ปากกาไฮไลท์สีแดง
Group Blog
 
All Blogs
 

ถามใจตัวเอง

หลายๆครั้งเรามักเลือกที่จะทำในสิ่งที่คิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุด แต่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่อยากทำมากที่สุด นั่นอาจเป็นเพราะเรากลัวผลของมัน....

หลายๆครั้งเรากลัวว่า ถ้าหากว่าเราทำในสิ่งที่เราอยากทำมากที่สุด แต่ถ้าผลมันไม่ออกมาดีที่สุด เราจะเสียใจ…

และหลายๆครั้ง ที่เราเลือกที่จะไม่ทำในสิ่งที่เราต้องการทำมากที่สุด และ สุดท้าย เราก็มักจะมาเสียใจภายหลัง…

ระหว่างสิ่งที่เราอยากทำมากที่สุด และคิดว่าถ้าไม่ได้ทำแล้วจะเสียใจมากที่สุด และเราจะไม่รู้สึกเสียใจภายหลังถ้าได้ทำมัน (แม้ว่ามันจะออกมาไม่ดี)

กับ

สิ่งที่เราอยากทำมากที่สุด และเราก็ลงมือทำมัน (แต่ผลมันออกมาไม่ดี) ทำให้เราเสียใจ และท้อแท้ แต่เราก็ได้ทำมัน ได้ทำในสิ่งที่อยากทำเพราะว่าผลจะออกมาไม่ดี

หรือ

เราควรที่จะทำในสิ่งที่เราอยากทำมากที่สุด โดยไม่ต้องหวังผลว่าเราจะมาเสียใจภายหลังที่ได้ทำ (แบบว่าเราไม่น่าทำสิ่งนั้นเลย) แต่อย่างน้อยเราก็ได้ทำมัน........

กับ

เราอยากจะทำสิ่งที่เราอยากทำมากที่สุด แต่ก็ไม่ได้ทำมันเลย เพราะเรากลัวผลที่จะตามมา และมาเสียใจภายหลังว่าทำไมเราถึงไม่ทำ

หรือว่า

เราควรที่จะเลือกอะไรก็ได้ที่เราคิดว่าดีที่สุดสำหรับเรา เลือกในสิ่งที่เราคิดว่าเราอยากทำมากที่สุด แต่อาจจะไม่ได้ทำได้ดีที่สุด แต่เราคิดว่าถ้าไม่ได้ทำเราจะเสียดายมันมากที่สุด (ที่ไม่ได้ทำ) ส่วนผลนั้นก็ให้เป็นเรื่องของอนาคต และเราก็ควรจะทำใจยอมรับผลของมัน ไม่ว่ามันจะออกมาดี / ไม่ดี แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ......................

คุณคิดว่าไง?




 

Create Date : 15 เมษายน 2551    
Last Update : 15 เมษายน 2551 19:20:35 น.
Counter : 581 Pageviews.  

อยากได้ลูกโป่งงงง

13 เมษายน

ขอตั้งชื่อตอนว่า "งานที่มีลูกโป่ง และเต็มไปด้วยความสุข"

สมัยที่เป็นเด็ก ใครๆก็อยากได้ลูกโป่ง แม้ว่ามันจะเป็นทรงเดียวที่ได้ตลอด จะใ่ส่ไม้ หรือผูกด้วยเชือก แต่เด็กทุกคนก็อยากได้ลูกโป่ง และเมื่อเห็นก็มีความสุข

เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย ก็คิดการไกล (หมายถึงเราเองนะ) โดยการเก็บเงินซื้อลูกโป่ง และที่สูบลม มาทำลูกโป่ง ให้เป็นลวดลายต่างๆ เช่น หมาพุดเดิ๊ล (แต่ตอนนี้ลืมวิธีทำไปแล้ว) แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วันก็เบื่อ

แต่แล้วงานนี้ที่บังเอิญเดินไปเจอมา ในขณะที่กำลังลองกล้อง ก็ทำให้คิดถึงตอนเป็นเด็ก ที่อยากได้ลูกโป่ง และก็ตอนทีหัดทำลูกโป่งให้มันดูน่ารักมากขึ้น

จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่งานเกี่ยวกับลูกโป่ง (ที่สวยและน่าเป็นเจ้าของมากกว่างานใดๆเท่านั้นเอง ^ ^ ) แต่ในขณะที่เดินดูบรรยากาศ ก็คิดอะไรได้บางอย่าง ทำไมมันช่างดูอบอุ่นขนาดนี้ หน้าตาและรอยยิ้มแห่งความสุขของคนทำ (คนให้) กับหน้าตาและรอยยิ้มแห่งความสุขของคนรับ (เด็กๆ หรือผู้ใหญ่ที่อยากได้) มันดูแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ

รอยยิ้มของเด็กๆ ที่เห็นคนแต่งตัวเป็นตัวตลกแล้วก็ยืนมองด้วยความสงสัย แต่พอเห็นลูกโป่งน่ารักๆ ก็วิ่งเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม และเด็กบางคนก็ยืนมองอย่างเอียงอาย ไม่กล้าเข้าไป จนคนที่แต่งตัวเป็นตัวตลกต้องกวักมือเรียกให้เข้าไปหา และค่อยๆบรรจงทำลูกโป่งเป็นตัวการ์ตูนน่ารักๆ แบบที่เด็กๆชอบ พร้อมกับยื่นให้ (จริงอย่างเรียกว่าบรรจงเลย เพราะทำเร็วมาก แต่ก็สวยมากเเหมือนกัน)

ตัวตลกบางคน เมื่อเห็นรอยยิ้มอันน่ารัก และไร้เดียงสาของเด็กๆ ก็อดไม่ได้ที่จะให้ลูกโป่งแต่ต้องแลกกับการที่ เด็กต้องหอมแก้ม ก็เด็กๆที่ไร้เดียงสาก็น่ารักแบบนี้แหละ

อีกโซนก็เป็นตัวตลกชาวต่างชาติ ที่เม้ว่าเด็กๆบางคนจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ใช้ภาษามือ หรือภาษาใบ้ ให้เข้าใจได้โดยง่าย โดยการ ยิ้มให้ และค่อยๆทำลูกโป่งเป็นการ์ตูน และยื่นให้ด้วยรอยยิ้ม เด็กรับมาด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขเช่นกัน
ขนาดเราก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว แต่เราก็ไปยืนถ่ายรูปชาวญี่ปุ่นที่แต่งตัวเป็นตัวตลก เค้าก็หันมายิ้มให้กล้องเรา คอยเก๊กถ่ายรูปตั้งหลายท่าทาง เห็นแล้วก็รู้สึกน่ารักจริงๆ ยังไม่ได้ใจดีแค่นั้น นี่ขนาดเราไม่ได้ขอนะเนี่ย แต่เค้าก็รู้เองว่าเราอยากถ่ายรูปเค้า สักพักเค้าก็ทำท่าใบ้ว่าให้เอากล้องให้เค้า เค้าจะถ่ายรูปให้เรา เราบอกเค้าว่าไม่เป็นไรค่ะ (ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นคนญี่ปุ่น) แต่เค้าก็พยายามจะขอกล้องจากเรา โดยใช้ภาษามือ เราจึงยื่นกล้องให้เค้า เค้าก็ถ่ายรูปให้เรา (น่ารักจริงๆ) ขอบคุณนะคร้า

ที่เราชอบงานนี้อีกอย่างก็คือ มีขนมที่สมัยเด็กๆเราชอบกิน และของเล่นที่ตอนเด็กๆเราชอบเล่นมาขายด้วย อย่างเช่น โซ่ (ที่เอาไว้เล่นหมากเก็บ) ลูกโป่งวิทยาศาสตร์ ที่เดี๋ยวนี้ทำแพคเกจใหญ่กว่าเดิม หรือแม้แต่ขนมหมากฝรั่งที่เหมือนซองบุหรี ตราแมว (ถ้าจำกันได้) เราจึงอดไม่ได้ที่จะซื้อบุหรี่ตราแมวกลับมาด้วยหลายกล้อง ตอนเราเป็นเด็กมันกล่องละ 2 บาท จำได้ แต่ตอนนี้กล่องละ 5 บาทแล้ว

เมื่อได้ขนม ก็รู้สึกกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แม้ว่าจะแก่แล้วก็ตาม 5555 จากงานครั้งนี้เราเดินถ่ายรูปเป็นการใหญ่ และเริ่มเข้าใจว่า ทำไมหลายๆคนถึงชอบถ่ายภาพคนมากกว่าภาพวิว (เราชอบถ่ายวิวมากกว่าคน) แต่ ณ ตอนนั้นเพิ่งเข้าใจ ..................

เพิ่งเข้าใจคำว่าภาพมีชีวิต........
เพราะรอยยิ้มที่จริงใจนั่นเอง..............







ภาพบรรยากาศคนเล่นน้ำหน้าห้างเซ็นทรัลเวิร์ด



นี่ทำมาจากลูกโป่งนะ



นี่ก็ลูกโป่ง


นี่ก็ลูกโป่งอีกเหมือนกัน (ทำเก่งเนอะ)



คนญี่ปุ่นที่มาช่วยสร้างความสุขให้เด็กๆ (ทำลูกโป่ง)



นี่ก็มาสร้างความสุขด้วยการทำลูกโป่งให้เด็กๆเหมือนกัน (ขอบอกว่าทำเก่งมาก)



ลูกโป่งที่่คุณคนข้างบนทำ เหมือนของจริงมากมายู




คนนี้ก็มาทำลูกโป่งให้เด็กเหมือนกัน (เราว่าหน้าเหมือนพี่โจ้วงพอสเลยอ่ะ)



กำลังยื่นลูกโ่ป่งให็เด็ก



กำลังทำชุดให้เด็ก โดยทำจากลูกโป่ง น่ารักดี ^ ^



เห็นกำลังขี่จักรยานล้อเดียวอยู่ ก็เลยไปถ่ายมา



หมากฝรั่งบุหรีรูปแมวหน้าซอง (ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร)




สนใจล่ะสิ ถ้าสนใจก็ไปได้ถึงวันที่ 16 นี้

(10-16 เมษายยน @ เซ็นทรัลเวิร์ด)





อ่ะ ลืมไป สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ ^ ^ สาดน้ำกันให้สนุกนะค่ะ


แต่อย่ามากไป นึกถึงคนที่ไม่มีน้ำใช้บ้างนะค่ะ

ยังไงก็ขอให้สนุกค่ะ


อีกอย่าง

เมาไม่ขับค่ะ





 

Create Date : 15 เมษายน 2551    
Last Update : 15 เมษายน 2551 0:52:29 น.
Counter : 1549 Pageviews.  

งานสัปดาห์หนังสือ

ใครไปงานสัปดาห์หนังสือกันมาบ้าง? เราไปมาแล้วเมื่อวันก่อน คนยังคึกคักเหมือนเดิม เพื่อนเราถึงกับบอกว่า ทำไมถึงบอกว่า คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัดว่ะ งานนี้คนเป็นหนอนเลย เราก็ได้หนังสือกลับมาเยอะเลย แต่ยังไม่ได้อ่าน 5555

1. ใครไปงานหนังสือ ได้หนังสืออะไร หรือหนังสืออะไรอ่านแล้วดี อยากแนะนำ ก็บอกกันได้นะ เผื่อจะไปหามาอ่านบ้าง ?

( เราอ่านจบไป 1 เล่ม คือ abc comic ของ a book เป็นการ์ตูนสั้น 7 เรื่องจาก 7 นักเขียนการ์ตูน เราว่ามันเป็นการ์ตูนแนวแปลกดีอ่ะ ชอบๆ นัวร์ๆ ดี และใครที่ชื่นชมผลงานของคุณ ทรงศีล แล้วล่ะก็ อย่าพลาด เพราะว่าเล่มนี้คุณทรงศีลเขียนด้วย 1 เรื่อง และอีก 6 เรื่อง ก็สนุก นัวร์มากๆ และแปลกตา ซึ่งเราคิดว่าหนังสือเล่มนี้สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการ การ์ตูนบ้านเราไม่น้อยทีเดียว วันนี้เราแนะนำไปแล้ว 1 เรื่อง ส่วนเล่มอื่นๆ ถ้าอ่านแล้วจะมาแลกเปลี่ยนความคิดอีกนะ)

2. วันนี้ไปเรียนมา อาจารย์ก็ให้คำตอบที่ว่า “คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด” ว่า เดี๋ยวนี้คนไทยอ่านหนังสือกันมากขึ้นแล้วนะ เราก็คิดในใจว่านั่นสิ ก็เมื่อวานคนเยอะจะตาย จะอ่านปีละ 8 บรรทัดได้ไง แล้วเราก็หันไปพูดเล่นกับเพื่อนว่า อ่านเยอะขึ้น สงสัยอ่านเยอะขึ้น 2 บรรทัด แล้วอาจารย์ก็เฉยว่า คนไทยอ่านหนังสือเยอะขึ้น เป็นปีละ 10 บรรทัด -*- (ทำไมซื้อหวยไม่ถูกอย่างนี้บ้างนะ) แล้วไอ้คนที่มันไปงานสัปดาห์หนังสือเป็นหนอนนั่นล่ะ จะตอบว่ายังไง ใครก็ได้ตอบที หรือว่าเป็นเพราะว่าเรากับเพื่อนๆเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ก็เลยมองโลกในมุมแคบ ที่คนรอบตัวอ่านกันเยอะ ก็เลยเถียงในใจว่า ไม่จริงหรอกปีละ 10 บรรทัดเนี่ย

ใครคิดยังไงก็เรื่องนี้บ้าง เสนอความเห็นได้นะ เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าคิดยังไงกันบ้าง?

3. ทำไมถึงไปซื้อหนังสือที่งานสัปดาห์หนังสือกัน (นอกจากราคาหนังสือจะถูกกว่าร้านทั่วไป) มีอะไรอย่างอื่นอีกรึเปล่า

4. ได้หนังสืออะไรมาบ้าง?

ใครว่างๆไม่มีอะไรทำ ก็มาแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้นะ ^ o ^






หนังสือที่เราซื้อจากงานสัปดาห์หนังสือครั้งนี้




 

Create Date : 05 เมษายน 2551    
Last Update : 5 เมษายน 2551 0:47:39 น.
Counter : 676 Pageviews.  

เที่ยวโคราช

วันที่ 22 กลับโคราชมา และบังเอิญมากๆ เพราะลืมไปว่า วันที่ 23 ตรงกับวัน “ฉลองชัยชนะของท้าวสุรนารี” (ย่าโม) นั่นเอง วันที่ 22 เราไปถึงโคราชก็บ่าย 2 กว่าแระ เพื่อนก็รีบมาลากตัวไป “พิพิธภัณฑ์ ไม้กลายเป็นหิน”

ไปถึงก็เป็นอะไรที่บ่ายมากๆแล้ว และก็ร้อนมากๆ (ก็เพราะภาวะโลกร้อนนี่แหละ เฮ้อ) เราก็เข้าไปเดินชม พอดีว่าเพื่อนฝึกงานที่นี่พอดี มันก็อธิบายมาเยอะเลย ว่าอะไรเป็นอะไร เช่น ช้างกำเนิดมาจากไหน มีวิวัฒนาการมาอย่างไร มีไดโนเสาร์ จำลอง ที่ตื่นตาตื่นใจมาก ที่โคราชมีพิพิธภัณฑ์ดีๆอย่างนี้ รู้สึกดีมาก เพราะว่า พิพิธภัณฑ์นี้ให้ความรู้อย่างมาก เสียดายที่ไปถึงเย็นทำให้จดอะไรหรือบันทึกอะไรไม่ค่อยทันเลย

เพื่อนพาเดินและถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนกลับมาที่จุดเริ่มต้น ก็คือจุดสุดท้ายที่พวกเราไม่ได้เข้าไปดู และปรากฏว่า พิพิธภัณฑ์ปิดซะก่อน แอบเสียดาย แต่ปรากฏว่าเพื่อนไปคุยกับน้องอีกคนที่ฝึกงาน (คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ) เค้าก็อนุญาตให้เข้าไปดูได้ แต่ไม่เปิดแอร์กับไฟให้นะ เราก็เดินๆดู แต่ก็มืดมองอะไรไม่ค่อยเห็น

เราก็ถ่ายรูปกับเพื่อนๆเพราะว่าเจอกันปีละครั้งสองครั้งเอง นานๆจะได้กลับบ้าน ก็เลยถ่ายรูปกันใหญ่เลย หลังจากนั้นก็กลับบ้านอาบน้ำและออกไปทานข้าวเย็นกับเพื่อนๆ แต่กว่าจะได้กินข้าวเย็นก็ประมาณ 3 ทุ่มกว่าซะงั้น เพื่อนมัวแต่แต่งตัว จะสวยไปไหนกันเนี่ย กว่าจะนั่งกินและนั่งเม้าท์กันเสร็จก็เที่ยงคืนกว่า เพราะร้านอาหารที่ไปกินเป็นคล้ายๆ ผับแอนด์เรสเตอรอง อะไรประนั้น ขากลับก็ผ่าน อนุสาวรีย์ท่านท้าวสุรนารี และก็นึกได้ว่า วันนี้คือวันที่ 23 แล้ว (เลยเที่ยงคืนมาแล้ว) และก็มีพิธีบวงสรวง

บ้านเราอยู่ใกล้อนุสาวรีย์ย่าโมนิดเดียว ทำไมเราไม่เคยรุ้เลยว่า เที่ยงคืนของคืนวันที่ 22 จะมีพิธีบวงสรวง ย่าโมขึ้น เพราะเลยเที่ยงคืนก็จะเป็นวันที่ 23 ซึ่งเป็นวันฉลองชัยชนะท่านท้าวสุรนารีนั่นเอง เราและเพื่อนๆจึงอยู่ทำพิธีด้วย เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน เหมือนเห็นแรงศรัทธาของชาวโคราช ทำให้รู้สึกดีไปด้วย

ไม่ใช่แค่เรา แต่เพื่อนๆก็ไม่เคยมีใครเคยร่วมพิธีนี้ ทำให้รู้สึกดีตามๆกันไป เพราะอย่างน้อย ก็ยังเห็นแรงศรัทธาอันแรงกล้า
เราอยู่ร่วมจนจบพิธี แต่ไม่ได้อยู่จนคนค่อยๆแยกย้ายกันไป เมื่อจบพิธีเราก็รีบกลับบ้าน แต่วันนี้เราค้างที่บ้านเพื่อน เพราะว่านัดกันจะไปทำบุญกันแต่เช้า และกิ๊กก็บอกว่าอยากทำอาหารถวายพระด้วยตัวเอง เราก็เลยต้องค้างบ้านหนูนากัน เพื่อที่จะตื่นแต่เช้าไปจ่ายตลาด

แต่ว่า นอนตี 3 แต่ต้องตื่นแต่เช้า ให้ตายเหอะ แต่เราตกลงกันแล้วว่าจะทำบุญ ยังไงก็ต้องตื่น
ตอนเช้านาฬิกาปลุกดัง แต่เราตื่นไม่ไหวจริงๆ กิ๊กก็เลยไปอาบน้ำแต่งตัวและปลุกเรา เพราะมีแค่เรากับกิ๊กเท่านั้นที่จะต้องไปจ่ายตลาดกัน เราก็ต้องข่มความง่วงลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำ และไปจ่ายตลาด

กิ๊กบอกจะทำแกงจืดและกล้วยบวชชี ถวายพระ เราก็ไปกับมัน แต่ทำอาหารไม่เป็นหรอกนะ ก็ซ้อผักซี้อหมู กล้วย และ กะทิ เสร็จแล้วก็กลับมาบ้านนา มาทำอาหารกัน เราหั่นกล้วย จนมือเหนียวไปหมด เพราะยางกล้วยเยอะมาก แล้วเราก็บอกกิ๊กว่า กล้วย 2 หวีไม่เยอะไปแน่เหรอ มันดูเยอะมากนะ กิ๊กก็บอกว่าไม่หรอก

เนื่องจากตื่นสายเราต้องเร่งทำอาหารให้ทันเพล กล้วยบวชชีก็ไม่มีเวลาทิ้งให้เย็นก่อน ก็ต้องตักใส่ถุงทันที และนาก็ขับรถไปที่วัด ซึ่งวัดก็ไม่ได้ใกล้บ้านเลย ไปถึงก็ 11 โมงกว่าแล้ว พระกำลังนั่งฉันอยู่ นาก็รีบวิ่งนำอาหารไปถวาย เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว พวกเราก็นั่งทานอาหารกันที่วัดเลย และก็มีแต่คนแก่กับเด็กเล็กเป็นส่วนใหญ่ที่นำอาหารมาถวาย มีคุณยายคนนึงบอกว่าดีแล้วแหละ รู้จักเข้าวัดเข้าวากัน
(น่าแปลกที่เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวากันแล้วเหรอเนี่ย)

เมื่อถวายเพลเสร็จแล้ว พวกเราก็ไปถวายสังฆทานกันต่อ และก็ดูดวงด้วยเลย คือก็ดูไปอย่างงั้นแหละ แค่อยากรู้ว่าจะมีเคราะห์ไม่ดีมากๆรึเปล่า พระบอกว่าดวงดีมาก ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็รู้สึกโล่งไป เราก็ถามพระว่า แล้วการเรียนล่ะค่ะ พระบอกว่า “ถ้าตั้งใจเรียนก็ทำได้ ถ้าไม่ตั้งใจก็ทำไม่ได้ อยู่ที่เรา” เราก็คิดว่า เออ มันก็จริง แล้วเราก็ไปไหว้พระที่โบสถ์ต่อ และก็เจอยายที่เจอเมื่อกี้ ยายบอกว่าขอติดรถเข้าไปในเมืองด้วย พวกเราก็บอกว่าได้ค่ะยาย แต่ขอไหว้พระในโบสถ์ก่อนนะ ยายบอกว่าจะไปรอหน้าวัด

พวกเราก็ไหว้พระและก็ขับรถไปรับยาย แต่หายายไม่เจอซะงั้น เพื่อนเราก็เลยกลับรถเพื่อจะเข้าไปในวัดใหม่ ปรากฏว่ายายไปรออยู่บ้านเพื่อน ที่อยู่หน้าวัด แวะเติมน้ำมันที่ปั้ม ยายจะให้เงินค่าน้ำมันซะงั้น
พวกเราบอกไม่ต้องค่ะยาย แล้วก็พายายไปส่งในเมือง และก็ล่ำลากัน

หลังจากทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราก็เอารถไปจอดไว้บ้านหนูนา เพื่อจะไปไหว้คุณย่าต่อ (ย่าโม) บริเวณอนุสาวรีย์ฯ ได้ปรับปรุงใหม่ น่าถ่ายรูปมากๆ แต่กลายเป็นป่าคอนกรีตไปแล้ว แทนที่จะมีต้นไม้เยอะๆ ทำให้อากาศที่ร้อนอยู่แล้ว ยิ่งร้อนเข้าไปอีก แต่พวกเราก็สู้แดดถ่ายรูปด้วยกัน เพราะว่าวันนี้เราก็จะกลับกรุงเทพแล้ว ก็เลยถ่ายภาพกับเพื่อนไว้ซะเยอะ (ไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกเมื่อไหร่ ก็เลยกอบโกย)

พวกเราไปไหว้คุณย่า และก็ปล่อยนก เราสงสารนกมากๆ พวกมันพยายามหาทางออกจากกรง และร้องกันเสียงหลง เราบอกพวกมันว่าเป็นอิสระแล้วก็อย่าให้เค้าจับมาอีกนะ สงสารมากมาย วันนี้รู้สึกดีมากที่ได้ไปวัดทำบุญ ปล่อยนก ฯลฯ

หลังจากนั้นก็ไปบ้านนาเก็บของและกลับกรุงเทพ เรารู้สึกว่าโคราชเปลี่ยนไปเยอะ หลังจากไม่ได้กลับมานาน มีพิพิธภัณฑ์ใหม่ที่ดีๆเพิ่มขึ้น บริเวณอนุสาวรีย์ฯ ก็ดูดีขึ้นเยอะ แต่จะดีกว่านี้ถ้ามีต้นไม้มากกว่านี้ และถ้ามีต้นไม้ ก็ติดชื่อต้นไม้ไว้ด้วยก็ดี เด็กๆที่มาเล่นของเล่นจะได้รู้จักต้นไม้ บริเวณอนุสาวรีย์ฯ ยังมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับในหลวง และก็ยังมีรถรางพาชมเมืองอีกด้วย แต่เราไม่ได้นั่งหรอกนะ ไม่เห็นมีคนขับเลยนี่น่า และเวลาก็ไม่พอด้วย เราก็เลยขึ้นไปถ่ายรูปข้างในไว้เป็นที่ระลึก

ถ้าครั้งหน้าได้ลงไปโคราชอีกอาจจะได้อะไรใหม่ๆกลับมาแบบเต็มๆ แต่คงต้องกลับไปนานหน่อยแหละนะ ที่เสียดายก็คือ เราอยากไปเที่ยวสวนสัตว์ แต่ก็ไม่มีเพื่อนอยากไป และก็มีเวลาไม่พอด้วย น่าเสียดาย ถ้าครั้งหน้ามีเวลาก็จะไปเที่ยว และเก็บภาพมาฝากกัน



พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหินฯ


เพื่อนบอกว่าเป็นช้างที่เคยร่วมแสดงในภาพยนตร์ "สุริโยทัย"


ภาพตอนทำพิธีบวงสรวง


วัดที่เราไปทำบุญมา


อนุเสาวรีย์วีรชนชาวโคราช


รถรางชมเมืองโคราช


ภายในรถราง


นิทรรศการบริเวณอนุเสาวรีย์ท้าวสุรนารี



บ้านคุณย่า (ท้าวสุรนารี)


ประตูชุมพล (เค้าว่าถ้าได้ลอดประตูนี้ จะไ้ด้กลับมาโคราชอีก)




 

Create Date : 24 มีนาคม 2551    
Last Update : 24 มีนาคม 2551 21:17:16 น.
Counter : 1680 Pageviews.  

เที่ยวริมคลอง

วันนี้ที่เรารอคอยก็มาถึง วันที่จะได้ไปเที่ยวดูต้นไม้และเรียนรู้ชีวิตของชาวลุ่มน้ำเจ้าพระยา เราต้องเดินทางถึงที่หมายเวลาประมาณ 7 โมงเช้า เราจึงตื่นแต่เช้า เพื่อไปเจอพี่จิตรที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ตอน 6 โมง และนั่งแท็กซี่ไปพร้อมกัน

เราตื่นแต่เช้ามากๆ ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เดินออกมาฟ้าก็ยังคงมืดอยู่ เราก็คิดอยู่ว่าจะนั่งรถไฟฟ้าไปอนุสาวรีย์ดีมั้ย? หรือรถเมล์ดี แต่เคยขึ้นารถไฟฟ้าเวลานี้ แล้วต้องรอประมาณ 15 นาที เราจึงตัดสินใจ ขึ้นรถเมล์ แต่รอนานมาก ทั้งๆที่รถเมล์ฝั่งตรงข้ามผ่านไปแล้ว 4-5 คัน แต่ฝั่งที่เรารอก็ไม่มาสักที ก็เลยตัดสินใจขึ้นรถไฟฟ้า เพราะเดี๋ยวจะสาย ปรากฏว่า พอเดินจะถึงรถไฟฟ้า รถเมล์สายที่เราจะขึ้น ก็วิ่งผ่านหน้าเราไป -*- ซะงั้น

เราไปรอรถไฟฟ้า เกือบเท่าเวลาที่คิดไว้ตอนแรก แต่รอประมาณ 10 นาที -*- ทำให้คิดได้ว่า ไม่ควรลังเล จะเลือกอะไรก็เลือกสักอย่าง

เราไปเจอพี่จิตรประมาณ 6 โมงเช้า และนั่งแท็กซี่ไปยังที่หมาย พอไปถึงยังไม่มีใครมาเลย แต่อ.ยงยุทธ ก็มาถึงแล้ว พิ่จิตรจึงเข้าไปทักทาย อาจารย์ก็ชวนคุย และเล่าอะไรให้ฟังหลายๆอย่าง นี่ยังไม่เริ่มทริปก็เริ่มสนุกแล้วสิ

สักพักพี่ก้องก็มาถึง และคนอื่นๆก็ทยอยมากันเรื่อยๆ จนครบ พวกเราลงเรือ โดยอาจารย์ยงยุทธบอกว่า เราจะไม่มีข้าวกล่อง แต่จะเป็นข้าวใส่จาน จะมีแกง 1 และผัด 1 อย่าง ตักกินกันตามสบาย แต่ขอให้ทานให้หมด เพื่อไม่ให้เหลือขยะมาที่ฝั่ง

เมื่อเรือเริ่มออกจากท่า อาจารย์ก็เริ่มอธิบายอะไรหลายๆอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งอาจารย์อธิบายได้ทุกอย่างจริงๆ ถ้าอะไรที่ไม่รู้ถามอาจารย์ก็จะได้คำตอบ จะได้รู้ว่าสถานที่ต่างๆริมน้ำนั้น มีที่มาอย่างไร มีประวัติศาสตร์อย่างไร และต้นไม้ชนิดไหนเป็นอย่างไร แม้แต่เรือขนสินค้า หรือเรือเก็บขยะผ่านไป อาจารย์ก็สามารถนำมาอธิบายได้ (เก่งจริงๆค่ะ ขอชม)

พวกเราเริ่มแวะที่จุดแรกก็คือ “วัดกัลยาณมิตร” ก่อนเป็นที่แรก พอพวกเราลงจากเรือจนครบ อาจารย์ก็เริ่มอธิบายถึงความเป็นมาของวัดนี้ (แต่เรื่องที่มาไม่ขอพูดถึงมาจะดีกว่า กลัวข้อมูลจากการจดจะผิดพลาด เพราะเราจดไม่ค่อยทัน) หลังจากทราบที่มากันแล้ว พวกเราก็เข้าไปกราบพระในโบสถ์ พอออกมากันแล้ว อาจารย์บอกว่าเกิดปัญหากับเรือนิดหน่อย เพราะว่ามีผ้าใบผืนใหญ่ไปติดใบพัดของเรือ ทำให้เรือออกไม่ได้ และจะต้องให้คนดำน้ำลงไปนำออก อาจารย์พูดให้เห็นว่า เพราะพวกเราคิดว่าแม่น้ำเป็นที่ทิ้งขยะทำให้ขยะเต็มแม่น้ำไปหมด (ส่วนจะจริงหรือไม่ก็คงต้องคิดเอง)

อาจารย์บอกว่า ในสมัยรัชกาลที่ 3 สยามรวยมาก มีเงินเก็บเหลือเฟือ เพราะรัชกาลที่ 3 บอกว่า “การที่เราจะทำตัวให้รวย เราต้องทำตัวให้จน แล้วเราจะรวย” โดยอาจารย์ได้ขยายความคำว่า “วิธีอยู่อย่างจน” ว่า ก็คือ การใช้ทุกอย่างให้คุ้มค่า พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า เช่น เรามีกล้องดิจิตอลที่ซื้อมาในราคา 5000 บาท จะใช้ให้คุ้มได้ ก็เช่น ใช้5000 ครั้ง ก็จะเท่ากับเราใช้ครั้งละ 1 บาทเท่านั้น นี่แหละคือการใช้ให้คุ้ม

เราก็เริ่มเดินทางไปกันต่อยังสถานที่ต่อไปคือ “วัดนางชี” ซึ่งเป็นวัดที่มีต้นไม้เยอะมาก พวกเราลงจากเรือ อาจารย์อธิบายเรื่องต่างๆเกี่ยวกับต้นไม้ ว่าต้นไม้แต่ละชนิดเป็นยังไง ต่างกันตรงไหน ทำอะไรได้บ้าง อาจจะทำเป็นสมุนไพรได้อีกด้วย โดยอาจารย์อธิบายอย่างละเอียด หลังจากฟังคำบรรยาย และถ่ายรูปต้นไม้ (ที่จริงๆแล้วเราก็ยังแยกไม่ค่อยออกว่าเป็นต้นอะไรบ้างกันแน่) เสร็จแล้ว พวกเราก็เข้าไปกราบพระในโบสถ์ และก็กลับลงเรือ เพื่อมุ่งหน้าไปยังวัดต่อไป

ระหว่างทางจะไปวัดต่อไปนั้น เพื่อไม่ให้เสียเวลา เวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง นั่นก็คือ เวลาอาหารกลางวัน (หิวจะแย่อยู่แล้ว) ทุกคนทยอยกันไปตักอาหาร และเราก็จำได้ว่า อย่ากินเหลือ ต้องกินให้หมด เราจึงบอกคนตักอาหารว่า ขอข้าวนิดเดียวพอค่ะ พี่ท่านก็ตักให้นิดเดียวจิงๆ แต่กับข้าวเยอะ และพอกินไปก็พบว่าใส่พริกมาเยอะมาก เผ็ดสุดๆไปเลย แต่ “ต้องกินให้หมด อย่าให้เหลือ” เราก็ต้องกินพริกเข้าไปเยอะมาก โดยหารู้ไม่ว่า ถ้าเหลือแค่เศษพริกแค่นั้น เทใส่ถังขยะก็ได้ ลืมไป -*- แต่ก็กินจนหมดซะงั้น และเผ็ดมากด้วย
เมื่อทานอิ่มและอาหารยังไม่ทันย่อย ก็มาถึง “ตลาดน้ำตลิ่งชัน” คือ เพิ่งอิ่ม ทานอะไรไม่ลงแล้ว พวกเราก็เลยมานั่งถ่ายรูปน้องละมุน (ตุ๊กตาสุดน่ารักของพี่ลิปดา นั่นเอง) โดยมีนายแบบรับเชิญ คือ พี่ก้อง (ใจดีจริงๆให้ทำอะไรก็ทำ และยังหวีผมให้ตุ๊กตาด้วย แบบขำๆกันไป) สักพักก็มีคุณลุงใจดี นำตุ๊กตามานั่งเป็นเพื่อนน้องละมุน บอกว่าให้ยืม (ใจดีสุดๆเลย) แล้วก็มีแม่ค้าแถวนั้น เข้ามาขอดูน้องละมุนด้วย และชวนคุยอย่างเป็นกันเอง เมื่อถ่ายรูปเสร็จเราก็นำตุ๊กตาไปคืน รู้สึกตื้นตันที่คนแถวนี้อัธยาศัย ดีมากๆ เป็นกันเอง หลังจากนั้นพวกเราก็ไปเดินในตลาดต่อ (แต่คงทานอะไรไม่ลงกันแล้ว) พวกเราจึงถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไว้ สองข้างทางเต็มไปด้วยขนมที่ห่อด้วยใบตอง น่ารัก และน่าทานมากๆ แต่ทานไม่ไหวจริงๆ และยังมีของแปลกๆที่นำมาขาย แต่ที่ละลานตามากก็คือ ร้าน 2 ข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ เราเห็นแล้วอยากจะซื้อกลับจริงๆ แต่คงแบกไม่ไหว พี่ก้องก็บอกว่า ถ้าจะแบกกลับก็ดูจะแมนเกิน 5555

พวกเรารีบชมบรรยากาศ และถ่ายรูป เพราะเดี๋ยวจะขึ้นเรือไม่ทัน แต่ทริปนี้ทุกคนตรงเวลาดีมากๆ

หลังจากตื่นตาตื่นใจกับตลาดน้ำกันแล้ว พวกเราก็นั่งเรือมาจนถึง “วัดชัยพฤกษามาลา” พวกเราเข้าไปกราบพระในโบสถ์ ที่เก่าและเหมือนจะผุพังเต็มที แต่ก็มีรากไทร ที่ใหญ่และแข็งแรงหุ้มไว้ เห็นแล้วแอบขนลุก ว่าต้นไทรใหญ่มากๆ หลังจากออกจากวัดนี้แล้ว เราก็ล่องเรือไปเรื่อยๆ ได้เห็นวิถีชีวิตริมน้ำ แต่ที่เราสังเกตมากๆเลยก็คือ บ้านริมน้ำแทบทุกหลัง ต้องปลูกต้นไม้ไว้ และไม่ใช่แค่ต้นเดียว แต่มีเต็มไปหมด ละลานตาไปหมด ดูแล้วสบายตากว่าตึกสูงใหญ่ริมถนนหลายเท่านัก

เมื่อใกล้วนกลับมายังจุดเริ่มต้นแล้ว เราก็เข้าไปชมป้อมทับทิมไม่ได้ เนื่องจากมีเวลาไม่มากพอ ทำให้ต้องขึ้นฝั่ง ทั้งๆที่ไม่ได้ชมป้อมทับทิม

หลังจากขึ้นฝั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปหาอะไรกินกันต่อที่ท่าพระจันทร์ และก็แยกย้ายกันกลับ
วันนี้ได้อะไรกลับมาเยอะมากเลย อีกเรื่องที่อาจารย์ยงยุทธบอก และเราก็เห็นด้วยอย่างยิ่งเลย ก็คือ จริงๆแล้วคนไทยเก่งนะ มีภูมิปัญญาเยอะมาก แต่ใช้ไม่เป็น เราคิดว่า บางสิ่งบางอย่าง เป็นของคนไทยแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นคุณค่า ทำให้อะไรหลายๆอย่างที่ควรจะเป็นของคนไทยอย่างถูกต้อง กลับกลายต้องเป็นของต่างชาติไปจากการจดสิทธิบัตร กลับกลายเป็นว่าชาวต่างชาติเห็นคุณค่ามากกว่าซะงั้น กว่าจะรู้ตัวก็โดนขโมยอะไรดีๆไปหลายอย่างแล้ว ยังไงก็อยากให้ภูมิใจในความเป็นไทย

ยังไงการเดินทางของวันนี้ก็สนุกมาก และก็ต้องขอบคุณอาจารย์ ยงยุทธ จรรยารักษ์ ด้วยที่ให้ความรู้ดีๆ ได้อะไรเยอะมากๆเลยค่ะ และที่ขาดไม่ได้จริงๆก็คือ คุณ ทรงกลด บางยี่ขัน ที่จัดทริปดีๆอย่างนี้ขึ้นมา (คราวหน้าจะไปแจมอีกนะค่ะ)


สุดท้ายๆ ก็ต้องมีเครดิตนิดนึง ติดตามผลงานของอาจารย์ยงยุทธ จรรยารักษ์ ได้ใน a day เล่ม 90 ปกต้นไม้ และก็มีเมล็ดแถมมาให้ปลูกด้วย ถ้าปลูกได้ก็ดี ช่วยลดภาวะโลกร้อน และก็สดชื่นด้วย




เรือที่เรานั่งไปเที่ยว


แม่ค้ากำลังขายขนม น่ากินมากๆ (แต่อิ่ม)


น้องละมุน และตุ๊กตาที่ลุงใจดีให้ยืมมาถ่ายด้วย



ร้านขายต้นไม้ ที่ตลาดน้ำตลิ่งชัน


พี่ก้องกับน้องละมุน


โบสถ์ที่มีรากไทรล้อมรอบไว้




 

Create Date : 21 มีนาคม 2551    
Last Update : 21 มีนาคม 2551 23:47:02 น.
Counter : 674 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

ปากกาไฮไลท์สีแดง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ปากกาไฮไลท์สีแดง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.