อุปสรรคทุกอย่างมีทางแก้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกวิธีแก้อย่างไร
Group Blog
 
All Blogs
 
ตำนานกล้อง/เลนส์ Rangefinder ของ Zeiss และ Leica

เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการคัดลอกมาจากตำราหลากหลายเล่ม และหลาย Forum ใน Internet จุดประสงค์ คือ ต้องการรวบรวมเรื่องราวของกล้อง/เลนส์ Rangefinder ของ Zeiss และ Leica แบบภาษาไทย

Zeiss แต่เดิมเป็นโรงงานผลิตกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) สำหรับใช้ในวงการแพทย์ ส่วน Leica แต่เดิมเป็นโรงงานผลิตกล้องดูดาว กล้องพิกัด (Telescope) แล้วต่างก็พัฒนาเลนส์มาสู่กล้อง 35mm

โดยเริ่มแรกฟิล์มขนาด 135 ยังไม่แพร่หลาย กล้องส่วนใหญ่ยังใช้ฟิล์มขนาดใหญ่ และถ่ายภาพได้จำนวนน้อยรูปต่อการใส่ฟิล์ม 1 ครั้ง ซึ่งตัวกล้องมีขนาดใหญ่ พกพาลำบาก ขณะนั้นมีผู้ผลิตเลนส์หลากหลายยี่ห้อ โดยส่วนใหญ่เลนส์เหล่านั้นจะมีระบบชัตเตอร์อยู่ติดกับเลนส์ ที่ดังๆ ก็เห็นจะเป็นเลนส์ตระกูล Compur ทั้งหลาย (ชื่อ Compur มาจากผู้ผลิต Shutter) และ Zeiss เองก็ได้ผลิตเลนส์ให้กับกล้องประเภทนี้เป็นจำนวนมากมาก่อนแล้ว

ขณะที่ Leica ในช่วงแรกที่เข้าสู่การผลิตกล้องแรกๆ ก็ได้ผลิตเลนส์ให้กับกล้องประเภทนี้เช่นกัน แต่ด้วยการที่เห็นช่องทางในการทำตลาดใหม่ ทำให้ Leica ได้คิดค้นกล้องขนาดเล็กที่สามารถพกพาไปใช้ได้สะดวก และสามารถบันทึกภาพได้ในจำนวนมากต่อการใส่ฟิล์ม 1 ครั้ง ซึ่งเป็นที่มาของกล้อง Rangefinder ที่ใช้ฟิล์ม 135 นับแต่นั้นมา

โดยกล้องรุ่นแรกที่เป็น Rangefinder ของ Leica จะเรียกว่า Null-Series (0-series) และใช้เลนส์เป็นแบบเกลียวขนาด 39mm หรือที่เราเรียกกันว่า M39 หรือ Screw mount ซึ่งทำให้คนใช้กล้องหันมาใช้กล้อง 35mm กันมากขึ้น โดยผู้คิดค้นกล้องคือ Oskar Barnack ส่วนผู้คิดค้นเลนส์คือ Prof. Max Berek (ซึ่ง Max Berek เคยทำงานกับ Zeiss มาก่อน)

เมื่อความนิยมใช้กล้อง 35mm มากขึ้น ทาง Zeiss จึงได้เริ่มผลิตกล้อง Contax ออกมาเพื่อเป็นการแข่งขันกับทาง Leica บ้าง ซึ่งทาง Zeiss จะใช้เลนส์เป็นแบบเขี้ยว ที่เราเรียกกันว่า Bayonet mount โดยแบ่งเขี้ยวเลนส์เป็น 2 แบบในเมาท์เดียวกัน คือ เขี้ยวด้านใน กับเขี้ยวด้านนอก ซึ่งเขี้ยวด้านในจะใช้กับเลนส์ 50mm เท่านั้น ส่วนเขี้ยวด้านนอกจะใช้กับเลนส์ Wide Angle กับ Tele ทั้งหมด โดย Zeiss เองได้ผลิตกล้องให้มีคุณสมบัติที่ดีกว่าทาง Leica คือ มี Speed สูงกว่า Leica ออกมาก่อน เริ่มตั้งแต่ Contax I / II / III (Viewfinder สว่างกว่ารุ่นที่ลงท้ายด้วย IIa / IIIa) และ IIa / IIIa เป็นลำดับ

เมื่อทาง Zeiss ได้ออกกล้อง Contax I ทาง Leica จึงได้เริ่มพัฒนากล้องของตนเองรุ่น Leica I / II / III ซึ่งพัฒนาเรื่อง Speed ต่ำก่อน แล้วค่อยมาเป็น Speed สูงขึ้น เป็นลำดับ

ในช่วงระหว่างการแข่งขันทั้ง 2 ค่าย เวลาขณะนั้นเริ่มต้นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ทั้ง 2 โรงงานต้องปรับกระบวนการผลิตกล้องเพื่อสนับสนุนงานทางการทหาร ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งตัวบอดี้กล้อง และเลนส์จะมีการสลัก หรือเขียนคำว่าเป็นกล้องหรือเลนส์ที่ใช้ในทางการทหารด้วย ภายหลังสงครามกลุ่มนักสะสมจึงนิยมเก็บสะสมกล้องและเลนส์ในช่วงดังกล่าว เพราะมีการผลิตออกมาจำกัด และบางบอดี้มีการพัฒนาความสามารถเฉพาะออกมา เช่น การกันน้ำ หรือ บางเลนส์มีการพัฒนาช่วงระยะเลนส์เฉพาะออกมา โดยกล้องของ Zeiss ที่อยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวคือ Contax II และ Leica คือ Leica IIIc

ในช่วงใกล้สงครามยุติทาง Leica ได้รับคำสั่งให้ผลิตตัวกล้องเป็นหลัก และทาง Zeiss ได้รับคำสั่งให้ผลิตเลนส์เป็นหลัก จึงทำให้เกิดเลนส์บางส่วนของ Zeiss เป็น Mount เกลียวแบบ Leica (ซึ่งภายหลังเลนส์แบบนี้ถูกออกแบบให้กับ Kiev เป็นส่วนใหญ่ เพราะได้แปลนการผลิตเลนส์แบบนี้ไป)

ช่วงใกล้สงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้ยุติ โรงงานของ Zeiss โดนระเบิดถล่มเสียหาย และเยอรมันแพ้สงครามในเวลาต่อมา ทำให้ประเทศเยอรมันถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ คือ เยอรมันตะวันออก และ เยอรมันตะวันตก ขณะที่โรงงาน Zeiss เดิมอยู่ในเขตเยอรมันตะวันออก และทำให้ผู้คนต่างๆ รวมถึงคนงานของ Zeiss ต่างหนีภัยสงครามไปคนละทิศละทาง เมื่อสงครามยุติจึงมีการตั้งโรงงานใหม่ เป็น 2 ฝั่ง คือ Zeiss ตะวันออก ซึ่งใช้ชื่อ Carl Zeiss Jena และโรงงาน Zeiss ตะวันตก ซึ่งใช้ชื่อ Carl Zeiss เฉยๆ
และมีคนงานบางส่วนที่หนีภัยสงครามไปยังประเทศอื่นๆ แล้วผลิตเลนส์ หรือกล้องที่ใช้สูตรใกล้เคียงกับ Carl Zeiss เช่น รัสเซีย จะได้แบบแปลนกล้องและเลนส์ไป จึงได้ตั้งโรงงาน Kiev ขึ้น ช่วงเวลานี้เองทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับกล้อง และเลนส์ต่างๆ ของ Zeiss สูญหายเป็นจำนวนมาก เราจึงไม่มีหนังสือไว้เทียบ Serial Number ของกล้องและเลนส์ Zeiss ที่ครบถ้วนถูกต้อง (จนราวปี 199x ได้มีช่างโรงงาน Zeiss ที่อพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ได้เขียนเป็นบันทึกออกมา เพื่อเรียงลำดับ Serial number และรุ่นของเลนส์ที่ได้ผลิตในช่วงก่อน และหลังสงคราม)

ส่วนทาง Leica เองโรงงานไม่ได้รับความเสียหายมากนัก เนื่องจากตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตก จึงได้ผลิตกล้องและเลนส์ต่อมาภายหลังสงคราม จนมาถึงช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Leica ออกกล้อง Leica M series มาได้พักนึงแล้ว ดังนั้นช่วงสงครามเวียดนามจึงมีบอดี้กล้อง Leica M ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ และเป็นที่ต้องการของนักสะสมเป็นอย่างมาก เช่น Leica M2R หรือ Leica M4 Safari เป็นต้น

ช่วงเวลาดังกล่าวของทั้ง 2 โรงงานถือว่าเป็นยุคทอง (Golden era) ของกล้องระบบ Rangefinder เพราะเลนส์ของกล้องทั้ง 2 โรงงาน มีคุณภาพสูงมาก สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้อย่างดี จึงทำให้เป็นที่นิยมของผู้ใช้กล้องในการถ่ายภาพ แต่เนื่องจากกล้องระบบ Rangefinder ยังมีข้อด้อยหลัก คือ ไม่สามารถจัดองค์ประกอบของภาพให้ตรงกับเลนส์ได้อย่างง่ายดาย กล่าวคือ หากจะใช้เลนส์ Wide Angle หรือ Tele จำเป็นต้องใช้ View finder ต่างหากมาติดตั้งตรงช่องเสียบแฟลช ทำให้ลำบากสำหรับผู้ใช้ ดังนั้นจึงมีการออกแบบกล้อง SLR เกิดขึ้นต่อมา เพื่อแก้ไขข้อจำกัดเรื่องดังกล่าว

เลนส์ของกล้อง Rangefinder ของทั้ง 2 โรงงาน ขออธิบายรุ่นต่างๆ เพิ่มเติมในบทความต่อไป

หมายเหตุ *** ความลับของเลนส์ คือ แก้วเลนส์ที่ผลิตโดย Schott Glass ***
//www.schott.com/english/company/corporate_history/milestones.html



Create Date : 06 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 25 กรกฎาคม 2557 22:36:33 น. 4 comments
Counter : 3461 Pageviews.

 
ขอแชร์ในเฟซบุ๊คนะค้าบ


โดย: jarbo IP: 124.122.24.141 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:08:48 น.  

 
ยอดเยี่ยมเลย

ขออนุญาต เผยแพร่ ในเฟสบุ๊ค ด้วยอีกคนจ้า


โดย: Duckygallery IP: 58.10.3.175 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2553 เวลา:18:17:40 น.  

 
ขอเอาไปแชร์ใน Pixtrang.com ด้วยนะครับ ^^


โดย: Nynicky IP: 223.207.26.36 วันที่: 15 กันยายน 2554 เวลา:2:11:09 น.  

 
ขออนุญาติแชร์ในเฟสบุ้คด้วยคนจร้าา^ ^


โดย: ทับทิมกรอบ IP: 223.206.228.124 วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:6:59:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

rogthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add rogthai's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.