยอนมันพ้นขีดอันตรายแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” หากคยูฮยอนพ้นขีดอันตรายจริงแล้วทำไมทงเฮต้องทำหน้าแบบนั้น ซองมินยังไม่เชื่อหรอกจนกว่าจะได้ไปเห็นกับตาตัวเอง คนตัวเล็กฝืนจะลุกเดินต่อ ทงเฮกับคิบอมต้องรีบเข้ามารั้งเอาตัวคนป่วยไว้ หากซองมินยอมก็คงดี มือเล็กดันร่างของเพื่อนออกด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แต่แล้วร่างกายก็ทรุดร่วงลงบนเตียงดังเดิม

“อย่าเพิ่งไปเลยนะซองมิน นายนอนพักให้หายดีก่อนเถอะ แล้วฉันกับ คิบอมจะพานายไปหาคยูฮยอนเอง”

“ไม่...ทงเฮ เราจะไปหาคยูฮยอน นายพาเราไปเถอะนะ ถือว่าเราขอร้องนะ ทงเฮ คิบอม” ซองมินพร่ำร้องขอกับเพื่อนด้วยน้ำตานองอาบเต็มสองแก้ม ประสานฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากัน จนคิบอมกับคนรักต้องใจอ่อนเพราะความสงสาร โดยเฉพาะคนบ่อน้ำตาตื้นอย่างทงเฮเขาร้องไห้ตามเพื่อนรักไปเรียบร้อยแล้ว

“เราไหว้ล่ะนะ ทงเฮ คิบอม ช่วยพาเราไปหาคยูฮยอนที...ฮื่อๆๆ...”


คิบอมกับทงเฮเข็นรถพาซองมินมาจนถึงห้องที่คยูฮยอนนอนรักษาตัวอยู่ มือเล็กขาวซีดเยื่อนขยับไปแตะกับผนังกระจกใส น้ำจากดวงตายิ่งล้นทะลักออกราวกับเขื่อนพังเมื่อมันต้องมาเห็นร่างของคนรักที่นอนคว่ำหน้านิ่งอยู่บนเตียง มีเพียงผ้าพันแผลเปื้อนคราบสีแดงพันอยู่รอบกาย ใบหน้าคมถูกบดบังด้วยเครื่องช่วยหายใจพร้อมด้วยสายออกซิเจนและสายน้ำเกลือระโยงระยางเต็มไปหมด ซองมินเจ็บปวดจนปิ่มจะขาดใจกับความทุกข์ทรมานทางร่างกายที่ คยูฮยอนต้องประสบ มันต้องเป็นเขาไม่ใช่หรือที่ต้องนอนอยู่ตรงนั้น ขอบคุณมากนะคยูฮยอน ขอบคุณพระเจ้าและขอบคุณเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่เข้าไปช่วยเหลือ เขาสองคนออกมาได้ทันเวลา

“เรา...เข้าไปเยี่ยมคยูฮยอนได้ไหม” เจ้าของเสียงแผ่วเอ่ยถามทั้งที่ยัง ไม่เบือนสายตาจากภาพตรงหน้า ภาพของคนรักที่มีพ่อกับแม่คอยเฝ้าดูแลอยู่ใกล้ชิด ทงเฮก้มตัวลงโอบบ่าของซองมิน

“อย่าเพิ่งเข้าไปเลยนะ ซองมิน นายยังไม่หายดี แล้วอีกอย่างเขาให้เข้าเยี่ยมได้แค่สองคน” ผู้สูงวัยทั้งสองเมื่อมองเห็นเพื่อนๆ มาเยี่ยมลูกชายก็รีบเดินออกมาจากห้องพร้อมก้มศีรษะรับการทักทายของเด็กหนุ่มทั้งสาม มือเรียวอ่อนโยนเลื่อนมาสัมผัสแพเส้นผมสีดำสนิทของคนที่นั่งร้องไห้ตัวโยนอยู่บนรถเข็น

“ไม่เป็นไรแล้วนะลูก ซองมิน”

“คุณป้าครับ ผมขอโทษ...เพราะคยูฮยอนเข้าไปช่วยผม เขาถึงต้องเป็นแบบนี้” ซองมินสะอื้นกับอกผู้เป็นมารดาของคนรัก

“ไม่เอาลูก อย่าโทษตัวเองแบบนั้น ไม่มีใครผิดหรอกนะลูก คยูฮยอนรักเรามากนะซองมิน พ่อกับแม่ฝากดูแลคยูฮยอนด้วยนะลูก...ไม่ต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นหรอกจ้ะ พ่อกับแม่รู้…รู้เรื่องของเราสองคนมานานแล้ว แม่ยอมรับนะว่าตอนแรกแม่ก็รับไม่ได้หรอก แต่เพราะเป็นเราแม่เลยไม่อยากขัดขวาง พ่อกับแม่เชื่อว่าคงมีแต่ซองมินเท่านั้นที่จะรักและดูแลเจ้าคยูฮยอนได้ พ่อกับแม่เป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ทำไมจะไม่รู้ว่าลูกสองคนคิดอะไรอยู่ แค่มองดูเราสองคนเดินไปโรงเรียนด้วยกันเท่านี้แม่ก็ดูออกแล้ว คยูฮยอนรักซองมินมาตลอดนะลูก แม่เลี้ยงลูกคนนี้มาแม่รู้ดี ซองมินให้อภัยคยูฮยอนนะ...มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอก นะจ๊ะ ถ้าซองมินกับคยูฮยอนจะรักกัน”

“ใช่ แม่เขาพูดถูก ความรักมันไม่มีพรมแดนอะไรมาขวางกั้นหรอกนะลูก แล้วยิ่งสมัยนี้มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่เราสองคนจะชอบพอกัน” ชายร่างสูงโปร่งบีบมือบนหัวไหล่ของซองมินเบาๆ แล้วหันหน้าไปพูดกับภรรยา

“เรากลับกันเถอะแม่ ฝากดูแลคยูฮยอนด้วยนะลูก ซองมิน...ลุงขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคิบอม ทงเฮ พรุ่งนี้ลุงกับป้าจะมาใหม่”

“ครับ คุณลุง” ผู้ใหญ่ทั้งสองยิ้มรับคำของเพื่อนลูกชาย โดยไม่ลืมที่จะย่อตัวลงมาดึงตัวคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นมากอดร่ำลาด้วยความรักใคร่เอ็นดู




“พ่อกับแม่ไอ่คยูฮยอนนี่เจ๋งจริงๆ เลย ทงเฮว่าไหม” เจ้าของรอยยิ้มตาหยีถามเอาความเห็นจากคนรัก ทงเฮก็ยิ้มตอบ “อื้ม น่ารักมากๆ ด้วย” ก่อนจะ หันมายังเพื่อนรักที่เอาแต่เหม่อมองคนบนเตียงจนเขาต้องสะกิดเรียก

“ซองมิน...เออ เดี๋ยวพ่อกับแม่นายก็คงจะมาถึง พอดีคุณอามารถไฟ เลยเดินทางนานหน่อย...ซองมิน นายฟังฉันอยู่หรือเปล่า”

“อ่อ...อืม ขอบใจมากนะทงเฮ แล้ว...แล้วคุณป้าอยู่ไหนหรอทงเฮ ทำไมไม่เห็นมาหาเราเลย” คุณป้าที่ซองมินถามถึงคือพี่สาวคนโตของตระกูลลี โดยมีพ่อของทงเฮเป็นลูกชายคนกลางและแม่ของซองมินเป็นลูกสาวคนเล็ก และเป็นคุณป้าคนที่ซองมินกับทงเฮอาศัยบ้านของท่านอยู่ทุกวันนี้

“ซองมิน ตอนนี้คุณป้าอยู่ฝรั่งเศสนายจำไม่ได้หรอ เราเพิ่งจะไปส่งท่านที่แอร์พอร์ตเมื่อวันก่อนนี้เองนะ” ทงเฮเอียงคอมองคนถาม เขาชักเริ่มเป็นห่วง ซองมินขึ้นมาอีกแล้ว อะไรกัน!! เพื่อนเขาอาการหนักจนเบลอขนาดนี้เลยหรือ

“อ่อ...อืม ขอโทษที เราลืมไป...ทงเฮ เราอยากเข้าไปหาคยูฮยอน” คนป่วยจับมือของเพื่อนเขย่าเบาๆ

“นายยังเข้าไปไม่ได้นะซองมิน คือ ทางโรงพยาบาลเขาไม่อนุญาตให้ คนป่วยเข้าเยี่ยม เอาไว้นายหายดีแล้วค่อยเข้าไปหาคยูฮยอนกันนะ” แววตาบนใบหน้าเล็กเศร้าหมองลงทันควัน แต่ก็ยอมทำตามคำบอกของเพื่อนทั้งสองคนอย่างว่าง่ายยอมให้คิบอมกับทงเฮเข็นรถพากลับมาส่งที่ห้อง


“นายสองคนกลับบ้านไปนอนพักบ้างเถอะนะ เดี๋ยวเราก็จะนอนเหมือนกันจะได้หายเร็วๆ เราอยากไปเยี่ยมคยูฮยอน”

“อื้ม งั้นเราสองคนไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรนายรีบกดออดเรียกพยาบาล เลยนะซองมิน”

“อืม เราไม่เป็นอะไรหรอกทงเฮ ไม่ต้องเป็นห่วง ขอบใจมากนะ ทงเฮ คิบอม ขอบใจสำหรับทุกอย่าง”

“ไม่เป็นไรหรอก นายนอนเถอะนะ แล้วตอนกลางคืนฉันกับทงเฮจะมานอนเป็นเพื่อน”

“ไม่เป็นไรหรอกคิบอม นายกลับไปนอนที่บ้านเถอะ อืม ทงเฮคืนนี้นายไปนอนกับคิบอมก็ได้นะ อยู่บ้านคนเดียวเดี๋ยวก็กลัวผีอีก” ริมฝีปากซีดยิ้มบาง เขาเป็นห่วงทงเฮขืนปล่อยให้นอนอยู่บ้านคนเดียวก็คงเอาแต่กลัวจนไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่ซองมินคงไม่ได้คิดหรอกว่า ปล่อยลีทงเฮไปอยู่กับคิมคิบอมก็ใช่ว่าเพื่อนของเขาจะเป็นอันหลับอันนอนเสียเมื่อไร

“งั้นเรากลับก่อนนะ นายจะได้นอนพักผ่อน” คิบอมจับจูงมือทงเฮเดินออกมาจนพ้นบานประตูด้วยรอยยิ้มพรายที่รับรู้กันเพียงสองคน

เสียงประตูปิดสนิท ตอนนี้ซองมินอยู่คนเดียวและควรจะได้นอนพักตามที่บอกกับทงเฮและคิบอมไว้ หากดวงตากลมโตยังคงลืมค้าง เขาไม่สามารถข่มตาตัวเองให้หลับลงได้ พยายามเท่าไรก็ทำไม่ได้เสียที หัวใจมันเจ็บจนทรมาน หัวสมองยังคงวนเวียนฉายภาพของคนรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมทั้งคำพูดของ คิบอมที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาท

‘คิบอม ทำไมคยูฮยอนถึงอาการหนักแบบนี้...บอกเรามาเถอะนะ’

‘คือว่า คยูฮยอนถูกกระจกบาดแล้วก็ฝังอยู่ที่หลังเลยต้องผ่าตัดออก แต่มันไม่เป็นอะไรมาก อย่าคิดมากเลยนะซองมิน แล้วก็เลิกโทษตัวเองเสียที มันไม่ใช่ความผิดของนาย’

‘แต่กระจกมันร้อนไม่ใช่หรือคิบอม คยู...คยูฮยอนไม่เป็นอะไรแน่หรือ’

‘นายไม่ต้องกังวลหรอกซองมิน มันรักษาได้ แต่อาจต้องใช้เวลาหน่อย นายทำใจให้สบายเถอะนะ’

เราขอโทษนะ คยูฮยอน ขอโทษที่ทำให้นายต้องเจ็บ ขอโทษที่ทำให้นายต้องเสียใจ เราเชื่อแล้ว...เชื่อแล้วว่า นายรักเราจริงๆ


รุ่งเช้าคู่รักทงเฮและคิบอมเดินยิ้มหน้าชื่นตาบานเข้ามาเยี่ยมคนป่วย เช้าวันนี้ใบหน้าของซองมินดูสดใสกว่าเมื่อวาน สภาพทางร่างกายเกือบหายเป็นปกติ ส่วนสภาพทางจิตใจทงเฮเชื่อว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเพื่อนของเขาคงต้อง ยิ้มออกมาจนแก้มปริเชียวล่ะ คนตัวเล็กเดินมาประคองเพื่อนรักลงจากเตียง โดยมีคิบอมช่วยจับที่แขนอีกข้าง เจ้าของดวงตาหม่นเศร้าพูดเป็นเสียงเบา

“นายสองคนจะพาเราไปไหน” คนรักของคิบอมยิ้มแล้วตอบคำถาม

“เดี๋ยวก็รู้เอง” เพียงไม่นานพาหนะของผู้ป่วยก็เคลื่อนที่มาจอดอยู่หน้าห้องกระจกใส ซองมินมองเข้าไปเห็นพยาบาลและบุรุษพยาบาลหลายคนกำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายคนเจ็บมานอนอีกเตียง ใบหน้าขาววาดยิ้มกว้าง ทงเฮกับคิบอมเองก็รู้สึกยินดีที่เห็นเพื่อนรักทั้งสองคนอาการหายวันหายคืน จะได้หมดทุกข์หมดโศกกันเสียที

“คยูฮยอนย้ายห้องได้แล้วหรือ ทงเฮ”

“อืม คราวนี้นายก็เข้าเยี่ยมคยูฮยอนได้แล้วนะ ซองมิน” ริมฝีปากแดงเรื่อกว่าเมื่อวานเอาแต่แย้มยิ้มมองคนรัก คิบอมเข็นรถพาซองมินเดินตามเตียงของผู้ป่วยมาจนถึงห้องพัก พอทั้งห้องเหลือกันเพียงสี่คน มือเรียวซีดค่อยๆ ยื่นออกมานอกผ้าห่มสีขาวทำท่าเหมือนควานหาของอะไรบางอย่าง ปากก็เอาแต่เรียกชื่อของคนรักหากดวงตายังคงสะลึมสะลือ คนตัวเล็กรีบคว้าเอามือนั้นมากุมด้วยมือทั้งสองข้างของตนเอง ก่อนจะหยิบยกมาวางบนแก้ม

“คยูฮยอน เราอยู่นี่” คู่รักอีกคู่พยักหน้าสบมองกันด้วยรอยยิ้ม เป็นการรับรู้กันว่า ควรจะปล่อยให้ทั้งสองคนปรับความเข้าใจกันเป็นการส่วนตัว ซองมินเอาแก้มสัมผัสกับหลังมือขาว กลีบปากบางและจมูกโด่งแหลมแตะลงมาแผ่วเบา

“เราขอโทษนะคยูฮยอน ขอโทษที่ทำให้เราสองคนต้องเจ็บ เรารักนายนะ” ซองมินได้รับปฏิกิริยาตอบกลับจากคำขอโทษเป็นรอยยิ้มบาง คยูฮยอนไถ่ถามถึงอาการของซองมิน พอรู้ว่าคนตัวเล็กของเขาปลอดภัยดี เสียงนุ่มลึกเบาลงกว่าปกติเล็กน้อยก็เอ่ยความในใจ นัยน์ตาคมเข้มปรือขึ้นเต็มดวงมองกลับมา เต็มเปี่ยมด้วยความรักและความอบอุ่น

“ซองมินไม่ผิดหรอกนะ ผมผิดเอง ได้โปรดอย่าโทษตัวเองเลยนะครับ ขอบคุณที่ให้อภัยคยูฮยอน ที่ผ่านมาผมขอโทษนะ ต่อไปผมจะไม่ทำให้คนรักของผมต้องเจ็บปวดอีกแล้ว อย่าร้องไห้อีกเลยนะ คนดีของคยูฮยอน” ชายหนุ่มไล่นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้คนรัก นัยน์ตาคมกับนัยน์ตาหวานยิ้มให้กันหวานซึ้ง ก่อนที่คนตาหวานจะยอมแพ้หลบสายตาไปก่อน แล้วเอ่ยวาจาออกมาด้วย ความขวยเขิน

“เอาเป็นว่าผิดด้วยกันทั้งคู่ แล้วก็...เอ่อ พูดกับเราเหมือนเดิมเถอะคยูฮยอน ไม่ต้องแทนตัวเองว่าผมหรอก”

“ไม่ได้หรอก ซองมินเป็นแฟนผม เป็นคนที่ผมรักจะให้พูดเหมือนอย่างคนอื่นได้ยังไง ไม่ต้องเขินหรอก” ทิ้งท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ยกมือข้างที่ไม่ได้เจาะสายน้ำเกลือลูบเรือนผมนิ่มอย่างอ่อนโยน

“ความเจ็บปวดที่ผ่านมาขอให้มันเป็นบทเรียนสำหรับเราสองคน ต่อไปผมจะไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ผมขอสัญญา ว่าผมจะรักและดูแลซองมินจนกว่าซองมินจะเบื่อผู้ชายคนนี้ แต่ถึงจะเบื่อ ยังไงผมก็จะตามรักซองมินไปเรื่อยๆ” คนตัวเล็กช้อนตามองคนรัก เสียงหวานใสตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มนิดๆ แล้วก็กลับมาซบอกแกร่งของคนที่นั่งอยู่บนเตียงตามเดิม

“ไม่มีวันนั้นหรอก เราไม่มีวันเบื่อคยูฮยอน ถ้าคยูฮยอนไม่รักเราแล้ว เราก็จะตามรักคยูฮยอนไปเรื่อยๆ เหมือนกัน” เสียงอ่อนหวานพูดกับคนรักอย่างเชื่องช้า “คยูฮยอน นายจำไว้นะ เรารักนายไม่ว่านายจะเป็นยังไงก็ตาม ถ้ามีความสุขเราก็ต้องมีความสุขด้วยกัน ถ้าวันไหนเกิดทุกข์เราก็ต้องทุกข์ด้วยกันเราจะช่วยกันแก้ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น ซองมินจะอยู่เคียงข้างคยูฮยอนตลอดไปนะ” เอ่ยคำเสร็จก็เขย่งตัวปัดปอยผมหนาออกแล้วประทับริมฝีปากกับหน้าผากของคนรัก คยูฮยอนยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่ยอมแพ้เอาสองมือโน้มใบหน้าหวานเข้าหา ก่อนจะประกบริมฝีปากสัมผัสกันอยู่เนิ่นนาน

“ซองมิน ลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ” คยูฮยอนพิงใบหน้ากับอกคนรัก พร้อมรั้งเอวมนเข้ามาใกล้กว่าเดิม ซองมินแอบนึกอยู่ในใจ ขนาดป่วยอยู่ยังจูบ เราขนาดนี้เลยหรือ ดวงตาสวยค้อนมองคนมือไว (ปากไว) ยิ้มๆ พยายามแงะมือหนึบอย่างกับติดกาวออกจนสำเร็จ ซองมินรีบถอยห่าง (ประมาณคืบ) แล้วก็จัดการดึงเสื้อเนื้อบางสีฟ้าอ่อนของโรงพยาบาลให้เข้าที่ และผูกเชือกให้เหมือนเดิม ยังไม่ทันได้หายใจทั่วท้องร่างทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าหาคนมือไวอีกแล้ว

“ท่าทางนายจะหายดีแล้วนะ คยูฮยอน” ซองมินปรายตามอง

“ก็มีกำลังใจดี ผมเลยฟื้นตัวเร็ว...เห็นพยาบาลบอกว่าซองมินไปหาผม ที่ห้องไอซียูหรอครับ งั้นผมก็คงรู้สึกตัวหลังจากที่ซองมินกลับมาที่ห้องแล้ว”

“แล้วเมื่อกี้บอกว่า เราลืมอะไรหรอ”

“ก็...ลืมคืนหัวใจซองมินมาให้ผมไง วันนั้นเอาไปยังไม่คืนให้ผมเลยนะ และต่อไปผมจะไม่ยอมให้ซองมินเอามันไปอีกแล้ว เพราะถ้าไม่มีมันผมก็คงจะตาย ส่วนซองมินก็ใช้หัวใจของผมไปก่อนแล้วกันนะครับ” ซองมินบิดริมฝีปาก ตวัดตามอง ไม่คิดเลยว่าพอคยูฮยอนถอดเกราะความเย็นชาออกแล้วจะกลับกลายเป็นคนอ่อนโยน โรแมนติกและน่ารักได้ขนาดนี้ เขารู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มอ่อนปวกเปียกขึ้นมาอีกแล้ว จนต้องรีบหาอกหนาๆ มายึดเกาะไว้ นิ้วป้อมจิ้มที่ผิวเนื้อบริเวณฝั่งซ้ายมือของคยูฮยอน

“เราไม่เคยเอาคืน มันอยู่กับนายตลอด เราพยายามเอาคืน แต่หัวใจลีซองมินมันดื้อ ไม่ยอมอยู่กับใคร นอกจากโจคยูฮยอนคนเดียว” ชายหนุ่ม หัวเราะเบาๆ ส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมสายตาอ่อนโยนให้คนรัก สายตาและรอยยิ้มที่บ่งบอกความในทั้งหมดโดยไม่ต้องพูดให้เปลืองเวลา และดูเหมือนว่า ซองมินจะรับรู้มันเป็นอย่างดี...และจะเป็นเพียงคนเดียวที่จะมองเห็นมันตลอดไป




.....จบบริบูรณ์.....







 

Create Date : 14 มีนาคม 2551    
Last Update : 14 มีนาคม 2551 22:52:20 น.
Counter : 269 Pageviews.  

Hate You, Love You #1

Hate You, Love You #1

Yaoi : KyuMin+Kihae

Story By : aumin


...........................


“คยูฮยอน~~”

เสียงเรียกใสแจ๋วดังกังวานอยู่เบื้องหลังห่างจากสองหนุ่มร่างสูงโปร่ง ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไรนัก น้ำเสียงนั้นช่างไพเราะฟังเสนาะหูสมกับใบหน้าหวานน่ารักราวกับเด็กผู้หญิงที่ใครต่อใครหลายคนเห็นแล้วต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน หากแต่ไม่ใช่กับโจคยูฮยอน เขาลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ย้ายกระเป๋านักเรียน ที่ถืออยู่มาพาดลงกับหลัง ก่อนจะจำใจเดินลากขาเอื่อยๆ ไปยังต้นตอของเสียงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตามหลังมาด้วยเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพอกันอีกคน

“มีอะไรหรอ ซองมิน” ใบหน้าคมดูจะเซ็งนิดๆ จนเพื่อนข้างตัวต้องกระทุ้งศอกเป็นเชิงเตือน “เฮ้ยคยูมึงพูดกับซองมินดีๆ หน่อยดิวะ”

“ไม่เป็นไรหรอกคิบอม วันนี้เรียนหนักคยูฮยอนคงอารมณ์ไม่ดี” รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งไปให้เด็กหนุ่มตัวสูง แต่สิ่งที่ซองมินได้รับกลับมามันก็ไม่ต่างจากทุกครั้ง คยูฮยอนมักจะมองเขาด้วยสายตาเย็นชา จะพูดออกมาแต่ละคำก็ช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก

“นายมีธุระอะไร”

“เอ่อ...คือ เราขอเดินกลับบ้านด้วยคนได้ไหม”


คนฟังทำเสียงขึ้นจมูก คิดไว้แล้วไม่ผิดว่าซองมินต้องมาดักรอเขาหน้าประตูโรงเรียนเหมือนอย่างทุกวัน ตั้งแต่วันแรกของการเปิดเทอมชั้นมัธยมปลาย ปีหนึ่ง ชีวิตของโจคยูฮยอนก็มีลีซองมินเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนนี้คอยตามติดเกือบทุกฝีก้าว ตอนเช้าก็ไปดักรอหน้าบ้านเพื่อเดินมาโรงเรียนด้วยกัน ตอนเย็นก็เจอหน้าโรงเรียนเพื่อเดินกลับบ้านด้วยกัน เป็นแบบนี้มาจวนจะครบเทอมแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นซองมินก็ยังต้องเอ่ยปากขออนุญาตอยู่ทุกวันเพราะคยูฮยอนคงไม่มีทางอยู่รอหรือชวนให้กลับบ้านพร้อมกันแน่ และคำตอบที่ได้ก็คือความเงียบ ไม่มีเสียงปฏิเสธหรือตกลงใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากออกตัวเดินนำหน้าทิ้งให้เจ้าของร่างอวบเดินตามหลังต้อยๆ


“เอ่อ คยูฮยอนวันนี้มึงเดินกลับกับซองมินแล้วกันนะ กูลืมไปว่านัดทงเฮไว้ ไปก่อนนะ ซองมิน พรุ่งนี้เจอกัน” ขายาวรีบก้าวถอยหลังโดยไม่คิดจะฟังเสียงทักท้วงใดๆ จากเพื่อนรัก คิบอมหันมาส่งยิ้มตาหยีให้เพื่อนอีกคน แล้ววิ่งกลับเข้าไปในโรงเรียนอีกรอบ ถ้าขืนไปช้าคงโดนคนรักแพ่นกบาลเอา ทงเฮก็ยิ่งมือหนักๆ อยู่ด้วย

“คยูฮยอนวันนี้เป็นยังไงบ้าง” เร่งฝีเท้ามาเดินอยู่ข้างๆ เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาอย่างที่เคยทำอยู่ประจำ เสียงตอบกลับยังคงเรียบตึงไม่ต่างจากใบหน้า ทำเอาซองมินต้องหน้าเสียอยู่บ่อยครั้ง

“ก็ไม่เป็นไง จะถามทำไม นายก็คอยตามติดฉันตลอดไม่ใช่หรือไง น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอ”

“อะ...เอ่อ พรุ่งนี้เราจะทำพายฟักทองมาให้กินนะคยูฮยอน”

“ฉันไม่ชอบกิน” พูดจบประโยค เด็กหนุ่มร่างสูงก็หยิบเครื่องเล่นซีดีออกมาจากกระเป๋า แล้วยัดหูฟังใส่เข้าไปเต็มสองรูหู ซองมินรู้ดีว่าคยูฮยอนทำแบบนี้มันก็ไม่ต่างกับบอกเป็นนัยๆ ว่า เขารำคาญ ไม่อยากพูด ไม่อยากจะสนใจใยดี แค่ให้เดินมาด้วยก็บุญเท่าไรแล้ว แต่กระนั้นคนตัวเล็กกว่าก็ยังพยายามฝืนยิ้มทั้งๆ ที่หัวใจมันกำลังสั่นหวิว

…..เจ็บ…..

เสียงจากหัวใจมันร้องออกมาแบบนี้ทุกครั้ง เจ็บมาตั้งแต่วันนั้น...วันที่ซองมินตัดสินใจบอกคำๆ นั้นกับคยูฮยอน คำๆ เดียวที่ทำให้คนที่เขาหลงรักต้องเปลี่ยนไป จากเย็นชาอยู่แล้วก็ยิ่งเย็นชากว่าเดิม จนกลายเป็นความเหินห่างทั้งๆ ที่ตัวเราก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่หัวใจของเราสองคนมันกลับยิ่งห่างไกลกันออกไป ทุกที...ทุกที หากย้อนเวลากลับไปได้ ซองมินอยากจะเก็บเอาคำนั้นกลับคืนมา ถ้าการบอกรักมันทำให้เขาต้อง เจ็บขนาดนี้สู้เก็บคำๆ นี้ไว้แล้วแทนด้วยคำว่า เพื่อนสนิท มันยังจะดีซะกว่า อย่างน้อย คยูฮยอนก็คงไม่ทำกับเขาแบบนี้ถึงหัวใจมันจะเจ็บแต่ซองมินก็จะทนฝืน...ฝืนอดทนทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงจากข้างในที่มันร้องบอก ถ้ามันแลกมาด้วยการได้อยู่ใกล้ชิดกับคยูฮยอน แม้ต้องเจ็บกับการกระทำและคำพูดที่เสียดแทงใจอยู่ทุกวี่วัน ซองมินก็ยอม...ยอมอดทนเพื่อคยูฮยอน เผื่อว่าสักวันหนึ่งเขาอาจจะมีโอกาสได้รับหัวใจของคนๆ นี้กลับคืนมาบ้าง
……………….......

‘คยูฮยอน คือว่า เรา...เรามีอะไรจะบอก’

‘ซองมิน ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ มีอะไรจะบอกฉันหรอ เขินอะไรน่ะ ถ้าไม่ยอมบอกฉันจะไปแล้วนะ’ เรียวปากได้รูปหันมายิ้มให้เพื่อนตัวเล็ก รอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนเหมือนครั้งแรกที่เจอกันไม่ผิดเพี้ยน

‘คือ...คือว่า’ ซองมินแทบอยากจะกลับไปตั้งหลักใหม่เหลือเกิน แต่พอจะถอยหลังคำพูดของทงเฮมันก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีก



‘นายบอกคยูฮยอนไปเลยซองมิน ดูท่าทางเขาก็ไม่ได้รังเกียจนายสักหน่อย นายเก็บไว้แบบนี้ไม่อึดอัดบ้างหรือไง ไม่แน่นะหมอนั่นอาจจะกำลังแอบชอบนายอยู่ก็ได้’

‘แล้วถ้าเขาไม่ได้คิดแบบเราล่ะทงเฮ’

‘แต่มันก็ดีกว่านายเก็บไว้แบบนี้ไม่ใช่หรอ ความลับน่ะไม่มีในโลกหรอกนะ ตอนนี้เขาไม่รู้สักวันหนึ่งเขาก็ต้องรู้ เชื่อฉันสิ กล้าๆ หน่อยนะซองมิน’



‘ซองมินจะพูดหรือเปล่า ถ้าไม่พูดฉันกลับบ้านจริงๆ นะ’

‘คือ...เรา...เรารักคยูฮยอน’

‘ว่า...ว่าไงนะ...เอ่อ นายหมายถึงรักแบบเพื่อนใช่ไหม’

‘………………….’

‘ซองมิน’ เสียงห้าวร้องเรียกเมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวกลมบ๊อกเอาแต่นิ่งเงียบ

‘เรา...เรารักคยูฮยอน แต่...แต่ถ้านายไม่...ไม่ได้รักเราก็ไม่เป็นไร เรา เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะ’

‘ซองมิน นายตั้งใจฟังฉันดีๆ นะ ฉัน...ไม่เคยคิดกับนายเป็นอื่นนอกจากคำว่า เพื่อน แต่ถ้านายยังขืนพูดอย่างเมื่อกี้อีก แม้แต่คำว่า เพื่อน ฉันก็คงจะให้นายไม่ได้’ น้ำเสียงเย็นชาส่งผลให้หัวใจคนฟังร้อนวาบ เสียงเล็กละล่ำละลักคำ ขอโทษอย่างน่าสงสาร

‘คยูฮยอน เรา...เราขอโทษ เราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะ เรา...เราจะไม่พูดอีกแล้ว เราสัญญา’

ห้องเรียนเงียบสนิท ปราศจากเสียงตอบใดๆ ทั้งสิ้น ทิ้งให้นัยน์ตาคลอหน่วยหลั่งหยดน้ำร่วงรินเป็นทางลงมาไม่ขาดสาย ทอดมองตามแผ่นหลังกว้าง จนหายลับไปกับตา

มันคงยากถ้าจะให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม...ซองมิน เขาไม่เคยรังเกียจ ซองมิน คยูฮยอนอยากเป็นเพื่อนกับซองมินก่อนด้วยซ้ำ อยากจะรัก อยากจะดูแล ซองมิน...แบบเพื่อน มากกว่าที่จะเป็นความรักแบบที่ครั้งหนึ่งมันเคยทำให้เขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และก็ไม่คิดอยากจะเปิดประตูต้อนรับ มันอีก คนอย่างโจคยูฮยอนเจ็บครั้งเดียวก็เกินพอ

แต่ถ้าคนๆ นั้นเป็นลีซองมิน ไม่รู้ว่าหัวใจของโจคยูฮยอนมันจะทนปิดประตูขังตัวเองไปได้อีกนานสักแค่ไหนกัน

.............................


‘มาทำไม’ โทนเสียงเยียบเย็นส่งไปทันทีที่เปิดประตูบ้านมาเจอะกับเจ้าของรอยยิ้มหวานน่ารักอย่างที่ เขาเคยชื่นชมอยู่ในใจทุกคราวที่ได้รับ แต่ความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นมันถูกคยูฮยอนลบออกไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อวาน

‘เอ่อ คือ เราขอเดินไปโรงเรียนด้วยนะ’ ดวงหน้าเล็กเศร้าหมองลงอย่าง ที่คยูฮยอนเองก็เห็นได้ชัด เด็กหนุ่มตัวสูงกว่าชะงักไปเล็กน้อย แล้วเดินออกจากบ้านโดยไม่คิดจะท้วงติงกับคำขอของเพื่อนตัวเล็ก เหมือนเป็นการบอกให้รับรู้เอาเองว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ดังนั้นภาพที่เด็กผู้ชายสองคนเดินไปโรงเรียนและกลับบ้านพร้อมกันโดยที่คนหนึ่งเดินนำ ส่วนอีกคนเดินตามจึงปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวัน

‘คยูฮยอนเกลียดเราแล้วใช่ไหม’ ซองมินถามเสียงสั่น ที่จริงเขาไม่อยากจะถามคำถามนี้กับคยูฮยอนหรอก แต่ยิ่งเดินไปมันก็ยิ่งอึดอัด คยูฮยอนไม่แม้แต่จะ เหลียวหางตามามองเขาเลย คำพูดที่เคยแสดงออกว่าเป็นห่วงเป็นใยกันก็ไม่มี

‘ใช่ ฉันเกลียดนาย ถ้าที่ผ่านมาฉันรู้ว่านายคบกับฉันด้วยเจตนาอื่น ฉันคงจะไม่ทนคบกับนายอยู่หรอก ลีซองมิน’

‘เรา...เราขอโทษ…’ พูดได้เพียงเท่านั้น ใบหน้าเล็กก็เสมองไปทางอื่นริมฝีปากสวยเม้มเน้นพยายามเก็บกลืนเสียงสะอื้น เงยหน้าแหงนมองท้องฟ้า เพื่อฝืนบังคับมิให้หยดน้ำใสๆ รินรดออกมาจากขอบตา อดทนก้าวขาเดินต่อไปจนถึงจุดหมาย


‘คยูฮยอน เที่ยงแล้วไปกินข้าวกันเถอะนะ’ ยังคงเป็นเสียงจากคนเดิม

‘ฉันไม่หิว นายไปกินกับคิบอมแล้วกัน’

‘แต่เมื่อเช้าคยูฮยอนยังไม่ได้กินข้าวเลยไม่ใช่หรอ’

‘เรื่องของฉัน’


และอีกหลายๆ การกระทำที่ทำให้ซองมินต้องเจ็บปวด จากคนเคย ยิ้มเก่ง ร่าเริง กลับเปลี่ยนเป็นยิ้มน้อย บางทีก็นิ่งเงียบ เหม่อลอย จนกลายเป็นคนเฉื่อยชา

......................................................

“เฮ้ย คยูฮยอน กูว่ามึงทำร้ายจิตใจซองมินเกินไปแล้วนะโว้ย ถ้ามึงไม่ชอบ เขาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยนี่หว่า ยังไงก็เป็นเพื่อนกันนะเว้ย” เพื่อนสนิทของคยูฮยอนเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเพื่อนอีกคนที่เขาเอ่ยถึงเพิ่งจะเดินออก ไปหาทงเฮที่เรียนอยู่ห้องติดกันเมื่อสักครู่นี่เอง เขาทนกับพฤติกรรมของคยูฮยอนไม่ไหว อีกต่อไปแล้ว ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง

“มึงไม่เข้าใจหรอก คิบอม”

“ก็มึงไม่พูด ไม่บอกแล้วจะให้กูเข้าใจอะไร มึงรู้ไหมว่าอาการซองมินไม่ธรรมดาแล้วนะเว้ย ทงเฮบอกกูว่า ช่วงนี้เขานอนไม่หลับติดต่อกันมาหลายคืนแล้วนะ”

นอกจากจะเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว ซองมินกับทงเฮยังมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วย ทั้งสองคนย้ายมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาเรียนหนังสือที่ กรุงโซลโดยอาศัยอยู่ กับป้า แม้จะอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่น้อยครั้งที่ซองมินจะเดินมาโรงเรียนหรือกลับบ้านพร้อมกับทงเฮ หนึ่ง คือ ทงเฮมีคิบอมคอยมารับมาส่งอยู่ทุกวัน เลิกเรียนก็ไม่ได้มุ่งตรงกลับบ้านทันทีเหมือนอย่างซองมิน และสองคือ ทั้งคิบอมและทงเฮอยากเปิดโอกาสให้ซองมินได้อยู่กับคยูฮยอนสองต่อสอง เพื่อเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่ผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ที่ว่านั้นมันกลับออกมาเป็นตัวเลขที่ติดลบจนน่าเป็นห่วง

“ก็เห็นสบายดีนี่ ไม่เห็นจะเป็นอะไร” คำตอบเรียบเฉยของคยูฮยอนเริ่มลดขีดความอดทนของคิบอมลงไปทุกที เด็กหนุ่มลุกพรวดจากเก้าอี้หมายจะต่อยไอ้ปากที่มันชอบพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นสักทีสองทีให้มันได้รู้จักสำนึกบ้าง แต่กำปั้นใหญ่ก็ต้องรีบลดวางลงข้างตัวเหมือนเดิม เมื่อเพื่อนคนหนึ่งมันวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา

“ไอ่คิบอม ทงเฮๆ อยู่ห้องพยาบาล…”

“เฮ้ย!! ทงเฮเป็นอะไร” หัวใจของคิบอมกระตุกวูบ เขาแทบล้มตึงลงกับพื้น สองขาเตรียมจะออกวิ่ง หากแต่เพื่อนคนเดิมกลับรั้งไว้ก่อน

“มึงช่วยฟังให้จบก่อนสิวะ ทงเฮ ไม่ได้เป็นอะไร แต่คนที่เป็นอ่ะ ซองมิน”

“อะ...อะไรนะ” คราวนี้ไม่ใช่เสียงคิบอม หรือเพื่อนที่เข้ามาบอกข่าว มันเป็นเสียงที่ดังมาจากคนที่นั่งเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะรีบวางปากกาแล้วกระวีกระวาดพาตัวเองวิ่งมายังห้องที่อยู่ด้านล่างของตึกอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ฮะ...เฮ้ยยย คยูฮยอนรอกูด้วย”



มือใหญ่ผลักบานประตูทันทีที่มาถึงห้องพยาบาล สายตาคมแฝงความกังวลอยู่เต็มเปี่ยม เร่งเร้าถามเอากับอาจารย์ที่ทำหน้าที่เป็นพยาบาลประจำห้อง

“อาจารย์ครับ ลีซองมินอยู่ห้องไหนครับ...อาจารย์เร็วๆ หน่อยสิครับ”

“ใจเย็นๆ สิ นายโจคยูฮยอน เธอมาเขย่าแขนครูแบบนี้ ครูจะบอกเธอยังไงเล่า”

“เอ่อ ขอโทษครับ”

“ห้องริมสุดขวามือ” เด็กหนุ่มตัวสูงกล่าวขอบคุณอาจารย์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาจ้ำเดินต่อ โดยไม่สนใจเสียงเรียกตามหลังของคิบอมเลยสักนิด พอก้าวเข้ามาในห้อง คยูฮยอนก็พุ่งตรงมายังเตียงของคนป่วยทันที

“ซองมิน...ซองมินเป็นอะไร ทงเฮ” เขาถามเสียงแผ่วเบา ก้อนเนื้อตรงหน้าอกซ้ายมันเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก คยูฮยอนยิ่งรู้สึกวูบโหวงในช่องท้องแปลกๆ จนเย็นวาบไปทั่วทั้งตัว เมื่อมาเห็นสภาพของคนที่หลับตานอนหน้าซีดราวกับสีของกระดาษขาว

“เป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับนายหรอกมั้ง” คนตัวเล็กลอยหน้าลอยตาตอบ จนได้ยินคำถามเป็นเสียงคุ้นเคยที่ดังมาจากข้างตัวของคยูฮยอนนั่นแหละ ทงเฮถึงยอม เอ่ยปาก

“ซองมินเป็นลม คงพักผ่อนไม่พอ”
คยูฮยอนอยากจะเอื้อมมือสัมผัสกับผิวกายซีดขาวนั้น แต่หัวใจของเขามันอ่อนแอ กลัวว่าถ้าเขายอมกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับซองมิน มันจะยิ่งทำให้ เขาต้องเจ็บปวดอีก เด็กหนุ่มร่างสูงตัดใจค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้หันหน้ามาทางเพื่อนทั้งสองคน

“ฉันกลับห้องเรียนก่อนนะ”

“คยูฮยอน”

มือที่ผลักบานประตูต้องหยุดกึกเพราะเสียงที่เรียกชื่อเขาเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงของคิบอมหรือทงเฮ เสียงนี้คยูฮยอนจำได้ดีแม้มันจะแหบพร่าเพียงใดก็ตาม เขาหมุนตัวกลับมามองสบตากับคนที่กำลังถูกเพื่อนพยุงให้ลุกขึ้นนั่ง แต่สายตาคมยังคงนิ่งเฉยและเย็นชาเหมือนเดิม คิบอมเองก็แอบมองหน้ากันกับทงเฮ ก่อนจะใช้ประโยชน์จากเสียงตัวเองมากลบเกลื่อนบรรยากาศอึมครึมตรงหน้า

“ซองมิน นายรู้ไหมว่า คยูฮยอนมันเป็นห่วงนายมากเลยนะ พอรู้ว่านายอยู่ห้องพยาบาลมันก็รีบวิ่งมาเลยล่ะ”

“ก็แค่มาดูเฉยๆ เห็นว่าเป็นเพื่อนในห้อง ไม่ได้เป็นห่วงอะไรนักหรอกนะ ถ้าเพื่อนคนอื่นเจ็บฉันคงจะเป็นห่วงมากกว่านี้” สายตาและคำพูดที่ดูเย็นชากว่าทุกครั้งส่งผลให้เพื่อนรักของซองมินลุกพรวดเดินมาผลักอกคนพูด และคงจะตามด้วยอีกหมัดถ้าคนรักของเขาไม่เข้ามาปรามเสียก่อน

“ไม่เอาน่าทงเฮ ใจเย็นๆ ค่อยพูดค่อยจากันดีๆ นะ”

“เย็นไม่ไหวแล้วโว้ย ไอ้คยูฮยอนนี่มึงจะทำร้ายเพื่อนกูไปถึงไหน ซองมินเป็นแบบนี้มันยังไม่สาแก่ใจมึงใช่ไหม” ทงเฮตะคอกใส่ใบหน้าคมที่ยังคง ความเฉยชา

“พอ...พอได้แล้ว ทงเฮ เราอยากนอนพัก พวกนายช่วยออกไปก่อนนะ ขอบใจทุกคนที่เป็นห่วง” แม้เจ้าตัวจะบอกเสียงแข็ง แต่เพียงแค่มองใบหน้าเล็กซีดเผือดทุกคนก็เห็นชัดว่าดวงตากลมสวยคู่นั้นกำลังสั่นระริกมีน้ำคลออยู่เต็มเบ้า ร่างเล็กอวบหันหลังขวับตามด้วยแรงสั่นไหวขึ้นลงเบาๆ ของไหล่บาง และเสียงสะอื้นดังแผ่วๆ เล็ดลอดออกมาเป็นระยะๆ

“ทงเฮ เรากลับขึ้นห้องเรียนก่อนเถอะนะ แล้วตอนเย็นค่อยมารับซองมิน...ไม่มีแต่ ตอนนี้ซองมินคงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า” คนตัวเล็กรับคำ แล้วส่งแววตาเกลียดชังไปให้เด็กหนุ่มอีกคน คยูฮยอนเดินตามเพื่อนทั้งสองคนออกมาโดยไม่ลืมเหลียวหลังมองร่างที่นอนตัวสั่นอยู่บนเตียง



ซองมินพักฟื้นอยู่บ้านเพียงวันเดียวก็มาเรียนได้ตามปกติ วันนี้เขาเดินมาโรงเรียนกับทงเฮ ใบหน้าเล็กดูสดใสขึ้นมากหลังจากทานยาและพักผ่อนอยู่กับบ้านทั้งวัน ทั้งสองคนเดินคุยกันมาเรื่อยเปื่อย กระทั่งมาถึงหน้าห้องเรียน

“เสียดายอ่ะ ทงเฮน่าจะได้อยู่ห้องเดียวกับเรา กับคิบอม”

“ก็ฉันมันเรียนไม่เก่งเหมือนนายนี่ถึงสอบได้ห้องคิงส์น่ะ” เพื่อนตัวเล็กยื่นหน้ายื่นตาแกล้งทำเสียงประชดประชัน ดูน่ารักจนซองมินหัวเราะคิก

“นี่ ไม่ต้องมาประชดเลย นายไปเรียนเหอะ วิชานี้อาจารย์เข้าเร็ว ไม่ใช่หรอ”

“เออว่ะ ลืมไปเลย แล้วเจอกันตอนพักนะซองมิน”

“อืม”


พอเพื่อนรักวิ่งหายเข้าห้องไปแล้ว เขาก็เดินมาห้องเรียนของตัวเองบ้าง เพราะมัวแต่เหม่อไม่ทันระวังตัว ซองมินเลยเดินชนกับร่างผอมสูงของใครบางคนเข้าอย่างจังจนเกือบล้มลงกับพื้น ดีนะที่มือคู่นั้นประคองร่างของเขาไว้ทันเวลา

“เออะ...เอ่อ ขอโทษครับ.....คยู...คยูฮยอน” ซองมินถึงกับผงะ เมื่อแหงนหน้ามาปะกับดวงตาคมพอดิบพอดี

“มัวแต่เดินเหม่ออะไรอยู่ อยากไปนอนห้องพยาบาลอีกรอบหรือไง” เสียงยังคงเรียบเย็นเหมือนเดิม

“ขะ...ขอโทษ แล้วก็ขอบใจนายมาก”

“หายดีแล้วหรอ”

ซองมินพยักหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ


“วันนี้มาโรงเรียนกับทงเฮหรือ”

“อือ...อืม” เสียงตะกุกตะกักตอบรับ นับว่าวันนี้คยูฮยอนคุยกับเขามากกว่า ทุกวันเลยก็ว่าได้ ใบหน้าหวานน่ารักอมยิ้มความตื่นเต้นดีใจจนแก้มตุ่ย คยูฮยอนเองก็แอบหันไปกลั้นยิ้มอดเอ็นดูกับความขวยเขินของคนน่ารักไม่ได้ ก่อนที่ใบหน้าเย็นชาจะเข้ามาแทนที่อีกครั้งเมื่อหันกลับมา

“รีบเข้าเรียนเถอะ”

ซองมิน...ฉันอยากรักนายให้สมกับที่นายรักฉัน แต่...ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ขอโทษที่ทำให้นายต้องเจ็บ...อดทนหน่อยนะ คนดี สักวันนายจะลืมฉันได้เอง....ลืมผู้ชายคนนี้เสียเถอะนะ...ซองมิน


........................................
..............................
.......................





 

Create Date : 20 ธันวาคม 2550    
Last Update : 17 มกราคม 2551 21:26:11 น.
Counter : 261 Pageviews.  


SarangLoveSungMin
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add SarangLoveSungMin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.