กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
คำให้การเฒ่าสา เรื่องหนังราชสีห์


พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ประทับนั่งในเครื่องทรงพระมหากษัตริย์ บนพระที่นั่งกง
ประทับนั่งผินพระพักตร์ทอดพระเนตร ออกไปทางปากอ่าวไทย จ. สมุทรปราการ



คัดจากประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗
(คำนำในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)


(๒) คำให้การเฒ่าสา เรื่องหนังราชสีห์นั้น คือเมื่อปีระกา จุลศักราช ๑๑๗๕ พ.ศ. ๒๓๕๖ ในรัชกาลที่ ๒ หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์กับนายฤทธิณรงค์ กราบทูลว่าหญิงม่ายคนหนึ่งชื่อเฒ่าสาอยู่ที่ริมวัดปากน้ำในคลองบางหลวง มีหนังประหลาดผืนหนึ่ง ว่าเป็นหนังราชสีห์ของพระเจ้าเอกทัศ พระที่นั่งสุริยามรินทร์ นายอูสามีของเฒ่าสาได้มาเมื่อกรุงเก่าเสียแก่พม่าข้าศึก จึงโปรดให้เรียกเฒ่าสามาถามคำให้การ คำให้การนี้เป็นแต่เรื่องแปลกประหลาด ข้าพเจ้าได้ทำคำอธิบายเฉพาะเรื่องพิมพ์ไว้ข้างท้ายคำให้การนั้นแล้ว


......................................................................................................................................................


คำให้การเฒ่าสา เรื่องหนังราชสีห์

ข้าพระพุทธเจ้า เฒ่าสา อายุได้ ๘๕ ปี ให้การว่า เดิมเมื่อครั้งพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ข้าพระพุทธเจ้าอยู่กับนายอูผัวข้าพระพุทธเจ้า ณ ป่าทองในกรุงเก่า ผัวข้าพระพุทธเจ้าเป็นขุนหมื่นอยู่ในกรมรักษาพระองค์ ครั้งพม่าล้อมเมืองเอาไฟเผาเมือง ผัวข้าพระพุทธเจ้ากับข้าพระพุทธเจ้าเข้าไปอยู่ในพระราชวัง ที่นั่งสุริยามรินทร์กับพระเจ้าลูกเธอเจ้าชาย ๓ เจ้าหญิง ๑ สี่พระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าจำพระนามหาได้ไม่ เสด็จออกมา ข้าพระพุทธเจ้ากับผัวข้าพระพุทธเจ้าก็ตามเสด็จออกมาด้วย

ครั้นถึงประตูดิน ผัวข้าพระพุทธเจ้าจึงส่งหนังอันนี้ให้ข้าพระพุทธเจ้า เห็นกระดาษห่ออยู่ข้างนอกหลายชั้น ผัวข้าพระพุทธเจ้าบอกข้าพระพุทธเจ้าว่า เมื่อเสด็จพระดำเนินออกจากปราสาทนั้น ที่นั่งสุริยามรินทร์ส่งหนังอันนี้ให้ แล้วตรัสว่า หนังราชสีห์นี้เก็บไว้ให้ดีอย่าให้พม่าเอาไปได้ ข้าพระพุทธเจ้าก็รับหนังราชสีห์อันนี้ห่อผ้าซ่อนไว้กับตัวข้าพระพุทธเจ้า ผัวข้าพระพุทธเจ้าจึงเอาบาตรเหล็กซึ่งใส่เครื่องทรงไปซ่อนไว้ในกอไผ่หลังวัดหน้าพระเมรุ ผัวข้าพระพุทธเจ้าก็กลับมาถึงข้าพระพุทธเจ้า พออ้ายพม่าจับเอาที่นั่งสุริยามรินทร์ไป จึงตรัสเรียกผัวข้าพระพุทธเจ้าไปด้วย ข้าพระพุทธเจ้ากับพี่น้องข้าพระพุทธเจ้า ๕ คน หนีเข้าซ่อนอยู่ในโบสถ์วัดขุนเมืองใจ ประมาณ ๙ วัน ๑๐ วัน

ครั้นเพลาค่ำพี่น้องข้าพระพุทธเจ้าเอาเรือมารับที่ประตูดิน ข้าพระพุทธเจ้าก็พากันลงเรือหนี ลงมาอยู่กับเฒ่าอิน ณ วัดปากน้ำบางหลวง ข้าพระพุทธเจ้าจึงแก้กระดาษดู เห็นสักหลาดห่อหนังราชสีห์ ข้าพระพุทธเจ้าก็คลี่ดู เห็นแล้วข้าพระพุทธเจ้าก็ห่อเข้าไว้ดังเก่า ข้าพระพุทธเจ้าอยู่ประมาณปี ๑ พอผัวข้าพระพุทธเจ้าตามมาพบข้าพเจ้าที่วัดปากน้ำ ผัวข้าพระพุทธเจ้าถามข้าพระพุทธเจ้าว่า หนังราชสีห์ซึ่งให้ไว้ยังดีอยู่หรือ ข้าพระพุทธเจ้าบอกว่าอยู่ดีอยู่ดอก

อยู่ประมาณ ๓ ปี ๔ ปี ผัวข้าพระพุทธเจ้าศรัทธา บวชเป็นภิกษุอยู่ ณ วัดปากน้ำพอถึงแก่กรรมตาย อยู่ประมาณ ๑๑ ปี ๑๒ ปี ฝนตกรั่วถูกหีบที่ใส่ของไว้ ข้าพระพุทธเจ้าระลึกขึ้นได้จึงเปิดหีบดูของ แล้วข้าพระพุทธเจ้าจึงเอาหนังอันนี้ออกตากแดด พอสมีม่วงเดินลงมาเห็นหนังข้าพระพุทธเจ้าตากอยู่ ถามข้าพระพุทธเจ้าว่าหนังอะไรตากแดดอยู่นั้น พระพุทธเจ้าบอกว่าหนังราชสีห์ สมีม่วงจึงว่าดีแล้วข้าจะช่วยเก็บไว้ให้ แล้วข้าจะเลี้ยงยายให้ทานกินไปกว่าจะตาย ข้าพระพุทธเจ้าก็เอาหนังราชสีห์อันนี้ส่งให้แก่สมีม่วง สมีม่วงก็รับเอาไว้ประมาณ ๙ วัน ๑๐ วัน สมีม่วงหาให้ทานข้าวปลาข้าพระพุทธเจ้ากินไม่ ข้าพระพุทธเจ้าโกรธ ข้าพระพุทธเจ้าจึงทวงเอาหนังราชสีห์ของข้าพระพุทธเจ้า ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง สมีม่วงก็หาให้ข้าพุทธเจ้าไม่ ข้าพระพุทธเจ้าจึงไปต่อว่าสมีม่วง สมีม่วงก็ให้หนังอันนี้มาแก่นายสัง นายสังจึงเอามาให้ข้าพระพุทธเจ้า

ณ วัน ๖ เดือน ๘ แรม ๕ ค่ำ ปีระกาเบญจศก จุลศักราช ๑๑๗๕ (ในรัชกาลที่ ๒) เฒ่าสา เฒ่าอีน เอาหนังมา ณ เรือนนายฤทธิรณรงค์ หาพบตัวนายฤทธิไม่ มาเข้าเวรอยู่ในพระราชวัง พบแต่บิดานายฤทธิ บิดานายฤทธิจึงว่าหนังอันนี้เห็นประหลาดเกลือกจะเป็นของต้องพระราชประสงค์ เพลาเช้านายฤทธิจึงจะลงไปเอาหนังอันนี้ ขึ้นมาทูลเกล้าฯถวาย เฒ่าสา เฒ่าอีนก็พาเอาหนังอันนี้กลับไปให้พระสมุห์ดู นายสังจึงมาบอกแก่หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ก็ข้ามไปดูหนังอันนี้ เห็นประหลาดอยู่ให้งดไว้ก่อน เพลาเช้าพบนายฤทธิพร้อมกันที่วัดปากน้ำ จึงจะนำตัวข้าพระพุทธเจ้ากับหนังขึ้นทูลเกล้าฯถวาย ครั้นรุ่งเช้านายฤทธิรณรงค์กับหลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ไปหาข้าพระพุทธเจ้าเอาหนังกับตัวข้าพระพุทธเจ้าขึ้นทูลเกล้าฯถวาย เป็นความ(สัตย์จริงของ)ข้าพระพุทธเจ้าเท่านี้ ขอเดชะฯ


......................................................................................................................................................


อธิบายเรื่องหนังราชสีห์
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ


หนังที่กล่าวในคำให้การนี้ ไม่ปรากฏว่าแล้วไปอยู่ที่ไหนต่อมา แต่ไม่ได้ใช้ในราชการ จึงเข้าใจว่าเมื่อถามคำให้การแล้ว จะไม่ทรงเชื่อถือว่าเป็นหนังราชสีห์ และไม่เชื่อคำให้การของเฒ่าสาว่าเป็นความจริงด้วย เพราะที่เรียกว่าราชสีห์นั้น แต่ก่อนมาถือกันว่ารูปร่างอย่างที่เขียนกันไว้แต่โบราณ เช่นเขียนในดวงตราพระราชสีห์เป็นต้น เห็นเป็นของไม่มีจริง หรือที่ยอมรับว่ามี คนก็เชื่อว่ามีในป่าพระหิมพานต์ อันมนุษย์จะพบเห็นได้ด้วยยาก มีเรื่องราวหนังสือพงศาวดารเหนือ ว่าขุนสิงหฬสาครไปได้หนังราชสีห์มาครั้งหนึ่ง ก็เป็นเรื่องพิลึกกึกกือน่ากลัวอันตรายมาก พ้นวิสัยที่ใครจะไปทำอย่างขุนสิงหฬสาครได้อีก คติความคิดที่มาถืออย่างประเทศอื่นว่า ไลออนหรือสิงโต นี้เองคือราชสีห์ฉะนี้ พึ่งมาปรากฏต่อเมื่อในรัชกาลที่ ๔

แต่มีความประหลาดอยู่ในเรื่องพระราชพงศาวดารว่า เมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ที่เรียกว่าพระที่นั่งสุริยามรินทร์นั้น แขกหรือฝรั่ง ชือ อะลังกะปูนี ได้เอาสิงโตเข้ามาถวาย ถ้าหากเกิดความเชื่อถือในครั้งนั้นว่าสิงโต หรือ ไลออน เป็นอย่างเดียวกับราชสีห์ หนังราชสีห์ที่มีในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศก็เห็นจะเป็นหนังสิงโตตัวนั้นเอง แต่ที่เฒ่าสาว่าตัวไปได้มาอย่างไรนั้นเป็นคนละเรื่อง เหลือวินิจฉัย ฯ



Create Date : 27 เมษายน 2550
Last Update : 27 เมษายน 2550 9:32:41 น. 1 comments
Counter : 2808 Pageviews.  
 
 
 
 
ไม่เคยอ่านเลยนะเรื่องนี้ เป็นครั้งแรกที่เห็น
ว่างๆ คงต้องไปขุดหาเรื่องในประชุมพงศาวดารอ่านกันแล้ว

เฒ่าสาหญิงม่ายอยู่ริมวัดปากน้ำในคลองบางหลวง
น่าจะเป็นวัดปากน้ำภาษีเจริญ ของหลวงพ่อสด ใช่เปล่า
 
 

โดย: NickyNick วันที่: 9 สิงหาคม 2550 เวลา:15:30:39 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กัมม์
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
[Add กัมม์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com