Welcome to Ricola ร่าเริง Bloggang

โอ้ อัมพวา นี่หนางามจริง...ทุกสิ่งเป็นขวัญตา........

ไปเที่ยวอัมพวามาค่ะ...ไม่ได้ไปดูหิ่งห้อยติดไฟ(ฟ้า) แว๊บ แว๊บ หรอกค่ะ

แต่ไปชม โบสถ์ปรกโพธิ์ อันซีนไทยแลนด์




โบสถ์ปรกโพธิ์อยู่ที่วัดบางกุ้ง อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม

วัดบางกุ้งนี้อยู่ริมน้ำแม่กลอง มีวังมัจฉาให้แวะเข้าไปเยือน เพื่อโปรยปรายอาหารเลี้ยงปลาด้วยค่ะ

ไปบางกุ้ง แต่ไปเลี้ยงปลา...อิ อิ



ฝั่งตรงข้ามถนน จะเป็นวัด และโบสถ์ใหม่ค่ะ ด้านข้างจะมองเห็นพุ่มไม้หนา ใหญ่



ใครๆก็เดินตรงไปที่นี่ค่ะ เลยเดินตามเค๊าไป....

เดินเข้าไปใกล้ๆ จึงเห็นประตูโบสถ์ อยู่ในต้นไม้ แต่ก็มองไม่เห็นโบสถ์อยู่ดี



ต้องเดินรอบพุ่มต้นไม้ใหญ่ จึงเห็นกำแพงโบสถ์เก่ามาก แต่สามารถยืนหยัดคงโครงรูปได้ ด้วยต้น โพธิ์ - ไทร - ไกร และ กร่าง ที่ยึดปรกไว้อย่างหนาแน่น



ตามประวัติกล่าวไว้ว่า โบสถ์ปรกโพธิ์สร้างราวปี พ.ศ.๒๒๕๐-๒๓๐๐ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี

สมัยพระเจ้าตากกู้กรุงศรีอยุธยา ได้ใช้สถานที่วัดบางกุ้งแห่งนี้ เป็นค่ายรับศึกทัพพม่าเป็นครั้งแรก สร้างขวัญกำลังใจให้ทหารไทยชนะพม่าในเวลาต่อมา




สถานที่นี้ถูกทิ้งให้รกร้างเกือบ 200 ปี

จนปี 2510 กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งเป็นค่ายลูกเสือขึ้น

และได้พบสิ่งมหัศจรรย์ คืออารามเก่าแก่ มีต้นไม้ 4 ชนิด คือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง ค้ำยันแผ่กิ่งก้านคลุมโบสถ์ไว้จนไม่เห็นรูปทรง



ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อนิลมณี (หลวงพ่อดำ)

และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ ด้วย



มุมนี้เป็นมุมUnseen ที่ใครๆเมื่อมาเยือน วัดบางกุ้ง นี้ จะต้องเก็บภาพกลับไป...



จากนั้นเราก็ได้ไปแวะเที่ยวชมอุทยาน ร.2 ต่อ

ภายในอุทยาน ร่มรื่นด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ เนื่องจากไปเย็นแล้ว ส่วนที่เป็นเรือนไทยหมู่ต่างๆจึงไม่ได้เข้าชม



เมื่ออาทิตย์ยอแสงอ่อนลงแล้วจึงเดินลัดเลาะจากอุทยานไปหาของกินและชมตลาดน้ำยามเย็นอันเรืองชื่อของอัมพวาค่ะ



ตลาดน้ำอัมพวา ซึ่งได้ไปช่วงเทศกาล คนเยอะมากๆๆๆ เบียดๆๆๆๆ ไหลๆๆๆ จนไม่สามารถที่จะหาอะไรกินกันได้เลย เหมือนแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว จนทำให้การเยือนไม่สนุก ได้แต่บันทึกภาพมาฝากกัน แต่ก็ยังประทับใจในความงามนะคะ

โอ้ อัมพวา นี่หนางามจริง...ทุกสิ่งเป็นขวัญตา........







 

Create Date : 21 มกราคม 2551    
Last Update : 21 มกราคม 2551 23:15:18 น.
Counter : 645 Pageviews.  

วั ง น้ำ เ ขี ย ว... เที่ยวเชิงเกษตร เขตโอโซน แห่งทิวเขา “ดงพญาเย็น”

ท่านผู้โดยสารเที่ยวบิน BP 1- 2 (เที่ยววันที่ 1-2 ธค.2550) กำหนดเดินทางสู่ สวิสเซอร์แลนด์ แดนอีสาน โปรดแซ่ บ บ...นี้ คือ ไฟล์นอล คอล

...ขณะนี้ เที่ยวบินที่ BP 1 - 2 พร้อมที่จะออกเดินทางสู่จุดหมายแล้วค่ะ…………….



เรา เดินทางจากกรุงเทพ สู่ ฉะเชิงเทรา ด้วยเส้นทางมอเตอร์เวย์ โดยใช้เส้นทาง 304 มุ่งสู่สี่แยกกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี รวมประมาณ 180 กิโลเมตร และจากแยกกบินทร์บุรีไปถึงวังน้ำเขียว จ .นครราชสีมา อีก 60 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางลาดขึ้นเขาสวยงาม



เมื่อมาถึงสี่แยกกบินทร์บุรี ... แวะ คอฟฟี่บง คอฟฟี่เบรก กิน กาฟง กาแฟ กันก่อน
พร้อมรับประทาน ขนมปง ขนมปัง ราด ครง ราดครีม
หรือ ขนมปังปิ้งทาเนย ราด น้ำตง น้ำตาล หวานฉ่ำ แสนเอร็ดอร่อย...
(ทั้งชื่อร้านและเมนู จะเล่นคำแบบนี้ค่ะ)



แล้วเดินทางต่อ...ยังค่ะ...ยังไม่เลี้ยวซ้าย ไปวังน้ำเขียว แต่เลี้ยวขวา ก่อน เพื่อไปชอปปิ้ง ของแบรนด์เนมที่ตลาดโรงเกลือให้กระเป๋าเบาๆกันก่อน เมื่อไปถึงแล้ว ก็ยังงั้นๆ ….. แต่ก็ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงเชียว ...



คราวนี้ก็ย้อนกลับมายังกบินทร์บุรี ผ่านแวะชมสวนธรรมชาติงดงาม ขนาดใหญ่ มีแค้มป์ปิ้ง กิจกรรมกลางแจ้ง ฯลฯ แต่ไม่ได้ใช้บริการอะไร เพราะใกล้ค่ำแล้ว จึงเดินทางเข้าที่พักค่ะ



เช้าวันใหม่ที่สดใส...หลังจากเบรกฟาสต์ด้วยข้าวต้มคนละ 2 ชามเรียบร้อย ก็ได้ออกเดินทางสู่ อ.วังน้ำเขียวกัน



จากเวปไซด์การท่องเที่ยวของวังน้ำเขียว แนะนำไว้ว่า การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ควรประกอบด้วย 4 รูปแบบหลัก ได้แก่



1. การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ (Health Tourism) หมายถึงการท่องเที่ยวในแหล่งธรรมชาติ และ แหล่งวัฒนธรรม เพื่อการพักผ่อน และการเรียนรู้ วิชาการรักษาสุขภาพกายใจ ได้รับความเพลิดเพลิน และสุนทรียภาพ มีความรู้ต่อการรักษาคุณค่า และคุณภาพชีวิตที่ดี มีสำนึกต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมท้องถิ่น



2. การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) หมายถึง การท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบในแหล่งธรรมชาติ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นและแหล่งวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับระบบนิเวศ โดยมีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของผู้เกี่ยวข้อง ภายใต้การจัดการสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมของท้องถิ่น เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดจิตสำนึกต่อการรักษาระบบนิเวศอย่างยั่งยืน



3. การท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agrotourism) หมายถึงการเดินทางท่องเที่ยวไปยังพื้นที่เกษตรกรรม สวนเกษตร วนเกษตร ฟาร์มปศุสัตว์ เพื่อชื่นชมความสวยงาม ความสำเร็จ และเพลิดเพลินในแหล่งเกษตรกรรมนั้น บนพื้นฐานการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ มีจิตสำนึกต่อการรักษาสภาพแวดล้อมของสถานที่แห่งนั้น



4. การท่องเที่ยวชมงานวัฒนธรรมและประเพณี (Traditional and Cultural Tourism) หมายถึง การเดินทางท่องเที่ยวเพื่อชมงานประเพณีต่างๆ ในรอบปี ที่ชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นๆจัดขึ้น ได้รับความเพลิดเพลินตื่นตาตื่นใจในสุนทรียศิลป์ มีความรู้ ความเข้าใจต่อสภาพสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น บนพื้นฐานการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ และมีจิตสำนึกต่อการรักษามรดกทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม โดยประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมการจัดการการท่องเที่ยว



อืมมส์...เราจะท่องเที่ยวแบบไหนดีนะ....
เส้นทางสู่อำเภอวังน้ำเขียวนี้ จะผ่าน สวนเกษตร มากมาย เช่น สวนเบญจมาส , สวนผักไร้สารพิษ , กลุ่มเห็ดหอมบ้านบุไทร บ้านบุสมบูรณ์ , สวนผักไร้สารพิษ , กลุ่มปลูกองุ่นสหกรณ์บ้านไผ่งาม , กลุ่มปลูกหน้าวัว , กลุ่มปลูกกล้วยไม้ , กลุ่มพืชสมุนไพร ฯลฯ เรียกว่าเที่ยวไม่ทั่วเลย




สำหรับกลุ่มเรา ตั้งใจจะไปชิมไวน์องุ่นกัน เลยแวะชมสวนองุ่น ชิมไวน์และ ซื้อน้ำองุ่นสดที่ไร่องุ่นเขตบ้านไผ่งาม



ช่วงนี้องุ่นยังเป็นพวงเล็กๆอยู่ เป็นที่ข้องใจว่าเท่าที่มองด้วยสายตา ไม่น่าสามารถให้ผลผลิตเพียงพอต่อการทำไวน์ได้มากนัก



จากนั้น ก็ เลี้ยวเข้าเขตบ้านบุไทร ซึ่งเป็นชุมชนที่ประกอบเกษตรกรรมหลากหลาย และมีโฮมสเตย์ที่นี่ด้วย แต่ละกลุ่มก็จะมีประธานกลุ่ม เขียนชื่อปักป้ายไว้ที่หน้าบ้าน บ้านเรือนสวยงามสะอาดตา ใครชอบชมสวนใดก็สามารถแวะเข้าไปได้เลย



อำเภอวังน้ำเขียว มีรีสอร์ทสวยๆ หลายรีสอร์ท ที่พักมีทั้งเป็นโรงแรม มี สปา มีแบบรีสอร์ทเดี่ยว ห้องกระท่อม หรือห้องรวมใหญ่เป็นหมู่คณะ มีแบบกางเต้นท์ แค้มไฟ มีแบบแอดเวนเจอร์ มีให้เลือกมากมายตามรายทาง สวยๆทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ละที่ก็เสนอโปรแกรมต่างๆที่น่าสนใจ เช่น กิจกรรมกลางแจ้ง ล่องแก่ง แคมป์ปิ้ง ค่ายเด็ก ปีนผาขี่จักรยาน ทาร์ซานทัวร์ ฯลฯ



ไป วั ง น้ำ เ ขี ย ว...เที่ยวชมสวนเกษตร ออกกำลัง เล่นกิจกรรมกลางแจ้ง สูดโอโซน เดินเล่นชมวิวทิวเขา “ดงพญาเย็น” แหล่งที่มีโอโซนเป็นอันดับ 7 ของโลก...... แค่นี้ก็เติมพลังชาร์จแบตฯ กลับมาอย่างแสนสุขแล้วค่ะ...

-V- -V- -V- -V- -V- -V- -V- -V- -V-




 

Create Date : 09 มกราคม 2551    
Last Update : 9 มกราคม 2551 23:20:07 น.
Counter : 2475 Pageviews.  

เที่ยวเมืองกรุง ชุด…....ย า ม เ ย็ น เ ยื อ น ทะเลกรุงเทพ

เที่ยวทะเลกรุงเทพ...ที่บางขุนเทียน

ดูหลักเขต กทม. หลักที่ ๒๘
หลักแบ่งเขตระหว่าง กทม. กับจังหวัดสมุทรปราการ

ปักอยู่ในน้ำทะเล

เพื่อจะนั่งเรือหางยาวไปยังร้านอาหารจุดชมวิวทะเลกรุงเทพฯที่นี่ อัตราค่าบริการโดยสารเรือจะอยู่ที่ ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
การเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที





เขตบางขุนเทียน เป็นเขตเดียวของกรุงเทพฯ ที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลอ่าวไทย ที่มีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่มีความโดดเด่น ทำให้เขตบางขุนเทียนขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งอาหารทะเลสดที่เลิศรสอีกด้วย

เมื่อลงมาจากทางด่วนเข้าพระราม ๒ แล้ว ให้เลี้ยวเข้าถนนคู่ขนานไปจนผ่านบิ๊กซี (ฝั่งตรงข้ามคือเซ็นทรัล พระราม ๒) ไปหน่อยจะมีถนนแยกซ้ายชื่อว่า ถนนบางขุนเทียน - ชายทะเล ปากทางมีป้ายบอกว่าไปวัดหัวกระบือ และป้ายร้านแสวงซีฟู๊ด เลี้ยวซ้ายเข้าซอยเทียนทะเล ๒๖ เลยร้านแสวงซีฟู๊ดไม่ไกลนัก ก็จะถึงทางแยกซ้าย ก็จะถึงร้านอาหารจุดชมวิวทะเลกรุงเทพ



โดยระหว่างการเดินทางโดยเรือหางยาวนั้น
จะได้ท่องเที่ยวและชมพื้นที่ป่าชายเลนผืนสุดท้ายของกรุงเทพฯ
รวมถึงวิถีชีวิตชาวเล ริมสองฝั่งคลอง




ชายทะเลและป่าชายเลน
บริเวณชายทะเลริมฝั่งคลองต่างๆ จะมีป่าชายเลน ซึ่งมีต้นโกงกาง แสม ตะบูนและตะบันขึ้นอยู่ ป่าชายเลนถือเป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ และเป็นอนุบาลสัตว์น้ำในช่วงที่เป็นตัวอ่อน และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นแนวป้องกันคลื่นและลม และการพังทลายของพื้นที่ชายฝั่งทะเล ปัจจุบันสามารถใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของกรุงเทพฯ ด้วย




เรือวิ่งในคลองใหญ่ มาถึงปากอ่าว เริ่มเป็นน้ำทะเล และคลื่นลมพัดพริ้ว ขยายวงกว้างออกไปเข้าสู่บรรยากาศของทะเล และกินอาณาเขตลึกเข้าไปในคลองอีก เขตแดนของทะเลได้ขยายเข้าสู่แผ่นดินมากขึ้น จึงทำให้เขตบางขุนเทียนจึงกลายเป็นเขตที่มีชายอาณาเขตต่อกับสมุทรปราการเป็น "ทะเล" ดังนั้นหลักเขตที่ ๒๘ ของกรุงเทพ ฯ ที่เดิมก็ปักอยู่บนแผ่นดินเพื่อแบ่งเขตกับสมุทรปราการ กลายเป็นปักเด่อยู่กลางน้ำทะเล ซึ่งแปลกดีนะ......



และมีหลักอื่นอีกจำนวนมาก บ้างเป็นเสาบ้านเดิม ชาวประมงมาปักเพิ่มบ้าง ก็กลายเป็นหลักดักหอยแมลงภู่ให้มาเกาะ และพื้นน้ำแถวนี้ไม่ลึก คนยืนได้ก็จะมีเรือเล็ก ๆ ของชาวประมงออกมาคราดจับหอยกระพง ที่สำคัญคือแถวหลักเขตนี้ หากเป็นฤดูหนาว "ปลาโลมา" จะหนีหนาวมาว่ายเล่นน้ำอยู่แถวนี้ ด้วย




คำขวัญของเขตบางขุนเทียน
ทะเลกรุงเทพฯงามเด่น ป่าชายเลนเคียงคู่
ถิ่นที่อยู่หลวงพ่อไปล่ แดนมอญใหญ่พำนัก
แหล่งอนุรักษ์ลิงแสม อาหารสดแท้จากทะเล
อย่าลังเลรีบไปชม และรับลมที่บางขุนเทียน
-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-_-




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2550    
Last Update : 18 ตุลาคม 2550 11:10:06 น.
Counter : 2138 Pageviews.  

...ทุ่งกระเจียว...เที่ยวต่อปายยยย...


ย่างเข้าเดือน หก ฝน ก็ ต๊ก พรำๆๆ……

ดอกกระเจียว เริ่มผลิดอกชูช่อสลอน อวดความงดงาม

ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เป็นต้นไป จนถึงปลาย สิงหาคม




ณ ที่จังหวัดชัยภูมิ เทศกาลท่องเที่ยวชมทุ่งกระเจียวผลิบานเริ่มต้นขึ้นแล้ว....





ดอกกระเจียว พร้อมใจกัน ชูช่อเบ่งบาน งดงามอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม



ชายขอบสุดด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตามแนวของเทือกเขาพังเหย ที่มีภูมิประเทศสวยงามเป็นเนินเขาสลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ มีระบบนิเวศหลากหลาย ใน อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ



บริเวณ “สุดแผ่นดิน” ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของ อช. ป่าหินงาม มีอากาศเย็นสบายตลอดปี มองเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อนเขียวขจีของเขตพื้นที่ป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา อยู่ที่ระดับความสูง ๘๔๖ ม.



ที่ได้ชื่อเช่นนี้เพราะ สุดแผ่นดิน เป็นหน้าผาสูงสุด ชายขอบด้านตะวันตกของที่ราบสูงโคราช ที่เกิดจากการดันตัว ของแผ่นดินภาคกลาง (ฉานไทย) เข้าไปใต้แผ่นดินอีสาน (อินโด-ไชน่า) จนทำให้แผ่นดินยกตัวสูงขึ้นแบ่งเขตระหว่าง ภาคกลางกับภาคอีสาน หน้าผาสูงบริเวณนี้จึงถือเป็นจุดสิ้นสุดที่ราบสูงอีสาน




อช.ป่าหินงาม เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้สะดวก จากกรุงเทพฯไปตามถนนพหลโยธิน ผ่าน จ. สระบุรี จนไปถึงแยกพุแค จึงเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข ๒๑ พอถึงลำนารายณ์ก็เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๐๕ จนถึง อ. เทพสถิต ให้เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๓๕๕ ประมาณ ๑๖ กม. ก็จะถึงทางแยกบ้านไร่ทางซ้ายมือ เข้าไปอีกแค่ ๑๓ กม. ก็ถึงที่ทำการฯ อช.ป่าหินงาม แล้ว



ระหว่างช่วงเทศกาลเที่ยวทุ่งกระเจียว จะมีนักท่องเที่ยวพากันเดินทางมามากมายในวันหยุด ดังนั้นต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดรถด้านหน้าที่ทำการฯ แล้วนั่งรถสองแถวที่จัดไว้บริการในการเข้าชม



จุดแรกที่ควรชม คือ ทุ่งกระเจียว ซึ่งควรไปชมตั้งแต่ฟ้าสาง เพื่อสัมผัสละอองไอหมอกขาวสลัว ท่ามกลางอากาศเย็นชุ่มฉ่ำจากธรรมชาติ ตัดกับความงามสีชมพู แต้มแต่งระดาดระดาไปทั่วทุ่งของดอกกระเจียว ริมสองฟากทางของสะพานยกระดับสำหรับการเดินชมทุ่ง ซึ่งแข่งกันบานต้อนรับนักท่องเที่ยวในฤดูกาลนี้....




ที่นี่ดอกกระเจียวบานอวดดอกสีชมพูเต็มทุ่ง ท่ามกลางทุ่งหญ้าและหมู่ไม้ต้นแคระ ระหว่างทางก็มีจุดให้พักชมดอกกระเจียวในบริเวณที่ขึ้นอยู่หนาแน่นหลายจุด และมีป้ายให้ความรู้เรื่องทุ่งกระเจียวด้วย
ในช่วงปลายฝนต้นหนาว จะมีสายหมอกปกคลุมผืนป่าเบื้องล่าง ที่นี่จึงเป็น จุดชมทะเลหมอกที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ อีกแห่งหนึ่ง



ดอกกระเจียรูปนี้เป็นคนละพันธุ์กับที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ



จุดชมต่อไป คือ ป่าหินงาม อันเป็นลานหินอาณาบริเวณกว้างกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ มีป่าเต็งรังขึ้นเป็นระยะ ไม้เหล่านี้มีลำต้นแคระแกร็นเนื่องจากการเจริญเติมโตบนชั้นของดินปนหิน บริเวณส่วนใหญ่ของป่าหินงาม เป็นก้อนหินรูปทรงต่าง ๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง อันเกิดจากการกัดเซาะของลมและน้ำนานนับล้านปี บางก้อนดูคล้ายปราสาทโบราณ บางก้อนคล้ายสัตว์ หรืออาจจะจินตนาการเป็นรูปร่างต่างๆตามสายตาของเราก็ได้ ในช่วงฤดูฝน บริเวณนี้จะมีต้นหญ้าขึ้นปกคลุม บางที่อาจจะมีดอกกระเจียวและไม้ดอกเล็ก ๆ สีสวย ขึ้นแซมบ้าง ส่วนตามโขดหินที่ชุ่มชื้นก็จะมีพวกมอสและไลเคนขึ้นปกคลุมด้วย



เหนื่อยนักจากความร้อนระหว่างปีนป่ายชมป่าหินงาม นักท่องเที่ยวสามารถแวะไปเที่ยวเล่นน้ำตกเทพพนา ต่อได้ ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก เป็นน้ำตกเล็กๆให้ความชุ่มฉ่ำ เหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อนเย็นสบาย และปิกนิกรับประทานอาหารกลางวันได้เป็นอย่างดี



พักผ่อนอิ่มหนำสำราญ สบายอุราแล้ว ก่อนกลับ กทม. ก็อาจแวะดูบ้านดิน ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างบ้านโดยใช้ดินแดงมาก่อสร้าง สวยงามแปลกตาและให้ความรู้สึกร่มรื่นเย็นสบาย พร้อมชมพรรณไม้สวยๆ แปลกตาที่นี่ และระหว่างทางกลับ กทม. ก็สามารถที่จะแวะซื้อต้นกระเจียว ราคา 3 ต้น ร้อยบาท และ พันธุ์ไม้ต่างๆกลับบ้าน จากร้านขายต้นไม้สองฝั่งทางได้ ในสนนราคาที่ไม่แพงนัก............................



“ ชัยภูมิ เทพสถิตย์ ป่าหินงาม...
ระบือนาม ดอกกระเจียว ปทุมา...
ชูช่อชวน ชม ชมพู ดูงามตา ....
งามพฤกษา งามทั่วทุ่ง งาม กระเจียว..."








 

Create Date : 12 สิงหาคม 2550    
Last Update : 8 กันยายน 2550 19:10:53 น.
Counter : 1229 Pageviews.  

วิมานเมฆ วิมานไม้สักทองใ หญ่สุดในโลก ต้องไปดูสักครั้ง ตอน 4

วิมานเมฆ ...วิมานไม้สักทอง...ใหญ่สุดในโลก ต้องไปดูสักครั้ง

ตอนที่ 4.................

ขึ้นบันไดด้านหน้า เข้าไปภายในพระที่นั่ง ซึ่งเป็นหน้ามุขกว้าง หกเหลี่ยม เป็นส่วนเทอเรสสำหรับนั่งพักรอ รอเจ้าหน้าที่จัดกลุ่มคนไทย หรือ คนต่างชาติ เพื่อเข้าชม ภายในพระที่นั่งทั้งองค์ กรุกระจกหมด ติดเครื่องปรับอากาศทั้งหลัง

รายละเอียดคงต้องคัดลอกจากเอกสารเผยแพร่มาลง ดังนี้
.........................พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นพระที่นั่งสร้างด้วยไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่งดงามประณีต ได้รับอิทธิพลการก่อสร้างแบบตะวันตก องค์พระที่นั่งเป็นรูปอักษรตัวแอล ในภาษาอังกฤษ คือสร้างเป็นรูปสองแฉกตั้งฉากกัน แต่ละด้านยาว 60 เมตร สูง 20 เมตร เป็นอาคาร 3 ชั้น เฉพาะส่วนที่ประทับ ซึ่งเรียกว่า “แปดเหลี่ยม” มี 4 ชั้น ชั้นล่างสุดก่ออิฐถือปูน ชั้นถัดไปสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด มีห้องจัดแสดงรวมทั้งสิ้น 31 ห้อง การจัดแสดงบางห้อง ยังคงลักษณะบบรยากาศในอดีตไว้ เช่นหมู่ห้องพระบรรทม ท้องพระโรง และห้องสรง เป็นต้น ห้องต่างๆ จัดแสดงศิลปะวัตถุแยกตามประเภท เช่น ห้องจัดแสดงเครื่องเงิน ห้องจัดแสดงเครื่องกระเบื้องลายคราม ห้องจัดแสดงเครื่องแก้วเจียระไน และห้องจัดแสดงเครื่องงา เป็นต้น....................
แต่ละห้องที่ได้มีโอกาสเข้าไป สัมผัสด้วย ตา สัมผัส ด้วย ใจ สัมผัสด้วย กาย ยังคงอบอวลครอบคลุมด้วยบรรยากาศย้อนยุคเมื่อร้อยปีก่อน ด้านนอกของทุกห้องทุกชั้น จะเป็นระเบียงเฉลียงที่กรุหน้าต่างและลูกกรงไม้สักลายลูกไม้ กันแดด และระบายอากาศถ่ายเทได้อย่างดีเยี่ยม เย็นสบายอย่างธรรมชาติในยุคสมัยนั้น ซึ่งไม่ต้องพึ่งพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศเลย บริเวณภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้ จึงต้องขอนำภาพจาก //www.vimanmek.com มาลงสักภาพสองภาพ ผู้สนใจรายละเอียดที่มากกว่านี้ โปรดเข้าไปดูได้ในเวปไซด์ดังกล่าวค่ะ

ห้องทรงอักษร




ห้องทรงสำราญ




ห้องบรรทม



จากพระที่นั่งวิมานเมฆ มาเสร็จสิ้นการเข้าชมที่พระตำหนักสวนหงส์



ซึ่งเป็นเรือนไม้สองชั้น ตามเชิงชายระเบียงประดับด้วยลวดลายไม้แกะสลัก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สร้างพระราชทานสมเด็จพระศรีสวรินทรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเสด็จมาประทับที่พระตำหนักนี้ เมื่อปี พุทธศักราช 2445-2453

และอาคารสองหลังรายรอบด้านพระตำหนักสวนหงส์ ได้มีการจัดแสดง รถม้าพระที่นั่ง 23 องค์ คราวนี้ต้องรีบทำเวลาหน่อยละ เวลา16.30 น. เป๊ง....เจ้าหน้าที่ปิดประตูทันที.............


ออกมาถ่ายรูปกันที่สนาม หน้าพระตำหนักสวนหงส์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวใช้เป็นโลเกชั่นถ่ายรูปกันแบบต้องรอคิวถ่าย แล้วทัวร์ลีดเดอร์กลุ่มใครกลุ่มมัน โบกธงเรียกขึ้นรถ....พวกเราก็ได้เวลากลับเหมือนกัน....กลับอย่างดื่มด่ำ ประทับใจมากในการที่ได้มีโอกาสเข้าไปชมพระราชวังดุสิตในครั้งนี้ อยากจะบอกว่าทุกคนควรจะหาเวลาเข้าไปชมสักครั้งหนึ่งในชีวิต .....ให้ได้.............................




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2549    
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 10:06:08 น.
Counter : 1499 Pageviews.  

1  2  3  

Ricola ร่าเริง
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





























/* This script has been disabled for Netscape 6 due to ugly scrollbar activety. Could probably be fixed with a clipped container div but can't be bothered. */ if (!isNetscape6){ num=5; //Smoothness depends on image file size, the smaller the size the more you can use! stopafter=240; //seconds!
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Ricola ร่าเริง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.