Group Blog
 
All blogs
 

ก่อนจะถึงภูฎาน ตอน "เหตุเกิดบนเครื่องบิน"



จากการอ่าน comment ขอบคุณนะคะที่เป็นกำลังใจให้รัชชี่นำเรื่องราว “ภูฎานในความทรงจำ” มาลงต่อ

ไม่อยากลงทีเดียวยาวค่ะ เพราะอยากให้สัมผัสรายละเอียดของเรื่องราวไปด้วยกัน

อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ เพราะตอน 2 ก็ยังไม่ถึงภูฎานสักที
เรื่องราวมันเยอะค่ะ



ชมรูปภูฎานไปกันพลาง ๆ นะคะ







บนเครื่องบินดรุกแอร์เวลาเดินทาง 4.35 กับ
เที่ยวบินประวัติศาสตร์

เครื่องบินเริ่มออกเดินทางตามปกติ แอร์เริ่มแจกจ่าย
อาหารเช้าให้ เหตุการณ์ยังปกติอยู่จนกระทั่งใกล้เวลา
6 โมงเช้า กัปตันเริ่มประกาศว่าจะต้องลงจอดที่พม่าเป็นการชั่วคราว
เพื่อ Fix problem ฉันสรุปจากการฟังมาได้แค่นี้ แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าเป็น

ปัญหาอะไรเพราะกัปตันไม่ได้บอก



เวลาผ่านไปอีกสักครู่ ได้ยินเสียงว่า “Captain again, คงจะต้องกลับสุวรรณภูมิ
ละนะ” ช่วงเวลาขณะนั้นมองออกไปทางหน้าต่างขวาเห็นแสงอาทิตย์ขึ้นรำไร (ฉันนั่งอยู่ฝั่งขวา) อีกสักพัก พวกที่นั่งฝั่งซ้ายบอกว่าเห็นแสงอาทิตย์แล้ว
เหมือนกัน คือเครื่องบินวกกลับสุวรรณภูมิ

แอร์เริ่มเก็บถาดอาหาร แต่มาแปลก ปกติเขาจะต้องใช้ล้อเลื่อนที่บรรทุกอาหารมาเก็บใช่มั้ย แต่คราวนี้แอร์นำถุงดำใบใหญ่มาเก็บ และรีบโยนถาดอาหารพวกเราที่ทานเสร็จแล้วใส่ในถุงดำ






ก่อนอื่นฉันต้องบอกก่อนว่า ขณะนั้นฉันไม่ค่อยเห็นเหตุการณ์ พฤติกรรมต่าง ๆ
บนเครื่องมากนัก เพราะฉันก็หลับ ๆ ตื่น ๆ
เนื่องจากคืนก่อนหน้านั้น ฉันนอนไม่เต็มที่เพราะตีสองก็ต้องไปอยู่ที่สนามบินแล้ว

แต่ที่แน่ ๆ ฉันได้ยินเสียงกัปตันประกาศว่า “Captain again” หลายครั้ง และ
ความรู้สึกนั้นฉันสัมผัสได้ว่ากัปตันคงพยายามคิดคำพูดที่นุ่มที่สุดจะบอกกับเรา ขณะนั้นฉันก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรร้ายแรงที่เกิดขึ้น แต่คิดว่าการใช้เวลาประมาณ
1 ชม. ที่จะกลับสุวรรณภูมิ ถ้าเป็นในกรณีที่กัปตันบอกว่าจะต้อง
Fix problem นั้น ก็นานพอดูเหมือนกัน










ฉันมาได้ข้อคิดภายหลังว่าการที่เราไม่รู้อะไรเลยในบางเรื่อง
น่าจะเป็นข้อดีมากกว่า สมมติว่าผู้โดยสารรู้ว่าจะเกิดอะไร แน่ละย่อมมีการตื่นตระหนก อาจจะลุกขึ้นยืน หรือกระทำการใด ๆ
ที่ไม่มีสติ และส่งผลร้ายต่อการควบคุมการทำงานของกัปตัน








กลับสู่ภาคพื้นดินสุวรรณภูมิเวลา 7.00 เพราะกระจกด้านหน้านักบินร้าว



พวกเรากลับมาสุวรรณภูมิกันอีกครั้ง บนภาคพื้นดินเริ่มมีการ
คุยกันของผู้โดยสาร ฉันเริ่มรู้เรื่องราวมากขึ้นว่ากระจกเครื่องบินที่ด้านหน้านักบินร้าว ดังนั้นการไปต่อจะอันตรายมาก เพราะถ้าร้าวมากขึ้น ระบบความดัน ระบบออกซิเจนคงมีปัญหาตามมาแน่ ๆ ตามกำหนดการเดิม เครื่องบินจะต้องไป Transit ที่โกลกัตตา (หรือกัลกัตตา) ประเทศอินเดีย 45 นาที แล้วจึงจะบินไป
ภูฎานต่อ

ที่สนามบินพม่ามีความไม่พร้อมเรื่องอุปกรณ์ กัปตันจึงตัดสินใจที่จะบินกลับสุวรรณภูมิแม้จะใช้เวลาในการเดินทางมากขึ้น










ขณะนั้นผู้โดยสารยังไม่รู้อนาคตว่าจะได้เดินทางเวลาใด เพราะต้องรอเวลาซ่อม
ฉันเคยมีประสบการณ์กระจกรถแตก แล้วเปลี่ยนกระจกใหม่ นี่ขนาดเป็นรถ ยังใช้เวลาเป็นชั่วโมง นี่เป็นเครื่องบินนะ เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบว่า ยังไม่ทราบว่าจะได้เดินทางเวลาไหน แต่จะเปิดโรงแรมเมอร์เคียวที่รัชดาให้ สมมติ
ถ้าไม่สามารถเดินทางในวันนั้นได้ พวกเราก็จะนอนที่นั่น

ประการสำคัญคือ ถ้าในกรณีที่ต้องเดินทางไปถึงที่นั่นค่ำมาก ๆ สนามบินที่ภูฎานจะปิดเพราะสภาพอากาศจะไม่อำนวยสำหรับนักบินที่จะนำเครื่องลง

พวกเราไปเจอหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ภูฎานมีข่าวของเที่ยวบิน
พวกเราด้วยล่ะ จึงขอหนังสือพิมพ์ฉบับนี้จากโรงแรมกลับมา กะว่าจะมา Scan ส่งถึงกันและเก็บไว้เป็นเที่ยวบินประวัติศาสตร์ของพวกเราเชียวนะ






....รอติดตามเรื่องราวตอนต่อไปนะคะ.....

.....รัชชี่....บันทึกการท่องเที่ยวปี 2551.....










Only Time - Enya






 

Create Date : 11 มีนาคม 2552    
Last Update : 11 มีนาคม 2552 20:33:32 น.
Counter : 2648 Pageviews.  

ก่อนจะถึงภูฎาน



ไม่รู้ว่าช่วงนี้การท่องเที่ยวไปยังภูฎานยังฮิตหรือเปล่า

ความจริงฉันเคยนำเรื่อง “ภูฎาน” มาลงใน Blog แล้ว แต่เทียบแล้วยังค่อนข้างเป็นฉบับย่อมาก มานึกถึงงานเขียนที่เขียนเก็บไว้กับตัวเองที่ค่อนข้างยาว มีรายละเอียด เป็นความรู้สึก
สด ๆ ร้อน ๆ หลังจากเพิ่งกลับมา รู้สึกว่าน่านำมาแบ่งปันกัน เผื่อใครที่คิดจะไป และเผื่อใครที่ไม่ได้ไป แล้วได้รู้สึกเหมือนร่วมเดินทางท่องเที่ยวไปกับฉันด้วย

งานเขียนชิ้นนี้เริ่มตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่คิดจะไป ความตื่นเต้นของการเดินทาง ความเหนื่อย ความไม่สบายที่เกิดขึ้น จนนำมาสู่ความประทับใจ รวมถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่พบเห็นหรือได้จากการฟัง

ลอง sample ดูสัก 1 ตอนนะคะ ว่ายังอยากอ่านตอนต่อไปกันหรือเปล่า จะได้นำมาลงสัปดาห์ละตอนค่ะ


.......รัชชี่........บันทึกการท่องเที่ยวปี 2551







ก่อนจะถึงภูฎาน

นับจากงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปีครองราชย์ของในหลวงของเรา ขณะที่ฉันนั่งดูทีวีไปด้วยความอิ่มเอิบใจ ครั้งที่พระราชอาคันตุกะมาเยือนเพื่อทรงร่วมในโอกาสอันเป็นมหามงคลของชาวไทย

องค์มกุฎราชกุมารในเวลานั้น จิ๊กมี่ เกเซอร์ นัมเกล วังชุก
(หรือกษัตริย์ภูฎานองค์ปัจจุบัน) ได้ทำให้คนไทยรู้จักประเทศภูฎาน จากที่เคย
รับรู้สมัยเด็ก ๆ ว่ามีประเทศนี้อยู่ในโลกด้วย ตอนที่ท่านเดินเข้ามา ฉันรู้สึกว่าท่านแต่งตัวแปลกจัง มีผ้าพาดสีเหลือง (บางคนบอกว่าเหมือนพระ) และด้วย
พระจริยวัตรของท่าน ท่าทีนอบน้อม ไม่ยากเลยที่จะทำให้คนไทยชื่นชมภายในระยะเวลาไม่นาน เกิดปรากฎการณ์ “จิ๊กมี่ ฟีเวอร์” ขี้นในประเทศไทย
ในช่วงเวลานั้น



ขอบคุณภาพจาก //guru.sanook.com/picfront/pedia/34199__03122007113543.jpg


ขอบคุณภาพจาก //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tomito-kush...

เหตุการณ์จากวันนั้นเกิดขึ้นราวกลางปี 2549 แม้ว่าจะมีข้อมูลของประเทศภูฎานเผยแพร่มากขึ้น ได้ยินแต่ว่าจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว แล้วก็แพงด้วยสำหรับประเทศทางตะวันออก เพราะมีภาษีเหยียบประเทศ (Land cost) วันละ
200 ดอลลาร์ รวมค่าท่องเที่ยวทั้งหมดคร่าว ๆ ตีว่าวันละหมื่นบาท ใกล้เคียงกับไปยุโรป หรือญี่ปุ่น ดังนั้นภูฎานจึงยังไม่อยู่ในสารบบรายการท่องเที่ยวของฉันเลยแม้แต่น้อย








เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ ครั้งที่ฉันไปขึ้นยอดเขามองบลังก์ในฝรั่งเศส ระดับความสูงประมาณ 4,000 เมตร ฉันเจอปัญหา
แพ้ความสูง เนื่องจากอากาศบางเบา มึนงงวินเวียน พอลงมาข้างล่างก็คล้ายจะอาเจียน

มาเจอข้อมูลภายหลังว่าเขาเรียกว่า High altitude sickness การอยู่ในระดับความสูง 3,000 เมตรขึ้นไป จะมีผลต่อระดับ
ความดันของร่างกาย ดังนั้นจึงคิดว่าคงไม่มีโอกาสไปประเทศที่ระดับสูง ๆ เช่น กลุ่มประเทศแชงกรีล่า ทิเบต เป็นแน่แท้









เมื่อถึงเวลา

ฉันชอบใช้คำพูดนี้จังว่าเมื่อถึงเวลาของมัน ทุกอย่างก็จะมาถึง แล้ววันนึงก็มาถึงเมื่อมีผู้จุดประกาย “ไปภูฎานกันเถอะ” ฉันก็ยังไม่คิดไปหรอก (แต่ขนาดไม่คิดจะไปนะ ก็แอบไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับภูฎานมาอ่าน 1 เล่ม
ก็อยากรู้น่ะว่าจะมีอะไรน่าสน) พร้อมกับมีเพื่อนที่ไปมาเมื่อปีที่แล้วบอกว่าตรงโซนที่ไปเที่ยวก็เปรียบเสมือนเราอยู่ระดับเชียงใหม่บ้านเรา ไม่ได้ไปตรงที่ระดับความสูงขนาดนั้น ดังนั้นเมื่อทุกอย่างพร้อม โปรแกรมท่องเที่ยวจึงเกิดขึ้น



เบื้องต้นได้ข้อมูลว่าถ้ามีสถานะเป็นนักศึกษา จะได้ส่วนลด 20% ของ Land cost จาก 200 ดอลลาร์ต่อวัน ทำเอาในก๊วนวางแผนจะไปสมัครเป็นนักศึกษาของ มสธ. เพราะเปรียบเทียบค่าสมัคร กับส่วนลดที่จะได้ตรงนี้ “คุ้ม ๆ”

แต่ก็มีคนสะกิดขึ้นมาว่า “เขาน่าจะกำหนดอายุของนักศึกษานา ไม่งั้นใคร ๆ ก็แห่ไปสมัคร มสธ.กันใหญ่” โชคดีที่ผู้จัดเตรียมทัวร์ของเราซึ่งไปเที่ยวมาเมื่อปีที่แล้ว แล้วประทับใจจนจะไปอีกครั้ง เจรจาต่อรองกับมัคคุเทศก์จนได้ส่วนลดมาจริง ๆ แต่เราต้องจ่ายตังค์เต็มไปก่อน เมื่อไปถึงแล้วจะคืนให้ แต่ได้คืนไม่ถึงขนาดนั้นนะ คุยกันว่าเดี๋ยวเค้าก็ให้ไปนอนที่พักแย่ ๆ หรอก ไปต่อเค้าขนาดนั้น








If - Babyface




 

Create Date : 06 มีนาคม 2552    
Last Update : 7 มีนาคม 2552 14:57:50 น.
Counter : 1397 Pageviews.  

1  2  3  4  

รัชชี่
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




พี่มานิต ประภาษานนท์ เป็นผู้ชักชวนเข้าสู่วงการการเขียนบล็อก ด้วยประโยคว่า
“จ๊ะเขียนบล็อกซี"

เริ่มเขียนบล็อก : 24 ก.ย. 51




สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539 ห้ามละเมิดไม่ว่าการลอกเลียน นำรูป ข้อความที่เขียนไว้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในบล็อกแห่งนี้ ไปเผยแพร่อ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก






Setting program for counting visitors since 7 Nov. 2009
free counters
New Comments
Friends' blogs
[Add รัชชี่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.