กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เพชรพระมหามงกุฎ
แผ่นดินทอง
รัตนโกสินทร์ ๒๒๕ ยินดีต้อนรับ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระราชสกุล
เที่ยวเมืองพระร่วง
ตำนานวังหน้า
ความ-ทรงจำ ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
อธิบายเรื่องธงไทย
ตำนานภาษีอากร
บันทึกรับสั่งสมเด็จฯ
สารคดีที่น่ารู้ - ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล
พระจอมเกล้าพระจอมปราชญ์
เทศาภิบาล
สิมอีสาน
ตอนที่ ๕ เสด็จไปต่างประเทศครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๑๗
ตอนที่ ๓ พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสวยราชย์แล้ว พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑
ตอนที่ ๒ พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อก่อนเสวยราชย์ พ.ศ. ๒๓๔๓ - ๒๓๙๔
ตอนที่ ๔ เรื่องเมื่อเปลี่ยนรัชกาล
ตอนที่ ๑ เริ่มเรื่องประวัติ พ.ศ. ๒๔๐๕-๒๔๑๑
ตอนที่ ๓ พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสวยราชย์แล้ว พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑
สองมหาราช
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ ฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
..............................................................................................................................................................
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระชันษาได้ ๔๗ ปี การที่ทรงสร้างสมบารมีมาในเวลาก่อนเสวยราชย์ ถ้าเอาระยะพระชันษาตั้งเป็นวินิจฉัยประกอบรายการที่ปรากฏ ตอนพระชันษาก่อน ๒๐ ปี คงได้ทรงรับความอบรมพระจริยาและศึกษาวิชาความรู้ต่างๆเช่น อักษรศาสตร์ ราชประเพณี และประวัติศาสตร์ เป็นต้น สำหรับพระราชกุมารชั้นสูงศักดิ์ตามแบบโบราณครบทุกอย่าง แต่พระปรีชาญาณอันปรากฏในหนังสือต่างๆ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์เมื่อเสวยราชย์แล้ว ลึกซึ้งเกินกว่าหลักสูตรการศึกษาของพระราชกุมารมาก จึงเข้าใจว่าคงทรงศึกษาต่อมาในสมัยเมื่อทรงผนวชจนสามารถรอบรู้ถึงปานนั้น ถึงตอนพระชันษาระหว่าง ๒๐ จน ๓๐ ปี ทรงศึกษาภาษามคธจนเชี่ยวชาญ เป็นเหตุให้ทรงรอบรู้พระไตรปิกหาผู้เสมอเหมือนมิได้
ข้อนี้ถ้าหาตัวอย่างในพงศาวดารมาเปรียบเทียบ เคยมีพระเจ้าแผ่นดินในราชวงศ์พระร่วงพระองค์ ๑ พระนามเดิมว่า "พญาลิไทย" เมื่อเสวยราชย์ ณ กรุงสุโขทัยใช้พระนามว่า "พระมหาธรรมราชา"(ที่ ๑) ในพงศาวดารเหนือเรียกว่า "พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก"
(๑)
เพราะปรากฎพระเกียรติว่าทรงเชี่ยวชาญพระไตรปิฎกหาผู้เสมอมิได้ในสมัยนั้น ได้ทรงแต่งหนังสือ "ไตรภูมิ" ไว้เรื่อง ๑ ยังมีฉบับที่พิสูจน์ได้ ในประเทศอื่นที่ใกล้เคียงมีพระเจ้าแผ่นดินมอญอีกพระองค์ ๑ เมื่อครองกรุงหงสาวดีใช้พระนามว่า "พระเจ้ารามาธิบดี" แต่ในหนังสือพงศาวดารเรียกว่า "พระเจ้าธรรมเจดีย์" เพราะปรากฎพระเกียรติว่าเชี่ยวชาญพระไตรปิฎกไม่มีผู้อื่นเสมอเหมือน และมีหนังสือซึ่งพระเจ้าธรรมเจดีย์ทรงแต่ง เรื่องประวัติพระพุทธศาสนาในเมืองมอญจารึกไว้ เรียกกันว่า "จารึกกัลยาณี" ยังปรากฎเป็นข้อพิสูจน์ได้เหมือนกัน พิเคราะห์ความในหนังสือไตรภูมิ(พระร่วง)และจารึกกัลยาณี ส่อให้เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินทั้ง ๒ พระองค์นั้น แม้ทรงทราบพระไตรปิฎกมากก็จริง แต่ไม่ถึงสามารถจะชี้วินิจฉัยผิดชอบในคัมภีร์อัตถกถาฎีกาได้เหมือนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สุดแต่โบราณาจารย์ว่าไว้อย่างไรก็ทรงถือแต่อย่างนั้น จึงผิดกัน
ถึงตอนพระชันษาระหว่าง ๓๐ ถึง ๔๐ ปีทรงจัดการฟื้นพระพุทธศาสนา และบางทีจะเป็นในตอนนี้ที่ทรงศึกษาวิชาความรู้ต่างๆของไทยเพิ่มเติมจนรอบรู้ลึกซึ้งถึงขั้นสูงสุด โบราณคดีก็เห็นจะทรงศึกษาในตอนนี้ เพราะเสด็จไปเที่ยวธุดงค์ตามหัวเมือง ได้พบศิลาจารึกและทอดพระเนตรโบราณวัตถุสถานต่างๆเนืองๆ ถึงตอนพระชันษาระหว่าง ๔๐ ถึง ๔๗ ปีเริ่มทรงศึกษาภาษาอังกฤษกับวิชาความรู้ต่างๆ ของฝรั่ง เลยเป็นปัจจัยให้เอาพระหฤทัยใส่สอดส่องการบ้านเมืองที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศในตอนนี้ ถ้าว่าโดยย่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างสมพระบารมีสมบูรณ์มาแล้วตั้งแต่ก่อนเสวยราชย์ ขาดอย่างเดียวแต่ที่มิได้เคยทรงบัญชาการทัพศึกเหมือนอย่างสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใน ๒ รัชกาลแต่ก่อนมา เพราะไม่มีโอกาส
ถึงกระนั้นเมื่อเสด็จเสวยราชย์ก็ได้รับความนิยมนับถือของคนทั้งหลาย ว่าเป็นนักปราชญ์ทรงพระปรีชาญาณผิดกับพระเจ้าแผ่นดินที่ปรากฏมาในพงศาวดารโดยมาก ข้อนี้ถึงบุคคลชั้นหลังที่ไม่ทันได้เห็นพระองค์ ใครได้อ่านหนังสือพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่นพระบรมราชาธิบาย และบรมราชวินิจฉัยที่รวบรวมพิมพ์ไว้ ก็จะเห็นได้ว่าในบรรดากิจการและเรื่องต่างๆซึ่งทรงพระราชนิพนธ์นั้น ทรงรอบรู้ลึกซึ้งเชื่อได้ว่าในสมัยนั้นไม่มีผู้อื่นเสมอเหมือน นอกจากนั้น ถ้าสังเกตในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเห็นได้ต่อไปถึงพระราชอัธยาศัยว่าไม่มีความประมาท เช่นจะทรงพระราชดำริกิจการอันใดย่อมอาศัยหลักฐานและคิดถึงผู้อื่นเสมอ ข้อนี้พึงเห็นได้ในพระราชบัญญัติและประกาศสั่งการต่างๆ ทรงชี้แจงให้คนทั้งหลายเข้าใจพระราชดำริและพระราชวินิจฉัยแจ่มแจ้งเป็นนิจ จึงเป็นเหตุให้คนทั้งหลาไว่วางใจในพระคุณธรรม มาตั้งแต่แรกเสวยราชย์จนตลอดรัชกาล
เวลาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านพิภพนั้น ภายในประเทศสยามบ้านเมืองเป็นปกติเรียบร้อยกว่าเมื่อปลายรัชกาลก่อนๆในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เพราะคนทั้งหลายนิยมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหมด แต่ทางภายนอกมีเหตุเป็นข้อวิตกอยู่ ด้วยเมื่อใกล้จะสิ้นรัชกาลที่ ๓ รัฐบาลอังกฤษให้มาทำหนังสือสัญญาใหม่ แต่ข้างฝ่ายไทยไม่ยอมทำ เพราะเห็นว่าถ้าทำหนังสือสัญญาตามข้อความที่อังกฤษปรารถนา จะเกิดความเสียหายในบ้านเมือง ทูตอังกฤษขัดใจกลับไป จึงระแวงกันอยู่ว่าอังกฤษจะกลับมาอีก ในคราวนี้จะมาดีหรือมาร้ายก็เป็นได้ทั้ง ๒ สถาน ก็ในเวลานั้นผู้ใหญ่ในราชการ มีสมเด็จเจ้าพระยาฯทั้ง ๒ องค์เป็นต้น ยังนิยมในทางรัฏฐาภิปาลโนบายอย่างครั้งรัชกาลที่ ๓ อยู่โดยมาก
ผู้ที่มีความเห็นเป็นชั้นสมัยใหม่เหมือนอย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีน้อยตัว ที่ชื่อเสียงปรากฏมีแต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ ๑ แต่เมื่อบวรราชาภิเษกแล้วก็เอาพระองค์ออกห่าง ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ด้วยเกรงว่าจะแข่งพระบารมีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คงมีแต่กรมหลวงวงศาธิราชสนิทพระองค์ ๑ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อเป็นเจ้าพระยาว่าที่สมุหพระกลาโหมองค์ ๑ กับเจ้าพระทิพากรวงศ์เป็นผู้ช่วยในการต่างประเทศ ๑ ความเห็นในเรื่องทำหนังสือสัญญาจึงต่างกันเป็น ๒ ฝ่าย
ข้างพวกสมัยเก่าเห็นว่าถ้าอังกฤษลดหย่อนผ่อนผันความปรารถนาลง อย่าให้ขัดกับประเพณีบ้านเมืองก็ควรทำ มิฉะนั้นก็ไม่ควรยอมทำหนังสือสัญญา เพราะยังเชื่อตามคำพวกจีนอยู่ว่าอังกฤษมีฤทธิ์เดชแต่ในท้องทะเล ฝ่ายพวกชั้นสมัยใหม่เห็นว่าโลกวิสัยทางตะวันออกนี้ ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงด้วยฝรั่งมามีอำนาจขึ้น จีนเป็นประเทศใหญ่อังกฤษยังบังคับได้ ไทยเป็นประเทศน้อยที่ไหนจะยอมตามใจไทย อย่างไรๆไทยก็คงต้องทำหนังสือสัญญาใหม่กับอังกฤษ ผิดกันแต่เวลาช้าหรือเร็ว ถ้าไม่ยอมทำก็คงเกิดภัยอันตรายแก่บ้านเมือง ในพวกสมัยใหม่คิดเห็นกันอย่างนี้ทั้งนั้น
แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการไกลกว่าผู้อื่น ทรงพระราชดำริว่างที่จะให้ปลอดภัยมีทางเดียว แต่ต้องรับทำหนังสือสัญญาโดยดีให้เกิดมีไมตรีจิตต่อกัน แล้วจึงชี้แจงกันฉันท์มิตรให้ลดหย่อนผ่อนผันข้อสัญญา อย่าให้เกิดยุคเข็ญแก่บ้านเมือง ใช่แต่เท่านั้น ทรงพระราชดำริต่อไปว่า ประเทศทั้งหลายทางตะวันออกนี้ ต่อไปภายหน้าคงจะมีการเกี่ยวข้องกับฝรั่งมากขึ้นทุกที ถ้าไม่เปลี่ยนรัฎฐาภิปาลโนบายของประเทศสยามให้ฝรั่งนิยมว่าไทยพยายามบำรุงบ้านเมืองให้เจริญตามอริยธรรม ก็อาจจะไม่ปลอดภัยไปได้มั่นคง
คงทรงพระราชดำริเช่นว่ามาแต่ยังทรงผนวชอยู่ เพราะฉะนั้นพอเสด็จผ่านพิภพตั้งแต่ก่อนทำพิธีราชาภิเษก ก็ทรงแก้ไขขนบธรรมเนียมเก่า เริ่มด้วยดำรัสสั่งให้เลิกประเพณีเข้าเฝ้าตัวเปล่าไม่ใส่เสื้อ ให้เจ้านายและข้าราชการใส่เสื้อเข้าเฝ้าต่อไปเป็นนิจ การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสให้ใส่เสื้อดังว่ามา คนในสมัยนี้ได้ฟังเล่าอาจจะเห็นขัน ด้วยเข้าใจว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆขี้ประติ๋วไม่น่าจะยกขึ้นกล่าว
(๒)
ต่อไปได้อ่านหนังสือจดหมายเหตุเก่าจึงเห็นว่าเป็นแม้เป็นการเพียงเท่านั้น ก็ไม่สำเร็จได้โดยง่ายข้อนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือเซอรจอน เบาริง ราชทูตอังกฤษแต่งเล่าเรื่องที่เข้ามากรุงเทพฯ ภายหลังอีก ๓ ปี ว่าเมื่อไปหาสมเด็จเจ้าพระยาฯองค์ใหญ่ ครั้งแรกจัดรับอย่างเต็มยศ เห็นสมเด็จเจ้าพระยาฯองค์ใหญ่แต่งตัวนุ้งจีบคาดเข็มขัดเพชร แต่ตัวเปล่าไม่ใส่เสื้อ ความที่กล่าวส่อให้เห็นต่อไปว่า ขุนนางผู้น้อยซึ่งเป็นบริวารอยู่ในที่นั้นก็คงไม่ใส่เสื้อเหมือนกันทั้งนั้น เพราะถือกันว่าต้องใส่เสื้อในเวลาเข้าเฝ้า เวลาอื่นยังมีเสรีภาพที่จะรับแขกหรือไปไหนตัวเปล่าได้เหมือนอย่างเดิม
เพราะประเทศตะวันออกนี้ไม่ใช่แต่ในประเทศสยามประเทศเดียว ถือกันมาแต่โบราณว่าต้องรักษาประเพณีที่มีมาก่อนมิให้เสื่อมทราม บ้านเมืองจึงอยู่เย็นเป็นสุข ข้อนี้พึงเห็นได้ในหนังสือเก่า คำสรรเสริญของพระเจ้าแผ่นดินมักกล่าวว่า "รักษาโบราณราชประเพณีมั่นคง" หรือ "ทรงประพฤติตามโบราณราชประเพณี" แม้จนในกลอนคำเทียบเรื่องพระชัยสุริยาของสุนทรภู่ก็ยกเหตุว่า เพราะพวกข้าเฝ้าเจ้าเมืองสาวัตถี "ดัดจริตผิดโบราณ" บ้านเมืองจึงเป็นอันตราย เมื่อคนทั้งหลายเชื่อถือกันมาเช่นนั้นโดยมาก การเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมที่เคยนิยมกันมาช้านานจึงเป็นการยาก เพราะฉะนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงค่อยทรงแก้ไขขนบธรรมเนียมเก่า แต่เพียงที่จะทำให้สำเร็จได้เป็นอย่างๆโดยลำดับ แม้เรื่องที่โปรดฯให้ใส่เสื้อก็ยังใส่กันแต่ในเวลาเข้าเฝ้ามาจนคนสมัยเก่าหมดตัวไป พวกชั้นสมัยใหม่ชอบใส่เสื้อก็มีมากขึ้น จึงได้ใส่เสื้อกันแพร่หลาย
เมื่อถึงงานพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ประเพณีเก่าอีกอย่างหนึ่งในวันเสด็จออกมหาสมาคมในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ด้วยพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พวกฝรั่งที่อยู่ในกรุงเทพฯเข้าเฝ้าด้วย เรื่องนี้ในเวลานั้นก็ไม่มีใครเห็นเป็นการแปลกประหลาดนัก เพราะเป็นแต่มีฝรั่งสัก ๑๐ คนเข้าไปยืนเฝ้าอยู่ข้างหลังแถวที่ขุนนางหมอบ แต่การนั้นมีผลมาก (ถึงมาเป็นประโยชน์ในการเมืองภายหลัง ดังจะเล่าในที่อื่นต่อไป) เพราะฝรั่งเหล่านั้นพากันเขียนบอกข่าวออกไปถึงนานาประเทศ ว่าพระเจ้าแผ่นดินสยามพระองค์ใหม่ทรงเปลี่ยนขนบธรรมเนียมหันเข้าหาอริยธรรมอย่างฝรั่ง ผิดกับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่นๆทางตะวันออก ฝรั่งตามต่างประเทศพากันพิศวง เริ่มเกิดไมตรีจิตต่อประเทศสยามผิดกว่าแต่ก่อน แม้ด้วยทรงเปลี่ยนแปลงประเพณีเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนแปลงประเพณีเดิมตั้งแต่แรกเสวยราชย์อีกเรื่องหนึ่ง ด้วยทรงทราบแต่ยังทรงผนวชว่า ในสมัยนั้นราษฎรถูกผู้มีอำนาจกดขี่ข่มเหงชุกชุม เรื่องนี้ที่จริงราชประเพณีก็มีมาแต่โบราณ อนุญาตให้บรรดาผู้มีความทุกข์ร้อนถวายฎีกาต่อพระเจ้าแผ่นดินได้ทั่วหน้าเสมอกันหมด แต่วิธีที่ถวายฎีกาตามแบบเก่า ต้องเข้าไปตีกลองที่ทิมดาบกรมวัง ให้พระเจ้าแผ่นดินทรงได้ยินเสียงกลอง ก็โปรดฯให้มารับฎีกา จึงเรียกกันว่า "ตีกลองร้องฎีกา" ครั้นนานมาผู้มีอำนาจกีดกันมิให้ราษฎรเข้าถึงกลอง ก็ถวายฎีกายากขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยทรงปรารภในพระราชนิพนธ์แห่งหนึ่งว่า
พระเจ้าแผ่นดินเหมือนเป็นพระประธานอยู่ในโบสถ์ ลืมพระเนตรอยู่ก็ไม่เห็นอะไร
พอทรงเสด็จเสวยราชย์บรมราชภิเษกแล้ว ก็ทรงตั้งประเพณีเสด็จออกรับฎีการาษฎรด้วยพระองค์เองทุกวันโกนเดือนละ ๔ ครั้ง
(๓)
เวลาเสด็จออกให้เจ้าพนักงานตีกลองวินิจฉัยเภรี เป็นสัญญาให้ราษฎรเข้าถวายฎีกาได้เป็นนิจ ก็มีผลเห็นประจักษ์ทันที ด้วยผู้มีอำนาจกดขี่ข่มเหงราษฎร เช่นฉุดลูกสาว หรือ จับผู้คนจองจำตามอำเภอใจ ไม่มีใครกล้าทำดังแต่ก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเห็นเป็นประโยชน์ จึงโปรดฯให้ประกาศถวายฎีกาได้เอง เช่นถูกกังขังเป็นต้น ให้ฝากฎีกาให้ญาติพี่น้องหรือมูลนายถวายต่างตัวได้ แต่ในการรับฎีกาของราษฎรนั้น ถ้าปรากฏว่าใครเอาความเท็จมากราบทูลเพื่อจะให้ผู้อื่นเสียหายโดยไม่มีมูล ก็ให้ลงพระราชอาญาแก่ผู้ถวายตามประเพณีเดิม ป้องกันผู้ไม่มีผิดมิให้เดือดร้อน
นอกจากเสด็จออกรับฎีกา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนประเพณีที่พระเจ้าแผ่นดินทรงติดต่อกับตัวราษฎรอีกอย่างหนึ่ง ด้วยดำรัสสั่งให้เลิกประเพณีโบราณ(อย่างเมืองจีน) ที่ห้ามมิให้ราษฎรเข้าใกล้ชิดหนทางเมื่อเวลาเสด็จประพาส และบังคับให้ปิดประตูหน้าต่างบ้านเรือนที่อยู่ทั้ง ๒ ข้างทาง โปรดฯพระราชทานอนุญาตให้ราษฎรเข้ามาเฝ้าได้ใกล้หนทาง และให้เปิดประตูหน้าต่างได้ตามชอบใจ หากเจ้าของบ้านเรือนมีประสงค์จะแสดงความเคารพก็ให้แต่งเครื่องบูชาที่หน้าบ้าน แล้วคอยเฝ้าอยู่ที่เครื่องบูชานั้น จึงเกิดประเพณีตั้งเครื่องบูชารับเสด็จแต่นั้นมา
(๔)
ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนประเพณีเดิมในการรับฎีการาษฎร และโปรดฯอนุญาตให้ราษฎรเฝ้าแหนได้สะดวกกว่าแต่ก่อนดังกล่าวมา ก็เป็นเหตุให้ราษฎรพากันนิยมในพระคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแพร่หลายอีกอย่างหนึ่ง
นอกจากเรื่องที่เล่ามาเป็นอุทธาหรณ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมเดิม และทรงสถาปนาการต่างๆขึ้นเป็นแบบแผนในรัชกาลที่ ๔ อีกหลายอย่าง ถ้าพรรณาเป็นราบเรื่องหนังสือนี้จะยืดยาวนัก จึงจะรวมความกล่าวตามประเภทของการที่ทรงจัด โดยประสงค์จะให้เห็นเหตุและผลของการที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดนั้นเป็นสำคัญ ถ้าตั้งเป็นปัญหาอย่างที่เรียกในสำนวนแปลในหนังสือจีนว่าเป็น "คำกลาง" ถามว่าเพราะเหตุใดพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯเปลี่ยนขนบธรรมเนียมต่างๆ อธิบายข้อนี้เมื่อพิจารณาดูเห็นว่าเป็นด้วยเหตุ ๒ อย่าง อย่าง ๑ ดังได้กล่าวมาแล้วว่าเพราะทรงตระหนักพระราชหฤทัยว่า รัชกาลของพระองค์ประจวบเวลาโลกวิสัยทางตะวันออกนี้เปลี่ยนแปลงด้วยฝรั่งมามีอำนาจขึ้น จะต้องเปลี่ยนรัฏฐาภิปาลโนบายหันเข้าหาอริยธรรมอย่างฝรั่ง บ้านเมืองจึงจะพ้นภยันตราย
แต่การต่างๆที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดนั้น ที่ไม่เกี่ยวกับอริยธรรมของฝรั่ง แต่เป็นการสำคัญในขนบธรรมเนียมไทยก็มีมาก เห็นได้ว่ามีเหตุอื่นอีก และเหตุนั้นเกิดแต่พระอุปนิสัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯทำการให้ถูกต้องเป็นแก่นสาร ไม่ทรงนิยมทำตามคติที่ถือกันมาว่าเคยมาแต่โบราณอย่างไร ต้องทำอย่างนั้นจึงจะเป็นการ "รักษาราชประเพณี" เพราะเมื่อพระองค์ทรงผนวชได้มีโอกาสพิจารณาตำรับตำราต่างๆมาก ทั้งทางฝ่ายพุทธศาสตร์และราชศาสตร์ เห็นประเพณีต่างๆที่ทำกันมาผิดหลักเดิมหรือยังบกพร่องมีอยู่มาก จึงทรงพยายามแก้ไขให้เป็นแก่นสาร ใช่จะโปรดเปลี่ยนอะไรๆให้เป็นอย่างใหม่ไปทั้งนั้นหามิได้ พระอุปนิสัยเช่นว่านี้พึงเห็นได้แต่ในพระราชประวัติตอนทรงผนวช พอทรงสอบสวนพระไตรปิฎก ทราบว่าพระสงฆ์ไทยปฏิบัติพระวินัยเคลื่อนคลาดจากพระพุทธบัญญัติมากนัก ก็ทรงพยายามแก้ไขให้เป็นแก่นสารดังเล่าเรื่องมาแล้วในตอนก่อน ครั้นเสด็จเสวยราชย์ทรงพิจารณาเห็นขนบธรรมเนียมอันใดเคลื่อนคลาดเค้ามูลหรือว่าอย่างบกพร่อง ก็ทรงพระราชดำริแก้ให้ดีขึ้นเป็นลำดับมาจนตลอดรัชกาล สมัยเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมของประเทศสยาม จึงกำหนดในทางพงศาวดารว่าเกิดแต่ในรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา
แต่นี้จะกล่าวอธิบายที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขขนบธรรมเนียมตามประเภทต่างๆต่อไป
การศาสนา
ในตอน ๒ ของหนังสือเล่มนี้ ได้เล่ามาแล้วถึงเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฟื้นพระศาสนา และทรงตั้งนิกายพระสงฆ์ธรรมยุติกา และที่สุดเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวร ทรงทักท้วงเนื่องต่อการเมือง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงดำรัสสั่ง ให้พระสงฆ์ธรรมยุติกากลับห่มคลุมอย่าง พระมหานิกายมาจนสิ้นรัชกาลที่ ๓ ได้ยินว่าในครั้งนั้นพระเถระธรรมยุติกาบางรูป มีสมเด็จพระวันรัต(ทับ) เมื่อยังเป็นที่พระอริยมุนีเป็นต้น ไม่ทำตามรับสั่งก็มี ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ พระเถระธรรมยุติกาทั้งปวงเข้าชื่อกันยื่นฎีกาต่อเสนาบดี ขอให้นำความกราบทูลว่า ที่ต้องถูกบังคับขืนใจให้ครองผ้าตามแบบอย่าง ซึ่งเลื่อมใสมีความเดือดร้อน ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระสงฆ์ธรรมยุติกากลับครองแหวกเหมือนอย่างเดิม
ก็เกิดความลำบากพระราชหฤทัยแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะจะดำรัสให้ห่มผ้าอย่างพระมหานิกายต่อไป ก็ผิดกับคติซึ่งพระองค์เองได้ทรงตั้ง ทั้งจะทำให้พระสงฆ์ธรรมยุติกายิ่งรู้สึกเดือดร้อนหนักขึ้น ถ้าหากกลับไปครองแหวกตามอำเภอใจ จะทรงทำอย่างไรก็ยากอยู่ แต่จะพระราชาทานพระบรมราชานุญาตเล่า ก็ผิดกับที่ได้ทูลรับไว้ต่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เฉพาะมีทางจะระงับความลำบากนั้นได้ ด้วยฐานะของพระองค์เมื่อก่อนเสวราชย์ เป็นสมณคณาจารย์ เมื่อทรงรับฎีกาของพระมหาเถระ ฐานะของพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ จึงพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยว่า
การปฏิบัติธรรมวินัยเป็นกิจของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติ มิใช่ราชกิจของพระเจ้าแผ่นดินที่จะทรงสั่งให้ทำประการใด
เมื่อมีพระบรมราชวินิจฉัยเช่นนั้น พระสงฆ์ธรรมยุติกาก็พากันกลับห่มแหวกตามเดิม
แต่เรื่องที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ธรรมยุติกายังมีข้ออื่นต่อมาอีก ด้วยเมื่อในรัชกาลที่ ๓ คนที่เลื่อมใสต่อคติธรรมยุติกาอย่างเปิดเผยก็มี ที่เลื่อมใสแต่ไม่กล้าแสดงโดยเปิดเผย เพราะเกรงจะไม่พอพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มี ที่ไม่เลื่อมใสก็มีตั้งแต่เปลี่ยนรัชกาลใหม่ ทรงสังเกตเห็นมีคนแสดงความเลื่อมใสในคติธรรมยุติกามากขึ้นรวดเร็ว เป็นเหตุให้ทรงพระราชวิจารณ์กว้างขวางออกไป ทรงพระราชดำริว่าถ้าทรงขวนขวายเผยแพร่นิกายสงฆ์ธรรมยุติกาให้แพร่หลายด้วยพระราชานุภาพ จะเกิดโทษแก่บ้านเมืองมากกว่าเป็นคุณ เพราะจะทำให้พุทธบริษัททั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์ที่นับถือคติเกิดรังเกียจกัน และพระมหานิกายก็จะพากันหวาดหวั่นว่าจะถูกบังคับให้แปลงเป็นธรรมยุติ เหมือนเช่นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตก และที่สุดพระธรรมยุติกาเองถ้ามีจำนวนมากนัก การปฏิบัติพระธรรมวินัยก็อาจจะเสื่อมทรามลงเพราะเหตุที่กล่าวมา จึงโปรดฯให้พระสงฆ์ธรรมยุติกาคงขึ้นอยู่ในคณะกลางตามเดิม มิได้แยกย้ายเป็นคณะหนึ่งต่างหาก
และดำรัสสั่งในราชการให้ถือว่าพระสงฆ์ ๒ นิกายนั้นเป็นอย่างเดียวกัน เป็นต้นว่าในการพิธีพระสงฆ์ก็ให้นิมนต์รวมกันทั้ง ๒ นิกาย การที่ทรงตั้งพระราชคณะก็เลือกแต่ด้วยพรรษาอายุและคุณธรรม ไม่ถือว่าจะเป็นนิกายไหนเป็นประมาณ ใช่แต่เท่านั้น ทางฝ่ายฆารวาส สกุลไหนแม้ไม่ใช่พระราชวงศ์ เคยบวชเรียนในนิกายไหนก็ตรัสขอให้คงอย่างเดิม แต่การฟื้นพระศาสนาก็ไม่ทรงทอดทิ้ง เป็นแต่เปลี่ยนพระบรมราโชบายมาเป็นทางสมาคมกับพระราชาคณะมหานิกาย เป็นต้นว่าพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ทูลถามอธิบายพระธรรมวินัยที่ใคร่จะทราบหรือที่ยังสงสัยได้ตามประสงค์ และทรงชี้แจงพระบรมวินิจฉัยพระราชทานโดยมิได้รังเกียจ พระบรมราโชบายเช่นว่ามีผลทำให้พระสงฆ์มหานิการแก้ไขข้อวัตรปฏิบัติดีขึ้นเป็นลำดับมา และการสงฆมณฑลก็ไม่แตกร้าวตลอดรัชกาลที่ ๔ ด้วยพระสงฆ์พากันเลื่อมใสในพระปรีชาญาณทั่วไปทั้ง ๒ นิกาย
พระราชปฏิบัติของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องด้วยศาสนายังมีต่อไปถึงศาสนาอื่นๆอีก แต่ก่อนนอกจากพระสงฆ์กับพราหมณ์ นักบวชในศาสนาอื่นเช่นศาสนาคริสตังก็ดี หรือศาสนาอิสลามก็ดี แม้จนพระญวนที่ถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็ดี หาได้รับความยกย่องอย่างใดไม่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวช ได้ทรงสมาคมกับพวกบาทหลวงและมิชชันนารีอเมริกัน เนื่องในการศึกษาภาษาฝรั่ง และทรงสมาคมกับพระญวนด้วยใคร่จะทรงทราบคติมหายาน คุ้นเคยอยู่แล้ว เมื่อทรงเสวยราชย์แล้วก็ทรงรักษามิตรภาพสืบต่อมา ด้วยทรงยกย่องและพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ต่างๆ
ยกเป็นอุทธาหรณ์ดังเช่น เมื่อสังฆราชปาลกัวต์ถึงมรณภาพ โปรดฯพระราชทานเครื่องแห่ศพเหมือนขุนนาง และพระราชทานที่ดินให้สร้างวัดโปรเตสตันต์ กับทั้งทรงสร้างวัดญวนด้วย
(๕)
การที่ทรงอุปการะดังกล่าวมานี้เป็นเหตุให้พวกบาทหลวงและมิชชันนารีอเมริกัน เข้ารับช่วยราชการตางๆตามพระราชประสงค์ และยังยกย่องพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกันอยู่จนทุกวันนี้ พระญวนก็เริ่มได้ทำพิธีกงเต็กในงานหลวงเมื่อรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา ส่วนพวกถือศาสนาอิสลามนั้น พวกถือลัทธิเวียะ(พวกเจ้าเซน) ได้รับพระบรมราชานุเคราะห์เป็นประเพณีมาแต่รัชกาลก่อนๆแล้ว ก็โปรดฯพระราชทานตามเคย แต่พวกลัทธิสุหนี่เป็นคนหลายชาติหลายภาษา แยกย้ายอยู่ตามตำบลต่างๆ มีสุเหร่าและนักบวชชาติของตนเอง เข้ากับพลเมืองเป็นปกติอยู่แล้ว จึงไม่มีกิจที่จะต้องพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ผิดกับแต่ก่อนประการใด
การพิธีสำหรับบ้านเมือง
การพิธีต่างๆที่ทำเป็นประเพณีของประเทศสยามนี้ แต่เดิมมาถ้าเป็นพิธีในทางธรรมปฏิบัติ ทำตามคติพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นพิธีในทางโลกทำตามคติไสยศาสตร์ของพราหมณ์ จึงเกิดคำพูดว่า "พุทธกับไสยอาศัยกัน" มาแต่โบราณ ถ้าทำพิธีตามพระพุทธศาสนา เช่นบวชนาคเป็นต้น เรียกว่าพิธีสงฆ์ พราหมณ์ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าทำพิธีไสยศาสตร์ เช่นยกทัพจับศึกเป็นต้น เรียกว่าพิธีพราหมณ์ พระสงฆ์ก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง จำเนียรกาลนานมาเมื่อความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเจริญขึ้น ผู้ทำพิธีปรารถนาสวัสดิมงคลตามคติพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ก็มักคิดอ่านให้ทำพิธีสงฆ์ด้วยกันกับพิธีพราหมณ์ จะยกตัวอย่างเช่นพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าแผ่นดิน เดิมเป็นแต่พิธีพราหมณ์ภายหลังมาให้มีพิธีสงฆ์เพิ่มเข้าในส่วนการ "เฉลิม(คือเสด็จขึ้นอยู่)พระราชมณเทียร" จึงเกิดการพิธีซึ่งทำทั้งพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ด้วยกันหลายพิธี แต่ที่แยกทำกันอย่างเดิมยังมีมาก
ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้หมดตัวพราหมณ์ที่ทรงพระเวทเสียแล้ว ยังเหลือแต่เชื้อสายที่สืบสกุลมาโดยกำเนิด แม้จะหาผู้ใดเข้าใจความในคัมภีร์พระเวทก็ไม่ได้ ด้วยไม่ใคร่ได้เรียนภาษาสันสกฤต การทำพิธีพราหมณ์เป็นแต่ทำตามเคย ไม่เป็นแก่นสารเหมือนเช่นเดิม แต่จะเลิกเสียก็ไม่ควร เพราะเป็นพิธีสำหรับบ้านเมืองและราชประเพณีมาช้านาน จึงทรงแก้ไขระเบียบพิธีพราหมณ์ซึ่งเคยทำมาแต่โดยลำพัง เช่นพิธีแรกนาเป็นต้น ให้พิธีสงฆ์ด้วยทุกพิธี ที่สำคัญนั้นคือทรงแก้ระเบียบพิธีถือน้ำพิพัฒนสัตยา ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์กับพราหมณ์ทำด้วยกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา พิธีสงฆ์มีสวดมนต์เลี้ยงพระให้เป็นสวัสดิมงคลก่อน แล้วทำพิธีอ่านโองการแช่งน้ำสาบานและชุบพระแสงต่อไป ข้าราชการกระทำสัตย์ถือน้ำต่อหน้าพระสงฆ์ที่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าอยู่หัวที่ในท้องพระโรง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ประเพณีเดิม เสด็จออกไปประทับเป็นประธานให้ข้าราชการถือน้ำกระทำสัตย์ และถวายบังคมที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระองค์เองก็เสวยน้ำพิพัฒนสัตยา ทรงปฏิญวณความซื่อตรงของข้าราชการทั้งปวงด้วย ระเบียบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ก็ทรงแก้ไขให้เป็นพิธีสงฆ์เป็นพื้น คงทำตามพิธีพราหมณ์แต่สรงมุรธาภิเษก ทรงรับพระราชอาณาจักรและรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นสำคัญ การพิธีสำหรับบ้านเมืองจึงเป็นการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงแก้ไขให้เป็นแก่นสารขึ้นอีกประเภทหนึ่ง ดังพรรณนามา
ระเบียบยศศักดิ์
พอทำพิธีพระบรมราชาภิเษกแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มทรงแก้ไขระเบียบยศศักดิ์ ด้วยมีเหตุที่จะต้องพระราชดำริในการนั้น เบื้องต้นแทรงตั้งแบบเรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลก่อน อธิบายข้อนี้ ตามประเพณีโบราณ พระนามพระเจ้าแผ่นดินที่จารึกสุพรรณบัฏถวายเมื่อราชาภิเษกมักใช้พระนามเดียวกันต่อๆมาด้วยถือว่าเป็นสวัสดิมงคล คนทั้งหลายจึงไม่เรียกพระนามตามจารึกนั้น เรียกพระเจ้าแผ่นดินที่เสวยราชย์อยู่แต่ว่า "ขุนหลวง" หรือ "พระพุทธเจ้าอยู่หัว" หรือ "พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ" แต่เมื่อมีจำนวนพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงไปแล้วมากขึ้น ก็เรียกพระนามตามพอใจสมมตกันต่างๆ เอาพระนามเมื่อก่อนเสวยราชย์มาเรียก เช่น "สมเด็จพระเพทราชา" บ้าง เรียกตามพระอัธยาศัยเช่น "พระเจ้าเสือ" หมายความว่าดุร้ายบ้าง เรียกตามที่ประทับเช่นว่า "พระเจ้าท้ายสระ" เพราะประทับอยู่พระราชมณเฑียรที่ท้ายสระบ้าง เป็นอย่างนี้มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
ถึงรัตนโกสินทร์นี้ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ มาจนตลอดรัชกาลที่ ๓ จารึกพระนามในพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี.."เหมือนกันทุกพระองค์ เมื่อรัชกาลที่ ๒ คนทั้งหลายเรียกรัชกาลที่ ๑ ว่า "แผ่นดินสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง" ครั้นมาถึงรัชกาลที่ ๓ มีพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงไปแล้วเป็น ๒ พระองค์ คนทั้งหลายจึงมักเรียกรัชกาลที่ ๑ ว่า "แผ่นดินต้น" เรียกรัชกาลที่ ๒ ว่า "แผ่นดินกลาง" พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรังเกียจว่าเป็นอัปมงคล เพราะมีต้นมีกลางก็ต้องมีปลาย รัชกาลของพระองค์จะเหมือนเป็นสุดท้าย จึงทรงบัญญัติให้เรียก ๒ รัชกาลก่อน ตามพระพุทธรูปซึ่งทรงสร้างอุทิศถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๒ พระองค์นั้น ให้เรียกรัชกาลที่ ๑ ว่า "แผ่นดินพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" และเรียกรัชกาลที่ ๒ ว่า "แผ่นดินพระพุทธเลิศหล้านภาลัย"
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ มีปัญหาเกิดขึ้นอีกว่าจะเรียกรัชกาลที่ ๓ อย่างไร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริเห็นว่า ควรจะวางระเบียบการเรีกนามพระเจ้าแผ่นดินเสียให้เป็นยุติ อย่าให้เกิดปัญหาต่อไป เมื่อทำพิธีบรมราชาภิเษกจึงโปรดฯให้เปลี่ยนแบบคำจารึกพระสุพรรณบัฏ เอาพระนามเดิมขึ้นตั้งต้นว่า "สมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏ" แทนที่เคยขึ้นต้นว่า "สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี" และให้เพิ่มคำว่าสำหรับเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า "พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ลงข้างท้ายสร้อยพระนาม
แล้วทรงบัญญัติให้เรียกนามรัชกาลที่ ๓ ว่า "แผ่นดินพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว"(คำว่าพระนั่งเกล้าและพระจอมเกล้านั้น ทรงอนุโลมตามพระนามเดิมว่า "ทับ" และว่า "มงกุฎ") แล้วทรงบัญญัติให้เรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินในกรุงรัตนโกสินทร์ตามนามแผ่นดินว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อป้องกันมิให้คนภายหลังเรียกกันตามสมมตเหมือนอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา
ระเบียบยศเจ้านายและข้าราชการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงตั้งแบบแผนขึ้นใหม่ เนื่องในงานบรมราชาภิเษกนั้นหลายอย่าง คือทรงสถาปนายศ "กรมสมเด็จ" ขึ้นใหม่ให้เป็นชั้นสูงสุดของเจ้านายต่างกรมอย่าง ๑ ทรงสถาปนายศ "สมเด็จเจ้าพระยา" เข้าในทำเนียบให้เป็นชั้นสูงสุดในขุนนางอย่าง ๑ ทรงสถาปนายศเจ้าประเทศราชอย่าง ๑ และทรงสถาปนายศสตรีมีบรรดาศักดิ์ชั้น "เจ้าคุณ" เข้าในทำเนียบอย่าง ๑
การทรงสถาปนายศต่างๆที่กล่าวมานี้ จะอธิบายยศสมเด็จเจ้าพระยาก่อน แต่โบราณยศขุนนางชั้นสูงสุดเป็นเพียงเจ้าพระยา ตามทำเนียบศักดินาข้าราชการในกรุงมีเจ้าพระยาแต่ ๓ คน คือ เจ้าพระยามหาอุปราชเป็นชั้นพิเศษคน ๑ รองลงมาถึงอัครมหาเสนาบดี ๒ คน คือ เจ้าพระยาจักรี ที่สมุหนายกเป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือนคน ๑ กับเจ้าพระยามหาเสนา ที่สมุหพระกลาโหมเป็นหัวหน้าฝ่ายทหารคน ๑ ยศสมเด็จเจ้าพระยาหามีในกฎหมายไม่ มีแต่เรียกในหนังสือพงศาวดารเช่น "สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก" และในพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ มีว่า พระอุปราชตรัสตั้งพระยาพลเทพเดิมให้เป็น "สมเด็จเจ้าพระยา"(วังหน้า) ในพงศาวดารรัชกาลที่ ๒ ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงตั้งเจ้าพระยามหาเสนา(ปิ่น)ที่สมุหพระกลาโหมเป็นเจ้าพระยาอภัยราชา ไปรับราชการวังหน้า ดูก็เป็นทำนองเดียวกับที่ว่าตั้งพระยาพลเทพเป็นเจ้าพระยาในรัชกาลที่ ๑ และมีปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาอีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ถึงแก่อสัญกรรม พระเจ้าบรมโกศโปรดฯให้เรียกว่า "พระศพ" อย่างเจ้า
(๖)
พิจารณาความที่กล่าวมาเห็นว่าสมเด็จเจ้าพระยานั้น เดิมจะเป็นแต่คำที่เรียกกัน คือเจ้าพระยาคนใดมีความชอบพิเศษ ได้เลื่อนยศสูงขึ้นกว่าเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดี เทียบเท่าเจ้าพระยามหาอุปราชในกฎหมายอันมียศบางอย่างเหมือนกับเจ้า ก็เรียกกันว่าสมเด็จเจ้าพระยา สมเด็จเจ้าพระยาหาใช่ยศในกฎหมายไม่ ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงพูนบำเหน็จเจ้าพระยาพระคลัง ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีอยู่แล้ว จึงโปรดฯให้เป็นสมทเด็จเจ้าพระยา และทรงบัญญัติยศสมเด็จเจ้าพระยาเข้าในกฏหมาย เป็นขั้นสูงสุดในยศขุนนางแต่นั้นมา
บางทีจะเนื่องมาจากที่ทรงตั้งสมเด็จเจ้าพระยานั้นเอง ทรงพระราชดำริต่อไปถึงยศเจ้านายต่างกรม ซึ่งตามแบบโบราณมียศ "กรมพระ" เป็นชั้นสูงสุด จึงทรงเพิ่มยศ "กรมสมเด็จ" ขึ้นอีกชั้นหนึ่ง สำหรับทรงตั้งพระบรมวงศ์ซึ่งมีความชอบเป็นพิเศษ นับเป็นชั้นสูงสุดในยศเจ้านายต่างกรมแต่นั้นมา
ที่ทรงแก้ไขระเบียบยศเจ้าประเทศราชนั้น แต่เดิมมารัฐบาลในกรุงเทพฯยกยศประเทศราชเป็นเจ้าแต่เมืองเวียงจันทน์กับเมืองหลวงพระบาง เพราะสืบสายมาแต่พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตแต่โบราณ ส่วนประเทศราชในมณฑลพายัพยังให้มียศแต่เป็น "พระยา" เพราะเพิ่งตั้งเป็นประเทศราชขึ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ต่อเจ้าเมืองคนใดมีความชอบมากจึงทรงตั้งให้เป็น "พระเจ้า" เฉพาะตัว เช่นพระเจ้าเชียงใหม่กาวิละในรัชกาลที่ ๒ แต่ชาวประเทศราชเหล่านั้นเองตลอดไปจนประเทศราชที่ขึ้นกับพม่า เช่นเมืองเชียงตุงเป็นต้น นับถือว่าเป็นเจ้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า สกุลเจ้าเจ็ดนที่ได้ครองเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองนครลำพูน กับที่งสกุลเจ้าเมืองน่านได้มีความสวามิภักดิ์ยั้งยืนมาที่ให้ยศเป็นแต่เพียงพระยา ต่ำกว่าพวกที่ครองเมืองหลวงพระบางและประเทศราชที่ขึ้นพม่าหาสมควรไม่ จึงทรงสภาปนาให้มียศ โดยปกติเป็น "เจ้า" ถ้ามีความชอบพิเศษเลื่อนขึ้นเป็น "พระเจ้า"เป็นระเบียบสืบมา
การตั้งกรมเจ้านายและตั้งขุนนาง ที่ทรงแก้ไขระเบียบใหม่นั้น ประเพณีเดิมการตั้งกรมหรือเลื่อนกรมเจ้านายนอกจากอุปราชาภิเษกมหาอุปราช พระเจ้าแผ่นดินเป็นแต่มีพระราชดำรัสสั่งแล้วก็แล้วกัน ไม่ได้ทรงเกี่ยวข้องกับการพิธี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปในการพิธีถึงวังเจ้านายที่รับกรม ทรงรดน้ำพระมหาสังข์พระราชทานอย่างอภิเษก และทรงเจิมจุณให้เป็นสิริมงคล แล้วพระราชทานพระสุพรรณบัฏเอง และเมื่อก่อนพระราชทานสุพรรณบัฏให้อาลักษณ์อ่านประกาศพระเกียรติคุณของเจ้านายพระองค์นั้นอันเป็นเหตุให้ได้รับกรมให้ปรากฏด้วย
การตั้งขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าเป็นชั้นสูงถึงสมเด็จเจ้าพระยาก็เสด็จไปพระราชทานสุพรรณบัฏทำนองเดียวกับตั้งกรมเจ้านาย ถ้าชั้นรองลงมาเพียงชั้นเจ้าพระยาก็พระราชทานในท้องพระโรง และมีการอ่านประกาศเกียรติคุณเพิ่มขึ้นด้วย การตั้งขุนนางชั้นสามัญแต่ก่อนมาเป็นเพียงแต่กรมวังผู้รับสั่งมีหมายบอกตัวเองและบอกไปตามกระทรวงทะบวงการต่างๆ ว่าทรงตั้งคนนั้นเป็นที่นั้นแล้วก็แล้วกัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริให้มีสัญญาบัตรลงพระราชหัตถเลขาปรมาภิไธย และประทับพระราชลัญจกรเป็นสำคัญ และให้รับสัญญาบัตรต่อพระหัตถ์เป็นประเพณีสืบมา
อนึ่งยศสตรีบรรดาศักดิ์ชั้น "เจ้าคุณ" แต่ก่อนก็เป็นคำเรียกกัน มักเรียกท่านผู้ใหญ่ในราชินิกุลหรือท้าวนางที่เป็นตัวหัวหน้า และเรียกเจ้าจอมมารดาของเจ้านาย แล้วแต่ใครจะเรียกๆกันฟั่นเฝือไม่เป็นแบบแผน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงบัญญัติให้ยศ "เจ้าคุณ" เป็นยศในกฎหมาย สำหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งเป็นแบบแผนสืบมา
แก้พระราชานุกิจ
การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขขนบธรรมเนียมในประเภทซึ่งเรียกในกฎหมายว่า "พระราชานุกิจ" คือระเบียบเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินทรงปฏิบัติพระราชกิจต่างๆ ก็เป็นการสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นประโชยน์แก่บ้านเมืองมาก ตามราชประเพณีมีแต่โบราณมา พระเจ้าแผ่นดินย่อมทรงประพฤติพระราชกิจต่างๆเป็นระเบียบและตามกำหนดเวลาแน่นอนเสมอ เช่นเสด็จออกขุนนางวันละ ๓ ครั้ง คือเวลาเช้า ๑๐ นาฬิกา เสด็จออกพิพากษาคดี เวลาบ่าย ๑๔ นาฬิกา เสด็จออกที่เฝ้ารโหฐาน เวลาค่ำ ๒๐ นาฬิกา เสด็จออกว่าราชการแผ่นดินเป็นต้น พระราชกิจอย่างอื่นก็จัดเข้าระเบียบทรงประพฤติ โดยมีกำหนดเวลาเป็นทำนองเดียวกัน ข้าราชการผู้มีหน้าที่ในราชกิจอย่างใด ก็เฝ้าแหนตามกำหนดเวลาทรงปฏิบัติราชกิจอบย่างนั้นเสมอไม่ต้องนัดหมาย เห็นสะดวกแก่การงานจึงใช้เป็นตำราราชประเพณีสืบมาช้านาน
แต่ระเบียบพระราชานุกิจนั้นสำหรับแต่เวลาเสด็จประทับอยู่พระนครราชธานี การที่จะเสด็จไปยังหัวเมืองไม่มีในตำรา แต่ก่อนมาการเสด็จไปหัวเมืองจึงแล้วแต่พระราชอัธยาศัยส่วนพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดิน ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ไม่มีกิจที่ต้องเสด็จไปทำศึกสงคราม พระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๒ รัชกาลต่อมา ก็ประทับอยู่ในพระราชวังเป็นพื้น เป็นเหตุให้ทรงเหินห่างกับราษฎร และมิได้ทอดพระเนตรเห็นการเป็นไปตามหัวเมือง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเห็นว่า พระราชานุกิจอย่างรัชกาลก่อนยังบกพร่องเป็นข้อสำคัญ พอเสวยราชย์ก็ทรงแก้ไข คงไว้แต่ที่เป็นแก่นสาร เช่นเสด็จออกวันละ ๓ ครั้งเป็นต้น พระราชกิจที่ไม่เป็นการสำคัญ เช่นเสด็จลงทรงบาตร และทรงประเคนเลี้ยงพระทุกวันดังเคยมีมาในรัชกาลก่อน โปรดฯให้เจ้านายทำแทนพระองค์ เอาเวลาไปใช้ในราชกิจที่เพิ่มขึ้นใหม่ เช่นเสด็จออกรับฎีการาษฎร และเสด็จประพาสพระนครให้ราษฎรได้เฝ้าเป็นต้นดังกล่าวมาแล้ว นอกจากนั้นทรงฟื้นประเพณีเสด็จประพาสหัวเมืองขึ้น เหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาบางพระองค์เคยประพฤติมาแต่ก่อน
มีโอกาสเมื่อใดก็ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จไปยังหัวเมืองต่างๆทางฝ่ายเหนือ ได้เสด็จไปถึงเมืองพิษณุโลก ทางตะวันออกเสด็จไปถึงเมืองปราจีน กับทั้งหัวเมืองชายทะเล ตลอดจนเมืองจันทบุรีและเมืองตราด ทางฝ่ายใต้เสด็จไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองสงขลา ทางฝ่ายตะวันตกเสด็จไปถึงเมืองนครชัยศรี เมืองกาญจนบุรี เมืองราชบุรี และเมืองเพชรบุรี ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิลำเนาพระราชอาณาเขต และทรงทราบการหัวเมืองยิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดินแต่ปางก่อน
โดยมากตามหัวเมืองที่เสด็จประพาสนั้น โปรดฯให้สร้างที่ประทับขึ้นใหม่ในวังพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาเคยประทับก็หลายแห่ง เช่นวังบางปะอินของพระเจ้าปราสาททอง วันจันทรเกษมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วังเชิงเขาพระพุทธบาทของพระเจ้าทรงธรรม และวัง ณ เมืองลพบุรีของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่เมืองเพชรบุรีและเมืองนครปฐมก็มีที่พระราชวังโบราณทั้ง ๒ แห่ง แต่โปรดฯให้สร้างวังใหม่ในที่อื่น การที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสตรวจการหัวเมือง จึงเกิดเป็นประเพณีอันมีประโยชน์แก่บ้านเมืองเป็นอันมากแต่ในรัชกาลที่ ๔ สืบมา
แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมทรงแก้ไขพระราชานุกิจดังกล่าวมา เมื่อภายหลังก็เกิดความลำบากแก่พระองค์ในการที่ต้องทรงประพฤติพระราชานุกิจ เพราะในรัชกาลที่ ๔ มีกิจการต่างๆ ซึ่งพระพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนๆไม่ต้องทรงทำ เกิดเพิ่มขึ้นใหม่หลายอย่าง เป็นต้นแต่เหตุที่เคยทรงสมาคม และมีหนังสือไปมากับฝรั่งเมื่อยังทรงผนวช ครั้นเสวยราชย์ พวกฝรั่งต่างประเทศได้ทราบพระเกียรติคุณ พากันเขียนหนังสือมาถวายเพิ่มขึ้น เกิดพระราชกิจที่ต้องมีพระราชหัตถเลขาเป็นภาษาอังกฤษถึงชาวต่างประเทศเพิ่มขึ้นอันต้องทรงแต่งเองเขียนเอง เพราะยังไม่มีใครอื่นที่รอบรู้พอจะช่วยพระราชกิจนั้นได้
ต่อมาถึงสมัยเมื่อทำหนังสือสัญญาทรงพระราชไมตรีกับฝรั่งต่างประเทศแล้ว เกิดกิจซึ่งโต้ตอบกับพวกกงสุลในการต่างๆเพิ่มขึ้นอีก บางทีเป็นการสำคัญอันจะกราบทูลหรือปรึกษาโดยเปิดเผยในเวลาเสด็จออกขุนนางเหมือนอย่างเก่าไม่ได้ ก็ต้องส่งหนังสือที่มีมากับทั้งร่างตอบเข้าไปถวายทรงพระราชวินิจฉัย นอกจากนั้นการที่ทรงรับฎีกาของราษฎรก็เพิ่มพระราชกิจที่ต้องทรงพิจารณาฎีกาด้วยอีกอย่างหนึ่ง หรือถ้าว่าโดยย่อ คือเกิดการที่ต้องทรงพระอักษรเป็นส่วนใหญ่ เพิ่มขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องทรงปฏิบัติการนั้นแทรกเข้าในระเบียบพระราชานุกิจประจำวัน วันไหนมีหนังสือที่เร่งร้อนต้องทรงมาก เวลาเสด็จออกว่าราชการบ้านเมืองเวลาค่ำก็มักเคลื่อนคลาดช้าไปเนืองๆ เป็นเหตุให้ข้าราชการผู้ใหญ่ติเตียนว่า เวลาพระราชานุกิจไม่แน่นอนเหมือนในรัชกาลที่ ๓ บางคนก็เลยขาดเฝ้าด้วยอ้างว่าสูงอายุแล้วอยู่ดึกทนไม่ไหว แม้ผู้ที่ยังไม่สูงอายุก็พลอยเอาอย่าง ประเพณีที่เสนาบดีต้องเข้าเฝ้าทุกวันก็เสื่อมมา ถ้ามีราชการสลักสำคัญมักเข้าเฝ้าเวลาเสด็จออกที่รโหฐาน ราชการสามัญที่เคยกราบทูลในเวลาเสด็จออกขุนนาง มักให้แต่ปลัดทูลฉลองกราบทูลแทน
(๗)
ตีเมืองเชียงตุง
ในรัชกาลที่ ๔ ต้องทำสงครามครั้งเดียว และไม่เหมือนกับสงครามใน ๓ รัชกาลที่ล่วงแล้ว ด้วยแต่ก่อนพอเปลี่ยนรัชกาลใหม่ ทั้งรัชกาลที่ ๑ และที่ ๒ พม่าข้าศึกก็เข้ามารบรุก เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓ เจ้าอนุเวียงจันทน์เป็นขบถก็ยกกองทัพมารบรุก ไทยเป็นฝ่ายข้างต่อสู้รักษาอาณาเขตทั้ง ๓ คราว แต่คราวนี้ไทยไปตีเมืองเชียงตุงเป็นการรบรุกอาณาเขตของพม่า จึงผิดกัน
ที่จริงเรื่องตีเมืองเชียงตุงเริ่มมาในรัชกาลที่ ๓ ด้วยเหตุเกิดจลาจลในอาณาเขตลื้อ
(๘)
สิบสองปันนาอันเป็นประเทศราชของพม่า แต่ภูมิลำเนาอยู่ต่อแดนทั้งประเทศจีนและประเทศสยาม และเคยยอมขึ้นต่อจีนหรือไทยในเวลาได้ความลำบากมาแต่ก่อน เมื่อก่อนเกิดจลาจลครั้งนี้ มีพวกเจ้านายราชวงศ์เมืองเชียงรุ้ง ซึ่งครอบครองเมืองสิบสองปันนา พากันอพยพครอบครัวหนีภัยมาอาศัยอยู่ในแดนเมืองน่านและหลวงพระบาง (เมื่อยังเป็นอาณาเขตสยาม) หลายพวก เจ้าเมืองหลวงพระบางและเมืองน่านส่งตัวนายที่เป็นหัวหน้าลงมายังกรุงเทพฯ เพื่อขอพระบารมีเป็นที่พึ่งและจะทิ้งพม่ามาไทย
ก็ในเวลานั้นทางประเทศพม่าเสื่อมกำลังตั้งแต่รบแพ้อังกฤษ(ครั้งแรก) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าเป็นโอกาสที่จะแผ่พระราชอาณาเขตไปถึงสิบสองปันนา แต่จะต้องตีเมืองเชียงตุงซึ่งพม่าให้ความควบคุม ข่มเมืองลื้อให้หมดกำลังเสีย ไทยจึงจะได้เอาเมืองสิบสองปันนาไว้ได้ ครั้งนั้นพอพวกเจ้าประเทศราชในมณฑลพายัพทราบกระแสพระราชดำริ ก็พากันยินดีรับอาสาตีเมืองเชียงตุง ด้วยเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้เชลยกับทรัพย์สิน เมื่อรบชนะตามประเพณีการสงครามในสมัยนั้น จึงโปรดฯให้พวกประเทศราชเมืองเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง และเมืองนครลำพูน ยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงตุง(ครั้งแรก)เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๙๒ แต่กองทัพที่ยกไปไปทำการไม่พรักพร้อมกัน ลงที่สุดขัดสนสะเบียงอาหารก็ต้องเลิกกลับมา พอประจวบเวลาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวร เรื่องตีเมืองเชียงตุงก็ค้างอยู่เพียงนั้นจนสิ้นรัชกาลที่ ๓
ถึงรัชกาลที่ ๔ มีความจำเป็นจะต้องตกลงเป็นยุติว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทั้งในเรื่องตีเมืองเชียงตุงและเมืองสิบสองปันนา เพราะพวกเจ้านายเมืองเชียงรุ้งตองคอยฟังอยู่ในกรุงเทพฯถึง ๓ ปี พรรคพวกครอบครัวที่คอยอยู่ในแขวงเมืองน่านและเมืองหลวงพระบางก็มีมาก พอประจวบกับได้รับศุภอักษรของเจ้าฟ้าแสนหวี เจ้าเมืองเชียงรุ้งมากราบบังคมทูลว่าการที่เกิดจลาจลนั้นระงับเรียบร้อยแล้ว ขอพระราชทานอนุญาต ให้เจ้านายที่มาพึ่งพระบารมีกับพวกบริวารกลับคืนไปบ้านเมือง และเจ้าเมืองเชียงรุ้งจะถวายเครื่องราชบรรณาการ ๓ ปี ครั้ง ๑ เหมือนอย่างประเทศราชอื่นต่อไป
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า พวกราชวงศ์เมืองเชียงรุ้งกับพวกบริวารหนีภัยมาพึ่งพระบารมีในเวลาบ้านเมืองเป็นจลาจล บ้านเมืองเรียบร้อยแล้วใครประสงค์จะกลับไปบ้านเมืองก็พระราชทานอนุญาตให้กลับไปตามใจสมัคร แต่ส่วนเรื่องการตีเมืองเชียงตุง และเรื่องผูกพันกับเมืองเชียงรุ้งต่อไปนั้น โปรดฯให้เสนาบดีปรึกษากันนำความเห็นขึ้นกราบบังคมทูล ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ทรงบัญชาหรือตรัสปรึกษาเสนาบดีจะเป็นเพราะเหตุใด ข้อนี้พิจารณาดูเห็นว่าคงเป็นเพราะพระวินิจฉัยเรื่องเมืองเชียงตุง เกี่ยวกับการทำศึกสงครามอันเป็นวิชาซึ่งพระองค์มิได้มีโอกาสทรงศึกษา(๙)
ส่วนเรื่องเมืองเชียงรุ้งนั้น คงทรงเห็นการเหมือนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เคยทรงพระราชดำริมาแต่ก่อน ว่าเมืองลื้อสิบสองปันนาเคยขึ้นแก่พม่าและจีน แม้ไทยรับเป็นที่พึ่ง ถ้าพม่าหรือจีนมาเบียดเบียนเมืองเชียงรุ้งก็ยากที่ไทยจะไปช่วยป้องกัน เพราะหนทางไกลและกันดารนัก จะไม่เป็นที่พึ่งแก่พวกลื้อสิบสองปันนาได้จริง แต่จะตรัสปฏิเสธโดยลำพังพระราชดำริก็ยาก จึงทรงอาศัยเหตุที่เป็นการเก่า ซึ่งเสนาบดีเหล่านั้นได้เคยพิจารณาบัญชาการมาแล้วในรัชกาลที่ ๓ ให้ปรึกษากันอีกครั้งหนึ่งว่าจะควรทำอย่างไรต่อไปในรัชกาลใหม่
ก็ในปีชวด พ.ศ. ๒๓๙๕ นั้นเผอิญประจวบกับอังกฤษมาตีเมืองพม่าอีก(เป็นครั้งที่ ๒) พม่ากำลังติดรบพุ่งกับอังกฤษจะไปช่วยเมืองเชียงรุ้งไม่ได้เป็นโอกาสเกิดเพิ่มขึ้น เสนาบดีจึงพร้อมกันนำความเหน็นกราบบังคมทูล เห็นว่าควรจะดำเนินการต่อไปตามพระราชดำริในรัชกาลที่ ๓ คือให้ไปตีเมืองเชียงตุงอีก เมื่อได้เมืองเชียงตุงแล้วก็คงได้เมืองลื้อสิบสองปันนาเป็นของไทยโดยไม่ลำบาก แต่การที่จะตีเมืองเชียงตุงคราวนี้ ควรให้มีกองทัพกรุงเทพฯยกขึ้นไปควบคุมกองทัพพวกมณฑลพายัพด้วยจึงจะเป็นการสะดวก และจะเป็นประโยชน์ฝึกฝนข้าราชการในกรุงให้ชำนิชำนาญการศึกสงครามขึ้นด้วย
เมื่อเสนาบดีลงมติอย่างนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงบัญชาตาม โปรดฯให้เกณฑ์คนในมณฑลพายัพและหัวเมืองเหนือนอกจากมณฑลนั้นรวมจำนวน ๑๐,๐๐๐ จัดเป็น ๒ กองทัพ ให้เจ้าพระยายมราช(นุช บุณยรัตพันธ์ ซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาภูธราภัย ที่สมุหนายก) คุมกองทัพหน้ายกไปทางเมืองเชียงใหม่ทาง ๑ ให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเป็นจอมพล คุมกองทัพหลวงยกไปทางเมืองน่านอีกทาง ๑ ไปสมทบกันตีเมืองเชียงตุง กองทัพที่ยกไปครั้งนั้นตีได้เมืองขึ้น และด่านทางที่พวกเชียงตุงมาตั้งต่อสู้เข้าไปจนถึงตั้งล้อมเมืองเชียงตุง ยังแต่จะหักเข้าเมือง เผอิญเสบียงอาหารขาดลงก็ต้องถอยทัพกลับมาตั้งอยู่ที่เมืองเชียงแสน ในเวลานั้นประจวบกับจัดทหารอย่างยุโรปขึ้นในกรุงเทพฯ เสนาบดีจึงปรึกษาเห็นกันว่าเมืองเชียงตุงก็อ่อนกำลังมากอยู่แล้วควรจะเพิ่มเติมกำลังกองทัพทั้งเสบียงอาหารและเครื่องศัสตราวุธให้มากขึ้น อย่าให้มีความขัดข้องเหมือนเมื่อคราวก่อน แล้วให้ยกขึ้นไปตีเมืองเชียงตุงในฤดูแล้งปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ อีกครั้งหนึ่ง แต่ในเวลาเตรียมทัพอยู่นั้น ทางเมืองพม่าเสร็จการสงครามกับอังกฤษ พม่าส่งกำลังมาช่วยรักษาเมืองเชียงตุง ทางฝ่ายไทยไม่รู้ ยกขึ้นไปคราวหลังก็เกิดลำบากตั้งแต่เข้าแดนเชียงตุง กองทัพเจ้าพระยายมราชต้องติดขัดไปไม่ทันสมทบกองทัพหลวง กรมหลวงวงศาฯเสด็จขึ้นไปพบกองทัพพม่ามีกำลังมากกว่า ก็ต้องถอยทัพกลับมา การตีเมืองเชียงตุงจึงเป็นอันไม่สำเร็จ
คิดดูว่าเพราะเหตุใด เห็นว่าเพราะไปทำสงครามในดินแดนของข้าศึก ซึ่งไทยไม่รู้เบาะแสภูมิลำเนา เสียเปรียบศัตรูอยู่โดยธรรมดาอย่าง ๑ เพราะฝ่ายไทยประมาทไม่ขวนขวายในการสืบสวนให้สมกับกระบวนพิชัยสงครามอย่าง ๑ เป็นข้อสำคัญ แต่ถึงตีเมืองเชียงตุงได้ก็คงรักษาไว้ไม่ได้ ด้วยอยู่ใกล้แดนพม่ากว่าแดนไทย
จัดทหารบกทหารเรือ
ทหารบกทหารเรือที่ฝึกหัดจัดระเบียบการบังคับบัญชาตามแบบฝรั่ง ก็เกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๔ แต่นั้นมา เมื่อไทยรบกับญวนและระแวงว่าอังกฤษจะย่ำยีเหมือนอย่างเมืองจีน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้สร้างสมเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ และสร้างป้อมรักษาปากน้ำที่สำคัญทุกแห่ง ครั้งนั้นให้เกณฑ์พวกญวนอาสา(เข้ารีต)หัดเป็นทหารปืนใหญ่ ขึ้นอยู่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์พวก ๑ เกณฑ์พวกอาสามอญหัดเป็นพวกทหารปืนเล็กขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหม สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อยังเป็นที่พระยาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้บังคับบัญชาพวก ๑ สำหรับรักษาป้อมปากที่เมืองสมุทรปราการ ทหารทั้ง ๒ พวกนี้แต่งตัวตามแบบทหารฝรั่ง และปรากฎว่าได้ให้มาตั้งแถวเป็นกองเกียรติยศ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในวันบรมราชาภิเษก แต่ยังไม่ได้จัดระเบียบการบังคับบัญชา
ในปีกุน พ.ศ. ๒๓๙๔ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์นั้น มีนายร้องเอกทหารอังกฤษคน ๑ ชื่อ อิมเป(Impey) ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสวยราชย์และโปรดขนบธรรมเนียมฝรั่ง จึงเข้ารับอาสาเป็นครูฝึกหัด จัดระเบียบทหารบก ก็โปรดฯให้จ้างไว้แล้วเกณฑ์คนกรมอาสาลาวและเขมรเป็นทหาร ให้นายร้อยเอกอิมเปฝึกหัดเรียกว่า "ทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรป" จัดเป็นกองร้อยและหมวด หมู่ มีนายร้อย นายสิบ ควบคุมตามแบบฝรั่ง และโปรดฯให้สร้างโรงทหารขึ้นสำหรับพวกทหารผลัดเวรกันอยู่ประจำราชการ
การฝึกหัดและจัดระเบียบทหารครั้งนั้นเพราะทำตามแบบฝรั่ง และครูก็ไม่รู้ภาษาไทย จึงใช้คำบอกทหารและชื่อตำแหน่งยศทหารมาตลอดรัชกาลที่ ๔ พอข่าวระบือไปว่านายร้อยเอกอิมเปได้เป็นครูทหารไทย ในไม่ช้าก็มีนายร้อยเอกทหารอังกฤษชื่อ น็อกส์(Knox) เข้ามาขออาสาอีกคน ๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชขดำริว่า ทหารวังหลวงมีนายร้อยเอกอิมเปเป็นครูอยู่แล้ว จึงโปรดฯให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวรับนายร้อยเอกน็อกส์ไปเป็นครูวังหน้า และให้โอนทหารญวน(เข้ารีต)ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบังคับบัญชาอยู่แต่ก่อนไปเป็นทหารวังหน้า ส่วนทหารมอญที่เคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมนั้น ก็โปรดฯให้คงอยู่ในบังคับบัญชาของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งเป็นผู้จัดการทหารเรือ ทหารพวกนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นทหารมรีนสำหรับเรือรบ
ต่อมาโปรดฯให้จัดกรมรักษาพระองค์เป็นทหารอย่างยุโรปขึ้นอีกกรม ๑ และจัดพวกกรมอาสาญวน
(๑๐)
เป็นทหารปืนใหญ่แทนพวกญวนเข้ารีตที่โอนไปวังหน้าอีกกรม ๑ กรมทหารบกต่างๆที่ว่ามาเป็นต้นเดิมของทหารบกที่มีต่อมาจนทุกวันนี้
ทหารบกที่เริ่มจัดขึ้นเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๓๙๕ นั้น ทันได้ส่งขึ้นไปเข้าในกองทัพกรมหลวงวงศาธิราชสนิท เมื่อยกขึ้นไปตีเมืองเชียงตุงครั้งหลังในปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ จะเป็นจำนวนคนเท่าใดหาทราบไม่ ทราบแต่ว่านายร้อยเอกน็อกส์คุมไป และได้ช่วยรบครั้งหลังเมื่อกองทัพกรมหลวงวงศาฯถอยลงมา
(๑๑)
ส่วนทหารเรือนั้น เมื่อรัชกาลที่ ๓ มีเรือรบเป็นกำปั่นใบหลายลำ เกณฑ์พวกแขก(เขมร) กรมอาสาจามลงประจำ ขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหม สำหรับลาดตระเวนในอ่าวสยาม บางทีก็มีราชการก็ให้ไปถึงเมืองต่างประเทศที่ใกล้เคียง ถึงรัชกาลที่ ๔ เมื่อเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นอัครมหาเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ท่านชำนาญการต่อเรือกำปั่นมาตั้งแต่ยังเป็นหลวงนายสิทธิในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯให้จัดทหารเรือและต่อเรือกลไฟเป็นเรือรบและเรือใช้เป็นพาหนะ
ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็โปรดการทหารเรือ ทรงต่อเรือรบและจัดทหารเรือวังหน้าขึ้นด้วย จึงเริ่มมีเรือไฟใช้เป็นเรือรบและเรือพาหนะตั้งแต่ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๑๐ เป็นต้นมา
(๑๒)
คงใช้พวกอาสาจามเป็นพนักงานเดินเรืออยู่อย่างเดิม เพิ่มพวกมอญเป็นทหารมรีนสำหรับเรือรบ แต่พวกต้นกลนั้นฝึกหัดไทยใช้มาแต่แรก ส่วนการบังคับบัญชาในเรือรบ ในสมัยนั้นยังไม่มีไทยใครชำนาญจึงต้องจ้างฝรั่งเป็นกัปตันและต้นหนเรือรบมาช้านาน
..............................................................................................................................................................
Create Date : 30 มีนาคม 2550
Last Update : 31 มีนาคม 2550 15:27:26 น.
1 comments
Counter : 2756 Pageviews.
Share
Tweet
..............................................................................................................................................................
เชิงอรรถ
(๑) ผู้แต่งหนังสือพงศาวดารเหนือ สำคัญผิดไปว่าเดิมครองเมืองเชียงแสนเมื่อ พ.ศ. ๑๕๐๐ ที่ถูกนั้นเดิมครองเมืองศรีสัชนาลัยเมื่อราว พ.ศ. ๑๙๐๐
(๒) ข้อนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดในสมัยนั้น จนถึงต้องบันทึกลงในพระราชพงศาวดาร ดำรัสสั่งเป็นเรื่องแรกสุดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสสั่งไว้ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
(๓) เรื่องรับฎีการาษฎรนี้ ทรงรับเอาเป็นพระราชธุระจนนาทีสุดท้ายแห่งพระชนมายุ สังเกตได้จากพระราชดำรัสเมื่อใกล้สิ้นแผ่นดินที่ ๔ ทรงขอต่อพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ว่า ขอให้เอาเป็นพระราชธุระรับฎีการาษฎรด้วย
(๔) นอกจากนี้ยังทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ชาวต่างชาติ และ คนที่นับถือต่างลัทธิความเชื่อ โปรดฯให้รับเสด็จโดยธรรมเนียมของแต่ละคนแต่ละลัทธิความเชื่อด้วย มีปรากฏในชุมนุมประกาศรัชกาลที่ ๔
(๕) ที่วัดโปรเตสตันต์ซึ่งพระราชทาน อยู่ริมอู่บางกอก ถึงรัชกาลที่ ๕ วัดนั้นเล็กไป พระราชทานที่ใหม่ให้สร้างวัด Christ Church ที่ยังปรากฎอยู่บัดนี้ วัดญวนนั้นสร้างค้างมาสำเร็จในรัชกาลที่ ๕ จึงพระราชทานนามว่า วัดอุภัยราชบำรุง อยู่ริมถนนเจริญกรุงที่ตลาดน้อย
(๖) ตามคำพวกผู้ใหญ่ในสกุล "สิงหเสนี" ก็เล่าว่า ศพเจ้าพระยาอภัยราชา(ปิ่น)ได้พระราชทานเกียรติยศอย่างเจ้า
(๗) เมื่อเริ่มรัชกาลที่ ๕ ปรึกษากันให้กลับใช้แบบพระราชานุกิจอย่างรัชกาลที่ ๓
(๘) ลื้อ เป็นไทยจำพวกหนึ่ง พูดภาษาไทยสำเนียงเหมือนชาวนครศรีธรรมราช
(๙) ถ้าใครสังเกตดูรูปฉายาลักษณ์ในรัชกาลที่ ๔ จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉายพระบรมรูป ทรงแต่งพลเรือน แต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งเป็นทหาร เป็นนิจ
(๑๐) ถือพระพุทธศาสนา ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม
(๑๑) เรื่องนี้ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ในกรมหลวงวงศาฯ ซึ่งได้ตามเสด็จพระบิดาไปด้วยในครั้งนั้นเล่าให้ฟัง
(๑๒) บัญชีเรือกลไฟในรัชกาลที่ ๔ มีอยู่ในหนังสือบางกอกคาเลนดาร์ของหมอบรัดเล เล่ม ค.ศ. ๑๘๖๘
..............................................................................................................................................................
ความทรงจำ ตอนที่ ๔
โดย:
กัมม์
วันที่: 30 มีนาคม 2550 เวลา:14:17:10 น.
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
กัมม์
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [
?
]
วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
Bigmommy
NickyNick
เพ็ญชมพู
kenzen
สาวใหม
กระจ้อน
คนรักน้ำมัน
Why England
naragorn
biebie999
วรณัย
เซียงยอด
แม่สลิ่ม
รอยคำ
สุธน หิญ
นอกราชการ
BFBMOM
มณีไตรรงค์
karmapolice
เมื่อไรจะหายเหงา
เจ้าชายเล็ก
รักดี
ลุงนายช่าง
nidyada
mr.cozy
กวินทรากร
Mutation
พลังชีวิต
หนุ่มรัตนะ
Webmaster - BlogGang
[Add กัมม์'s blog to your web]
เครือข่ายกาญจนาภิเษก
หอมรดกไทย
เวียงวัง
มอญ
กฎหมายไทย
ประตูสู่อีสาน
พจนานุกรมไทย-อังกฤษ
พจนานุกรมไทย-บาลี
คำไท - คำถิ่น
คนโคราช
หนังสือหายาก E - Book
ลิลิตตะเลงพ่าย
สามก๊ก
บ้านมหา (หมอลำออนไลน์)
หมากรุกไทย และหมากกระดาน
ราชกิจจานุเบกษา
สมุดภาพเมืองไทยในอดีต
พระราชวังพญาไท
พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
ฐานข้อมูลภาพถ่าย กรมศิลปากร
ปากเซ ดอท คอม
ศิลปวัฒนธรรมภาคใต้
มวยไชยา
ดำรงราชานุภาพ
พิพิธภัณฑ์ธงสยาม
ห้องสมุดพันทิป
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า
จิตรกรรมฝาผนังวัดบุปผาราม
พิพิธภัณฑ์ศาลไทย
จิตรธานี
Wikimapia
ราชบัณฑิตยสถาน
Bloggang.com
MY VIP Friend
เชิงอรรถ
(๑) ผู้แต่งหนังสือพงศาวดารเหนือ สำคัญผิดไปว่าเดิมครองเมืองเชียงแสนเมื่อ พ.ศ. ๑๕๐๐ ที่ถูกนั้นเดิมครองเมืองศรีสัชนาลัยเมื่อราว พ.ศ. ๑๙๐๐
(๒) ข้อนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดในสมัยนั้น จนถึงต้องบันทึกลงในพระราชพงศาวดาร ดำรัสสั่งเป็นเรื่องแรกสุดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสสั่งไว้ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
(๓) เรื่องรับฎีการาษฎรนี้ ทรงรับเอาเป็นพระราชธุระจนนาทีสุดท้ายแห่งพระชนมายุ สังเกตได้จากพระราชดำรัสเมื่อใกล้สิ้นแผ่นดินที่ ๔ ทรงขอต่อพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ว่า ขอให้เอาเป็นพระราชธุระรับฎีการาษฎรด้วย
(๔) นอกจากนี้ยังทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ชาวต่างชาติ และ คนที่นับถือต่างลัทธิความเชื่อ โปรดฯให้รับเสด็จโดยธรรมเนียมของแต่ละคนแต่ละลัทธิความเชื่อด้วย มีปรากฏในชุมนุมประกาศรัชกาลที่ ๔
(๕) ที่วัดโปรเตสตันต์ซึ่งพระราชทาน อยู่ริมอู่บางกอก ถึงรัชกาลที่ ๕ วัดนั้นเล็กไป พระราชทานที่ใหม่ให้สร้างวัด Christ Church ที่ยังปรากฎอยู่บัดนี้ วัดญวนนั้นสร้างค้างมาสำเร็จในรัชกาลที่ ๕ จึงพระราชทานนามว่า วัดอุภัยราชบำรุง อยู่ริมถนนเจริญกรุงที่ตลาดน้อย
(๖) ตามคำพวกผู้ใหญ่ในสกุล "สิงหเสนี" ก็เล่าว่า ศพเจ้าพระยาอภัยราชา(ปิ่น)ได้พระราชทานเกียรติยศอย่างเจ้า
(๗) เมื่อเริ่มรัชกาลที่ ๕ ปรึกษากันให้กลับใช้แบบพระราชานุกิจอย่างรัชกาลที่ ๓
(๘) ลื้อ เป็นไทยจำพวกหนึ่ง พูดภาษาไทยสำเนียงเหมือนชาวนครศรีธรรมราช
(๙) ถ้าใครสังเกตดูรูปฉายาลักษณ์ในรัชกาลที่ ๔ จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉายพระบรมรูป ทรงแต่งพลเรือน แต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งเป็นทหาร เป็นนิจ
(๑๐) ถือพระพุทธศาสนา ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม
(๑๑) เรื่องนี้ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ในกรมหลวงวงศาฯ ซึ่งได้ตามเสด็จพระบิดาไปด้วยในครั้งนั้นเล่าให้ฟัง
(๑๒) บัญชีเรือกลไฟในรัชกาลที่ ๔ มีอยู่ในหนังสือบางกอกคาเลนดาร์ของหมอบรัดเล เล่ม ค.ศ. ๑๘๖๘
ความทรงจำ ตอนที่ ๔