|
*** ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ***
|
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
ทุติยวรรคที่ ๒
ชฏิลสูตรที่ ๑
[๓๕๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารบุพพาราม
ปราสาทของมิคารมารดา เขตพระนครสาวัตถี ฯ
ก็สมัยนั้น ในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่ทรงพักผ่อนแล้ว
ประทับนั่งที่ภายนอกซุ้มประตู ฯ
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๓๕๕] ก็สมัยนั้น ชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน
เอกสาฎกนิครนถ์๗ คน ปริพาชก ๗ คน ผู้มีขนรักแร้ เล็บ และขนยาว
ถือ เครื่องบริขารต่างๆ เดินผ่านไปในที่ไม่ไกล พระผู้มีพระภาค ฯ
ทันใดนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เสด็จลุกจากอาสนะทรงกระทำพระภูษา
เฉวียงพระอังสาข้างหนึ่ง ทรงจดพระชานุมณฑลเบื้องขวา ณ พื้นแผ่นดิน
ทรง ประนมอัญชลีไปทางชฎิล ๗ คนนิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน
เอกสาฏก นิครนถ์ ๗ คน ปริพาชก ๗ คน เหล่านั้นแล้ว
ทรงประกาศพระนาม ๓ ครั้งว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าคือพระราชาปเสนทิ
โกศล... ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าคือพระราชา ปเสนทิโกศล ฯ
ลำดับนั้น เมื่อชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน
เอกสาฎกนิครนถ์ ๗ คนปริพาชก ๗ คนเหล่านั้น เดินผ่านไปได้ไม่นาน
พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกนักบวชเหล่านั้น คงเป็นพระอรหันต์
หรือท่านพระอรหัตมรรคเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลก ฯ
[๓๕๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร พระองค์เป็นคฤหัสถ์
บริโภคกามครอบครองเรือน บรรทมเบียดพระโอรสและพระชายา
ทาจุรณจันทน์ อันมาแต่แคว้นกาสี ทรงมาลาของหอมและเครื่องลูบไล้
ยินดีเงินและทอง ยากที่ จะรู้เรื่องนี้ว่า คนพวกนี้เป็นพระอรหันต์
หรือคนพวกนี้บรรลุอรหัตมรรค ฯ
ดูกรมหาบพิตร ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน
ก็ศีลนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย
ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญา จึงจะรู้ได้
ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้ ฯ
ดูกรมหาบพิตร ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยการงาน
ก็ความสะอาดนั้นจะพึง รู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย
ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้ ฯ
ดูกรมหาบพิตร กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย
ก็กำลังใจนั้น จะพึงรู้ ได้ด้วยกาลนานไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย
ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้
ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้ ฯ
ดูกรมหาบพิตร ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา
ก็ปัญญานั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย
ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญา จึงจะรู้ได้
ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้ ฯ
|
Create Date : 21 เมษายน 2556 | | |
Last Update : 21 เมษายน 2556 17:54:40 น. |
Counter : 770 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
*** อนิสงส์ในการให้ทาน ๕ ประการ ***
|
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
๕. ทานานิสังสสูตร
[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์แห่งการให้ทาน ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน
คือ ผู้ให้ทาน ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของชนหมู่มาก ๑
สัปบุรุษผู้สงบ ย่อมคบหาผู้ให้ทาน ๑
กิตติศัพท์อันงามของผู้ให้ทาน ย่อมขจรทั่วไป ๑
ผู้ให้ทาน ย่อมไม่ห่างเหินจากธรรมของคฤหัสถ์ ๑
ผู้ให้ทานเมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์แห่งการให้ทาน๕ ประการนี้แล ฯ
ผู้ให้ทานย่อมเป็นที่รักของชนเป็นอันมาก
ชื่อว่าดำเนินตามธรรมของสัปบุรุษ
สัปบุรุษผู้สงบผู้สำรวมอินทรีย์ ประกอบพรหมจรรย์
ย่อมคบหาผู้ให้ทานทุกเมื่อ
สัปบุรุษเหล่านั้น ย่อมแสดงธรรมเป็นที่บรรเทาทุกข์ทั้งปวงแก่เขา
เขาได้ทราบชัดแล้ว ย่อมเป็นผู้หาอาสวะมิได้
ปรินิพพานในโลกนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๕
|
Create Date : 13 เมษายน 2556 | | |
Last Update : 13 เมษายน 2556 8:52:29 น. |
Counter : 809 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
*** เทวดาทูลถาม พระพุทธเจ้าตรัสตอบ ( 8 ) ***
|
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อนาถปิณฑิกวรรคที่ ๒
จันทิมสสูตรที่ ๑
[๒๕๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน
อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้น จันทิมสเทวบุตร เมื่อปฐมยามสิ้นไปแล้ว มีวรรณงามยิ่งนัก
ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๕๒] จันทิมสเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่าก็ชนเหล่าใด เข้าถึงฌาน
มีจิตเป็นสมาธิ มีปัญญา มีสติชนเหล่านั้น จักถึงความสวัสดี
ประดุจเนื้อในชวากเขา ไร้ริ้นยุง ฉะนั้น ฯ
[๒๕๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ก็ชนเหล่าใด เข้าถึงฌาน ไม่ประมาท ละกิเลสได้
ชนเหล่านั้น จักถึงฝั่งประดุจปลา ทำลายข่ายได้แล้ว ฉะนั้น ฯ
เวณฑุสูตรที่ ๒
[๒๕๔] เวณฑุเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กล่าว คาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่าชนเหล่าใด นั่งใกล้พระสุคต
ประกอบตนในศาสนาของพระโคดม ไม่ประมาทแล้ว ศึกษาตามอยู่
ชนเหล่านั้นถึงความสุขแล้วหนอ ฯ
[๒๕๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ชนเหล่าใด เป็นผู้เพ่งพินิจ ศึกษาตามในข้อสั่งสอน อันเรากล่าวไว้แล้ว
ชนเหล่านั้น ไม่ประมาทอยู่ในกาล ไม่พึงไปสู่อำนาจแห่งมัจจุ ฯ
นันทนสูตรที่ ๔
[๒๕๘] นันทนเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
ข้าแต่พระโคดม ผู้มีพระปัญญากว้างขวาง ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์
ถึงญาณทัสสนะ อันไม่เวียนกลับแห่งพระผู้มีพระภาค
บัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลชนิดไรว่า เป็นผู้มีศีล
เรียกบุคคลชนิดไรว่า เป็นผู้มีปัญญา
บุคคลชนิดไรล่วงทุกข์อยู่ได้ เทวดาทั้งหลาย บูชาบุคคลชนิดไร ฯ
[๒๕๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุคคลใด มีศีล มีปัญญา มีตนอบรมแล้ว มีจิตตั้งมั่นยินดีในฌาน
มีสติ เขาปราศจากความโศกทั้งหมด ละได้ขาดมีอาสวะสิ้นแล้ว
ทรงไว้ซึ่งร่างกายมีในที่สุด บัณฑิตทั้งหลายเรียกบุคคลชนิดนั้นว่า เป็นผู้มีศีล
เรียกบุคคลชนิดนั้นว่าเป็นผู้มีปัญญา บุคคลชนิดนั้นล่วงทุกข์อยู่ได้
เทวดาทั้งหลายบูชาบุคคลชนิดนั้น ฯ
จันทนสูตรที่ ๕
[๒๖๐] จันทนเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
บุคคลผู้ไม่เกียจคร้านทั้งกลางคืนและกลางวัน จะข้ามโอฆะได้อย่างไร
สิใครจะไม่จมในห้วงน้ำลึก อันไม่มีที่พึ่งพิงไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ฯ
[๒๖๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ในกาลทุกเมื่อ มีปัญญา มีใจตั้งมั่นดีแล้ว
ปรารภความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ย่อมข้ามโอฆะที่ข้ามได้ยาก
เข้าเว้นขาดแล้วจากกามสัญญา ล่วงรูปสัญโญชน์ได้
มีภพเป็นที่เพลิดเพลินสิ้นไปแล้ว ย่อมไม่จมในห้วงน้ำลึก ฯ
วาสุทัตตสูตรที่ ๖
[๒๖๒] วาสุทัตตเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้ กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ภิกษุพึงมีสติเพื่อละกามราคะ งดเว้นเสีย ประดุจบุคคลถูกแทงด้วยหอก
ประดุจบุคคลถูกไฟไหม้ศีรษะอยู่ ฯ
[๒๖๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ภิกษุพึงมีสติเพื่อการละสักกายทิฏฐิ งดเว้นเสีย ประดุจบุคคลถูกแทงด้วยหอก
ประดุจบุคคลถูกไฟไหม้ศีรษะอยู่ ฯ
สุพรหมสูตรที่ ๗
[๒๖๔] สุพรหมเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ใจนี้หวาดเสียวอยู่เป็นนิตย์
ถ้าเมื่อกิจทั้งหลายยังไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วก็ตาม
ถ้าความไม่สะดุ้งกลัวมีอยู่ ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว
ขอจงตรัสบอกข้อนั้นแก่ข้าพระองค์ ฯ
[๒๖๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
นอกจากปัญญาและความเพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์
นอกจากความสละวางโดยประการทั้งปวง
เรายังไม่เห็นความสวัสดีแห่งสัตว์ทั้งหลาย ฯ
สุพรหมเทวบุตรได้กล่าวดังนี้แล้ว ฯลฯ ก็อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
กกุธสูตรที่ ๘
[๒๖๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระอัญชนวัน
สถานพระราทานอภัยแก่เนื้อเขตเมืองสาเกต
ครั้งนั้น กกุธเทวบุตร เมื่อราตรีปฐมยามสิ้นไปแล้ว มีวรรณงามยิ่งนัก
ยังอัญชนวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๖๗] กกุธเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระสมณะ พระองค์ทรงยินดีอยู่หรือ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรผู้มีอายุ เราได้อะไรจึงจะยินดี ฯ
กกุธเทวบุตรกราบทูลว่า
ข้าแต่พระสมณะถ้าอย่างนั้นพระองค์ทรงเศร้าโศกอยู่หรือ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรผู้มีอายุ เราเสื่อมอะไรจึงจะเศร้าโศก ฯ
กกุธเทวบุตรกราบทูลว่า
ข้าแต่พระสมณะ ถ้าอย่างนั้นพระองค์ไม่ทรงยินดีเลย
ไม่ทรงเศร้าโศกเลยหรือ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นเช่นนั้นผู้มีอายุ ฯ
[๒๖๘] กกุธเทวบุตร กราบทูลว่า
ข้าแต่ภิกษุ พระองค์ไม่มีทุกข์บ้างหรือ ความเพลิดเพลินไม่มีบ้างหรือ
ความเบื่อหน่ายไม่ครอบงำพระองค์ผู้ประทับนั่งแต่พระองค์เดียวบ้างหรือ ฯ
[๒๖๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรท่านผู้อันคนบูชา เราไม่มีทุกข์เลย และความเพลิดเพลินก็ไม่มี
อนึ่ง ความเบื่อหน่าย ก็ไม่ครอบงำเราผู้นั่งแต่ผู้เดียว ฯ
[๒๗๐] กกุธเทวบุตรกราบทูลว่า
ข้าแต่ภิกษุ ทำไมพระองค์จึงไม่มีทุกข์ ทำไมความเพลิดเพลินจึงไม่มี
ทำไมความเบื่อหน่าย จึงไม่ครอบงำพระองค์ผู้นั่งแต่ผู้เดียว ฯ
[๒๗๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ผู้มีทุกข์นั่นแหละ จึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละจึงมีทุกข์
ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลินไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ผู้มีอายุ ฯ
[๒๗๒] กกุธเทวบุตรกราบทูลว่า
นานหนอ ข้าพระองค์จึงพบเห็นภิกษุ ผู้เป็นพราหมณ์ดับรอบแล้ว
ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์ ข้ามพ้นเครื่องข้องในโลกแล้ว ฯ
อนาถปิณฑิกสูตรที่ ๑๐
[๒๗๕] อนาถบิณฑิกเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้ว ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ก็พระเชตวันนี้นั้น อันหมู่แห่งท่านผู้แสวงคุณพำนักอยู่
พระธรรมราชาก็ประทับอยู่แล้ว เป็นที่ให้เกิดปีติแก่ข้าพระองค์ ฯ
สัตว์ทั้งหลาย ย่อมบริสุทธิ์ด้วยส่วน ๕ นี้ คือ กรรม วิชชา ธรรมศีล
และชีวิตอันอุดม หาใช่บริสุทธิ์ด้วยโคตรหรือทรัพย์ไม่ ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตน
พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคายอย่างนี้ จึงจะบริสุทธิ์ในธรรมนั้น
พระสารีบุตรรูปเดียวเท่านั้น เป็นผู้ประเสริฐด้วยปัญญา ศีล และธรรม
เครื่องสงบระงับ ภิกษุใดเป็นผู้ถึงซึ่งฝั่ง
ภิกษุนั้นก็มีท่านพระสารีบุตรนั้นเป็นอย่างเยี่ยม ฯ
อนาถบิณฑิกเทวบุตร ครั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ทำประทักษิณแล้วอันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
[๒๗๖] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค เมื่อล่วงราตรีนั้นแล้ว
จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อคืนนี้เทวบุตรองค์หนึ่ง เมื่อราตรี ปฐมยามสิ้นไปแล้ว มีวรรณงามยิ่งนัก
ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ก็อภิวาทเราแล้ว
ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เทวบุตรนั้น ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่แล้ว
ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ในสำนัก เราว่าก็พระเชตวันนี้นั้น
อันหมู่แห่งท่านผู้แสวงคุณพำนักอยู่พระธรรมราชาก็ประทับอยู่แล้ว
เป็นที่ให้เกิดปีติแก่ข้าพระองค์ ฯ
สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยส่วน ๕ นี้ คือ กรรม วิชชา ธรรม ศีล
และชีวิตอันอุดม หาใช่บริสุทธิ์ด้วยโคตรหรือทรัพย์ไม่ ฯเพราะเหตุนั้นแหละ
บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตน
พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคายอย่างนี้ จึงจะบริสุทธิ์ในธรรมนั้น
พระสารีบุตรรูปเดียวเท่านั้น เป็นผู้ประเสริฐ ด้วยปัญญา ศีล และธรรม
เครื่องสงบระงับ ภิกษุใดเป็นผู้ถึงซึ่งฝั่ง
ภิกษุนั้นก็มีท่านพระสารีบุตรนั้นเป็นอย่างเยี่ยม ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวบุตรนั้นครั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว
ก็อภิวาทเรา ทำประทักษิณแล้ว อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
[๒๗๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็เทวบุตรนั้นเห็นจะเป็นอนาถบิณฑิกเทวบุตรแน่
อนาถบิณฑิกคฤหบดีได้เลื่อมใสยิ่งนักในท่านพระสารีบุตร ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถูกละๆ ดูกรอานนท์
ข้อที่จะพึง ถึงด้วยการนึกคิดมีประมาณเพียงใดนั้น
เธอถึงแล้ว ดูกรอานนท์ ก็เทวบุตรนั้น คือ อนาถบิณฑิกเทวบุตร ฯ
จบ อนาถบิณฑิกวรรคที่ ๒ ___________________________________
|
Create Date : 12 เมษายน 2556 | | |
Last Update : 12 เมษายน 2556 11:16:03 น. |
Counter : 722 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
*** เทวดาทูลถาม พระพุทธเจ้าตรัสตอบ ( 7 ) ***
|
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อิสสรสูตรที่ ๗
[๒๑๑] เทวดาทูลถามว่า
อะไรหนอเป็นใหญ่ในโลก อะไรหนอเป็นสูงสุดแห่งภัณฑะทั้งหลาย
อะไรหนอเป็นดังสนิมศัสตราในโลก อะไรหนอเป็นเสนียดในโลก
ใครหนอนำของไปอยู่ย่อมถูกห้าม แต่ใครนำไปกลับเป็นที่รัก
ใครหนอมาหาบ่อยๆ บัณฑิตย่อมยินดีต้อนรับ ฯ
[๒๑๒] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
อำนาจเป็นใหญ่ในโลก หญิงเป็นสูงสุดแห่งภัณฑะทั้งหลาย
ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก พวกโจรเป็นเสนียดในโลก
โจรนำของไปอยู่ย่อมถูกห้าม แต่สมณะนำไปกลับเป็นที่รัก
สมณะมาหาบ่อยๆบัณฑิตย่อมยินดีต้อนรับ ฯ
กามสูตรที่ ๘
[๒๑๓] เทวดาทูลถามว่า
กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ไม่ควรให้สิ่งอะไร คนไม่ควรสละอะไร
อะไรหนอที่เป็นส่วนดีงามควรปล่อย แต่ที่เป็นส่วนลามกไม่ควรปล่อย ฯ
[๒๑๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุรุษไม่พึงให้ซึ่งตน ไม่พึงสละซึ่งตน
วาจาที่ดีควรปล่อย
แต่วาจาที่ลามกไม่ควรปล่อย
ปาเถยยสูตรที่ ๙
[๒๑๕] เทวดาทูลถามว่า
อะไรหนอย่อมรวบรวมไว้ซึ่งเสบียง
อะไรหนอเป็นที่มานอนแห่งโภคทรัพย์ทั้งหลาย
อะไรหนอย่อมเสือกไสนรชนไป อะไรหนอละได้ยากในโลก
สัตว์เป็นอันมากติดอยู่ในอะไรเหมือนนกติดบ่วง ฯ
[๒๑๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ศรัทธาย่อมรวบรวมไว้ซึ่งเสบียง ศิริ (คือมิ่งขวัญ)
เป็นที่มานอนแห่งโภคทรัพย์ทั้งหลาย
ความอยากย่อมเสือกไสนรชนไป ความอยากละได้ยากในโลก
สัตว์เป็นอันมากติดอยู่ในความอยาก เหมือนนกติดบ่วง ฯ
ปัชโชตสูตรที่ ๑๐
[๒๑๗] เทวดาทูลถามว่า
อะไรเป็นแสงสว่างในโลก อะไรหนอเป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก
อะไรหนอเป็นสหายในการงานของผู้เป็นอยู่ด้วยการงาน
อะไรหนอเป็นเครื่องสืบต่อชีวิตของเขา
อะไรหนอบุคคลผู้เกียจคร้านบ้าง ไม่เกียจคร้านบ้าง
ย่อมพนอเลี้ยงดุจมารดาเลี้ยงดูบุตร
เหล่าสัตว์มีชีวิตที่อาศัยแผ่นดินอาศัยอะไรหนอเลี้ยงชีวิต ฯ
[๒๑๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก สติเป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก
ฝูงโคเป็นสหายในการงานของผู้เป็นอยู่ด้วยการงาน
ไถเป็นเครื่องต่อชีวิตของเขา
ฝนย่อมเลี้ยงบุคคลผู้เกียจคร้านบ้างไม่เกียจคร้านบ้าง
เหมือนมารดาเลี้ยงบุตร เหล่าสัตว์มีชีวิตที่อาศัยแผ่นดิน
อาศัยฝนเลี้ยงชีวิต ฯ
อรณสูตรที่ ๑๑
[๒๑๙] เทวดาทูลถามว่า
คนพวกไหนหนอไม่เป็นข้าศึกในโลกนี้
พรหมจรรย์ที่อยู่จบแล้วของชนพวกไหน ย่อมไม่เสื่อม
คนพวกไหนกำหนดรู้ความอยากได้ในโลกนี้
ความเป็นไทยมีแก่คนพวกไหนทุกเมื่อ
มารดาบิดาหรือพี่น้องย่อมไหว้บุคคลนั้น
ผู้ตั้งมั่นในศีลคือ ใครหนอ
พวกกษัตริย์ย่อมอภิวาทใครหนอในธรรมวินัยนี้ ผู้มีชาติต่ำ ฯ
[๒๒๐] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
สมณะทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ไม่เป็นข้าศึกในโลก
พรหมจรรย์ที่อยู่จบแล้วของสมณะทั้งหลายย่อมไม่เสื่อม
สมณะทั้งหลายย่อมกำหนดรู้ความอยากได้
ความเป็นไทยย่อมมีแก่สมณะทั้งหลายทุกเมื่อ
มารดาบิดาหรือพี่น้องย่อมไหว้บุคคลนั้น ผู้ตั้งมั่น (ในศีล) คือสมณะ
ถึงพวกกษัตริย์ก็อภิวาทสมณะในธรรมวินัยนี้ ผู้มีชาติต่ำ ฯ
จบ ฆัตวาวรรค ที่ ๘ _________________________
ทามลิสูตรที่ ๕
[๒๒๙] ... อารามแห่งอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้ง นั้น ทามลิเทวบุตรเมื่อราตรีปฐมยามสิ้นไปแล้ว มีวรรณงามยิ่งนัก
ยังพระวิหาร เชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๓๐] ทามลิเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้ภาษิตคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
พราหมณ์ผู้ไม่เกียจคร้าน พึงทำความเพียรนี้ เขาไม่ปรารถนาภพ
ด้วยเหตุนั้น เพราะละกามได้ขาดแล้ว ฯ
[๒๓๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ทามลิ กิจไม่มีแก่พราหมณ์ เพราะว่า พราหมณ์ทำกิจเสร็จแล้ว
บุคคลยังไม่ได้ท่าจอดในแม่น้ำทั้งหลาย เพียงใด เขาเป็นสัตว์เกิด
ต้องพยายาม ด้วยตัวทุกอย่าง เพียงนั้น
ก็ผู้นั้นได้ท่าเป็นที่จอดแล้ว ยืนอยู่บนบก ไม่ต้องพยายาม
เพราะว่า เขาเป็นผู้ถึงฝั่งแล้ว ฯ
ดูกรทามลิเทวบุตร นี้เป็นข้ออุปมาแห่งพราหมณ์
ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว มีปัญญาเพ่งพินิจ ฯ
พราหมณ์นั้น ถึงที่สุดแห่งชาติและมรณะแล้ว ไม่ต้องพยายาม
เพราะเป็นผู้ถึงฝั่งแล้ว ฯ
กามทสูตรที่ ๖
[๒๓๒] กามทเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
สมณธรรมทำได้โดยยาก ข้าแต่ พระผู้มีพระภาค
สมณธรรมทำได้โดยยากยิ่ง ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ชนทั้งหลาย ผู้ตั้งมั่นแล้วด้วยศีลแห่งพระเสขะมีตนตั้งมั่นแล้ว
ย่อมกระทำ แม้ซึ่งสมณธรรมอันบุคคลทำได้โดยยากความยินดี
ย่อมนำสุขมาให้แก่บุคคลผู้เข้าถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ไม่มีเรือน ฯ
[๒๓๓] กามทเทวบุตรกราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อที่หาได้ยากนี้ คือความสันโดษ ยินดี ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ชนเหล่าใด ยินดีแล้วในความสงบแห่งจิต
ชนเหล่าใด มีใจยินดีแล้วในความอบรมจิต ทั้งกลางวันและกลางคืน
ชนเหล่านั้น ย่อมได้แม้ซึ่งสิ่งที่ได้โดยยาก ฯ
[๒๓๔] กามทเทวบุตรกราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ธรรมชาติที่ ตั้งมั่นได้ยากนี้คือจิต ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ชนเหล่าใด ยินดีแล้วในความสงบอินทรีย์
ชนเหล่านั้น ย่อมตั้งมั่นซึ่งจิตที่ตั้งมั่นได้ยาก
ดูกรกามทเทวบุตร อริยะทั้งหลายเหล่านั้นตัดข่ายแห่งมัจจุไปได้ ฯ
[๒๓๕] กามทเทวบุตรกราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ทางที่ไปได้ยาก คือ ทางที่ไม่เสมอ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรกามทเทวบุตร อริยะทั้งหลาย ย่อมไปได้ แม้ในทางที่ไม่เสมอ
ที่ไปได้ยากผู้มิใช่อริยะ ย่อมเป็นผู้บ่ายศีรษะลงเบื้องต่ำ
ตกไปในทางอันไม่เสมอทางนั้นสม่ำเสมอสำหรับอริยะทั้งหลาย
เพราะอริยะทั้งหลาย เป็นผู้สม่ำเสมอ ในทางอันไม่เสมอ ฯ
ปัญจาลจัณฑสูตรที่ ๗
[๒๓๖] ปัญจาลจัณฑเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วได้ภาษิตคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
บุคคลผู้มีปัญญามาก ได้ประสบโอกาส ในที่คับแคบหนอ
ผู้ใดได้รู้ฌานเป็นผู้ตื่น ผู้นั้นเป็นผู้หลีกออกได้อย่างองอาจเป็นมุนี ฯ
[๒๓๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ชนเหล่าใด แม้อยู่ในที่คับแคบ แต่ได้เฉพาะแล้วซึ่งสติ
เพื่อการบรรลุธรรม คือพระนิพพาน ชนเหล่านั้น ตั้งมั่นดีแล้ว โดยชอบ ฯ
ตายนสูตรที่ ๘
[๒๓๘] ครั้งนั้น ตายนเทวบุตรผู้เป็นเจ้าลัทธิมาแต่ก่อน
เมื่อราตรีปฐมยามสิ้นไปแล้ว มีวรรณอันงามยิ่งนัก
ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๓๙] ตายนเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วได้ภาษิตคาถา เหล่านี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ท่านจงพยายามตัดกระแสตัณหา จงบรรเทากามเสียเถิดพราหมณ์ ฯ
มุนีไม่ละกาม ย่อมไม่เข้าถึงความที่จิตแน่วแน่ได้ ฯ
ถ้าบุคคลจะพึงทำความเพียร พึงทำความเพียรนั้นจริงๆ
พึงบากบั่นทำความเพียรนั้นให้มั่น
เพราะว่าการบรรพชาที่ปฏิบัติย่อหย่อน ยิ่งเรี่ยรายโทษดุจธุลี ฯ
ความชั่วไม่ทำเสียเลยประเสริฐกว่า ความชั่วย่อมเผาผลาญในภายหลัง ฯ
ก็กรรมใดทำแล้ว ไม่เดือดร้อนในภายหลัง
กรรมนั้นเป็นความดี ทำแล้วประเสริฐกว่า
หญ้าคาอันบุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือนั่นเองฉันใด ฯ
ความเป็นสมณะ อันบุคคลปฏิบัติไม่ดี
ย่อมฉุดเข้าไปเพื่อ เกิดในนรกฉันนั้น ฯ
กรรมอันย่อหย่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง วัตรอันใดที่เศร้าหมอง
และพรหมจรรย์ที่น่ารังเกียจ ทั้งสามอย่างนั้น ไม่มีผลมาก ฯ
ตายนเทวบุตร ครั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ทำประทักษิณแล้วอันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ
[๒๔๐] ครั้งนั้น โดยล่วงราตรีนั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายมาว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อคืนนี้ เทวบุตรนามว่าตายนะ ผู้เป็นเจ้าลัทธิ
มาแต่ก่อน เมื่อราตรีปฐมยามสิ้นไป มีวรรณอันงามยิ่งนัก
ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้ามาหาเราถึงที่อยู่
ครั้นแล้ว ก็อภิวาทเราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ตายนเทวบุตร ยืนอยู่ ณที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้ภาษิต คาถาเหล่านี้ในสำนักของเราว่า
ท่านจงพยายามตัดกระแสตัณหา
จงบรรเทากามเสียเถิดพราหมณ์
มุนีไม่ละกาม ย่อมไม่เข้าถึงความที่จิตแน่วแน่ได้ ฯ
ถ้าบุคคลจะพึงทำความเพียร พึงทำความเพียรนั้นจริงๆ
พึงบากบั่นทำความเพียรนั้นให้มั่น
เพราะว่าการบรรพชาที่ปฏิบัติย่อหย่อน ยิ่งเรี่ยรายโทษดุจธุลี ฯ
ความชั่ว ไม่ทำเสียเลยประเสริฐกว่า ความชั่วย่อมเผาผลาญในภายหลัง ฯ
ก็กรรมใดทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง
กรรมนั้นเป็นความดี ทำแล้วประเสริฐกว่า
หญ้าคาอันบุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือนั่นเอง
ฉันใด ฯความเป็นสมณะ อันบุคคลปฏิบัติไม่ดี
ย่อมฉุดเข้าไปเพื่อเกิดในนรกฉันนั้น ฯ
กรรมอันย่อหย่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง วัตรอันใดที่เศร้าหมอง
และพรหมจรรย์ที่น่ารังเกียจ ทั้งสามอย่างนั้น ไม่มีผลมาก ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตายนเทวบุตรครั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว
ก็อภิวาทเรา ทำประทักษิณแล้วอันตรธานไปในที่นั้นเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงศึกษา จงเล่าเรียน
จงทรงจำตายนคาถาไว้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตายนคาถาประกอบ ด้วยประโยชน์
เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ฯ
|
Create Date : 11 เมษายน 2556 | | |
Last Update : 11 เมษายน 2556 10:17:28 น. |
Counter : 681 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
*** เทวดาทูลถาม พระพุทธเจ้าตรัสตอบ ( 6 ) ***
|
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อันธวรรคที่ ๗
นามสูตรที่ ๑
[๑๗๘] เทวดาทูลถามว่า
อะไรหนอครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่าสิ่งอะไรย่อมไม่มี
สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร ฯ
[๑๗๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ชื่อย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่าชื่อไม่มี
สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือชื่อ ฯ
จิตตสูตรที่ ๒
[๑๘๐] เทวดาทูลถามว่า
โลกอันอะไรย่อมนำไป อันอะไรหนอย่อมเสือกไสไป
โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร ฯ
[๑๘๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันจิตย่อมนำไป อันจิตย่อมเสือกไสไป
โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือจิต ฯ
ตัณหาสูตรที่ ๓
[๑๘๒] เทวดาทูลถามว่า
โลกอันอะไรหนอย่อมนำไป อันอะไรหนอย่อมเสือกไสไป
โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร ฯ
[๑๘๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันตัณหาย่อมนำไป อันตัณหาย่อมเสือกไสไป
โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือตัณหา ฯ
สัญโญชนสูตรที่ ๔
[๑๘๔] เทวดาทูลถามว่า
โลกมีอะไรหนอเป็นเครื่องประกอบไว้ อะไรหนอเป็นเครื่องเที่ยวไปของโลกนั้น
เพราะละขาดซึ่งธรรมอะไรจึงเรียกว่านิพพาน ฯ
[๑๘๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องประกอบไว้ วิตกเป็นเครื่องเที่ยวไปของโลกนั้น
เพราะละตัณหาเสียได้ขาด จึงเรียกว่านิพพาน ฯ
พันธนสูตรที่ ๕
[๑๘๖] เทวดาทูลถามว่า
โลกมีอะไรหนอเป็นเครื่องผูกไว้ อะไรหนอเป็นเครื่องเที่ยวไปของโลกนั้น
เพราะละเสียได้ซึ่งอะไร จึงตัดเครื่องผูกได้หมด ฯ
[๑๘๗] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกมีความเพลิดเพลินเป็นเครื่องผูกไว้ วิตกเป็นเครื่องเที่ยวไปของโลกนั้น
เพราะละตัณหาเสียได้ขาด จึงตัดเครื่องผูกได้หมด ฯ
อัพภาหตสูตรที่ ๖
[๑๘๘] เทวดาทูลถามว่า
โลกอันอะไรหนอกำจัดแล้ว อันอะไรหนอล้อมไว้แล้ว
อันลูกศรคืออะไรเสียบแล้ว อันอะไรเผาแล้วในกาลทุกเมื่อ ฯ
[๑๘๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันมฤตยูกำจัดแล้ว อันชราล้อมไว้แล้ว อันลูกศรคือ ตัณหาเสียบแล้ว
อันความอยากเผาให้ร้อนแล้วในกาลทุกเมื่อ ฯ
อุฑฑิตสูตรที่ ๗
[๑๙๐] เทวดาทูลถามว่า
โลกอันอะไรหนอดักไว้ อันอะไรหนอล้อมไว้ โลกอันอะไรหนอปิดไว้
โลกตั้งอยู่แล้วในอะไร ฯ
[๑๙๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันตัณหาดักไว้ อันชราล้อมไว้ โลกอันมฤตยูปิดไว้โลกตั้งอยู่แล้วในทุกข์ ฯ
ปิหิตสูตรที่ ๘
[๑๙๒] เทวดาทูลถามว่า
โลกอันอะไรหนอปิดไว้ โลกตั้งอยู่แล้วในอะไร โลกอันอะไรหนอดักไว้
อันอะไรหนอล้อมไว้ ฯ
[๑๙๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันมฤตยูปิดไว้ โลกตั้งอยู่แล้วในทุกข์ โลกอันตัณหาดักไว้อันชราล้อมไว้ ฯ
อิจฉาสูตรที่ ๙
[๑๙๔] เทวดาทูลถามว่า
โลกอันอะไรผูกไว้ เพราะกำจัดอะไรเสียจึงจะหลุดพ้น เพราะละอะไรได้ขาด
จึงตัดเครื่องผูกได้ทุกอย่าง ฯ
[๑๙๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันความอยากผูกไว้ เพราะกำจัดความอยากเสียได้จึงหลุดพ้น
เพราะละความอยากได้ขาด จึงตัดเครื่องผูกได้ทั้งหมด ฯ
โลกสูตรที่ ๑๐
[๑๙๖] เทวดาทูลถามว่า
เมื่ออะไรเกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมชมเชยในอะไรโลกยึดถือซึ่งอะไร
โลกย่อมเดือดร้อนเพราะอะไร ฯ
[๑๙๗] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
เมื่ออายตนะ ๖ เกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมทำความชมเชยในอายตนะ ๖
โลกยึดถืออายตนะ ๖ นั่นแหละโลกย่อมเดือดร้อนเพราะอายตนะ ๖ ฯ
จบ อันธวรรค ที่ ๗ _________________________
ฆัตวาวรรคที่ ๘
ฆัตวาสูตรที่ ๑
[๑๙๘] เทวดานั้น ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
ฆ่าอะไรหนอจึงอยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรหนอจึงไม่เศร้าโศก
ข้าแต่พระโคดมพระองค์ชอบฆ่าอะไรซึ่งเป็นธรรมอันเดียว ฯ
[๑๙๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ฆ่าความโกรธเสียได้จึงอยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธเสียจึงไม่เศร้าโศก
แน่ะเทวดา พระอริยเจ้าทั้งหลาย สรรเสริญการฆ่าความโกรธ ซึ่งมีรากเป็นพิษ
มียอดหวาน เพราะฆ่าความโกรธนั้นเสียแล้วย่อมไม่เศร้าโศก ฯ
รถสูตรที่ ๒
[๒๐๐] เทวดาทูลถามว่า
อะไรหนอเป็นสง่าของรถ อะไรหนอเป็นเครื่องปรากฏของไฟ
อะไรหนอเป็นสง่าของแว่นแคว้น อะไรหนอเป็นสง่าของสตรี ฯ
[๒๐๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ธงเป็นสง่าของรถ ควันเป็นเครื่องปรากฏของไฟ
พระราชาเป็นสง่าของแว่นแคว้น ภัศดาเป็นสง่าของสตรี ฯ
วิตตสูตรที่ ๓
[๒๐๒] เทวดาทูลถามว่า
อะไรหนอเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของคนในโลกนี้
อะไรหนอที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้
อะไรหนอเป็นรสดีกว่าบรรดารสทั้งหลาย
คนมีชีวิตเป็นอยู่อย่างไร นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่ามีชีวิตประเสริฐ ฯ
[๒๐๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของคนในโลกนี้
ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้
ความจริงเท่านั้นเป็นรสที่ดียิ่งกว่ารสทั้งหลาย
คนที่เป็นอยู่ด้วยปัญญานักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่ามีชีวิตประเสริฐ ฯ
วุฏฐิสูตรที่ ๔
[๒๐๔] เทวดาทูลถามว่า
บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น สิ่งอะไรหนอประเสริฐ บรรดาสิ่งที่ตกไป
อะไรหนอประเสริฐ บรรดาสัตว์ที่เดินด้วยเท้า
ใครเป็นผู้ประเสริฐบรรดาชนผู้แถลงคารม ใครเป็นผู้ประเสริฐ ฯ
[๒๐๕] เทวดาผู้หนึ่งแก้ว่า
บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น ข้าวกล้าเป็นประเสริฐ บรรดาสิ่งที่ตกไป
ฝนเป็นประเสริฐ บรรดาสัตว์ที่เดินด้วยเท้า เหล่าโคเป็นประเสริฐ
บรรดาชนผู้แถลงคารม บุตรเป็นประเสริฐ (เพราะไม่กล่าวร้ายให้มารดาบิดา) ฯ
[๒๐๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น ความรู้เป็นประเสริฐ
บรรดาสิ่งที่ตกไป อวิชชาเป็นประเสริฐ
บรรดาสัตว์ที่เดินด้วยเท้า พระสงฆ์เป็นประเสริฐ
บรรดาชนผู้แถลงคารม พระพุทธเจ้าเป็นประเสริฐ ฯ
ภีตสูตรที่ ๕
[๒๐๗] เทวดาทูลถามว่า
ประชุมชนเป็นอันมากในโลกนี้ กลัวอะไรหนอ มรรคาที่ดีแท้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วยเหตุมิใช่น้อย ข้าแต่พระโคดมผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน
ข้าพระองค์ขอถามถึงเหตุนั้น ว่าบุคคลตั้งอยู่ในอะไรแล้วไม่พึงกลัวปรโลก ฯ
[๒๐๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุคคลตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบ มิได้ทำบาปด้วยกาย
อยู่ครอบครองเรือนที่มีข้าวและน้ำมาก เป็นผู้มีศรัทธา
เป็นผู้อ่อนโยน มีปรกติเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทราบถ้อยคำ
ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ ชื่อว่าผู้ดำรงในธรรม ไม่ต้องกลัวปรโลก ฯ
นชีรติสูตรที่ ๖
[๒๐๙] เทวดาทูลถามว่า
อะไรหนอย่อมทรุดโทรม อะไรไม่ทรุดโทรม อะไรหนอท่านเรียกว่าทางผิด
อะไรหนอเป็นอันตรายแห่งธรรม อะไรหนอสิ้นไปตามคืนและวัน
อะไรหนอเป็นมลทินของพรหมจรรย์ อะไรไม่ใช่น้ำแต่เป็นเครื่องชำระล้าง
ในโลกมีช่องกี่ช่องที่จิตไม่ตั้งอยู่ได้ ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค
ไฉนข้าพระองค์จะรู้ความข้อนั้นได้ ฯ
[๒๑๐] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
รูปของสัตว์ทั้งหลายย่อมทรุดโทรม นามและโคตรย่อมไม่ทรุดโทรม
ราคะท่านเรียกว่าทางผิด ความโลภเป็นอันตรายของธรรม
วัยสิ้นไปตามคืนและวัน หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์
หมู่สัตว์นี้ย่อมข้องอยู่ในหญิงนี้
ตบะและพรหมจรรย์ทั้งสองนั้น มิใช่น้ำแต่เป็นเครื่องชำระล้าง
ในโลกมีช่องอยู่ ๖ ช่องที่จิตไม่ตั้งอยู่ได้ คือความเกียจคร้าน ๑
ความประมาท ๑ ความไม่หมั่น ๑ ความไม่สำรวม ๑ ความมักหลับ ๑
ความอ้างเลศไม่ทำงาน ๑
พึงเว้นช่องทั้ง ๖ เหล่านั้นเสียโดยประการทั้งปวงเถิด ฯ
|
Create Date : 09 เมษายน 2556 | | |
Last Update : 9 เมษายน 2556 9:10:39 น. |
Counter : 806 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
นามแฝง ชื่อ รักดี ชอบดอกไม้ รักหมา
ไม่รังเกียจแมว
ไม่อาลัยในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
อยู่กับปัจจุบัน
และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ไม่กังวลหรือเป็นทุกข์
กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
|
|
|
|
|
|
|