Group Blog
 
All blogs
 

ย่ำต๊อกวัดเบญ ถึงวิมานเมฆ...ตอน 1



วันหยุดสำหรับชาวกรุงเทพมหานครแล้ว ส่วนใหญ่ถ้าจะเดินเที่ยวอยู่ตาม
ห้างสรรพสินค้า บ่อยครั้งมันก็น่าเบื่อเหมือนกันนะ

สถานที่ที่แสดงความเป็นมาของประวัติศาสตร์ เป็นประเภทหนึ่งของสถานที่ที่ฉันชอบ แต่แปลกจังคนไทยไปเที่ยวแบบนี้น้อยนะ กลายเป็นว่าส่วนใหญ่ไปแล้วจะเจอชาวต่างชาติมาเยี่ยมชมซะมาก

เมื่อช่วงปีใหม่ ฉันเดินย่ำต๊อกจากวัดสุทัศน์ ไปเรื่อย ๆ จนไปสิ้นสุดที่ธรรมศาสตร์มารอบหนึ่ง

คราวนี้ได้โอกาสเดินย่ำต๊อกอีกรอบจากวัดเบญจมบพิตร ผ่าน
พระที่นั่งอนันตสมาคม ไปเรื่อย ๆ จนถึงสวนสัตว์ดุสิต ออกจากสวนสัตว์ เดินต่อไปยังพระที่นั่งวิมานเมฆ ทำให้เพิ่งรู้จักคำว่าพระที่นั่งอภิเศกดุสิตที่นี่เอง

ที่น่าแปลกคือทุก ๆ สถานที่ที่ไปคราวนี้ เป็นการไปเยี่ยมเยือนเข้าถึงข้างในเป็นครั้งแรก เคยแต่นั่งรถผ่านเท่านั้น

ทำให้พบว่าการเดินเป็นการสัมผัสการเดินทางที่ดีที่สุด และทำให้รู้การต่อกันของสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ไทย

เริ่มต้นที่วัดเบญจมบพิตร




วัดเบญจมบพิตรเมื่อวันวาน



ขอบคุณภาพประกอบจากวันวานจาก Bloggang คุณกัมม์ค่ะ

พระอุโบสถทำด้วยหินอ่อน จึงเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "The Marble Temple" รูปทรงพระอุโบสถหลังนี้มีผู้กล่าวว่าเป็น"ยอดของสถาปัตยกรรม
สมัยรัตนโกสินทร์

สถาปนิกผู้ออกแบบและประธานในการก่อสร้างคือ
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศนุวัติวงศ์





น่าเสียดายยังอยู่ในช่วงบูรณะนะ เคยอ่านเจอ ๆ อยู่ แต่ก็คิดว่าคงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปกติเมื่อก่อนที่นั่งรถผ่านจำได้แต่มองเห็นเป็นวัดสีขาว



แอบบอกว่าแรงบันดาลใจของการไปวัดเบญจมบพิตร มาจากบล็อกหนึ่งของน้อง "เจื้อยแจ้ว" (มังกรเขียวหัวยุ่ง) ซึ่งน้อง "เจื้อยแจ้ว" ได้จุดประกายถึงวิชาเรียนเรื่อง "ความสนุกในวัดเบญจมบพิตร" พระนิพนธ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล

"เจ้าหน้าที่สมาคมสำนักเบญจมบพิตร ต้องการให้ข้าพเจ้าเล่าเรื่องใน
วัดเบญจมพิตร ให้แก่หนังสือเบญจมบพิตรสัมพันธ์ที่จะออกใน
วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๙๘ "
.... หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล........

และทำให้เราลืมนึกถึงเรื่องใกล้ ๆ ตัวเรา ด้านหลังเหรียญห้าบาทคือ
วัดเบญจมบพิตรนี่เอง









องค์พระด้านในนี้คือ พระพุทธชินราชจำลอง (จากพิษณุโลก)




เห็นถาดวางพวงมาลัยด้านในค่ะ




ความงดงามของศิลปะในอดีต



แรงบันดาลใจของบล็อกน้อง "เจื้อยแจ้ว" ที่ทำให้อยากไปเห็นสะพานนี้ค่ะ




















สะพานถ้วย ได้สร้างขึ้นด้วยเงินค่าถ้วยชาพื้นสีลายทอง งานพระเมรุซึ่ง ร.5 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จำหน่ายในการออกร้านที่วัด เมื่อ ร.ศ. ๑๑๙ ทรงพระราชอุทิศเงินค่าถ้วยชานั้นให้สะพานนี้ จึงพระราชทานนามว่า “สะพานถ้วย” ได้สร้างแล้วเสร็จเมื่อ ร.ศ. ๑๒๑”








...ต้นสาละที่วัดเบญจมบพิตร....




ชอบใจชื่อศาลาค่ะ



"งานที่สนุกที่ ๑ ในวัดเบญจมบพิตร คืองานออกร้านในวัดนี้ อันเป็นงานประจำปีในฤดูหนาว เพื่อเก็บเงินบำรุงวัดซึ่งยังไม่แล้วเรียบร้อยดี เรียกกันในสมัยนั้นว่า “งานวัด” ร้านต่างๆ มีตั้งแต่ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจ้านายทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย สุดแต่ใครมีกำลังจะทำได้ จนถึงชาวต่างประเทศผู้เป็น
นายห้างใหญ่ๆ บริเวณร้านอยู่ในเขต
...."รั้วเหล็กแดง".....เท่านั้น "

ที่มา : ความสนุกในวัดเบญจมบพิตร พระนิพนธ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล







"เขตรั้วเหล็กแดง" ที่ท่านว่าหมายถึง...รั้วแดง....นี่กระมัง


......รัชชี่......

In English .... By Ratchee....

I think holiday for people who stay in BKK mostly go to departmentstore , but I think that if going very often , sometime it’s boring.

I like historical place but not much Thai people like (I think), so when visiting I usually meet foreigners.

During new year festival I walk from Wat Sutat and some places and finally walking to Thammasat University.

This time I had a chance again walking from Wat Benchama Bophit , Anantasamakom , Dusit Zoo and then Vimanmek Mansion. So strange I just visited really at the first time to touch environment there.
It made me find that walking is the best touching for travelling.

This temple made of marble so some called in English that
"The Marble Temple”

Unfortunately I went as time of renovate of this temple. Otherwise it’s more beautiful than this.

Inspiration for visiting this temple is from reading “Bloggang of Crudustlife” and reminding one subject while studying at the age of student “Fun at Wat Benchama Bophit” written by M.C. (Momchao) Poonpisamai Disakool
And it makes me remind of something , at the back of 5 Baht coin is the picture of this temple.
Do you remember???


Buddha image at this temple copied from Buddha image "Praputhachinarat” in Pisanuloke Province.


And inspiration of Bloggang of Crudustlife makes me want to see primitive bridge built in King 5Th era. So beautiful.









 

Create Date : 26 สิงหาคม 2552    
Last Update : 26 สิงหาคม 2552 17:37:08 น.
Counter : 4049 Pageviews.  

สด๊กก๊อกธม ปราสาทที่ (เกือบ) ถูกลืม ...ตอน 3



ห้อง 2 ห้องนี้ (ด้านซ้ายและด้านขวา) ยุวมัคคุเทศก์บรรยายว่า เชื่อว่าเป็นที่เก็บเครื่องพิธีของพราหมณ์

อ้อ! เห็นหินแล้วนึกขึ้นได้ค่ะ จุดสังเกตเวลาไปเดินเที่ยวชมปราสาทหินที่ไหน ๆ ก็ตาม จุดสังเกตของเก่ากับของใหม่ ถ้าเป็นหินเก่าเป็นก้อน ๆ แบบนี้ จะมีรูค่ะ (คาดว่าสมัยก่อนคงเป็นจุดที่ใช้ลากหินมาต่อกัน)











อีกมุมหนึ่งที่น้องไกด์บอกว่าเป็นทับหลังที่สมบูรณ์ที่สุดของปราสาทนี้ ชื่อว่า
อัคนีย์ทรงคชสีห์ (อันนี้ฉันไม่แน่ใจว่าจำถูกหรือเปล่าค่ะ เพราะว่าไปหาข้อมูล
ก็ไม่เจอ เลยได้แต่จำมาจากฟังน้องไกด์)







สิ่งที่น่าเสียดายของปราสาทนี้คือ สมัยปี พ.ศ. 2507 พวกค้าโบราณวัตถุว่าจ้างชาวบ้านให้ลักลอบขุดหาโบราณวัตถุที่ปราสาท

ชาวบ้านที่ไม่รู้คุณค่าของโบราณสถาน จึงปีนขึ้นไปงัดส่วนยอดปราสาท
พังทลายแผ่นหินลงมา นำทับหลังสกัดหินแกะสลักลวดลายสวยงาม
หรือรูปประติมากรรมไปขาย







บรรณาลัย 2 หลัง ตั้งอยู่ด้านหน้าปราสาทประธาน เชื่อกันว่าเป็นห้องสมุดหรือห้องเก็บคัมภีร์ ฐานก่อสร้างด้วยศิลาแลง เรือนเป็นหินทราย

สัญลักษณ์ของบรรณาลัย น่าจะเกี่ยวกับการปกครองระบอบเทวราช ซึ่งมีประเพณีก่อสร้างเทวสถาน จารึกสด๊กก๊อกธม บันทึกว่า “เพื่อคุ้มครอง พระนคร
พระเทวราช จึงถูกนำไปประดิษฐานในนครต่าง ๆ ตามที่พระราชานครนั้น ๆ
ขึ้นครองราชย์”

บรรณาลัยจึงน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของพราหมณ์ปุโรหิต





มุมก่อนจะถึงบรรณาลัย









มองย้อนกลับไปทางทิศตะวันออก ที่เห็นมุมเล็ก ๆ 2 ข้างคือบรรณาลัย 2 หลัง





จารึกสด๊กก๊อกธมทำให้ทราบว่าสมัยอาณาจักรเมืองพระนครขอมมีระบบราชการเป็นระบบอุปถัมภ์ เคารพในความอาวุโส

จึงมีประเพณีที่พราหมณ์ปุโรหิตจะสร้างหมู่บ้าน รูปเคารพ มอบข้าทาสให้กับอาจารย์ผู้มีพระคุณ


แล้วพบกันตอนต่อไปซึ่งน่าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ



....รัชชี่....


ขอบคุณเรื่องราวจาก
"จารึกสด๊กก๊อกธม รหัสผ่านประวัติศาสตร์ขอม"
"อภิชาติ ทวีโภคา"








Brief in English version, …. by Ratchee…..




From an inscription (ศิลาจารึก) of Sadokkokthom, noted that Brahman (พราหมณ์) had more power at that age. All these constructions donated to Shiva (พระศิวะ).


Lintel (ทับหลัง) I shows is Lintel which is the only perfect piece here. In 1964 some people destroyed and stolen some lintels for selling.


เนื่องจากเขียนเป็นภาษาอังกฤษยาก เพราะมีศัพท์เฉพาะ เลยขอสรุปเป็นภาคภาษาอังกฤษสั้น ๆ เอาไว้เพียงแค่นี้











 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2552 17:29:09 น.
Counter : 3308 Pageviews.  

สด๊กก๊อกธม ปราสาทที่ (เกือบ) ถูกลืม...ตอน 2



ก่อนเข้าชมปราสาทหลังที่ 1 ขอพาชมส่วนที่เป็นบาราย (ในอดีต) ค่ะ ปัจจุบัน
ไม่มีน้ำแล้วค่ะ สามารถย้อนกลับไปดูแผนผังปราสาทที่บล็อกตอนที่ 1 ได้ จะพบว่าพื้นที่ส่วนเป็นบารายในอดีตมีพื้นที่ใหญ่พอสมควรเมื่อเทียบกับปราสาท

ก่อนเข้าปราสาทหลังที่ 1



บารายในอดีต ปัจจุบันรกร้าง มองสุดกู่เลยไป 2 กม.คือฝั่งเขมรค่ะ (ความจริงพื้นที่ปราสาทนี้ก็อยู่ฝั่งไทยนะ แต่เขมรก็อยากได้ (อีกแล้ว))


ชนชาติเขมรโบราณมีความรู้เรื่องชลประทานการจัดการเรื่องน้ำเป็นอย่างดี การก่อสร้างบารายจึงเป็นการนำความรู้การใช้ประโยชน์จากน้ำมาผสมผสานกับ
ความเชื่อทางศาสนา จนเป็นประเพณีก่อสร้าง
บารายคู่กับเทวสถาน

จากจารึกสด๊กก๊อกธมที่ค้นพบ มีส่วนหนึ่งบันทึกไว้ว่า
“แอ่งน้ำใหญ่นั้น ลึก ใส สะอาด เป็นที่รวมของบัวและหงส์”


บอกเสียก่อนหากใครคิดจะไปเที่ยว ห้ามเดินออกนอกบริเวณไปเดินเล่นที่บารายเก่านะคะ เพราะยังกู้กับระเบิดไม่หมด เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ฉันว่า
จุดอ่อนของที่นี่ควรจะทำที่กั้นบริเวณบอกนักท่องเที่ยวให้เป็นเรื่องเป็นราวว่า
ห้ามเดินออกนอกบริเวณนี้






บริเวณบารายในอดีต ตอนนี้รกร้าง


ช่วงปี 2518-2526 เกิดสงครามภายในเขมร ทหารเขมรเสรีกับราษฎรชาวเขมรอพยพหนีภัยสงครามมาอาศัยอยู่ในบริเวณปราสาทสด๊กก๊อกธม เจ้าหน้าที่
ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติได้ขอใช้พื้นที่ปราสาทเป็น
ศูนย์อพยพลี้ภัยชั่วคราว






แท่งหินชำระบาป ยุวมัคคุเทศก์ให้เรายืนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก แล้วถ้าใครมีเรื่องราวจะกล่าวขอขมาใคร หรือขอโทษในสิ่งที่ทำผิดไป ให้นำมือแตะที่
แท่งหินพร้อมขอขมา เปรียบเสมือนชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์
ก่อนที่จะเข้าปราสาท




ป้ายแสดงรายชื่อผู้ร่วมบริจาคเงิน ญี่ปุ่นร่วมกู้กับระเบิดในบางพื้นที่
แต่ก็ยังกู้ไม่หมดอยู่ดี




เห็นธงชาติไทยมั้ยคะ



ฉนวนทางเดินก่อสร้างด้วยศิลาแลง มีเสานางเรียงปักไว้ทั้ง 2 ข้าง
ฉนวนทางเดินนั้นก่อสร้างเพื่อประโยชน์ใช้สอยเป็นทางเดินและให้เป็นสัญลักษณ์ของสายรุ้งซึ่งเชื่อว่าเป็นสะพานเชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า

ฉนวนทางเดินและเสานางเรียงของปราสาทสด๊กก๊อกธม ยังให้ความหมายเรื่องสัญลักษณ์จากการเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง สิ่งใดที่เกี่ยวกับมนุษย์จะก่อสร้างด้วยศิลาแลง สิ่งใดเกี่ยวกับพระเจ้าจึงสร้างด้วยหินทราย

การเดินทางไปประกอบพิธีบวงสรวงบูชายัญพระเจ้าเป็นสิ่งมงคลสว่างไสว
เสานางเรียงจึงถูกสร้างเป็นสัญลักษณ์ไต้หรือโคมไฟด้วยวัสดุหินทรายซึ่งมี
ความหมายถึงพระเจ้า









ก้าวเข้าสู่ปราสาทหลังที่ 1








มองย้อนกลับออกมาตรงทางเข้าปราสาทหลังแรก








เมื่อเซียนถ่ายรูปพบกัน ต่างมองต่างมุม



ตากล้องรัชชี่พาทัวร์ชมมุมต่าง ๆ ของปราสาท











....รัชชี่....

Note : ขอบคุณความรู้ที่ได้จาก
"จารึกสด๊กก๊อกธม รหัสผ่านประวัติศาสตร์ขอม"
โดย อภิชาติ ทวีโภคา







Brief in English version…by …Ratchee…



At the east of entrance to Prasart Sadokkokthom is pond (Barai) but now there is no water there. In the past this pond was quite big place and importance here.

Far away from this pond around 2 kilometer is Cambodia.

Warning for tourists if you would like to go, please don’t walk away from Prasart area because there’re still trap mine from the past.

You can see one big stone , the guide suggested us standing to the east of Prasart and touch your hand to this stone ,if you have something to apologize someone or something you did, you have to clean your body and soul before walking to Prasart











 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2552 20:59:19 น.
Counter : 2087 Pageviews.  

สด๊กก๊อกธม ปราสาทที่ (เกือบ) ถูกลืม ...ตอน 1



ถ้าพูดถึงชื่อปราสาทสด๊กก๊อกธม ย้อนหลังไปสักปีก่อน คงต้องบอกว่าเป็นชื่อปราสาทที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จนกระทั่ง
เกิดข่าวคราวความขัดแย้งระหว่างไทยกับเขมรอีกครั้งจากกรณีพิพาทเรื่องพื้นที่ทับซ้อนของปราสาทเขาพระวิหาร
เมื่อเขมรเตรียมยื่นเรื่องให้เป็นมรดกโลก

จากนั้นเริ่มมีข่าวว่าปราสาทสด๊กก๊อกธมกลายเป็น 1 ในปราสาทหินที่เขมรอยากจะได้เป็นทรัพย์สินของชาติอีก






ลิสต์รายชื่อปราสาทอื่น ๆ ที่ชักจะเริ่มยุ่ง ๆ อีก ได้แก่

ปราสาทโดนตวล จ.ศรีสะเกษ

ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์

และปราสาทตาควายจ. สุรินทร์

ฉันเดินทางออกจากกรุงเทพ 7 โมงครึ่งถึง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นถิ่นที่ตั้งของปราสาทนี้ ประมาณ 11 โมง ใช้เวลาสัก 3 ชั่วโมงครึ่ง รวมแวะพักบางจุด







สด๊กก๊อกธม เป็นภาษาเขมร สด๊ก แปลว่า ยุ่งเหยิง รกรุงรัง ก๊อก คือ ต้นกก
ธม แปลว่าใหญ่

ปราสาทนี้จึงตั้งชื่อตามลักษณะภูมิประเทศเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่มีต้นกกขึ้นรกรุงรัง (ปัจจุบันแหล่งน้ำไม่มีแล้ว)

ปราสาทสด๊กก๊อกธมอยู่ในระหว่างบูรณะ



เมื่อแรกที่ไปถึง ยังคิดว่าพื้นที่แค่นี้เองหรือ อุตสาห์มาตั้งไกล คือจุดที่เห็นเป็นความกว้างน่ะค่ะ แต่พอเดินจริงแล้วความยาวก็เพียงพอสำหรับเดินชมแล้วเหนื่อยเหมือนกัน มุมที่เห็นมุมนี้คือปราสาทหลังที่ 5 (มีทั้งหมด 5 หลัง)

เราจะต้องเดินผ่านกำแพงทางขวา (จากรูป) เพื่อไปเริ่มต้นเข้าที่ปราสาทหลังที่ 1 เป็นฝั่งทิศตะวันออก






เดินผ่านกำแพงนี้ไปเพื่อไปยังปราสาทหลังแรก










แผนผังภาพรวมของปราสาทสด๊กก๊อกธม



ขอบคุณภาพจาก //www.OKAnation.net/blog/varanai

ยุวมัคคุเทศก์ อยู่ชั้น ม. 3 ผ่านการฝึกอบรมมา แล้วมาทำงานวันหยุด พากรุ๊ปทัวร์ชม 2-3 กลุ่มเฉลี่ยต่อวัน

น้องไกด์บอกว่าพื้นที่ทั้งหมดบริเวณนี้ประมาณ 200 ไร่
เป็นพื้นที่ในส่วนปราสาท 16 ไร่








.........ต่อจิ๊กซอว์...........

นักโบราณคดี กรมศิลปากรจะนำแผ่นหินมาต่อกันเหมือนต่อจิ๊กซอว์

หลักการบูรณะโดยใช้ทฤษฎี "อนัสติโลซีส"

เป็นการนำก้อนหินและชิ้นส่วนต่างๆลงมา โดยใส่ “หมายเลขรหัส” ไว้ตามตำแหน่งของก้อนหินทุกก้อน และค้นหาชิ้นส่วนที่ตกหล่นกระจัดกระจายอยู่ นำมาทำความสะอาด

ทดลองประกอบที่ลานทดลอง แล้วรื้อโครงสร้างเดิมออก เสริมฐานรากใหม่ให้แข็งแรง ก่อนนำชิ้นส่วนของปราสาท กลับขึ้นไปประกอบในตำแหน่งเดิมอีกครั้ง เสริมส่วนที่สูญหายไปด้วยวัสดุใหม่

อนัสติโลซีส หลักเกณฑ์นี้ตัวอาคารจะใช้วัสดุอื่นทดแทนชี้นส่วนที่สูญหายได้ไม่เกินร้อยละ 5 เท่านั้น คาดว่าจะบูรณะแล้วเสร็จภายในปี 2554







อีกชิ้นหนึ่งที่ถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์









ทางเข้าปราสาทหลังที่ 1



จากการศึกษาข้อมูล ฉันพบข้อมูล 2 แหล่งที่เอ่ยอ้างไม่เหมือนกัน
ถึงเรื่องผู้ก่อสร้างปราสาท

แหล่งหนึ่งแจ้งว่า

พราหมณ์สทาศิวะเป็นปุโรหิตในรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1
และพระเจ้าอุทยาทิตยวรมันที่ 2 เป็นผู้จัดทำจารึกสด๊กก๊อกธม เพื่อสรรเสริญ
พระเจ้าอุทยาทิตยวรมันที่ 2 ที่ทรงก่อสร้างปราสาทสด๊กก๊อกธมและพระราชทานพระศิวลึงค์ไปประดิษฐานที่หมู่บ้านภัทรนิเกตนะ ที่ตั้งปราสาทดังกล่าว



อีกแหล่งข้อมูลกล่าวว่าจารึกสด๊กก๊อกธมหลักที่ 1 (ปัจจุบันเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงเทพ) ปีมหาศักราช่ที่ระบุในจารึกมีข้อมูลแสดงว่า ปราสาทนี้น่าจะสร้างขึ้นในรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 4

น้องยุวไกด์ที่บรรยายให้ทีมเราฟังก็บอกว่าสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 4





.......รัชชี่......

Note : ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก "จารึกสด๊กก๊อกธม
รหัสผ่านประวัติศาสตร์ขอม”
โดย "อภิชาต ทวีโภคา"







Brief in English version by ...Ratchee.......



Prasart Sadokkokthom is one of historical site of Khmer style , even here is still not famous place in Thailand but after critical point between Thailand and Cambodia about listing Preah Vihear temple to be one of the World Heritage . So this place is just more well - known.

The word “Sadokkokthom” means “the town in which papyrus grew thick in a big pond”.

It’s not much far away from BKK, three to three hour and a half by car, located at Khok Sung, Sa Kaeo.









 

Create Date : 29 มิถุนายน 2552    
Last Update : 29 มิถุนายน 2552 18:59:33 น.
Counter : 3265 Pageviews.  

“ปราสาทสัจธรรม” ศิลปะผสมผสานจากความศรัทธา



สืบเนื่องจากช่วงปีใหม่ พรรคพวกไปถ่ายรูปที่จุดชมวิวของปราสาทสัจธรรมที่พัทยา (หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า The Sanctuary of Truth) แล้วใจดีส่งโบร์ชัวร์มาให้ดู จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านประธานชมรมถ่ายภาพของบริษัทจัดทริปไปถ่ายรูปที่นี่กันดีกว่า

ตั้งใจอยู่ทั้งวันเพื่อให้คุ้มค่าบัตร เพราะที่นี่ค่าบัตร 500 บาท ท่านประธานชมรมดูมีความสุขกับการถ่ายรูปวันนี้มาก ๆ ค่ะ บอกว่ามีหลายมุมสวย ๆ ให้อยู่ทั้งวันก็ได้

มากันเป็นกลุ่ม เลยได้ส่วนลดค่าเข้าเหลือคนละ 450 บาทค่ะ แถมโชคดีอีก
ต่อหนึ่ง คือชมรมถ่ายภาพออกค่าบัตรให้ครึ่งหนึ่งค่ะ


ป้ายติดแขนเสื้อค่ะ เมื่อตอนซื้อบัตร




อย่าเข้าใจผิดนะคะว่าฉันถ่ายรูปเก่ง ถึงไปกับชมรมถ่ายภาพนะคะ ฝีมือถ่ายรูปนั้นอยู่ปลายแถว ไปเที่ยวเป็นงานหลักค่ะ ถ่ายรูปคืองานอดิเรก ^_^ ท่านประธานบอกว่าชมรมถ่ายภาพจะกลายเป็นชมรมท่องเที่ยวอยู่แล้ว ฉันเถียงว่า “อ้าว! ถ้า
ไม่ได้เที่ยว แล้วจะไปถ่ายรูปที่ไหน” 5555

เบื้องหลังประตูใหญ่ด้านใน



นั่งรถม้าเข้ามาส่งข้างใน ความจริงเดินเข้ามาก็ได้ค่ะ ไม่ไกล แต่จริง ๆ มีบริการ
รถม้าแค่ขาเข้าค่ะ (ถ้าอยากนั่ง) ส่วนขาออก เดินเอาเองค่ะ




บริจาคเงินให้อาหารช้างค่ะ




คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง เป็นเจ้าของเดียวกันกับเมืองโบราณและพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ที่นี่สร้างมาตั้งแต่ปี 2524 จนถึงวันนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จค่ะ และคงยังสร้างต่อไปเรื่อย ๆ เป็น never ending story





ไกด์เล่าว่าทำงานที่นี่ไม่ต้องกลัวตกงานค่ะ เพราะว่าต้องมีการซ่อมแซม
ทำไปเรื่อย ๆ

มีคนทำงานแกะสลักไม้ตลอดเวลา หยุดเฉพาะวันจันทร์




ตลกดีที่ต้องสวมหมวกนิรภัยในสถานที่ท่องเที่ยว ทำอย่างกับเดินเข้าเยี่ยมชม
โรงงาน อย่างว่านะเป็นเพราะปราสาทสัจธรรมมีการก่อสร้างตลอดเวลา เข้าข่ายถูกกฎหมายบังคับให้สวมหมวกเพื่อความปลอดภัยด้วย


มีไกด์ให้ความรู้ทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษค่ะ



ใครอยากทำกิจกรรมอื่น ๆ ก็ได้นะคะ มีนั่งช้าง นั่งม้า นั่งเรือออกไป เพื่อถ่ายรูปปราสาทจากทะเล แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มค่ะ ถ้าอยากได้ครบแพ็คเกจก็พันกว่าบาท (แต่แนะนำสำหรับคนไทย ไม่ต้องนั่งช้าง นั่งม้าหรอกค่ะ เพราะพื้นที่บริเวณปราสาทไม่กว้างมาก การเดินเป็นการสัมผัสบรรยากาศที่ดีที่สุดค่ะ)



มาชมความสวยงามของปราสาทสัจธรรมกันค่ะ พื้นที่ทั้งหมดมี 80 ไร่ แต่พื้นที่ตรงบริเวณปราสาทมี 2 ไร่




วัตถุประสงค์ของผู้ก่อสร้าง : แนะนำให้รู้จักปราสาทสัจธรรมทั้งในด้านสถาปัตยกรรมไม้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งสอดแทรกเนื้อหาด้านปรัชญาเพื่อเป็นมรดกทางปัญญาของมนุษย์ และเนื้อหาทางด้านศิลปวัฒนธรรม ที่สอดแทรกอยู่ในลวดลายการจำหลักไม้ที่วิจิตรตระการตา

โดยเนื้อหาจะหมายถึงการจำลองให้มวลมนุษย์ได้ตระหนักถึงสิ่งก่อกำเนิดทั้ง 7 และคุณธรรมข้อประพฤติปฏิบัติทั้ง 4 ที่จะทำให้โลกใน อุดมคติเกิดขึ้นจริงๆ แม้เป็นโลกเล็กๆ เฉพาะตัว

คุณธรรมทั้ง 4 ก็คือพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา








ชมกันอยู่ไม่นาน ก็ไปดูโชว์ปลาโลมาก่อนค่ะ มีโชว์วันละ 2 ครั้งค่ะ ปลาโลมาติดอวนชาวประมงมา เจ้าของที่นี่จึงขอซื้อแล้วเลี้ยงไว้ ชื่อน้อง “บุญสุข” อายุ 25 ปีแล้ว มีโชว์ว่ายกรรเชียง เตะบอล เต้นรำ และอื่น ๆ ฉันชอบท่าทางของน้อง
“บุญสุข” เวลาจับมือมากที่สุดค่ะ






นักท่องเที่ยวต่างชาติก็มาพอสมควรค่ะ




เนื่องจากรอบเช้าฉันมัวแต่ถ่ายรูปค่ะ จึงไม่ค่อยได้ฟังไกด์บรรยายเท่าไหร่นัก แต่อย่างว่าที่กลุ่มกะใช้เวลาเต็มที่ที่นี่ให้คุ้มราคา ดังนั้นหลังจากเปลี่ยนบรรยากาศไปดูโชว์ปลาโลมา แล้วทานข้าวในนั้นแล้ว ก็เดินมาเริ่มต้นชมปราสาทสัจธรรมกันใหม่ค่ะ

ภาคบ่ายฉันเลยทำตัวเนียนเดินไปกับกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ค่ะ ตามกลุ่ม
นักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็ฟังไกด์ภาคภาษาอังกฤษ เดินฟังไปสักพัก ปรากฏว่าไกด์ท่านนี้จำฉันได้ว่า มาตั้งแต่เช้าเนี่ย ที่กลุ่มหายไปไหนล่ะคะ อ๋อ! เขาไปถ่ายรูปกันต่อค่ะ พอดีเมื่อเช้าไม่ค่อยได้ฟังบรรยาย เลยตามมาฟังใหม่

ด้านซ้ายมือ เมื่อมองตรงไป คือเทพเจ้าแห่งไฟ ด้านล่างมีรูปกิเลน ด้านขวามือคือเทพเจ้าแห่งลม ลม อากาศ เรามองไม่เห็นอากาศ แต่เรารู้เมื่อมีลมพัดผ่าน สัญลักษณ์ด้านล่างเทพเจ้าฝั่งขวาคือต้นไม้ ซึ่งหมายถึงเมื่อมีลมพัดผ่าน เราจะรู้ว่าต้นไม้เคลื่อนไหว




เมื่อมองด้านขวามือของรูป คือเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องน้ำ (ธาตุน้ำ) ส่วนด้านซ้าย ฟังไม่ทันน่ะค่ะ เลยไปอีกหน่อย คือ เป็นรูปแกะสลักพระศิวะและพระแม่อุมาเทวี
คู่กัน หมายถึงความเสมอภาคของชายและหญิง




ตามความเชื่อ โลกประกอบด้วย 4 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยมีเทพผู้เป็นใหญ่ที่ครองธาตุทั้ง 4 คือ พระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ (หรือที่เรียกว่า ตรีมูรติ)

พระพรหม เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งนภาอากาศ คือ ธาตุลม นับถือกันว่าทรงเป็นผู้สร้างโลกและให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลาย

พระอิศวร (พระศิวะ) ธาตุไฟ มีพระเนตรที่สามอยู่ที่หน้าผาก เมื่อทรงลืมพระเนตรจะทำให้เบื้องหน้าลุกเป็นไฟ

พระนารายณ์ (พระวิษณุ) ทรงเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องน้ำ (ธาตุน้ำ)


มีจุดหนึ่งไกด์บรรยายให้ชาวต่างชาติฟังว่าไม้ตรงบริเวณนั้นคือไม้ตะเคียน ตามความเชื่อของคนไทย เชื่อว่ามี lady ในต้นตะเคียน (ก็คือนางตะเคียน) และที่นี่ถือว่า lady นี้ช่วยคุ้มครองปราสาทสัจธรรมนี้ด้วย เพราะสลักด้วยไม้ทั้งหลัง

ไกด์บอกชาวต่างชาติว่า ท่านใดอยากขอพร lady ให้ good luck ก็ได้นะ ได้ยินไกด์บอกว่านอกจากคนไทยส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธ ยังนับถืออย่างอื่นอีกด้วย (ตามความเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง อย่าลบหลู่ ประโยคนี้ฉันเติมเองค่ะ)

ศิลปะที่ปราสาทสัจธรรมเป็นการผสมผสานหลายศาสนา หลายวัฒนธรรม (ไทย อินเดีย จีน เขมร ศรีลังกา) มีทั้งตรีมูรติ มหาภารตะ รามายณะ และตำนานโพธิสัตว์

มุมนี้ถูกแอบถ่ายค่ะ ตอนแบตหมดทั้งคนทั้งกล้อง กำลังนั่งฟังเพลง เพื่อชาร์จ
แบตตัวเองค่ะ ตรงมุมนี้ลมกำลังพัดโชยมาจากทะเล บรรยากาศน่านอนมากเลยค่ะ




สัจธรรมที่ฉันพบที่ “ปราสาทสัจธรรม”

มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อย่าหลงลืมตนลำพองว่าตนเองนั้นยิ่งใหญ่ เพราะจักรวาลที่แท้จริงนั้นใหญ่ยิ่งกว่า

การเกื้อกูลกันของสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม เมื่อเราทำลายสิ่งแวดล้อม และโลกขาดความสมดุล สิ่งแวดล้อมก็จะทำลายเราเช่นกัน การสร้างสรรค์ศิลปะที่นี่ สะท้อนความคิดดังกล่าวไว้เบื้องหลัง

ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ค้นพบความจริงของธรรมชาติ “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” สิ่งต่าง ๆ ย่อมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ไม้ที่ทำการแกะสลักไว้ ก็ต้องทำการซ่อมแซมเมื่อเวลาผ่านไปเช่นกัน ฉันคาดว่าที่นี่คงเป็น never ending story ตลอดไป

......รัชชี่ ณ ปราสาทสัจธรรม.......







จันทร์- บรรเลง - โจ้




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2552 18:47:21 น.
Counter : 5149 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

รัชชี่
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




พี่มานิต ประภาษานนท์ เป็นผู้ชักชวนเข้าสู่วงการการเขียนบล็อก ด้วยประโยคว่า
“จ๊ะเขียนบล็อกซี"

เริ่มเขียนบล็อก : 24 ก.ย. 51




สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539 ห้ามละเมิดไม่ว่าการลอกเลียน นำรูป ข้อความที่เขียนไว้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในบล็อกแห่งนี้ ไปเผยแพร่อ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก






Setting program for counting visitors since 7 Nov. 2009
free counters
New Comments
Friends' blogs
[Add รัชชี่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.