Get up Stand Up.

สิ่งที่ไม่ต้องแปลกใจเมื่อมาเยือนอินเดีย ตอนที่ 2

8. โรงหนังมีพักครึ่งเรื่อง เพิ่งมีโอกาสได้ดูหนังที่อินเดียเป็นครั้งแรกเรื่องmummy3 เมื่อไม่นานมานี้ โรงหนังที่นี้มีน้อย และมีขนาดเล็ก รอบไม่เยอะ โรงที่ไปดูมีแค่20 แถวเอง พอดูไปครึ่งเรื่องหนังก็ตัดไป แล้วก็จะมีคนขายอาหาร ขายปอปคอร์นเดินเข้ามาเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟ แปลกดี
9. ชงชา3ถุง อันนี้ไม่รู้ทั่วไปหรือเปล่า แต่พี่ที่ทำงานทุกคน พอถึงช่วง Tea break ทุกคนจะชงชาด้วยวิธีต่อไปนี้ ใส่น้ำร้อนก่อน แล้วตามด้วยน้ำตาลก้อน แล้วตามด้วยคอฟฟี่เมต แล้วค่อยเอาชาแบบลิปตันทีบ้านเรา แต่ที่นีกิน ทวินนิ่งกัน สามถุง ลงไปแกว่งในน้ำที่เตรียมด้วยวิธีข้างต้น อยู่เมืองไทยกินอย่างมากก็ถุงเดียว แต่ที่นี่ใครๆ ก็กินสามถุงกัน เราเลยต้องปรับตัว แต่แค่สองถุงก็ได้ชาแก่จะตายอยู่แล้ว
10. คนถือหมวกกันน็อค เนื่องด้วยการจราจรที่นี่คนข้างแย่ คนส่วนใหญ่เลยขับมอเตอร์ไซค์กัน แต่ไม่เคยเห็นใครเอาหมวกกันน็อคแขวนไว้ที่รถเหมือนบ้านเรา ส่วนใหญ่จะถือติดตัวกันไป บ้างคนแต่งตัวดีมาก ใส่สูท แต่ก้ไม่วายหิ้วหมวกกันน็อคเดินชอปปิ้ง หรือกินข้าวด้วย เป็นเรื่องปกติ
11. ผู้โดยสารมอเตอร์ไซต์ 3-6 คน ไม่รู้นั่งกันได้อย่างไร แต่ตอนเช้าๆ เห็นบ่อยมาก พ่อ แม่ และลูกอีกหลายคน นั่งมอเตอร์ไซค์ซ้อนกันเป็นตับเพื่อนส่งลูกๆ ไปโรงเรียน พ่อขับ ตามด้วยลูกเล็กอีกสัก2คน ตามด้วยแม่ และตามด้วยลูกอีก บางทีก็พ่อคนเดียว แล้วเด็กๆซ้อนกัน สาม สี่ คน ประหยัดดี ไปไหนมาไหนทั้งครอบครัวด้วยรถมอเตอร์ไซค์คันเดียว
12. ไฟดับเป็นเรื่องปกติ ไม่รู้เป็นทุกเมืองอ่ะป่าว แต่บังกาลอร์ไฟตก หรือไฟดับเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แรกๆก็ตกใจนั่งทำงานอยู่ไฟตก แล้วก็มา แล้วก็ตกใหม่ แต่ไม่เคยเห็นใครตกใจ อยู่ไปยิ่งนานเข้า เดี๋ยวก็ไฟดับ ไปไหนก็ no power บางวันเคยดับไปเลยครึ่งวัน ร้านค้ากิจการมีแสงไฟริบหรี่ คนเลยไม่เข้าไปตามๆ กัน
13. ผู้ชายที่นี่ถือกระเป๋าสวยๆ กับเกือบทุกคน ไม่ต้องสงสัย กระเป๋าที่บรรจุกล่องอาหารนั่นเอง ส่วนใหญ่คนที่นี่ รวมถึงแตงด้วยต้องพกกล่องอาหารกลางวันไปทานเอง ทุกคนจะมีกล่องอาหารน่ารักมากมาย เป็นลักษณะบล็อคๆ บางคนก็กลม บางคนก็เหลี่ยม สีสันสดใส สีเขียว สีแดง เป็นซิปเปิด ส่วนใหญ่เก็บความร้อนได้ด้วย หากคนถือกระเป๋าโน็ตบุ๊ค ยังไม่วายต้องมีกระเป๋าอาหารอีกใบ
14. ทำความสะอาดแบบ no technology เห็นครั้งแรกคือการทำความสะอาดบ่อน้ำพุเล็กๆ หน้าตึกๆ หนึ่ง ผู้หญิงนุ่งสาหรี่นั่งเอากระบอกเล็กๆ ตักน้ำออกจากบ่อ ไร้เงาเครื่องดูดน้ำ หรือสายยางแต่อย่างใด อีกอย่างที่เห็นบ่อยมาก คือทำความสะอาดพื้นอิฐหน้าออฟฟิศ เนื่องจากพื้นมีฝุ่นเยอะ แต่เค้าจะใช้วิธี ชาย หญิง สูงอายุ นั่งเรียงกันเป็นแถวๆ นั่งยองๆ ไปกับพื้้น แล้วก็มีแปรงคนละอัน ค่อยๆ ปัดฝุ่นไปข้างหน้า พร้อมๆ กัน เป็นแถวๆ เห็นทีไรก็ชอบใจ แบบว่าคนจะได้มีงานทำกันหลายคน ตลกดี

เรื่องมากมายเกินขึ้นที่นี่ ที่ๆหนึ่งในอินเดีย ไม่ต้องสงสัยทำไมบางคนจึงรักอินเดีย หลงเสน่ห์ประเทศนี้กันมากมาย หรือบางคนเกลียด ไม่ชอบมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องเจอที่นี่ คือสิ่งที่คุณไมคาดคิดว่าจะเจอ ในประสบการณ์เลวร้ายเลยกลายเป็นความทรงจำที่ดีในบางครั้ง




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 16:42:16 น.   
Counter : 1115 Pageviews.  

สิ่งที่ไม่ต้องแปลกใจเมื่อมาเยือนอินเดีย ตอนที่ 1

เกริ่นนำ ส่ิงที่เขียนต่อไปนี้คือสิ่งที่พบในบังกาลอร์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อไปเมืองอื่นๆ ก็ยังคงเจอ เลยสมมติฐานว่า คงเป็นสิ่งที่พบเจอได้ส่วนใหญ่ในอินเดีย

1. วัวเดินเผ่นพ่านเต็มถนน ไม่ว่าจะเป็นเลนรถ ริมฟุตบาท เปรียบเสมือนแถวสยามบ้านเราอาจยังไม่เจอ แต่แค่มาแถวสนามกีฬา สามย่าน ราชเทวี ก็จะเริ่มเจอ แล้วถ้ายิ่งไกลออกไปเช่น อนุสาวรีย์ สะพานควาย ก็จะเจอจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีก็มาเป็นฝูงใหญ่ รถต้องชะลอ หรือหลบหลีก ให้วัวเดินผ่านได้อย่างสบาย
จากการสอบถามได้ความมาว่า วัวที่เจอส่วนใหญ่เป็นวันแก่ที่เจ้าของทิ้งเพราะมันไม่สามารถให้นมได้ ทุกครั้งที่เราถามก็จะได้คำตอบเช่นนี้ แล้วก็ต้องอุุทานทุกครั้งร่ำไป โธ่ Poor Cow.

2. เจอคนยืนฉี่ ถึงแม้ใครมาเหยียบอินเดียแม้เพียงครึ่งวันก็ต้องเห็น ที่บ้านเราอาจเป็นมุมตึก ซอกหลืบถึงจะเห็นคนยืนฉี่ แต่ที่นี่มีให้เห็นได้ในที่โล่งแจ้ง ตั้งแต่เช้าตรู่ จรดหัวค่ำ ไม่ว่าจะเป็นเดี๋ยว เป็นกลุ่ม มีอยู่ครั้งหนึ่งจำไม่ได้ที่เมืองไหน ข้างกำแพงเขียนหนังสือตัวเบ่อเร้อทั้งอังกฤษ ทั้งท้องถิ่น Don't pass Urine here please go to toilet at ... แล้วก็บอกสถานที่ว่าให้ไปเข้าห้องน้ำได้ที่ไหน แต่ก็ยังไม่วายเห็นคนฉี่ แต่นั่งยองๆ
อาจเนื่องจากห้องน้ำที่นี่หายาก ส่วนใหญ่มีเปิดบริการเป็นห้องน้ำสาธารณะที่ต้องเสียเงินเข้าตั้งแต่ 2-5 รูปี ผู้ชายส่วนใหญ่เลยเลือกความสะดวกสบาย ฉี่มันตรงไหนตรงนั้นไปเลย

3. เด็กนั่งขี้ริมฟุตบาท มีอยู่ครั้งหนึ่งเห็นสองคนนั่งห่างกันประมาณ 100 เมตร นั่งขี้ริมฟุตบาทหันหน้าออกนอกถนนอีกต่างหาก เด็กส่วนใหญ่ก็ยังเล็กๆ ไปจนถึงประมาณ 5-6 ขวบ
สำหรับเด็กก็พอให้อภัยได้ แต่ก็อย่างว่าถ้าเข้าห้องน้ำได้จะดีกว่าไหม

4. ผู้ชายจูงมือกัน ตอนแรกเห็นคู่สองคู่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ หลังๆ เห็นเยอะมากเดินจูงมือกัน ในขณะที่ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงจูงมือกันเลยที่นี่ บางทีเดินจูงกันสามคนก็มี
ถามพี่ที่ทำงานด้วยความสงสัย ว่าเค้าเป็นเกย์กันหรือเปล่า ได้ความว่าส่วนใหญ่จับเพราะ Friendship เด๊่ยวนี้เป็นไม่เป็นก็ดูไม่ออก เพราะคนอินเดียส่วนใหญ่ ใส่กางเกงขาบานนิดๆ เอวสูง เป้าตึง เสื้อเชิ้ตรัดรูปใส่ในกางเกง แล้วโชว์เข็มขัด

5. การขับรถบีบแตร เป็นเรื่องประจำหรือทำกันยิ่งกว่าการที่ต้องตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าวอีก เคยได้ยินมาว่าถ้า แตร กับ กระจกรถเสีย คนที่นี่จะเลือกซ่อมแตรก่อน เป็นความจริงอย่างแรง เพราะกระจกข้างถ้าไม่ใช่รถเก๋งดีๆ หน่อย พับเก็บกันทุกคน ไม่มีการใช้ไม่ว่ามันจะเสียหรือไม่ก็ตาม หากใครมาที่นี่แล้วไม่ได้ยินเสียงแตร คนนั้นจะโชคร้ายไปตลอดชีวิต เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ หากคุณยืนสงบจิตใจอยู่กลางถนน แล้วฟังเสียงแตร ความถี่อย่างน้อย ห้าวินาทีต่อครั้ง ไม่เชื่อลองดูได้

6. การทำงงงง แล้วก็แซงคิว ไม่ว่าจะเป็นการห้องน้ำ การต่อซื้อของ หรือแม้แต่การยืนรอโต๊ะอาหาร ส่วนใหญ่เราก็ยืนต่อของเราอยู่ดีๆ และเราก็จะคอยดูว่ามีใครมาก่อนเราบ้าง หรือเราต่อใคร แต่บางทีหากลังเลไปเพียงนิดเดียว บุคคลที่สามก็เข้าเสียบ โดยทำเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีเรายืนรอโต๊ะอาหารว่างตั้งนาน พอเค้ากำลังจะลุก เราก็อุ้ยอ้ายนั่งช้า เจอเสียบแล้วทำงงงงเป้นประจำ

7. No change. ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรถออโต้ ซื้อของตามข้างทาง หรือแม้แต่ร้านขายของที่ดีๆ ขี้นมาหน่อย เมื่อให้เงินแบงก์ใหญ่ บางทีแค่แบงก์ 50 หรือ 100 คนขายจะบอกว่า No change หรือก็คือไม่มีตังค์ทอนนี้เอง หากเป็นออโต้บางทีก็รู้ได้เลยว่าโกหก เช่น 22 ให้ 30 จะต้อง no change ทันที บางทีเราก้ต้องยอม แต่หลังๆ ก็ไม่อยากยอม หากไม่มีตังค์ทอนก็ให้ไป 20 พอ
ถึงแม้เป็นเศษเงินเล็กน้อยแต่หากคนมาอยู่ที่นี่สักระยะ จะรู้สึกว่าแม้แต่ 1 รูปี ก็ไม่อยากจะให้ เพราะทุกคนจ้องจะเอาหมด ขนาดร้านมือถือใหญ่ๆ ไปเติมเงิน 333 บาท ให้ไป 350 ได้ทอน 15 รู ทุกที แล้วก็จะบอกว่าไม่มีตังค์ทอน ซึ่งบางทีเราคิดว่า สมมุติเราต้องให้เค้า 2 รูปี แล้วเราให้ 5 รูปี เค้าต้องทอนเรา 3 รูปี เค้าควรจะลดให้เรามากกว่าที่เราต้องเอาตังค์ทอนให้เค้า
หลังๆ กลัวมากจะไม่มีตังค์ทอน มีโอกาสต้องหาแบงก์ย่อยติดตัวไว้




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 16:38:24 น.   
Counter : 546 Pageviews.  

สิ่งที่คนอินเดียแปลกใจในตัวฉัน

1.ฉันใช้ไอโฟน
-สิ่งแรกที่ถามเมื่อรู้ว่ามันเป็นโทรศัพท์ คือ โทรศัพท์ยี่ห้ออะไร
-สิ่งที่ฉันตอบ อ่อ มันเป็นของแอปเปิ้ล ชื่อว่าไอโฟน
-สิ่งที่เค้าชอบถามต่อไปคือ ความจุเท่าไหร่ และราคาเท่าไหร่
-สุดท้ายชอบให้ฉันเปิดให้ดู แล้วถามว่าทำการโทรอย่างไร
-สุดท้าย เค้าก็จะเรียกเพื่อนๆ ที่เหลือมาดูโทรศัพท์ของฉัน ว่ามันถ่ายรูปได้ และยืด ขยายรูปได้อย่างไร
2. ฉันใช้ mp3 เป็นรูป Mickey mouse (Mplayer ของ Iriver)
-ใครได้เห็นเป็นต้องถามว่ามันคืออะไร ฉันบอกว่ามันเป็นเครื่องเล่น MP 3 พวกเค้าเป็นต้องแปลกใจ ฉันจึงต้องให้ลองฟัง
-เค้านึกว่ามันเป็นตุ๊กตาที่ฉันห้อยไว้เฉยๆ
-สุดท้ายที่คนอินเดียชอบถามกันเมื่อรู้ว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็คโทรนิค คือความจุเท่าไหร่
3.การจับปากกาเขียนหนังสือของฉัน
-ฉันรู้ว่าแต่ละคนจับปากกาเขียนหนังสือไม่เหมือนกัน แต่ฉันไม่เคยคิดว่าการจับปากกาของฉันแปลก และตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีใครทัก
-แต่คนอินเดียทักว่าฉันจับปากกาแปลกแทบทุกคน
-ฉันจับโดยให้นิ้วสามนิ้วจับปากกา นิ้วนาง, นิ้วก้อยอยู่ใต้ปากกา นิ้วโป้งอยู่บนข้างหน้า และนิ้วชี้กับนิ้วกลางกดปากกาไว้
-สุดท้ายฉันบอกไปว่าฉันต้องจับแบบนี้เพราะฉันต้องเขียนภาษาไทย
4.น้ำยาหม่องฉันคืออะไร
-ฉันบอกว่ามันคือ น้ำมันยูคาลิปตัส (จริงๆ แล้วมันคือน้ำมันเหลือง)
-แล้วฉันก็ต้องอธิบายต่อไป เอาไว้สูดดม เวลาปวดหัว
-พวกเค้าพูดเล่นๆ ว่า นึกว่ามันเป็นยาพิษ
5.ทำไมปากกาของฉันไม่เหมือนพวกเขา
-ฉันมีปากกาสีเขียวตัวอ้วนๆ มีสายห้อยคอติดตัวมาจากเมืองไทย ได้แถมมาจากงานใดงานหนึ่ง วิธีการเปิดใช้ก็แค่หมุนตูดของมัน
-วันนี้เพื่อนฉันมาบอกว่า ทุกครั้งที่คนเดินผ่านโต๊ะของฉันต่างแปลกใจว่ามันคืออะไร
-ฉันถามเค้าว่ามันแปลกหรือไง เค้าบอกว่ามันไม่เหมือนของพวกเค้าที่เป็นปากกาสีขาว ปลอกสีดำธรรมดา

--> ฉันไม่รู้ว่าวันต่อไปพวกเค้าจะแปลกใจอะไรในตัวฉันอีก แต่ฉันก็พร้อมจะอธิบาย ให้พวกเค้าได้เข้าใจ
-->อีกสิ่งหนึ่งไม่ว่าใครจะมาสนทนาเรื่องอะไรกับฉัน เมื่อฉันตอบ หรือเล่าอะไรไปพวกเค้าจะทำปากซี๊ดกันทุกที ฉันไม่เข้าใจ ว่าจะตื่นเต้น หรือตกใจอะไรกัน ปากซี๊ด คือการทำลักษณะ ปากซูด เหมือนเวลาดูดเส้นมาม่าน่ะ
-->ฉันบอกคนอินเดียว่า ฉันไม่เข้าใจและสับสนเมื่อพวกเค้าชอบทำลักษณะเอียงคอไปมา ว่ามันหมายถึงอะไร ฉันบอกพวกเค้าว่าฉันสับสนว่าหมายถึงใช่ หรือไม่ใช่ และถามว่าทำไมพวกเค้าชอบทำกัน แต่ฉันยังคงไม่ได้รับคำตอบ ได้รับแต่รอยยิ้ม แล้วก็การส่ายหัวกลับมา




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 25 กรกฎาคม 2552 0:58:22 น.   
Counter : 607 Pageviews.  

ประสบการณ์ขีดสุดในอินเดียของฉัน

ล่าสุดฉันเก็บกระเป๋าแบกเป้คนเดียวไปเที่ยวตอนเหนือของอินเดีย ตั้งใจว่าจะไป 7 วัน
2-8 ตุลาคม 2551
เรื่องมีอยู่ว่า
- เครื่องบินออกจากบังกาลอร์ไปเดลลีตอนหกโมงเช้า แต่ฉันใช้แท๊กซี่แบบประหยัดเพื่อไปสนามบิน เลยต้องแวะรับหลายคน และเค้านัดฉันตอน 2.45 am เมื่อถึงเวลานัดฉันเดินแบกเป้หนึ่งใบออกจากบ้านมา และหาแท๊กซี่ไม่เจอ ฉันโทรไปหาคนขับหลายครั้ง แต่เหมือนว่าจะใช้ภาษาอังกฤษกันไม่เข้าใจ ฉันเลยโทรเข้าหา call center และเค้าบอกว่าให้รออยู่ตรงนั้นอีก 15 นาทีจะมารับ
- ฉันเห็นว่าพอมีเวลา และฉันลืมถอดคอนเทคเลนส์ก่อนออกจากบ้าน เลยวิ่งบวกเดินแบบเร็วๆ เพื่อเข้าบ้าน ระหว่างนั้นมี หมา 4 ตัว วิ่งเข้ามาหาฉัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เดินเข้าออกจากบ้านไม่เคยเจอหมา แต่วันนี้เจอหมาตัวเล็กๆ ท่าทางเกรียวกราด ฉันไม่เคยคิดว่าหมาจะทำร้ายฉัน ฉันไม่กล้าวิ่ง ทันใดนั้น หนึ่งในสี่วิ่งเข้ามากัดขาฉัน ทั้งๆ ที่ฉันใส่กางเกงขายาว หลังโดนกัดฉันรีบวิ่งเข้าบ้าน และหมาพวกนั้นยังยืนอยู่หน้าบ้าน จนฉันต้องไปเรียกยามมาช่วยพาออกจากบ้าน
- หลังจากนั้นฉันออกมานั่งรอแท๊กซี่ ฉันมองที่ขาของฉัน กางเกงขาดเป็นรอยเขี้ยว และมีน้ำเปียกๆ เล็กน้อย เมื่อถกกางเกงขึ้นมา โอ้แม่เจ้า ฉันโดนหมาอินเดียกัด เพื่อนฉันบอกว่าฉันจะตายถ้าไม่ทำอะไร ฉันตกใจ ฉันโทรไปหาแม่ของฉัน ว่าฉันจะตาย ฉันจะเป็นอะไร หรือป่าว แม่ฉันบอกว่าไม่เป็นไร ไปสนามบินแล้วให้ไปหาหมอ
- เมือฉันถึงสนามบิน ฉันไปที่ medical center เค้าถามว่าโดนกัดนานเท่าไหร่แล้ว ฉันบอกว่าประมาณ 40 นาที เค้าบอกว่าไม่ทันแล้ว ฉันตกใจมาก เค้าบอกว่าทันทีที่โดนกันต้องล้างด้วยสบู่ แล้วฉันถามว่าฉันต้องทำยังไง เค้าบอกว่าเดี๋ยวเค้าล้างแผลให้ แล้วต้องฉีดยา 5 เข็ม
- ฉันก็ทำตามโดยดี ฉันก็ถามว่าฉันจะเดินได้ไหม ฉันต้องไปเที่ยวใน 7 วันข้างหน้านี้ แล้วฉันต้องเดินผจญภัยมากมาย เค้าฉีดยาให้ฉัน และก็กำหนดวันฉีดยาวันต่อๆ ไป
- เป็นความซวยของฉันอันที่หนึ่ง และระหว่างเที่ยวตามเมืองต่างๆ ฉันต้องแวะฉีดยา มันเป็นเรื่องตลกมากมาย
- เรื่องที่สองฉันไม่ได้จองตั๋วรถไฟไว้ ต้องไปจองที่เดลลี ด้วยความที่ก่อนวันเดินทางรถมารับแต่เช้าฉันไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อมาถึงเดลลี ฉันเข้าพักที่จองไว้ แล้วนอนหลับไปงีบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไปออฟฟิศช่วยเหลือนักท่องเที่ยวในการจองตั๋วรถไฟ
- ฉันต้องการตั๋วคลาส 2ac, 3ac คือเป็นรถไฟแบบมีแอร์ และเป็นการนั่งรถไฟอินเดียคนเดียวครั้งแรกของฉัน ความซวยที่2 คือตั๋วเต็ม เต็มหมดเลย มีทางเดียวคือต้องนั่งแบบ sleerper class เป็นคลาสที่คนอินเดียนั่งกันมากมาย และไม่ได้เป็นตู้แอร์ แถมฉันต้องนั่งรถไฟต่อกันสองขบวนเพื่อไปถึงเมืองที่ฉันต้องการ ฉันจำยอม คนขายตั๋วบอกว่าเค้าเลือก lady berth ให้ฉัน คือ หกที่นอนมีแต่ผู้หญิง
- ฉันก็โอเค อย่างน้อยไม่อันตรายมาก เพราะรถไฟเป็นรถไฟตอนกลางคืน และเป็นการเดินทางยาว โอ้แม่เจ้าเมื่อฉันขึ้นรถไฟไม่เห็นผู้หญิงสักคน มีแต่หนุ่มๆ อินเดีย ฉันได้ที่นอนด้านบน ขึ้นรถไฟฉันก็ขึ้นเตียงบน นอนหลับเอาแรงก่อนเลย เมื่อมองเงยขึ้นไป คนอินเดียอีกคน เอารองเท้าผ้าใบของตนเองวางไว้บนพัดลมติดเพดาน ฉันอยากจะบ้าตาย
- ความซวยที่ 3 ฉันอาจต้องจดจำไปนาน ฉันนั่งรถไฟไปจากเดลลีไปอัคราแต่เช้า เลือกรถไฟที่เร็วที่สุดเพื่อจะไปชมความงามของทัชมาฮาล เมื่อไปถึงฉันก็ไปถามข้อมูลจากศุนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้ความว่านั่ง prepaid taxi ไปได้ ฉันก็กำลังจะไป แล้วต่อมาเค้าก็บอกฉันว่าวันนี้วันศุกร์ ทัชมาฮาลปิดทุกวันศุกร์ ฉันแทบคลั่ง ฉันมีเวลาอยู่ที่อัครา วันเดียว และไม่สามารถเปลี่ยนแผนได้ สรุปฉันไปถึงอัคราแต่ไม่ได้ดูทัชมาฮาล
- ฉันทำใจ ว่าฉันไม่มีโชค คงไม่มีโอกาสดู ฉันเลยท่องเที่ยวไปเมืองต่างๆ ตามแผน ไปขี่อูฐ นอนกลางทะเลทราย ดูดาว และดาวตกแบบใกล้ชิดที่ไจซัลเมอร์ เมืองสีทอง ไปท่องเที่ยวที่จอดปูร์เมืองสีฟ้า ไปเดินเล่นที่ไจเปอร์ หรือเมืองสีชมพู ขากลับต้องขึ้นเครื่องกลับจากเดลลี
- ฉันมาถึงเดลลี และตัดสินใจกลับไปอัคราอีกครั้ง เพื่อชมทัชมาฮาล วันนั้นเป็นวันพุธไม่ปิดแน่นอน แต่ตั๋วรถไฟไม่มี ฉันยอมจ่ายเท่าตัว เพื่อนั่ง first class ในรถไฟขบวนเดียวกัน ฉันไปถึงอัคราแต่เช้า เวลาเดิม และเดินเข้าไปที่เดิม เพื่อถามหาตั๋วรถไฟกลับเดลลีหากชมทัชมาฮาลเสร็จ ทุกคนในนั้นจำฉันได้
- แต่แล้วฉันต้องโชคร้ายอีกครั้ง เมื่อพวกเค้าบอกฉันว่าวันนี้มีแขกวีไอพีจากฟิลิปปินส์มาเยียมชม ดังนั้น ทัชมาฮาลปิดชั่วคราว ฉันแทบคลั่งอีกครั้ง เมื่อไม่มีโอกาสได้ดู
- อีกหนึ่งเรื่องระหว่างเดินทางท่องเที่ยวเมืองสีทอง ก่อนฉันออกจาก fort นกขึ้ใส่หน้าของฉัน ฉันได้แต่คิดว่าฉันจะโชคดี ฉันจะโชคดี
สุดท้ายนี้
ทริปนี้ฉันจะจดจำไปนานแสนนาน ในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จแบกเป้เที่ยวอินเดีย ฮ่าฮ่าฮ่า
แต่เรื่องดีๆ ก็มีอยู่ว่าฉันได้เจอเพื่อนร่วมทางคนนึง เราจอยทริปกันในวันที่สามของฉัน จนถึงวันสุดท้าย ถ้าฉันไม่เจอเพื่อนคนนี้ ฉันก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน ว่า 7 วันนี้ฉันจะรับมือกับมันไหวไหม





 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2552   
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 16:33:47 น.   
Counter : 1623 Pageviews.  

Introduction

ก่อนอื่นขอเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาว่ามาอยู่ที่บังกาลอร์ได้อย่างไร

เนื่องจากบริษัทที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยมีโครงการแลกเปลี่ยนพนักงานในสายงาน IT กับบริษัทเครือข่ายในเอเชีย แปซิฟิค ซึ่งมีอยู่ในหลายประเทศ เช่น ไทย จีน เกาหลี ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมโครงการไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะไปประเทศใด การคัดเลือกถูกจัดโดยหน่วยงานกลางซึ่งอยู่ที่ฮ่องกง และ CIO แต่ละประเทศจะเป็นคนเลือกว่าอยากได้ใคร

และผลในปีนี้มีผู้เข้าร่วมแค่ 3 ประเทศ คือ ไทย อินเดีย เกาหลี สุดท้ายก็เลยได้มาประเทศอินเดีย โดยบริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บังกาลอร์

ระยะเวลาเข้าร่วมโครงการประมาณ 6 เดือน

ก็เลยเป็นเหตุให้ต้องจากกรุงเทพฯ มาอยู่บังกาลอร์ ตั้งแต่สิ้นเดือน พ.ค. 51- ต้นเดือน พ.ย. 51




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2551   
Last Update : 13 มิถุนายน 2551 18:54:30 น.   
Counter : 277 Pageviews.  


rukum
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add rukum's blog to your web]