กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดี

พระมหามงกุฎเป็นเครื่องหมายของราชาธิปไตย
พระมหามงกุฎสง่างามด้วยประดับเพชรนิลจินดาอันมีค่าฉันใด
ข้าราชการที่อุตส่าห์ช่วยกันทะนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญสุข
ก็เปรียบเหมือนเพชรนิลเครื่องประดับพระมหามงกุฎฉันนั้น


พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว




....................................................................................................................................................


คัดจาก
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ (ภาคต้น) พระประวัติและงานสำคัญ
เรียบเรียงโดย นายณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม
องค์การค้าของคุรุสภา พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ๒๕๑๔



บทที่ ๑
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดี



อรุโณไทย, อภัยทัศ, ฉัตร, ไกรสร
สุริวงษ์, สุริยา, ดารากร
ศะศิธร, คันธรศ, วาสุกรี
สุทัศน์, อุบล, มณฑา
ดวงสุดา, ดวงจันทร์, มณีศรี
ธิดา, จงกล, ฉิมพลี
กษัตรีย์, กุณฑล, สุภาภรณ์ ฯ(๑)




๑. ความเบื้องต้น

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดีเป็นพระมารดา ในบทแรกนี้จึงเห็นสมควรจะได้กล่าวถึงพระประวัติของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดี พระมารดาของพระองค์ท่านตามสมควรเป็นเบื้องต้น

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เป็นพระมหาจินตกวีของชาติไทย ได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีของชาติไทยไว้หลายเรื่อง เช่น พระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา รามเกียรติ์ เป็นต้น แต่ในเรื่องงานพระราชนิพนธ์นั้น ได้มีผู้กล่าวถึงและเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วโดยทั่วกัน ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าควรจะกล่าวถึงพระประวัติของพระมเหสีของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นพระชนนีของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ เพราะเราทราบกันไม่แพร่หลายนัก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๒ มีพระอัครมเหสี คือ สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ และมีพระมเหสีที่ทรงพระอิสริยยศสูงยิ่งอีกพระองค์หนึ่ง คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดี ถ้าจะเปรียบว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเป็นอิเหนาในพระราชนิพนธ์ของพระองคืเอง สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ก็ทรงเป็นนางจินตหรา เพราะเหตุที่ทรงเป็นพระประยูรญาติเรียงพี่เรียงน้อง และทรงสนิทเสน่หาอย่างยิ่งมาก่อน ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีก็อาจเปรียบกับบุษบา เพราะเพิ่งได้ยลพระโฉมอันโสภาคย์ภายหลัง ดังที่อิเหนาเพิ่งได้ยลโฉมบุษบา


๒. พระนามเดิม พระองค์เจ้าจันทบุรี

สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกร่วมพระชนกเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ส่วนพระมารดาของสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีนั้น คือ เจ้าจอมมารดาทองสุก ราชธิดาพระเจ้าอินทวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ แห่งราชอาณาจักรลาวทุกวันนี้

พระองค์ประสูติเมื่อ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๔๑ พระนามเดิม พระองค์เจ้าจันทบุรี เมื่อพระชนมายุได้ ๕ พรรษา เจ้าจอมมารดาทองสุกก็ถึงแก่กรรม เมื่อประมาณ ปีกุนเบญจศก พ.ศ. ๒๓๔๖


๓. ทรงสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี

ต่อมาสมเด็จพระบรมชนกนารถ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนาพระองค์เจ้าจันทบุรีขึ้นเป็นเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๗ เพราะเป็นพระนัดดาของพระเจ้านครเวียงจันทน์ ความปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ว่า

"ครั้นถึง ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เสด็จพระราชดำเนินลงไปทรงลอยพระประทีป พระเจ้าลูกเธอพระองค์หญิงพระองค์หนึ่ง ปรากฏพระนามว่า พระองค์เจ้าจันทบุรี พระชนม์ได้ ๖ พรรษา ตามเสด็จลงไปที่พระตำหนักแพ เมื่อเวลาจุดดอกไม้ รับสั่งว่าประชวรพระเนตรอยู่ ให้กลับขึ้นไปพระราชวังเสียก่อน พระองค์เจ้าหญิงนั้นก็เสด็จกลับขึ้นมาถึงเรือบัลลังก์กับตำหนักแพต่อกัน พลาดตกลงน้ำหายไป พี่เลี้ยงนางนมร้องอื้ออึงขึ้น คนทั้งปวงตกใจพากันลงน้ำเที่ยวค้นหา จึงพบพระองค์เจ้าลูกเธอพระองค์นั้นเกาะทุ่นหยวกอยู่ท้ายน้ำ หาได้เป็นอันตรายไม่ เป็นอัศจรรย์ จึงมีพระราชโองการดำรัสว่า พระเจ้าลูกเธอพระองค์นี้ เจ้าจอมมารดาก็เป็นบุตรเจ้ากรุงศรีสัตนาคนะหุต สิ้นชีพเสียแต่เมื่อปีกุนเบญจศก(๒) แต่พระชนม์พระองคืเจ้าได้ ๕ พรรษา ไม่มีมารดา ทรงพระกรุณามาก พระองค์เจ้านี้อัยกาก็เป็นเจ้าประเทศราชยังดำรงชีพอยู่ ควรจะสถาปนาให้มีอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า ครั้น ณ วันอาทิตย์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๒ ค่ำ จึงโปรดให้ตั้งการพระราชพิธีเฉลิมพระนาม ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันจันทร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๓ ค่ำ พระราชทานพระสุพรรณบัฏ เลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี แล้วมีงานสมโภชอีก ๓ วัน"

ในปีนั้น(๓) เจ้านครศรีสัตนาคนะหุตล้านช้าง ชื่อเจ้าอินทวงศ์ ซึ่งเป็นอัยกาของสมเด็จพระเจ้าลุกเธอเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีป่วยถึงแก่พิราลัย ณ เดือน ๓ ขึ้น ๘ ค่ำ ครองเมืองได้ ๑๐ ปี โปรดให้ข้าหลวงเชิญศุภอักษรและพระราชทานโกศและสิ่งของพระราชทานเพลิงขึ้นไปปลงศพเสร็จแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งเจ้าอนุผู้น้อง ให้ครองนครศรีสัตนาคนะหุตล้านช้างต่อไป

ในจดหมายเหตุความทรงจำซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงสมเด็จพระปิยมหาราช ทรงสันนิษฐานว่า เป็นจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี(พระองค์เจ้ากุ) มีข้อความกล่าวถึงสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีว่า

" ณ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีชวดฉศก พระองคืเจ้าพระชันษา ๗ ขวบ ตามเสด็จลงที่นั่งบัลลังก์ตกหว่างเรือไม่จมลอยพระองค์ได้ โปรดประทานพระนามใหม่ สมโภชเจ้าฟ้ากุณฑล ๓ วัน เฉลิมพระขวัญพร้อมพระญาติวงศ์ข้าราชการสมโภชถ้วนหน้า"

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หัว ทรงพระรชวิจารณ์ไว้ว่า "พระองค์เจ้าองค์นี้มีนามว่า จันทบุรี ตามชื่อเมืองเวียงจันทน์ ในจดหมายเหตุเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ว่าตกหลังเรือบัลลังก์ การสมโภชแต่ก่อนมีเฉพาะเจ้าฟ้าทั้งประสูติและโสกันต์"


๔. โสกันต์เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี

ต่อมาในรัชกาลที่ ๑ นั่นเอง ถึงปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๕๑ สมเด็จพระเจ้าลุกเธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี มีพระชนม์ได้ ๑๑ พรรษา ถึงกำหนดจะโสกันต์ จึงทรงพระกรุณาโปรดฯให้จัดทำพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าให้เต็มตามตำราครั้งกรุงเก่าเป็นต้นมา เพื่อให้เป็นแบบแผนไว้ในแผ่นดินต่อไป จึงนับว่าสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีเป็นพระองค์แรกในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ที่ได้รับพระราชทานพิธีโสกัณฑ์เจ้าฟ้าอย่างเต็มตำรา ดังความปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุนนาค) มีว่าดังนี้

"ในปีมะโรงสัมฤทธิศกนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีพระชนม์ได้ ๑๑ พรรษา ถึงกำหนดโสกันต์ ทรงพระราชดำริว่า ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินมา ยังหาได้ทำการพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าอย่างเต็มตามตำราไม่ และแบบแผนพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าอย่างครั้งกรุงเก่านั้น เจ้าฟ้าพินทวดีพระราชธิดาพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้ทรงแนะสอนไว้ในพระราชวังบวรฯ ครั้งโสกันต์พระองค์เจ้า ๓ พระองค์เป็นเยี่ยงอย่างอยู่แล้ว จึงโปรดให้เจ้าพนักงานตั้งเขาไกรลาศ ณ ชาลาในพระราชวัง ตั้งการพระราชพิธี มีเตียงพระมณฑลบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และตั้งราชวัตรฉัตรรายทางนั่งกลาบาต และมีการเล่นต่างๆตลอดสองข้างทางที่จะเดินกระบวนแห่แต่ประตูราชสำราญมา

ณ เดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ แรม ๑ ค่ำ ๒ ค่ำ เวลาบ่ายตั้งกระบวนแห่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี เสด็จทรงยานุมาศตั้งแต่เกยในพระราชวัง ออกประตูราชสำราญมาตามถนนริมกำแพงพระราชวัง มาเข้าประตูพิมานไชยศรี แล้วประทับเกยกำแพงแก้วด้านบุรพาทิศพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เสด็งลงจากพระยานุมาศ แล้วเสด็จทางผ้าขาวลากขึ้นบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงสดับพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ ๓ วัน แล้ว ณ วันศุกร์ เดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ เวลาเช้าแห่มาโสกันต์ที่พระบรมมหาปราสาท แล้วเสด็จกลับทางประตูท้ายที่ทรงบาตรที่ชาลาพระมหาปราสาทข้างใน แล้วจึงทรงพระเสลี่ยงน้อยขับไม้พราหมณ์นำเสด็จ พระยาศรีธรรมาธิราช พระยาธรรมา พระยาบำเรอภักดิ์ พระยาอนุรักษ์มณเฑียร คู่เคียง ๒ คู่เคียงพระเสลี่ยงมาทรงสรงน้ำที่สระอโนดาตที่เชิงเขาไกรลาศ สรงแล้วเสด็จประทับพลับพลาทรงเครื่องเสด็จขึ้นบนเขาไกรลาศ จึงเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์แต่งพระองค์ทรงฉลองพระองค์ครุย ทรงชฎาเดินหน สมมติว่าเป็นพระอิศวรเสด็จลงมาแต่พระมณฑปใหญ่ยอดเขาไกรลาศ ทรงรับพระกรที่ชั้นทักษิณทิศตะวันตกกลางบันไดนาค จูงพระกรขึ้นไปบนเขาไกรลาศประทานพร แล้วนำเสด็จลงมาส่งที่เกยด้านตะวันออก เสด็จพระยานุมาศแห่เวียนประทักษิณเขาไกรลาศ ๓ รอบ แล้วแห่กลับมาตามทางออกประตูพิมานไชยศรี ไปเข้าในพระราชวังทางประตูราชสำราญ ครั้นเวลาบ่ายตั้งกระบวนแห่มาสมโภชต่อไปอีก ๒ วัน ณ เดือน ๔ แรม ๖ ค่ำ เป็นวันที่ ๗ จึงแห่พระเกศาไปลอยเป็นเสร็จการโสกันต์ พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี"

จบข้อความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับการโสกันต์ สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีแต่เพียงเท่านี้ นอกจากนั้นยังปรากฏข้อความเกี่ยวกับโสกันต์สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ในหนังสือจดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนริทรเทวี พร้อมด้วยพระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ อีก มีข้อความดังต่อไปนี้

" ณ เดือนหก ปีเถาะนพศก ตั้งเขาไกรลาสแห่โสกันต์เจ้าฟ้ากุณฑล ทรงเครื่องต้นประดับพระองค์ทรงพระมหามงกุฎ สมมุติวงศ์อย่างเทพอัปสร สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระอัยกาจูงพระกรเสด็จขึ้นยอดเขาไกรลาส กรมขุนอิศรานุรักษ์เป็นพระอิศวร ทรงพระมหากฐินทรงประดับ (หรือทรงประพาส) เครื่องต้นเป็นพระอิศวรประสาทพร สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระอัยกาจูงพระกรขึ้นไปส่งถึยอดเขา พระอิศวรรดน้ำสังข์ทักษิณาวัฏแล้วประสาทพระพร เจ้าบุตรแก้วรับพระกรลงจากยานุมาศขึ้นเกยพระมหาปราสาทฯ"

สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชวิจารณ์จดหมายเหตุดังกล่าวไว้ว่า "โสกันต์เจ้าฟ้ากุณฑลนี้ คลาดปีกันอยู่กับในพงศาวดารปีหนึ่ง รายการที่กล่าวไว้ในพงศาวดารเลื่อนลอยมาก ดูเหมือนแลดูตัวอย่างใหม่ๆกล่าวประจบให้เป็นเก่า ที่จนอั้นก็อั้นทีเดียว เช่นทำเขาไกรลาศที่ไหนไม่รู้ ชี้แผนที่วังไม่ถูก ว่าไปทรงเสลี่ยงทางประตูท้ายที่ทรงบาตรที่ชาลาพระมหาปราสาทข้างในไปที่สระอโนดาต ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ในพงศาวดารไม่ได้กล่าวว่า ใครจูงทีเดียว ในพงศาวดารว่าถึงกรมขุนอิศรานุรักษ์แต่งพระองค์ว่า ทรงชฎาเดินหน ทรงฉลองพระองค์ครุย เห็นจะเห็นกรมพระบำราบปรปักษ์ เมื่อครั้งโกนจุกลูกหญิงศรีวิไลย แต่เชื่อว่าคงจะทรงเครื่องต้นจริงตามที่กล่าวไว้ในหนังสือนี้ เพราะมีตัวอย่างเมืองเครื่องต้นทพแล้วเสร็จ พระราชทานให้เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ทรง เมื่อแห่ทรงผนวชเป็นคราวแรกเพราะพระองค์ของท่านไม่ได้ทอดพระเนตรเห็น อยากทอดพระเนตรกรมขุนเสนานุรักษ์ และกรมขุนอิศรานุรักษ์นี้ว่างามนักทั้งสองพระองค์ เห็นจะโปรดให้ทรงทอดพระเนตรยังมีตัวอย่างต่อมาอีก ในรัชกาลที่ ๓ โปรดให้พระองค์เจ้าลักขณานุคุณทรงเมื่อแห่ทรงผนวชรัชกาลที่ ๓ นี้ ถ้าไม่มีตัวอย่างท่านคงไม่ทรงริขึ้น ในชั้นต้นที่จะสอบสวนเรื่องโสกันต์เจ้าฟ้ากุณฑลนี้

ได้ดูจดหมายเหตุเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ซึ่งกรมหลวงชำระไว้อื่นๆก็ได้ความชัดเจน แต่ข้อที่เขาไกรลาสตั้งแห่งใดไม่ปรากฏ กับมีข้อความที่จะแปลว่ากระไรไม่ได้คือ "ณ วันศุกร์ เดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ เพลาเช้า แห่มาโสกันต์ที่พระมหาปราสาท แล้วเสด็จกลับทางประตูท้ายที่ทรงบาตรที่ชาลาพระมหาปราสาทข้างใน" อีกข้อซึ่งกล่าวว่า "เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์แต่งพระองค์ ทรงฉลองพระองค์ครุย ทรงชฎาเดินหน" ข้อความที่คัดลงในจดหมายเหตุนี้ ปรากฏว่าได้คัดในร่างหมายซึ่งยังมีอยู่โดยมาก เว้นไว้แต่ความ ๒ ข้อที่กล่าวมานี้ ผู้อ่านหมายไม่เข้าใจหรือเอาปากไวเอาการใหม่ปนการเก่าก็จะเป็นได้ ในร่างหมายนี้เองมีตัวแก้ไขจากลายมือเดิมหลายแห่ง กลัวจะต้องตำรากระทรวงวัง ถ้าจะมีการอะไร เอาร่างหมายเก่าออกมาตกแทรงวงกา แล้วให้เสมียนคัดขึ้นเป็นหมายใหม่ จึงเลอะเทอะไปก็มี การที่จะอ่านต้องเข้าใจ ในที่นี้จะเก็บข้อความจากหมายเก่าเอาแต่สิ่งที่สำคัญควรสังเกต

หมายฉบับนี้ "เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช(๔) รับสั่งให้เกล้าฯกำหนดงานสวดมนต์ ณ วันเดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ แรม ๑ ค่ำ ๒ ค่ำ ปีมะโรงสัมฤทธิศก เพลาบ่าย ๒ โมง ๖ บาท พระสงฆ์ ๕๐ รูปเจริญพระพุทธมนต์ ณ วันศุกร์ เดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ พระกฤษ์จรดพระกรรบิดกรรไกร ณ วันเดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ ๔ ค่ำ ๕ ค่ำ สมโภชเวียนเทียนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ๓ วัน"

เขาไกรลาศพิเคราะห์ดู ได้ความจากวางริ้ว เวลาถึงพระมหาปราสาทและเวลากลับจากพระมหาปราสาท ว่าตั้งที่เก๋งกรงนก คือ ใกล้ไปข้างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย กระบวนแห่ก็ตามอัตรา คือ คู่แห่เด็ก ๘๐ - ๘๔ ทั้งต้นเชือกปลายเชือก แตรใน ๙ เครื่อง ๒๑ พระแสง ๕ บัณเฑาะว์ ๒ อินทร์พรหม ๑๖ หามพระราชยาน ๑๐ เครื่องหลัง ๘ พระแสง ๒ รวมกระบวนใน ๑๗๕ กระบวนนอกคู่แห่ผู้ใหญ่ ๘๐ แตร ๔๒ กลองชนะ ๔๐ ในหมายมีแต่กระบวนข้างหน้า กำหนดแตรตามระยะทาง เช่นโสกันต์ชั้นหลังๆการที่วางกระบวนเมื่อถึงเกยก็อย่างชั้นหลังๆ แต่นางเชิญเครื่องเชิญพระแสงหลัง ให้เลี้ยวขึ้นอัฒจันทร์ปราสาท นางสระเข้าประตูพรหม

มีกำหนดผู้ตรวจตรา ให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชเข้ามาจัดกระบวนในพระราชวัง ให้เจ้าพระยายมราชจัดกระบวนที่ประตูราชสำราญ เจ้าพระยามหาเสนาจัดที่ประตูวิเศษชัยศรีข้างใน เจ้าพระยาธรรมาจัดที่เกยพระมหาปราสาท เมื่อกระบวนเดินพ้นมาแล้ว จึงให้เจ้าพระยาทั้งสามเดินตามกระบวนมา

วันสรงที่เขาไกรลาศ ให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชจัดการที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ เจ้าพระยามหาเสนา ตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าพระยาธรรมา ตะวันตกเฉียงใต้ เจ้าพระยายมราช ตะวันจกเฉียงเหนือ พอโสกันต์เสร็จแล้ว ถวายผ้าสบงแล้ว กลับเข้าไปที่ท้ายพระมหาปราสาท ทรงตักบาตรที่ชาลาพระมหาปราสาท ตักบาตรนี้ต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่พระเข้าไปรับ ตักข้าวลงในบาตรสำหรับเลี้ยงพระ ซึ่งกำลังสวดถวายพรพระอยู่ ครั้นทรงบาตรเสร็จแล้วเสด็จกลับออกมาทางที่เสด็จเข้าไปนั้น จึงลงมาทรงพระเสลี่ยงน้อยไปสรงที่สระอโนดาต

มีแปลกอย่างหนึ่ง ดูเหมือนว่าไม่ได้แต่งพระองค์ในมณฑป จะลงมาแต่งที่นักแร้ข้างหนึ่ง ที่เรียกว่ามุมตะวันตกข้างเหนือ แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อข้อนี้ เห็นจะแดดร้อนนัก และตัวหนังสือที่เขียนลงไว้เป็นตัวเล็กๆ ใครจะเขียนเพิ่มเติมลงไปก็ไม่ทราบ นอกจากนั้นก็ไม่มีแปลกประหลาดอะไรจากโสกันต์ครั้งหลังๆ

เจ้าบุตรแก้วที่สำหรับรับพระกรนี้ ได้เห็นชื่อในบัญชีเป็นผู้เลี้ยงพระฉันจุรูป ๑ ในจำนวนมากด้วยกันนั้น พระที่ฉันสำรับเจ้าบุตรแก้ว เป็นพระสมุห์วัดบางลำพู ฉันไก่ต้ม ๓ ตัว ไก่จาน ๑ นมโค ๑ โถ ทีจะเป็นลูกสาวเจ้ากรุงศรีสัตนาคนะหุตเวียงจันทน์ ที่มีชื่อในพระราชสาส์นเวียงจันทน์ เมื่อแผ่นดินกรุงธน รับพระกรในที่นี้ คือ เวลาไปทรงฟังสวด ไม่ใช่รับที่เขาไกรลาศ"

จบพระราชวิจารณ์ในจดหมายเหตุความทรงจำฯ แต่เพียงนี้


สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีโสกันต์ได้ปีเดียว สมเด็จพระชนกนารถก็เสด็จสวรรคต

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกนารถพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ เสด็จสวรรคตเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๕๒ เวลาสิ้นรัชกาลที่ ๑ นั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีมีพระชนม์ได้ ๑๑ พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ ๒ เมื่อพระชนมายุได้ ๔๒ พรรษา แก่กว่าสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ๓๑ ปีเศษ

เราไม่มีพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยาวดีที่จะดูได้ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีการฉายภาพในประเทศไทยและก็ไม่มีภาพเขียนอันเป็นฉายาลักษณ์ของพระองค์จะดูพระรูปโฉมโนมพรรณของพระองค์ว่า ทรงพระสิริรุปโฉมงามโสภาคย์เพียงใด แต่เมื่อเปรียบสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีว่า เป็นนางบุษบา ความงามของนางบุษบานั้น มีปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ไว้เองว่า

"อันนางโฉมยงองค์นี้
เลิศล้ำนารีในแหล่งหล้า
นวลละอองผ่องพักตร์โสภา
เพียงจันทราทรงกลดหมดราคี
งามดั่งโกสุมประทุมมาลย์
บานอยู่ในท้องสระศรี"


อีกตอนหนึ่งว่า

"เจ้าเอย เจ้าดวงยิหวา
ดังหยาดฟ้ามาแต่กระยาหงัน
ได้เห็นโฉมฉายเสียดายครัน
ฉุกใจไม่ทันคิดเอย"


อีกตอนหนึ่ง ตอนนางบุษบาเล่นธาร มีว่า

"พักตร์น้องละอองนวลปลั่งเปล่ง
ดังดวงจันทร์วันเพ็งประไพศรี
อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์
ดังกินรีลงสรงคงคาลัย
งามจริงพริ้งพร้อมทั้งสารพางค์
ไม่ขัดขวางเสียทรงที่ตรงไหน
พิศพลางประดิพัทธ์กำหนัดใน
จะใคร่โอบอุ้มองค์มา
ดูเดินดังดำเนินเหมราช
งามประหลาดเลิศล้ำเลขา
พิศไหนให้เพลินจำเริญตา
พระราชาชมพลางทางถอนใจ"


ดังนี้


๕. เป็นพระราชชายานารีในรัชกาลที่ ๒

ต่อมาในรัชกาลที่ ๒ นี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีได้เป็นพระราชชายานารีพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อก่อน พ.ศ. ๒๓๕๙ พระชนมายุได้ประมาณ ๑๗ หรือ ๑๘ พรรษา ที่กล่าวว่าก่อน พ.ศ. ๒๓๕๙ นั้น เพราะเหตุว่าเจ้าฟ้าอาภรณ์พระโอรสพระองค์แรกประสูติเมื่อวันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๗ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑๙ เมษายน ปีชวด พ.ศ. ๒๓๕๙ จึงพอสันนิษฐานได้ว่า พระองค์ได้เป็นพระราชชายานารีพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อพระชนมายุได้ ๑๗ หรือ ๑๘ พรรษา ดังได้กล่าวมาแล้ว

กล่าวกันว่า เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีนั้นเปรียบเหมือนนางบุษบาวตีในพระราชนิพนธ์อิเหนา ส่วนสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระอัครชายาเดิม คือ เจ้าฟ้าบุญรอด นั้นเปรียบเหมือนนางจินตหรา ดังปรากฏข้อความอยู่ในหนังสือพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๙ ตอนหนึ่งว่า

"เจ้านายชั้นผู้ใหญ่พระองค์หนึ่งทรงเล่าว่า กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์นั้นทรงอยู่ในฐานะแม้นละม้ายคล้ายจินตหราในเรื่องอิเหนา เพราะเหตุที่ทรงเป็นพระประยูรญาติเรียงพี่เรียงน้อง หากแต่เป็นพระมเหสีดั้งเดิมจึงได้อยู่ฝ่ายขวา ส่วนเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีเป็นพระน้องนางเธอร่วมพระชนกเดียวกัน ได้เป็นพระมเหสีพระองค์ที่ ๒ จึงต้องอยู่ฝ่ายซ้าย คล้ายบุษบาขององค์อิเหนาหรือระเด่นมนตรี ซึ่งที่แท้ก็คือ พระองค์ผู้ทรงพระนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั่นเอง เมื่อองค์ระเด่นมนตรีทรงมีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาดังนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ฝ่ายขวาจะต้องขึ้งโกรธและทรงระทมตรมตรอม นัยเดียวกันกับพระราชนิพนธ์ที่ว่า " เมื่อนั้น จินตหราวาตีมีศักดิ์ ฟังตรัสขัดแค้นฤทัยนัก สบัดพักตร์ผินหลังไม่บังคม " เหตุการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยๆมา ในที่สุดกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ก็เสด็จหนีไปประทับ ณ พระราชวังเดิม กรงธนบุรี มีเจ้าฟ้าพระองค์น้อย คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวติดต้อยตามเสด็จไปเป็น "ลูกแม่" คอยปลอบประโลมพระทับให้คลายเศร้า แต่เจ้าฟ้าพระองค์น้อยหรือฟ้าน้อยก็ยังคงวิ่งไปวิ่งมาระหว่างพระชนกกับชนนีระหว่างกรุงเทพฯกับธนบุรี จนกระทั่งพระชนม์ได้ ๑๒ ปี ๖ เดือน ได้รับพระราชพิธีเต็มตามพิธีใหม่ชั้นเจ้าฟ้า"

แต่อย่างไรก็ดี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็มิได้ทรงยกย่องสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีเท่ากับหรือเหนือกว่าสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ทั้งนี้เข้าใจว่าเพราะพระองค์ทรงถือสัตย์ที่ได้เคยทรงปฎิญาณทานบนไว้เมื่อครั้งทรงแรกรักเริ่มต้นกับสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ก่อนโน้น ดังปรากฏในจดหมายเก่า "เรื่องขัติยราชปริพัทธ์" ว่าสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเคยทรงปฏิญาณทานบนไว้ว่า "จะมิให้บุตรและภริยาทั้งปวงเป็นใหญ่กว่าฤๅเสมิกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ เพราะฉะนั้นเมื่อได้เสด็จเถลิงถวัลยราชบรมราชาภิเษกขึ้นแล้ว ได้เจ้าฟ้ากุณฑลเป็นพระชายาก็ทรงชุบเลี้ยงเซาๆอยู่อย่างนั้น ไม่เปิดเผยผิดจากปรกติขึ้นเท่าไร

ประสูติพระโอรสสามพระองค์ พระธิดาหนึ่งพระองค์ แต่พระธิดานั้นสิ้นพระชนม์เสียแต่ยังทรงพระเยาว์อยู่ ยังเหลือแต่พระโอรสทั้งสามพระองค์ คนในสมัยนั้นก็ไม่ได้ยินใครเรียกว่าเจ้าฟ้าฤๅทูลกระหม่อมฟ้า เรียกกันอยู่ว่าองค์ใหญ่ องค์กลาง องค์ปิ๋ว ในหลวงท่านก็ทรงได้ยินแต่ไม่ทรงกริ้วกราดทักท้วงประการใด เรียกกันอยู่แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ ถ้าเป็นคำทูลในหลวงก็ว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ฉะนั้นเรียกพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าอยู่หัวว่า ทูลกระหม่อมพระองค์น้อย ถ้าเป็นคำทูลในหลวงก็ว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอสุนีบาศ ฉะนั้น

ภายหลังมาในแป่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกุณาโปรดตั้งองค์ใหญ่พระโอรสเจ้าฟ้ากุณฑลเป็นเจ้าฟ้า พระราชทานนามว่า "อาภรณ์" แต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงรู้เรียกกันว่า "เจ้าฟ้าอาภรณ์" แต่องค์กลาง องค์ปิ๋วนั้นก็ได้ยินเรียกกันอยู่ว่า องค์กลาง องค์ปิ๋ว ดังเช่นเรียกกันมาแต่เดิม ครั้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระนามพระองค์กลางว่า "มหามาลา" แต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงรู้เรียกกันว่า เจ้าฟ้ามหามาลา องค์ปิ๋วนั้นสิ้นพระชนม์เสียแต่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ได้ยินคนรุ่นใหม่ๆเรียกกันว่า เจ้าฟ้าปิ๋ว บ้างก็ได้ยินรายๆไม่สู้หนาหูนัก ฤๅจะเป็นด้วยเขาเกรงพระทัยกรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์อย่างไรก็ไม่ทราบ แต่คนชั้นเก่าๆไม่ได้ยินใครเรียกว่า เจ้าฟ้าปิ๋วเลย จะเป็นด้วยเหตุกลัวกรมสมเด็จพระสุริเยนทรามาตย์ ฤๅประการใดก็ไม่ทราบถนัด"


ประสูติเจ้าฟ้าพระองค์แรกและพระองค์ต่อมา

๑. เจ้าฟ้าอาภรณ์

สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีประสูติเจ้าฟ้าพระองค์แรก คือ เจ้าฟ้าอาภรณ์ เมื่อ ณ วันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๗ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑๙ เมษายน ปีชวด พ.ศ. ๒๓๕๙ ในจดหมายเหตุความทรงจำฯมีข้อความตอนประสูติเจ้าฟ้าพระองค์แรกมีว่า

" ณ วันศุกร์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๕ เจ้าฟ้ากุณฑลประสูติเจ้าฟ้าอัมพร ได้จตุรงคโชคไชยชนะสิ้น เสร็จพระยาปลัดทวาย พระโองการปราปรามเลี่ยนสิ้นเสี้ยนหนามแผ่นดิน ยิ่งด้วยพระบารมีที่สุด ยังสมบัติมนุษย์ ยังให้เห็นแก่ตา ว่ามีพระคชาธารเผือกผู้คู่ควร ไม่ได้บาศซัดคล้องเมืองปัตบอง เมืองเชียงใหม่ เมืองแพร่(๕) ถวายเป็นเครื่องบรรณาการ ด้วยบารมีบุญฤทธิ์ พระพุทธเจ้าหลวงสมเด็จพระอัยกา พระเจ้าช้างเผือก ฯ "

ตามจดหมายเหตุความทรงจำที่ว่า "ณ วันศุกร์ เดือน ๕ แรม ๗ ค่ำ เจ้าฟ้ากุณฑลประสูติเจ้าฟ้าอัมพร ได้จัตุรงคโชคไชยชนะสิ้นเสร็จ" นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระปิยมหาราช ทรงพระราชวิจารณ์ไว้ว่า "เจ้าฟ้าอาภรณ์เผอิญมาประสูติประจวบเวลานี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นโชคดี ถึงปูมก็จดไว้เฉพาะว่า วันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๕ ค่ำ เจ้าลูกเธอประสูติใหม่ บ่าย ๔ โมง ๕ บาท

ดวงพระชาตาของเจ้าฟ้าอาภรณ์ปรากฏอยู่ในสมุดเก่าของหม่อมเจ้าประภากรเป็นดังนี้...



เจ้าฟ้าพระองค์นี้เป็นที่หวังกันว่า อยู่ในเกณฑ์ที่อาจจะได้รับราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระบรมชนกนารถ แต่เกิดมามีเหตุสิ้นพระชนมืเสียก่อนสิ้นรัชกาล ดังจะได้กล่าวถึงในตอนต่อไป


๒. สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาบำราบปรปักษ์

พระองค์ประสูติเจ้าฟ้าชายเป็นพระองค์ที่ ๒ คือ เจ้าฟ้าชายกลาง ประสูติเมื่อวันเสาร์ เดือน ๖ ขึ้นค่ำ ๑ ตรงกับวันที่ ๒๔ เมษายน ปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๖๒ ต่มาในที่สุดได้เป็นสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาบำราบปรปักษ์ พระโอรสพระองค์นี้ได้บำเพ็ญคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติไทยของเรามาก เป็นที่เชิดชูพระเกียรติยศเป็นอย่างยิ่งของสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ซึ่งข้าพเจ้าได้รวบรวมและเรียบเรียงไว้โดยเฉพาะ ดังปรากฏพระประวัติอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว


๓. เจ้าฟ้าหญิง

สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีได้ประสูติเจ้าฟ้าหญิง เมื่อ วันพุธ เดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๑ มีนาคม ปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๖๓ แต่สิ้นพระชนม์เสียแต่ในรัชกาลที่ ๒ นั้น ยังไม่ปรากฏนาม ได้พระราชเพลิงพระศพพร้อมด้วยพระชนนีในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๒


๔. เจ้าฟ้าชายปิ๋ว

สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีได้ประสูติเจ้าฟ้าชายพระองค์สุด คือ เจ้าฟ้าปิ๋ว ประสูติเมื่อวันศุกร์ เดือน ๖ ขึ้น ๖ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๖ เมษายน ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๖๕

สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีมีเจ้าฟ้าด้วยกันกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รวมด้วยกัน ๔ พระองค์ สิ้นพระชนม์เสียในรัชกาลสมเด็จพระชนกนารถพระองค์หนึ่ง คงพระชนม์ชีพต่อมา ๓ พระองค์ เป็นเจ้าฟ้าชาย ดังจะบรรยายพระประวัติต่อไป

เจ้าฟ้าทั้ง ๓ พระองค์นี้ ในรัชกาลที่ ๒ เรียกกันว่าพระองค์ใหญ่ พระองค์กลาง และพระองค์ปิ๋วทั้งสิ้น เพิ่งมาเรียกพระองค์ใหญ่ว่า เจ้าฟ้าอาภรณ์ กันในรัชกาลที่ ๓

สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีได้ทรงร่วมสุขร่วมทุกข์ ด้วยกันมาด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระราชสวามี เสด็จสวรรคตเมื่อวันพุธ เดือน ๘ แรม ๑๑ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ปีวอก พ.ศ. ๒๓๖๗ การเสด็จสวรรคตของพระราชสวามีย่อมนำความวิปโยคโศกเศร้าสลดรันทดพระทัยมาสู่พระองค์เป็นอย่างยิ่ง

เวลาสิ้นรัชกาลที่ ๒ นั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระมเหสีฝ่ายซ้ายพระชนมายุได้ ๒๖ พรรษา วัยเบญจเพศพอดี เจ้าฟ้าพระราชโอรสพระองค์แรกคือเจ้าฟ้าอาภรณ์มีพระชนม์มายุได้ ๘ พรรษา พระองค์ที่สองคือ เจ้าฟ้ากลาง คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ มีพระชนมายุได้ ๕ พรรษา พระองค์ที่สามคือ เจ้าฟ้าปิ๋ว พระชนมายุได้ ๒ พรรษา พระองค์ย่อมทรงได้รับความลำบากอย่างแสนสาหัส เพราะพระโอรสยังทรงพระเยาว์มากทั้งสิ้น

อนึ่ง ก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตนั้น ทรงพระประชวรตรัสมิไกด้ จึงมิได้ตรัสมอบราชสมบัติให้แก่เจ้านายพระองค์ใด ปัญหาเจ้านายที่จะเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติจึงเกิดขึ้น ตามราชประเพณี เจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่อันเกิดด้วยพระอัครมเหสี ซึ่งขณะนั้นควรจะได้แก่เจ้าฟ้ามงกุฏ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่บังเอิญกำลังทรงผนวชและยังทรงพระเยาว์อยู่ พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่จึงได้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์ใหญ่ คือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (พระองค์เจ้าทับ) ซึ่งเป็นหลักแผ่นดินอยู่ในรัชกาลที่ ๒ ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ ๓ สืบมา คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ในรัชกาลนี้ไม่โปรดตั้งพระชายาเจ้าจอมใดขึ้นเป็นพระอัครมเหสีเลย จึงไม่มีพระราชโอรสพระองค์ใดขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเลยตลอดรัชกาลที่ ๓ และในรัชกาลต่อมาก็ไม่ปรากฏว่า พระราชโอรสพระองค์ใดของรัชกาลที่ ๓ ได้มีการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเลยสักพระองค์เดียว

เจ้าฟ้าที่ประดับพระมหามงกุฎของรัชกาลที่ ๓ อยู่ในเวลานั้น ก็มีแต่เจ้าฟ้าในรัชกาลก่อนทั้งสิ้น รวมความว่าในรัชกาลที่ ๓ นั้น ไม่มีเจ้าฟ้าเกิดใหม่เลยตลอดรัชกาล ว่างเว้นเจ้าฟ้าเกิดใหม่อยู่ถึง ๒๘ ปีเศษ เพิ่งมีเจ้าฟ้าเกิดใหม่เอาในรัชกาลที่ ๔ พระองค์แรกมราเป็นเจ้าฟ้าชายก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ คือ รัชกาลที่ ๕


๗. พระชนม์ชีพในรัชกาลที่ ๓

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต พระเจ้าลูกเธอพระองค์ใหญ่ คือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อมา เป็นรัชกาลที่ ๓ มีพระปรมาภิไธยย่อว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสวยราชสมบัติอยู่เป็นเวลา ๒๗ ปีจึงเสด็จสวรรคต

เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตนั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีมีพระชนมายุได้ ๒๖ พรรษา ได้ทรงทำนุบำรุงเลี้ยงเจ้าฟ้าพระราชโอรส ๓ พระองค์ต่อมาด้วยความลำบากอย่างยิ่ง ในเรื่องการศึกษาของเจ้าฟ้าพระโอรสนั้นปรากฏว่า ได้ทรงมอบให้สุนทรภู่เป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรมาแต่ปลายรัชกาลที่ ๒ กล่าวคือ ในปลายรัชกาลที่ ๒ โปรดให้ท่านสุนทรภู่เป็นครูสอนหนังสือถวายพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอาภรณ์ เป็นผลให้ชาติไทยได้มีกลอนอมตะอยู่ ณ ทุกวันนี้ คือ "สวัดิรักษา" ซึ่งสุนทรภู่แต่งถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์และเพลงยาวถวายโอวาทซึ่งแต่งถวายเจ้าฟ้ากลาง เรื่องสวัสดิรักษานั้นขึ้นต้นว่า

สุนทรทำคำสวัสดิรักษา
ถวายพระหน่อบพิตรอิศรา
ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน


และกล่าวในกลอนเมื่อก่อนจบว่า

ขอพระองค์จงจำไว้สำเหนียก
ดังนี้เรียกสวัสดิรักษา
สำหรับพระองค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยา
ให้ผ่องผาสุกสวัสดิ์ขจัดภัย
บทโบราณท่านทำเป็นคำฉันท์
แต่คนนั้นมิใคร่แจ้งแถลงไข
จึงกล่าวกลับซับซ่อนเป็นกลอนไว้
หวังจะให้เจนจำได้ชำนาญ
สนองคุณมุลิกาสามิภักดิ์
ให้สูงศักดิ์สืบสมบัติพัสถาน
แม้นผิดเพี้ยนเปลี่ยนเรื่องเบื้องโบราณ
ขอประทานอภัยโทษได้โปรดเอย


เรื่อง "สวัสดิรักษา" นี้สันนิษฐานกันว่า คงจะแต่งขึ้นถวายระหว่า พ.ศ. ๒๓๖๔ - ๒๓๖๗ ก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต นอกจากนั้นสันนิษฐานกันว่า ท่านสุนทรภู่จะได้เริ่มแต่งเรื่องสิงหไตรภพตอนต้นๆ ถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ในตอนนี้ด้วย เพราะมีคำกล่าวไว้ในเรื่องรำพันพิลาปของสุนทรภู่เอง เมื่อพูดถึงเจ้าฟ้าอาภรณ์ สุนทรภู่เรียกพระนามแฝงว่า พระสิงหไตรภพ

แต่ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ นี้ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรดท่านสุนทรภู่ เจ้านายและผู้มีบรรดาศักดิ์ก็ไม่มีพระองค์ใดกล้าชุบเลี้ยงเกื้อหนุนโดยเปิดเผย ด้วยเกรงจะเป็นฝ่าฝืนพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้เจ้าฟ้าอาภรณ์ซึ่งเป็นศิษย์ก็ต้องทำเพิกเฉยมึนตึง ท่านสุนทรภู่จึงได้กล่าวความข้อนี้ไว้ในเพลงยาวถวายโอวาทเจ้าฟ้ากลางด้วยความน้อยใจ คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ และเจ้าฟ้าปิ๋วตอนหนึ่งว่า

สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญของสุนทร
ฟ้าอาภรณ์แปลกพักตร์อาลักษณ์เดิม


เพลงยาวถวายโอวาทนี้ท่านสุนทรภู่ขึ้นต้นว่า

ควรมิควรจวนจะพรากจากสถาน
จึงเขียนความตามใจอาลัยลาน
ขอประทานโทษาอย่าราคี
ด้วยขอบคุณทูลกระหม่อมถนอมรัก
เหมือนผัดพักตร์ผิวหนาเป็นราศี
เสด็จมาปราศรัยถึงในกุฎี
ดังวารีรดซาบอาบละออง
ทั้งการุณสุนทราคารวะ
ถวายพระวรองค์จำนงสนอง
ขอพึ่งบุญมุลิกาฝ่าละออง
พระหน่อสองสุริน์วงศ์ทรงศักดา
ด้วยเดี๋ยวนี้มิได้รองละอองบาท
จะนิราศแรมไปไพรพฤกษา
ต่อถึงพระวสาอื่นจึงคืนมา
พระยอดฟ้าสององค์จงเจริญ


แล้วมีข้อความยาวยืดไพเราะยิ่งทุกบาททุกบท อ่านแล้วน้ำตาคลอ แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของสุนทรภู่ อันมีต่อสมเด็จเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์นั้น และแสดงว่าเจ้าฟ้ากลาง คือ สมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงเล็งเห็นคุณค่าของคนดี และได้เสด็จไปเยี่ยมสุนทรภู่ถึงกุฏิ ในยามสุนทรภู่ตกอับ ขอท่านผู้อ่านได้โปรดหาอ่านเอาเอง

ท่านสุนทรภู่จบเพลงยาวเรื่องนี้ลงด้วยมงคลสูตรข้อหนึ่งว่า อย่าคบคนพาล แต่ให้คบบัณฑิต คือ

สกุลกาสาธารณ์ถึงพานพบ
อย่าควรคบคิดรักศักดิ์สงวน
เหมือนชายโฉดโหดไร้ที่ไม่ควร
อย่าชักชวนชิดใช้ให้ใกล้องค์
อันนักปราชญ์ราชครูเหมือนคูหา
เป็นที่อาศัยสกุลประยูรหงส์
จงสิงสู่อยู่แต่ห้องทองประจง
กว่าจะทรงปีกกล้าถาทะยาน
ขึ้นร่อนเร่เวหนให้คนเห็น
ว่าชาติเช่นหงสาศักดาหาญ
ได้ปรากฏยศยงตามวงศ์วาน
พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร
ควรมิควรส่วนผลาอานิสงส์
ซึ่งรูปทรงสังวรรัตน์ประภัสสร
ให้สี่องค์ทรงมหาสถาวร
ถวายพรพันวสาขอลาเอย


ความที่ว่า "ให้สี่องค์ทรงมหาสถาวร" นั้น คือคำว่า "สี่องค์" ท่านสุนทรภู่หมายถึง สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ๑ เจ้าฟ้าอาภรณ์ ๑ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ๑ และเจ้าฟ้าปิ๋ว ๑ และคำว่า "ถวายพรพันวษา" นั้น ก็ทำให้ผู้อ่านหมายความได้หลายนัย นัยหนึ่งอาจจะหมายถึงถวายพรให้เจ้าฟ้าทั้งสี่พระองค์นั้น มีพระชนมายุยืนนานถึงพันปี หรืออาจจะหมายถึงเฉพาะเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีพระองค์เดียวโดยเฉพาะก็ได้ เพราะทรงอยู่ในตำแหน่งคล้ายพระพันวัสสาเหมือนกัน แต่ในรัชกาลที่ ๓ นั้น คนทั้งหลายออกพระนามสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "สมเด็จพระพันวัสสา" ซึ่งเสด็จสวรรคตก่อนสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีประมาณ ๒ ปี

อนึ่ง ในจดหมายเหตุเก่าเรื่อง "ว่าด้วยคำพูดของคนชั้นเก่า" มีว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งเรียกเจ้าฟ้าอาภรณ์ว่า "หนูอาภรณ์" รับสั่งเรียกสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ว่า "เจ้าหนูกลาง" และรับสั่งเรียกองค์ปิ๋วว่า "เจ้าหนูปิ๋ว" ดังนี้

เมื่อท่านสุนทรภู่ออกบวชแล้ว ต่อมาในปีฉลู พ.ศ. ๒๓๗๒ สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีก็ทรงฝากเจ้าฟ้ากลาง คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ กับเจ้าฟ้าปิ๋ว ซึ่งเวลานั้นพระชันษาได้ ๑๑ ปีพระองค์หนึ่ง ๘ ปีพระองค์หนึ่ง ให้เป็นศิษย์ท่านสุนทรภู่ เหมือนอย่างเจ้าฟ้าอาภรณ์ได้เคยเป็นศิษย์มาในรัชกาลที่ ๒ แล้วสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีก็ทรงส่งเสียอุปการะท่านสุนทรภู่ต่อมาในชั้นนั้น มีคำสุนทรภู่กล่าวไว้ในเพลงยาวตอนหนึ่งว่า

เคยฉันของสองพระองค์ส่งถวาย
มิได้วายเว้นหน้าท่านข้าหลวง


นอกจากนั้นสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑทิพยวดียังได้ทรงฝากเจ้าฟ้าพระราชโอรสทั้ง ๓ พระองค์ให้เป็นศิษย์สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นทรงผนวชอยู่วัดบวรนิเวศวรวิหารอีกด้วย

ในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระโอรสพระองค์ใหญ่ คือ เจ้าฟ้าอาภรณ์ได้เริ่มรับราชการ คือ ได้ทรงช่วยกำกับกรมพระคชบาล เจ้าฟ้ากลาง (เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์) ได้รับราชการในกรมวัง ส่วนเจ้าฟ้าชายปิ๋วนั้นไม่ปรากฏว่าได้ทรงรับราชการแต่อย่างใด เพราะยังทรงพระเยาว์

อนึ่ง พึงทราบไว้ด้วยในรัชกาลที่ ๓ นั้น เจ้านายชั้นเจ้าฟ้าชายซึ่งเป็นพระราชโอรสรัชกาลที่ ๒ พระองค์สำคัญมีเพียง ๕ พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เวลานั้นทรงผนวชอยู่ตลอดรัชกาลที่ ๓ พระองค์หนึ่ง สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในรัชกาลที่ ๓ ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ได้ว่ากรมทหารปืนใหญ่พระองค์หนึ่ง เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์นี้ เป็นเจ้าฟ้าพระโอรสในสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ และมีพระชันษาแก่กว่าเจ้าฟ้า ๓ พระองค์ในสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี


๘. สิ้นพระชนม์และงานพระศพ

สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันเสาร์ เดือน ๔ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีจอ พ.ศ. ๒๓๘๑ พระชันษาได้ ๔๒ ปี

ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) แต่งมีข้อความว่า "ในเดือน ๔ ปีจอนั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ทรงพระประชวรพระโรคโบราณมานานแล้ว ครั้น ณ วัน้สาร์ เดือน ๔ ขึ้น ๓ ค่ำ(๖) สิ้นพระชนม์ พระชนมายุได้ ๔๐ พรรษา ๘ เดือน ๑๘ วัน โปรดให้ทำการพระเมรุที่ท้องสนามหลวง เจ้าพนักงานได้จัดการทำพระเมรุอยู่" ในพระราชพงศาวดารฉบับดังกล่าวอีกตอนหนึ่งมีว่า "ฝ่ายที่กรุงการพระเมรุเสร็จแล้ว ครั้น ณ วัน เดือน ๕ แรม ๔ ค่ำ(๗) ได้ชักพระศพสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีกับพระศพพระองค์เจ้า(ผู้เป็น)ธิดา(๘)ออกสู่พระเมรุ เชิญพระศพประดิษฐานบนพระเบญจา มีการมหรสพทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายไทยธรรมแก่พระสงฆ์ พระราชาคณะ ฐานานุกรมเป็นอันมาก ครั้น ณ วัน เดือน ๕ เเรม ๖ ค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ได้พระราชทานเพลิงแล้วสมโภชพระอัฐิอีก วัน ๑ คืน ๑ เป็นคำรบ ๔ วัน ๔ คืน

เป็นอันจบพระประวัติสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี เป็นอันว่าสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีพระองค์นี้ ทรงเป็นบรรพสตรีของต้นสกุล อาภรณ์กุล และ มาลากุล สืบมาจนทุกวันนี้


๙. เจ้าฟ้าอาภรณ์พระโอรสถูกหาว่าเป็นขบถ

เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีสิ้นพระชนม์นั้น เจ้าฟ้าอาภรณ์มีพระชันษาได้ ๒๒ ปี เจ้าฟ้ากลาง (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์) มีพระชันษาได้ ๑๙ ปี และเจ้าฟ้าปิ๋วมีพระชันษาได้ ๑๖ ปี ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๘๓ เจ้าฟ้าปิ๋วก็สิ้นพระชนม์ พระชันษาได้ ๑๙ ปี

ในรัชกาลที่ ๓ นี้ ดังได้กล่าวมาแล้วว่า เจ้าฟ้าอาภรณ์ได้ทรงช่วยกำกับกรมคชบาล เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีพระชนนีสิ้นพระชนม์แล้วประมาณ ๑๐ ปี เกิดขบถหม่อมไกรสรเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๑ คดีมีเรื่องพัวพันอย่างไรไม่ทราบ เจ้าฟ้าอาภรณ์เลยถูกสงสัยและถูกจับขังด้วย และได้สิ้นพระชนม์ในที่คุมขังด้วยอหิวาตกโรคในปีวอก พ.ศ. ๒๓๙๑ นั้น พระชนมายุได้ ๓๓ ปี โปรดให้นำพระศพไปฝังดินไว้ แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เลานั้นทรงผนวชอยู่วัดบวรนิเวศได้โปรดให้ขุดพระศพขึ้นมา เพื่อกราบบังคมทูลทำพิธีถวายเพลิงพระศพ ตามแบบอย่างถวายพระเพลิงพระศพเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า ดังปรากฏความอยู่ในโคลงลิขิตมหามกุฎราชคุณานุสรณ์ พระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ว่า

สองพันสามศัตระเก้า สิบเอ็ด วอกรา
เกิดเหตุอาเภทเผด็จ อมิตรม้วย
หม่อมไกรสระสำเร็จ โทษถูก พิฆาฏท่าน
ผิตพยตเป็นกบฏด้วย เรื่องช้างหมางกัน

พัญเอิญเจ้าฟ้าอนุช ะภูธร ศิษย์ท่าน
ทรงพระนามะอาภรณ์ พวกด้วย
ทรงผีสัตรีหล่อน แถลงเลศ เสมอนา
ว่าหม่อมไกรสรย้วย ยศะต้องครองถวัลย์

สังขลิกะทัณฑ์พระน้อง พันธนา ไว้แน
พเอิญประชวรอหิวาต์ หว่างตรึ้ง
ปะรามาสเชษฐราชครา สิ้นพระ ชนม์ฮือ
ทูลหม่อมพระประทะอึ้ง อนาถเศร้าสงสาร

เสมือนประจารเจ้าฟ้าด่วน ฝังดิน เสียรา
โลหิตติดปัถพิน พ่วนร้าย
เสด็จขุดพระศพถวิล ถวายพระ เพลิงแฮ
ทรงโกษลังกาละม้าย หีบตั้งดังพราหมณ์

ถึงยามเมรุแล้วจัก ถวายเพลิง
ถวายพระพรสมเชิง ช่วยเกื้อ
ขอกลองชนะถเกิง เกียรติกษัตริย์ ประโคมรา
เชษฐราชโปรดประสาทเอื้อ เช่นเอื้ออวยสยม

ทูลบรมะจักริชถ้วน องค์โส ทรฤๅ
ถวายพระเพลิงบุพโพ เลิศหล้า
พระองค์อรุณะวงศ์โม ทนาเสด็จ เดียวเอย
นั่นก็ฟ้ากลางฟ้า พระฟ้ากรมขุน


"พระองค์อรุณะวงศ์" นั่นคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรศักดิพิศาล สุพัฒนาการสวัสดิ พระนามเดิมพระองค์เจ้าอรุณวงศ์ ต้นสกุล อรุณวงศ์ ณ อยุธยา ทุกวันนี้ พระองค์เป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกับเจ้าจอมมารดาเอม มีพระชนมายุแก่กว่าเจ้าฟ้าอาภรณ์ ๔ ปี

"ฟ้ากลาง" ก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ พระอนุชาร่วมพระชนนีเดียวกันกับเจ้าฟ้าอาภรณ์

ก่อนสิ้นพระชนม์ เจ้าฟ้าอาภรณ์มีพระโอรส พระธิดากี่พระองค์ ไม่สามารถจะค้นคว้าได้ในขณะนี้ ทราบแต่ว่าเจ้าฟ้าอาภรณ์ทรงเป็นต้นราชสกุล "อาภรณ์กุล"

ส่วนเจ้าฟ้ากลางนั้น ดำรงพระชนม์ชีพต่อมาแต่พระองค์เดียว ในรัชกาลที่ ๓ นี้ ได้ทรงรับราชการในกรมวังต่อมาในรัชกาลที่ ๔ พระราชทานพระนามใหม่ว่าเจ้าฟ้ามหามาลา และทรงสถาปนาเป็นกรมหมื่นบำราบปรปักษ์ เมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๓๙๔ ต่อมาได้เป็นกรมขุนบำราบปรปักษ์ เมื่อวันศุกร์ เดือน ๙ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ ส่วนทางราชการนั้น เมื่อถึงรัชกาลที่ ๔ ก็ได้ว่ากรมวัง กรมพระคชบาล และกรมสังฆการีธรรมการ ต่อมาในรัชกาลที่ ๕ ได้เลื่อนขึ้นเป็นกรมพระบำราบปรปักษ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นสมเด็จกรมพระยาบำราบปรปักษ์ เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๘ ส่วนทางราชการนั้น ในรัชกาลที่ ๕ ที่ประชุมพระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่พร้อมกันสมมุติให้พระองค์ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการในพระราชสำนักและว่าพระคลังทั้งปวง ต่อมาได้เป็นผู้สำเร็จราชการกรมมหาดไทย สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันพุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอ พ.ศ. ๒๔๒๙ พระชันษา ๖๗ ปี เป็นต้นสกุล "มาลากุล ณ อยุธยา" ดังจะได้บรรยายพระเกียรติในหนังสือเล่มนี้ต่อไป

๑๐. พระเกียรติคุณ

รวมความว่า ในรัชกาลที่ ๕ พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีพระองคหนึ่ง คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงเป็นเจ้านายชั้นสูงศักดิ์ ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระปิยมหารชทรงเคารพนับถือมากด้วยเหตุว่า สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงรับราชการเป็นหลักแผ่นดินในตอนต้นรัชกาลที่ ๕ ครั้นเมื่อมีงานรัชฎาภิเษกในรัชกาลที่ ๕ ณ พระราชวังบางปะอิน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ โปรดให้มีการแต่งกลอนจารึก แต่งประทีป เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน, เจ้านาย, และบุคคลสำคัญ ในงานนั้นมีคำกลอนจารึกแต่ประทัปเฉลิมพระเกียรติสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ของท่านเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เมื่อยังเป็นพระมนตรีพจนกิจ มีว่าดังนี้

ทำโคมนี้มาไว้ ประจงใจจะเฉลิม
พระเกียรติท่านเพิ่มเติม ให้มากกว่าแต่ก่อนมา
จะได้คนอย่างท่าน ก็กันดารเหลือจะหา
ความดีเหลือพรรณนา จะว่าย่อพอให้คน
ได้ทราบทั่วกันว่า นามเจ้าฟ้า ธ กุณฑล
ท่านได้ร่วมสุขปน ในรัชกาลที่สองมา
อยู่นานกาลล่วงไป ท่านก็ได้โอรสา
สนองราชกิจจา นุกิจเลิศประเสริฐแสน ฯ



ข้าพเจ้าขอจบเรื่อง "สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี" พระชนนีของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์แต่เพียงนี้ และจะได้กล่าวถึงพระประวัติของสมเด็จเจ้าฟ้าชายกลางพระโอรสของพระองค์ต่อไป




....................................................................................................................................................

(๑) พระนามเหล่านี้สมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน เป็นผู้ตั้งถวาย

(๒) พ.ศ. ๒๓๔๖

(๓) พ.ศ. ๒๓๕๑

(๔) นามเดิมชื่อ รอด ต้นสกลุ บุณยรัตพันธุ์

(๕) บางฉบับว่า เมืองน่าน

(๖) วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๓๘๑

(๗) วันพุธที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๓๘๒

(๘) เจ้าฟ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม ประสูติเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๓๖๓

....................................................................................................................................................

เพชรพระมหามงกุฏ - เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี



Create Date : 15 มีนาคม 2550
Last Update : 31 มีนาคม 2550 15:47:59 น. 0 comments
Counter : 2924 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กัมม์
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
[Add กัมม์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com