...Chansuwan Villa... ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านจันทรสุวรรณวิลล่า บ้านกลางสวนมะพร้าว หาดขาวทะเลเขียว ฟ้าสีครามเมฆปุยขาว
Group Blog
 
All blogs
 
สรรหามากิน อาหารพื้นเมืองพม่าตอนที่2 กินดะจากท่ารถหวานเย็นไปถึงตีนเขาที่ไจ้ก์ทีโย

หนนี้ ขอเขียนถึงของกินเมื่อตอนปลอมตัวเป็นคนพม่านั่งรถบัสข้ามเขตย่างกุ้งไปไจ้ก์ทีโยซะเลย

ระหว่างที่อยู่เมืองย่างกุ้ง ได้ติดสอยห้อยตามไกด์คนนึงไปเที่ยวไจ้ก์ทีโย(พระธาตุอินทร์แขวน) บอกเขาเอาแบบประหยัดสุดๆ (ตอนแรกกะจะไปเอง แต่คิดสะระตะแล้วผู้หญิงคนเดียวเดินทางข้ามเขตแถมไปเมืองที่เขายังรบกัน เห็นทีจะไม่ได้นำชีวิตกลับมาด้วยเลยยอมตัดใจใช้บริการไกด์นะเนี่ย) พี่ไกด์ก็เลยให้ปลอมตัวเป็นสาวพม่าแล้วพาไปขึ้นรถบัสด้วยราคาแบบพม๊าพม่า นั่งรอเงกที่ท่ารถจาก 8.00น. กว่าจะได้ขึ้นรถก็เกือบเที่ยง เวลาของคนที่นี่ช่างเหลือเฟือจริงๆ
ตอนนั่งเซ้งที่ม้านั่งท่ารถไม่ได้เก็บภาพไว้ เพราะชาวพม่าคงไม่มีใครบ้ามายกกล้องถ่ายดะหรอก เดี๋ยวจะดูไม่เนียนแล้วก็คิดค่าโดยสารแพงก็เลยไม่ได้ชักภาพไว้ มาได้ถ่ายรูปก็ตอนนั่งบนรถทัวร์หวานเย็น (ไม่ได้ขึ้นรถแอร์เลย โธ่!ลืมไปชาวบ้านทั่วไปไหนเลยจะนั่งรถแพงหล่ะเนอะ)แอบถ่ายรูปพ่อค้าซาละเปานั่งหลบแดดรอลูกค้ามาได้สองแชะ



เห็นพ่อค้าไอติมโคนแว๊บๆแต่ว่าถ่ายไม่ได้เพราะต้องให้ พกง.เขาครีเอทเก้าอี้เสริมตรงกลาง ทางเดินรถเป็นอันถูกปิดโดยปริยายเมื่อ พกง.รถขึ้นมาเรียงเก้าอี้พลาสติกตั้งเพิ่มอีกหนึ่งแถว โอ้!ขอแค่อย่าเกิดปวดฉี่ขึ้นมากลางทางเลยนะ เพราะคงไม่ได้แวะจอดง่ายๆแน่เลย
เสียดายที่พออยู่บนรถก็แออัดสุดๆ ไอ้จะถ่ายรูปก็เกรงว่าจะล่อตาล่อใจมิจฉาชีพ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่กลุ่มวัยรุ่นทั้งนั้น ไกด์บอกว่าเขาจะไปทอดกฐินกัน เห็นแล้วน่าชื่นใจจัง เด็กวัยรุ่นบ้านเราคงนิยมทอดหุ่ยมากกว่าจะเข้าวัดกัน
เมื่อรถเดินทางไปได้ไม่ไกลนักก็แวะซื้อน้ำมัน โอ้!อเมซซิ่งมั่กๆ ฝาน้ำมันอยู่ตรงเราพอดี เห็นชัดๆเลยเขาเอาเหล็กข้ออ้อยมาเชื่อมเป็นสามขา แล้วเอาผ้ากรองมากรุในกรวย จากนั้นก็ลากสายยางมาแยงเข้าที่ฝารถ แล้วเอาน้ำมันมาเททีละแกลลอน นองไปเป็นวงกว้าง ไม่อยากคิดเรยหากใครเอื้อเฟื้อก้นบุหรี่ซํกมวน เราคงเกรียมได้ที่เลยหล่ะ
การซื้อขายเสร็จสิ้นในเวลาไม่นานนัก เราก็ออกเดินทางกันต่อ บนรถมีการเปิดเพลงและละคร(คาดว่าน้ำเน่าเหมือนบ้านเรา สังเกตจากท่าทางนักแสดง ประมาณแม่ผัวลูกสะใภ้ราวีกัน)ให้ดูด้วย ขอบอกเพลงที่นี่ทันสมัยมาก แบบเพลงร็อกยุค 80-90 ทั้งอีริก แคลบตัน , ไบรอัน อดัมส์ ต่างพากันร้องเพลงของตนในเวอร์ชั่นพม่ากันหมด ที่ทันสมัยมากๆก็เห็นจะเป็นภาพคอนเสิร์ตฮิปฮอปของศิลปินพม่านี่แหละ ดูหน่วยก้านแล้วคงพอๆกะไทเทเนี่ยมบ้านเราได้เลย สุดยอดจริงๆ ไม่มีเพลงก๊อบพี่เบิร์ดที่นี่เลย แบบว่าตลาดบ้านเขาแข็งแรงมาก เจาะเข้ามาขายไม่ได้เลยจริงๆ

นั่งดูวิวก็แล้ว งีบก็บ่อย แหมกว่าจะถึงจุดพักรถก่อนเข้าเขตเมืองพะโค(หงสาวดี)เวลาก็ปาไปบ่ายสามแล้ว เค้าปล่อยให้ลงหาอะไรกินกันเองก็เลยเจอเมนูเด็ดที่อร่อยจนทุกวันนี้ยังคิดถึงอยู่เลย

เมนูนี้ เรียกว่า -น่านจีโต๊ก- คำว่า โต๊ก ไกด์บอกแปลว่า คลุกด้วยมือ เป็นก๋วยเตี๋ยวยำอีกแบบหนึ่ง ใช้เส้นคล้ายเส้นเล็กโรยไก่ต้ม กับไข่ต้มครึ่งใบพร้อมผักลวก ราดน้ำซอสรสชาติหวานๆคล้ายน้ำสะเต๊ะมา เสิร์ฟพร้อมมะนาวซีกใหญ่และน้ำแกงขุ่นๆอีกหนึ่งถ้วย ตอนแรกคิดว่าน้ำแกงท่าทางจะเค็มน่าดู เพราะสีเหมือนต้มส้ม แต่พอตักกินก็ติดใจ น้ำซุปโครงไก่แท้แบบไม่ต้องพึ่งคนอร์เลยเชียว ค่าเสียหายมื้อนี้ถูกพี่ไกด์รวบยอดจ่ายไปก่อน ก้อเลยไม่รู้ว่าจานละกี่จ๊าต น่าเสียดายที่ไม่เจอเมนูนี้อีกที่เมืองอื่นๆเลย รสชาตกลมกล่อมหอมกลิ่นมะนาวจริงๆ

แอบถ่ายแม่ครัวตอนรออาหาร ท่าทางจะขายดีอย่างนี้ทุกวันเพราะลูกมือเยอะจริงๆ
กลับขึ้นรถเที่ยวนี้ เขาบอกว่าใกล้จะถึงเมืองพะโคแล้ว ที่นั่นมีสถานที่น่าแวะเที่ยวชมมากมาย โดยเฉพาะ พระเจดีย์มุเตา หนึ่งในห้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาของเมียนม่าร์ที่ต้องมาสักการะให้ครบ จึงจะได้มหากุศลยิ่ง แถมยังเป็นเมืองสำคัญเพราะมีวังบุเรงนองอยู่ที่นี่ด้วย แต่เราตั้งใจแล้วว่าจะต้องไปไจ้ก์ทีโยให้ได้ แล้วค่อยมาเก็บตกขากลับ เมื่อถึงเมืองพะโคก็เลยไม่ได้ลงเที่ยวแต่ประการใด ขณะที่รถแวะจอดให้ผู้โดยสารลงบางส่วน บรรดาพ่อค้าแม่ค้าก็กระเดียดกระจาดบ้าง ทูนถาดบ้างมาขายของกินตามหน้าต่างรถ มีทั้งข้าวโพดข้าวเหนียวต้มมัดเป็นจุก ถั่วต้ม ลูกมะยมดอง องุ่นดอง เป็นต้น แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจสำรับเราคือ พ่อค้าห่านย่างจ้ะ เล่นทูนถาดห่านย่างตัวสีแดงๆเท่าที่เห็นบนถาด มีห่านทั้งตัวนอนเกยกันไม่ต่ำกว่าห้าตัว! ทุกตัวต่างห้อยคอลงมาระใบหน้าพ่อค้าอย่างสวยงาม สงสัยจริงๆว่าถ้าขอแบ่งซื้อเนี่ย เขาจะขายไหม เพราะท่าทางจะขายยกตัวเลยทีเดียว แหม ห่านตัวนึงก็ใหญ่เบ้อเริ่ม แต่ไม่มีผู้โดยสารคนไหนอุดหนุน ก็เลยไม่ได้คำตอบ (เราไม่ได้ถ่ายเพราะกลัวพ่อค้าจะปราดเข้ามาเสยห่านให้ที่หน้าต่าง แค่เห็นไกลๆก็กลัวน้องห่านเต็มทีแล้ว น่าสงสารมันน่ะ)

เฮ้อ!แล้วก็ถึงหมู่บ้านขิ่นปุ้นเอาเมื่อตอนพลบค่ำพอดี รถทุกคันจะจอดส่งคนทั้งหมดตรงหมู่บ้านนี้ แล้วผู้คนก็กระจายกันไปหาที่พัก เพื่อเดินทางขึ้นเขาด้วยรถบรรทุกดัดแปลงที่ทางการจัดไว้ให้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ขับขึ้นไปเอง เพราะทางลาดชันมาก เมื่อเข้าพักที่บังกะโลหน้าตาดี มีสวนสวยงามโดยรอบแล้ว เมื่อแยกย้ายกันเข้าที่พักแล้วอาบน้ำเสร็จ เราก็ออกมาหาของกินและเดินชมตลาดยามเย็นดูของกัน อารมณ์เหมือนตอนเดินเที่ยวกินโน่นนี่ตอนรอขึ้นเขาคิชกูฏที่จันทบุรียังไงยังงั้นเลย ดีหน่อยที่ขิ่นปุ้นไม่ได้จำกัดเวลาเที่ยวเหมือนที่เขาคิชกูฏ คนเลยไม่แออัดเท่าไหร่ อากาศเมื่อหัวค่ำเย็นลงเร็วมาก แป๊บเดียวก็หนาวแล้ว พิกัดที่เดินๆอยู่นี่ น่าจะใกล้เคียงแถบสวนผึ้งของราชบุรีได้กระมัง พี่ไกด์บอกว่า มีนักเดินทางขึ้นเขากันตอนค่ำด้วย

มีร้านขายของอยู่ใกล้ๆ ดูได้บรรยากาศโบราณๆดี


ต้องเดินราวๆ6 ชม.แน่ะกว่าจะถึงบนโน้นก็รับอรุณพอดี ถือว่าศรัทธาแรงกล้าเพราะเท่าที่ดูตอนมืดๆนี่ทางรกและมืดมาก กลัวถูกเสือคาบไปกินซะก่อนนะ แถมถ้าไม่รู้ทางอาจหลงเดินเข้าไปในพื้นที่ของกองกำลังกู้ชาติกะเหรี่ยงได้อีกแน่ะ เค้าว่าถ้าอยุ่ในดงกะเหรี่ยงก็จะอันตรายมากๆ เราเลยปฏิบัติตามความเห็นของพี่ไกด์อย่างเคร่งครัด
ตลาดยามเย็น ทีนี่มี โมฮิงก่าให้กินด้วย เป็นชามแรกของเราเลย ร้านชาวบ้านมี้ข้าวของอุปกรณ์ประกอบการขายแบบพอเพียงจริงๆ นั่งดูแม่ค้าขายก็เพลินแล้ว รสชาตโมฮิงก่าที่นี่ก็อร่อยนะ แต่ด้อยกว่าที่บะกั่นเล็กน้อย ที่พิเศษก็คือ ผักชุบทอดของร้านนี้เขาใช้ หยวกกล้วยหั่นฝอยทอด กินไปตั้งหลายคำถึงจำได้ อร่อยใช้ได้เลย



ที่ตลาดมีของขายจำพวกงานหัตถกรรมเยอะมาก โดยเฉพาะไม้ไผ่ ไผ่ที่นี่ลำสีเขียวเข้ม ขนาดพอๆกับข้อเท้าผู้ชายได้เลย ที่เห็นมากก็คือปืนยาวของเล่นเด็กที่ท่าทางจะเท่าขนาดจริงเลยแฮะ คงจะเป็นที่นิยมมากเพราะมีขายทุกร้านเลย



เดินผ่านร้านขายบาร์บีคิวเล็กๆร้านนึง มีลูกค้าที่มานั่งกินไปเม้าท์ไป เอามือผิงไฟไล่หนาวไปในตัวด้วย บาร์บีคิวที่นี่มีทั้งเนื้อหมูและสารพัดเครื่องใน น่าแปลกที่ทุกอย่างล้วนถูกเคลือบด้วยสีแดงเหมือนใช้ซอสเยนตาโฟมาหมักเลยทีเดียว เห็นสีแล้วไม่ได้ลองเสี่ยงกินดู แต่ท่าทางจะเหนียวอยู่ไม่น้อยจากการสังเกต

แหมลำพังแค่โมฮิงก่ายังไม่ถึงครึ่งกระเพาะเลย แล้วเราก็ได้มาเติมพลังอีกรอบด้วยเมนูอาหารฉานครั้งแรกที่นี่เอง เขาบอกว่าคนรัฐฉานมีเชื้อสายจีนอยู่มาก อาหารก็เลยดูคล้ายอาหารจีน เมนูข้าวผัดไก่ที่กินนี่ก็รสชาตช่างเหมือนบ้านเราเลย

ตกดึกแล้ว กลับไปนอนเอาแรง พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดเลย
สำหรับการเดินทาง ค่อยเขียนวันหลังดีกว่าบอกได้เลยว่าโหดมากกว่าตอนขึ้นเขาคิชกูฏหลายเท่านัก รถมาส่งแค่ตีนเขา ยังต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกหลายกิโล ระยะทางนี้ จะมีชาวบ้านเอาของป่ามาขายมากมาย มีร้านโมฮิงก่าด้วย แต่เสียดายไม่ได้แวะ เพราะพี่ไกด์เร่งให้ขึ้นไปถึงไจ้ก์ทีโยซะก่อน

บริเวณลานวัดหน้าไจ้ก์ทีโย(ก้อนหินทอง)มีระบียงชมวิวรอบด้านเลย
ในส่วนนี้ เราจะเขียนแยกออกไปทีหลังละกัน ขอเน้นถึงบรรดาร้านค้าที่อยู่ด้านหลังก่อนนะ เขาจะมีหมู่บ้านเล็กๆที่ด้านหลังไจ้ก์ทีโย โชคดีช่วงที่ไปกำลังจะจัดงานวัด ก็เลยมีของมาเตรียมขายมากมายเลย แว่บแรกที่เห็นทางเดินเข้าสู่บริเวณหมู่บ้าน จะพบเหล่าแม่ค้าขายของทอดที่เรียกว่า -อะจ่อสู่น-เรียงรายไปอย่างมีระเบียบเท่าที่เห็น มีทั้ง ปะสู่น-จ่อ(กุ้งชุบแป้งทอด) , ง่ะ-จ่อ(ปลาชุบแป้งทอด) , ปะสู่นง่ะป่าว-จ่อ(กุ้ง+หอมใหญ่ชุบแป้งทอด) , ง่ะป่าว-จ่อ(ถั่วงอกกับปลาชุบแป้งทอด) เป็นต้น โดยจะขายข้าวเหนียวนึ่งใส่สีขมิ้นคู่กันด้วย

อ๊ะๆ มีพ่อค้ากำลังเลื่อยท่อนทะนาคาด้วยนะ

บรรดาร้านกาแฟที่นี่ ล้วนโอ่โถงน่านั่ง แต่มีแค่เมนู coffee mixed กะ tea mixed ให้เลือกจ้า

แอบเห็นโรงเตี๊ยมเล็กๆบนนี้ด้วย แต่พี่ไกด์บอกว่าให้เข้าพักเฉพาะคนพม่า เพราะถ้ามีชาวต่างชาติมาพักต้องแจ้งทางการ ไม่รู้เห็นในบล็อกเพื่อนๆที่ไปไจ้ก์ทีโยกันได้พักที่นี่กันบ้างไหม เพราะเราไม่ค่อยอยากเชื่อตาไกด์เท่าไหร่ แต่หนนี้พอไหว้เสร็จก็ไม่ได้ค้างที่นี่ต่อ ต้องรีบลงเขากลับเข้าย่างกุ้งเลย

ไม่เป็นไร เราตั้งใจว่าต้องมาอีกให้ได้ แม่ค้าที่ตีนเขาบอกว่า เขาเชื่อกันว่านอกจากจะเดินทางไปสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าของเมียนม่าร์(เจดีย์ชเวดากอง-ชเวสิกอง-มุเตา-พระมหามัยมุนี-ไจ้ก์ทีโย)ให้ครบแล้ว เฉพาะที่ไจ้ก์ทีโยนี้ ถ้าสามารถมาสักการะได้ 3ถึงครั้งจะได้มหากุศลยิ่ง ว่าแล้วก็เลยแปะโป้งไว้ว่าจะต้องดั้นด้นมาอีกให้ได้จ้า




Create Date : 24 เมษายน 2553
Last Update : 24 เมษายน 2553 20:51:23 น. 7 comments
Counter : 1863 Pageviews.

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:21:07:02 น.  

 
เข้ามาทักทายครับ



โดย: tongsehow วันที่: 24 เมษายน 2553 เวลา:21:11:33 น.  

 
ไอเดียสุดบรรเจิด แปลงตัวเป็นสาวพม่า...เก่งมากค่ะ...นับถือๆๆๆ...


โดย: ป้าฟู IP: 70.174.23.141 วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:7:12:22 น.  

 
อาหารที่นั่นอร่อยไหมคะ แล้วไปที่นั่นมาคิดถึงบ้านเกิดตัวเองไหมนิ



โดย: บอกชื่อมิได้เป็นความลับ จุจุจุ IP: 124.121.11.61 วันที่: 12 กันยายน 2553 เวลา:12:15:44 น.  

 
ตอบคุณ จุจุจุ เผื่อกลับมาอ่านนะคะ
อาหารรสชาตดีนะคะ ออกเค็มๆหอมเครื่องเทศ เพราะเขาได้รับอิทธิพลจากอินเดียทางตะวันตก เจอแขกนุ่งโสร่งดูแปลกตาดีค่ะ แต่ไม่เผ็ดเท่าบ้านเรา ที่ติดใจที่สุดก็ขนมจีนที่เรียกว่าโมฮิงก่านี่แหละค่ะ ชอบกินที่สุดเลย อร่อยกว่าขนมจีนบ้านเรามากมาย


โดย: noksamui วันที่: 27 กันยายน 2553 เวลา:19:17:45 น.  

 
อยากกินบ้างจังคงอร่อย


โดย: มัดไหม IP: 113.53.210.26 วันที่: 27 ตุลาคม 2553 เวลา:14:15:27 น.  

 
เก่งจังค่ะ...ไปเที่ยวคนเดียวได้ไงคะ...สอนเราบ้างสิ...อยากแบ็คแพคบ้างอ่ะ...หรือถ้ามีทริปหน้าขอเป็นลูกทัวส์ด้วยคนนะคะ


โดย: ปอปลาตัวจิ๋ว วันที่: 14 ธันวาคม 2553 เวลา:23:42:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

noksamui
Location :
สุราษฏร์ธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add noksamui's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.