Group Blog
 
All blogs
 
*** มารู้จัก อวิชชา กันเถอะ ***





สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่าน พระสารีบุตรเถระ


ความรู้จัก อวิชชา


รู้จักอวิชชา คือ รู้จักอวิชชา ว่า


อวิชชา คือ ไม่หยั่งรู้ในทุกข์


ไม่หยั่งรู้ใน เหตุให้เกิดทุกข์

ไม่หยั่งรู้ ในความดับทุกข์

ไม่หยั่งรู้ ในทางปฏิบัติให้ถึง ความดับทุกข์


รู้จักเหตุเกิดอวิชชา ก็คือ รู้จักว่า เพราะ อาสวะเกิด

อวิชชาจึงเกิด

รู้ความดับอวิชชา ก็คือ รู้จักว่า เพราะ อสาวะดับ

อวิชชาจึงดับ

รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอวิชชา

ก็คือ รู้จักมรรคมีองค์ 8

อวิชชา นี้ พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนเอาไว้ ว่า

เป็นต้นเหตุสำคัญ แห่งกิเลสและกองทุกข์ทั้งหลาย

บรรดากิเลสที่เป็นอย่างละเอียด

อันบังเกิดนอนจมหมักหมมอยู่ในจิตสันดาน

ดองจิตสันดาน ซึ่งเรียกว่า อาสวะ หรืออนุสัย

ก็มี อวิชชาเป็นข้อสำคัญ

พระสารีบุตรได้นำมาอธิบาย

คือ ความไม่หยั่งรู้ ในอริยสัจทั้ง 4

คือไม่รู้ว่า สภาพที่จริงเป็นทุกข์ ตั้งต้นตั้งแต่

ชาติ ความเกิด ความชรา ความแก่ มรณะ ความตาย

เป็นทุกข์ ขันธ์ 5 ที่ยึดถือทั้งหลาย เป็นทุกข์


และได้แสดง อวิชชา 8 อันได้แก่

ไม่รู้จักเงื่อนต้น

ไม่รู้จักเงื่อนปลาย

ไม่รู้จักทั้ง เงื่อนต้น ทั้งเงื่อนปลาย

ไม่รู้จัก ปฏิจจสมุปบาท คือธรรมะที่อาศัยกันเกิดขึ้น


หรืออีกทางแสดงอันหนึ่ง ได้แก่


ไม่รู้จัก อดีต

ไม่รู้จักอนาคต

ไม่รู้จักทั้งอดีตทั้งอนาคต

ไม่รู้จัก ปฏิจจสมุปบาท คือธรรมะที่อาศัยกันเกิดขึ้น

อวิชชา แปลว่า ความไม่รู้


คือความไม่รู้ในสัจจะ คือความจริงของแท้

เมื่อได้รู้สัจจะคือความจริงของแท้ ก็เรียกว่า มีวิชชา

ตัณหาอุปาทาน เป็นเงื่อนต้นของทุกข์

เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น ก็จับความทุกข์นี้เป็นเงื่อนปลาย

คือเป็นตัวผล

จึงต้องจับว่า อะไรเป็นเหตุ

ตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก

และความยึดว่าเป็นตัวเราของเราอันเรียกว่าอุปาทาน

หากว่าจิตใจนี้ไม่มีความอยากความยึด

ทุกข์ก็ย่อมจะไม่เกิด

เพราะฉะนั้น ก็ต้องหัดจับเงื่อนต้นเงื่อนปลาย

คือเมื่อเรื่องที่กำลังประสบอยู่เป็นตัวทุกข์

ก็ต้องจับให้ถูกว่า ทุกข์เป็นเงื่อนปลาย

เงื่อนต้นคือตัณหาอุปาทานในจิตใจ


ไม่รู้จักอดีต

คือ ไม่รู้จักสาวไปข้างหลัง เมื่อได้รับผลในปัจจุบัน

หรือที่เรียกว่า เงื่อนต้น

ไม่รู้จักอนาคต คือไม่รู้จักเงื่อนปลาย

เงื่อนคือ เชือกเส้นยาวๆ เมื่อผูกตรงไหน

ก็เป็นเงื่อน ตรงนั้น เป็นปมเป็นจุดให้สังเกตเห็น

เมื่อมีเรื่องอะไรยังคลุมเคลืออยู่ จึงต้องค้นหา

ในเมื่อเห็นเค้าเงื่อนจึงจะบอกได้

อย่างไม้ท่อนหนึ่ง ก็ต้องมี ท่อนหนึ่ง ก็ต้องมีปลายหนึ่ง

คือมีที่สุดข้างต้นและที่สุดข้างปลาย


ในการปฏิบัติสมาธิ ก็มักจะทำกันไม่ได้ รวมใจไม่อยู่

เพราะว่าจิตใจนั้นจะแล่นไปตามอารมณ์ใคร่ที่ปรารถนา

ให้มารวมกันที่ หายใจเข้า ก็รู้

หายใจออก ก็รู้

ใจก็มักจะไม่อยู่ ใจก็มักจะไม่อยู่

เพราะเหตุว่านิวรณ์ คือ กามฉันท์บ้าง

พยาบาทบ้าง ความง่วงงุน เคลิบเคลิมบ้าง

ความฟุ้งซ่านรำคาญใจบ้าง

ความเคลือบแคลงสงสัยบ้าง

เพราะว่าจิตใจอยู่กับกิเลสมานาน

เปรียบได้เหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ

การจะดึงใจขึ้นมาจากอารมณ์และกิเลส

มาสู่สมาธิ จิตใจจึงไม่เป็นสุข

เมื่อจิตใจไม่เป็นสุข การทำสมาธิก็ได้ไม่นาน

ได้ประเดี๋ยวประด๋าว 5- 10 นาที

ไม่เหมือนดูหนังดูละคร เป็นชั่วโมง ชั่วโมง

ฉะนั้น ต้องรู้ว่า สมาธิ นี่แหละคือเงื่อนต้น

เป็นที่สุดเบื้องต้นของความดับทุกข์

ต้องพยายามทำบ่อยๆ


จนจิตใจเอาชนะ นิวรณ์ได้ นิวรณ์สงบลงไปได้

ต่อมาพิจารณาให้รู้จักว่า

ตัวปัญญาวิปัสสนาเป็นเงื่อนต้นของความดับทุกข์จริงๆ

แต่ใจที่ไม่ยอมนี้ ก็เพราะว่าใจยังมีตัณหาอยู่

มีราคะ มีความติดใจยินดี

มีนันทิ คือความเพลิดเพลินในนามรูป

ยังมีความอยากความยึดว่าตัวเราของเราอยู่

ต่อเมื่อไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อตัณหาอุปาทานในใจของตน

หมั่นพิจารณาบ่อยๆ

ในเมื่อ ความไม่เที่ยง

ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา ปรากฏขึ้น

ตัณหาอุปาทานที่เคยยึด ความอยากยึดอยู่นั้น

จะค่อยๆลดลง ลดลง

ปัญญา คือความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเห็นชัดขึ้น

ว่าเป็น อนิจจะ ไม่เที่ยง ทุกขะ เป็นทุกข์

ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงจริง

เป็นอนัตตา บังคับมิได้ มิใช่ตัวเรา ของเรา

เมื่อเป็นดั่งนี้ ก็จะพบกับความดับทุกข์

คือ ปล่อยวางไปโดยลำดับ


ไม่รู้จักธรรมะที่อาศัยกันเกิดขึ้น


คือไม่รู้จัก ปฏิจจสมุปบาท คือธรรมะที่อาศัยกันเกิด


คือ ไม่รู้จัก ชาติความเกิด มีเพราะอะไร

มีชาติเพราะภพคือความเป็น

ไม่รู้จักภพ มีเพราะอะไร

มีภพเพราะอุปาทาน คือ ความยึดถือ

ไม่รู้จักอุปาทาน มีเพราะอะไร


มีอุปาทานเพราะตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก


ไม่รู้จักตัณหา มีเพราะอะไร


มีตัณหาเพราะเวทนา คือความยินดี ยินร้าย

ไม่รู้จักเวทนา มีเพราะอะไร


มีเวทนาเพราะมีผัสสะคือการกระทบ


ไม่รู้จักผัสสะ มีเพราะอะไร

มีผัสสะเพราะมีอายตนะทั้ง 6

ไม่รู้จักอายตนะ6 มีเพราะอะไร


มีอายตนะ 6 เพราะมีนามรูป

ไม่รู้จักนามรูป มีเพราะอะไร

มีนามรูปเพราะมีวิญญาณ

ไม่รู้จักวิญาญาณ มีเพราะอะไร

มีวิญญาณเพราะมีสังขาร

ไม่รู้จักสังขาร มีเพราะอะไร

มีสังขารเพราะมีอวิชชา


ไม่รู้จัก ก็เรียกว่า อวิชชา

เมื่อรู้จัก ก็เรียกว่า วิชชา

รู้จัก ปฏิจจสมุปบาท หรือ ลูกโช่ที่เป็นอริยสัจ 4

หัวใจของอริยสัจ 4 คือ ปฏิจจสมุปบาท

คือธรรมะที่อาศัยกันเกิดขึ้น

เช่น

เมื่อ มีอวิชชา อวิชชาจึงเป็นเงื่อนต้น สังขารเป็นเงื่อนปลาย

และสังขารนั้นเองก็ต้องไปเป็นเงื่อนต้น

วิญญาณเป็นเงื่อนปลาย

ก็ทยอยกันไปดังนี้ จนถึง ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น

ท่านพระสารีบุตรก็ได้แสดงเป็นเถราธิบาย

ท่านจับตั้งแต่ ชรา มรณะ โสกะ เป็นต้น

คือชาติ คือความเกิด

อาศัยชาติ จึงเกิดชรามรณะ โสกะ เป็นต้น

เมื่อสรุปเข้าแล้ว ก็สรุปเข้าอริยสัจ 4 คือ

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

การเป็นสังขารเกิดขึ้นเพราะมีกาลเวลา

มีอดีต มีปัจจุบัน เพราะกาลเวลาล่วงไปอยู่เสมอ

เป็นปัจจุบัน แล้วกลายเป็นอดีต เพราะฉะนั้น

ปัจจุบันมีเพราะมีอดีต

กาลเวลาเรื่อยไปไม่มีหยุด

ความเป็นทุกข์ของสังขารทั้งหลายจึงไม่มีหยุด

เพราะฉะนั้น จึงได้มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า

กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์ทั้งหลายพร้อมทั้งตัวเอง

คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็น กาลิโก

แต่ธรรมชาติที่อยู่เหนือกาลเวลา เป็น อกาลิโก

ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เป็น วิสังขาร

คือนิพพาน เป็น อมตธาตุ ธาตุที่ไม่ตาย

คือเป็นสภาพที่พ้นจากกาลเวลา เป็น อกาลิโก

คือพ้นสภาวะที่เป็นสังขาร

เพราะความเกิดอีกนั้นเป็นสังขาร ต้องขึ้นอยู่กับกาลเวลา







Create Date : 09 ธันวาคม 2549
Last Update : 12 มีนาคม 2556 8:28:22 น. 0 comments
Counter : 791 Pageviews.

รักดี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




นามแฝง ชื่อ รักดี

ชอบดอกไม้ รักหมา

ไม่รังเกียจแมว

ไม่อาลัยในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว

อยู่กับปัจจุบัน

และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

ไม่กังวลหรือเป็นทุกข์

กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง












Friends' blogs
[Add รักดี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.