เรื่องจิตสำนึก




ผมชื่อ..รัฐกิจ ชีวิตของผมในตอนนี้มันย่ำแย่สุดๆ เกินกว่าที่จะหาคำมาเปรียบเปรยได้ เพราะเวลานี้ผมกำลังแบกความทุกข์แสนสาหัสไว้บนบ่าทั้งสองข้าง จากเดิมที่ผมเคยเป็นเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้างอันใหญ่โต ก็มีปัญหาโดนลูกค้าเบี้ยวเงิน ไม่ยอมชำระค่างวดงาน ลูกน้องที่อยู่ด้วยกันมา ก็ขโมยของในโรงงานไปเกือบหมด เพื่อนที่เคยมาขอยืมเงินกับผม พอผมทวงคืนก็ชักดาบไม่คืนซะอย่างงั้น แถมยังเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หนีอีกต่างหาก



ส่วนเจ้าชาญวิทย์เพื่อนที่คบมาเป็นสิบปี ก็ดันมาหลอกให้ผมร่วมลงทุนด้วยแล้วโกงไปหน้าตาเฉย และด้วยสภาพเศรษฐกิจตอนนี้มันเงียบอย่างกับป่าช้า แถมยังขาดส่งค่างวดรถยนต์ สามงวดเข้าไปแล้ว หนี้สินทางบัตรเครดิตอีกห้าแสนบาท ยังไม่หมดแค่นั้นนะ! ยังมีคดีความที่ลูกค้าฟ้องร้องอีก ทั้งๆที่เขาเป็นคนโกงผมแท้ๆ มิหนำซ้ำ ภรรยาของผมเธอดันมาตั้งท้องลูกคนที่สองอีก... โอ้ พระเจ้าช่วย นี่มันอะไรกัน!



“กิจคะ..คุณอย่าคิดมากเลยนะคะ ชีวิตคนเรามันมีขึ้นมีลงกันทุกคน วันนี้ดวงเราไม่ดี เราก็ต้องอดทนไปก่อน ถึงอะไรจะเกิดขึ้นไม่ว่าดีหรือร้าย นิดกับลูกก็จะเป็นกำลังใจให้คุณค่ะ” เสียงของภรรยาที่คอยปลอบโยนและให้กำลังใจผมอยู่บ่อยๆ มันทำให้ผมพยายามที่จะฮึดสู้ต่อไป


“ขอบคุณมากนะนิด ที่คุณคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ”

“ก็เราเป็นสามีภรรยากันนี่คะ ก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน คุณเลิกเครียดเถอะค่ะกิจ มานอนหลับพักผ่อนดีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้ว”

“คุณไปนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวผมตามไป”

“งั้นก็ได้ค่ะ..กู๊ดไนท์นะคะ” นิดยิ้มให้กำลังใจผมอีกครั้ง ก่อนเดินขึ้นไปห้องนอน



ผมยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ปล่อยให้สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมควรจะทำอย่างไรดี ในเมื่อ ลูกเมียของผมยังต้องกินต้องใช้ ผมต้องหาหนทางหารายได้เข้าบ้านเพื่อมาจุนเจือครอบครัว ให้ได้ แต่ผมก็ยอมรับนะว่าในสมองอันโง่เง่านั้น ผมเคยคิดอยากฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา แต่!เมื่อผมหันไปมองดูภรรยาและลูก ทำให้ผมต้องละอายใจตัวเองที่คิดจะตัดช่องน้อยหนีเอาตัวรอดคนเดียว มันเหมือนคนขี้ขลาดและใจเสาะ

ผมยกแก้วเหล้าในมือขึ้นมาดื่มจนหมดแล้วลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำ ผมหวังเพียงให้สายน้ำที่ผ่านออกมาจากฝักบัวช่วยทำให้ร่างกาย
ของผมคลายความตึงเครียดลงไปบ้าง


เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ผมแต่งตัวเสร็จสรรพ แล้วเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่น มองหน้าของภรรยาที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับแม่และเด็ก แล้วพูดขึ้น


“เอ่อ นิด..วันนี้ผมอยากจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย แล้วตอนเย็นๆผมมีนัดกินข้าวกับไอ้นนท์ คุณกับลูกไม่ต้องห่วงนะผมกลับไม่ดึกมากหรอก”

“ค่ะ..แล้วอย่าดื่มหนักมากนะ เดี๋ยวขับรถไม่ไหว”


“จ้า..แต่วันนี้ผมว่าจะนั่งแท็กซี่ทั้งไปและกลับดีกว่า จะได้ไม่ต้องเมาแล้วขับ ผมไปก่อนนะ” ผมหอมแก้มเมียรักไปหนึ่งฟ่อดใหญ่ หล่อนเขินอายตีที่หัวไหล่ผมเบาๆ ผมก็อดหัวเราะในอาการของเธอไม่ได้ นิดเป็นคนดี สวย เก่งและฉลาด ผมยอมรับว่าผมเป็นผู้ชายที่โชคดีคนหนึ่งที่มีเมียแบบนี้ และผมเองก็ไม่เคยทำตัวออกนอกลู่นอกทาง



หลังจากที่ผมเดินมาขึ้นรถแท๊กซี่ ผมวางแผนในใจว่าวันนี้ ผมจะใช้เวลาหมดไปกับการทำกิจกรรมบุญด้วยการไปทำบุญโลงศพที่มูลนิธิปอเต๊กตึ๊ง ไปปล่อยปลาที่วัด ไปอ่านหนังสือให้คนพิการทางสายตา จากนั้นก็เข้าร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้าหาหนังสือแนวเสริมสร้างกำลังใจมาอ่าน และสุดท้ายคือการเดินเล่นในสวนรถไฟเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ก่อนถึงเวลานัดกับเพื่อนสมัยเรียนมหาลัย ไม่รู้เพราะอากาศที่เย็นสบายหรือเพราะผมง่วงกันแน่ จนทำให้ผมเผลอนั่งหลับ มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น


“ฮัลโหล... เออ เออ กูไม่ลืมหรอกที่นัดกันตอนหกโมงเย็น ตอนนี้กูอยู่ข้างนอกแล้ว เดี๋ยวเจอกันที่ร้านเดิม”


นนท์โทรศัพท์มาเตือนเพราะเกรงว่าผมจะนัด ผมยกนาฬิกาขึ้นดูเหลืออีกหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ จึงจะถึงเวลาที่นัดกันไว้ ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย บิดไล่ความเมื่อยล้าตามแขนขาและรอบเอว จากนั้นผมก็เดินออกจากสวนรถไฟเพื่อมาเรียกรถแท็กซี่ ให้ไปส่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านสะพานพระรามห้า ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารมากมาย เมื่อสมัยก่อนตอนที่ผมยังไม่ตกอับขนาดนี้ ผมมักพาลูกเมียมาใช้บริการมื้อเย็นตามร้านอาหารข้างนอกบ่อยๆ


ผมยืนรอไม่ถึงห้านาที รถแท็กซี่คันสีเหลืองเขียวก็แวะมาจอดเทียบให้ผมได้ใช้งาน และบังเอิญว่าโชเฟอร์คนนี้เป็นคนอัธยาศัยดี เขาจึงชวนผมคุยมาตลอดทาง ถึงใจจริงแล้วผมไม่อยากจะพูดคุยกับใครในเวลานี้สักเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่รังเกียจที่จะมีเรื่องสนุกอื่นๆเข้ามาในสมองแทนเรื่องเครียดของผม


“เวลาเย็นๆแบบนี้รถติดเป็นประจำ แล้วนี่ฝนก็ทำท่าจะตกอีก” เสียงบ่นของโชเฟอร์ทำให้ผมเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งขณะนี้เมฆฝนกำลังก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ทีเดียว


“ไม่เป็นไรพี่ ผมไม่รีบ” ผมบอก แล้วเอนหลังลงเล็กน้อยหวังจะใช้เวลานี้งีบหลับสักหน่อย


“ฟังเพลงไหมพี่” คนขับรถแท๊กซี่ถามผม

“ก็ได้ครับ ผมฟังได้ทุกแนว ตามสบายเลย”


คนขับรถแท็กซี่กดปุ่มเปิดวิทยุ หมุนหาคลื่นจากทางสถานี จนเจอเพลงลูกทุ่งเสียงของคุณก๊อต จักรพันธ์ พอดิบพอดี ซึ่งก็คงเป็นที่ชื่นอกชื่นใจพี่โชเฟอร์ซะด้วย เพราะผมเห็นพี่แกคลอตามเพลงไปเบาๆ



ผมละสายตาจากภายในรถ มองออกไปทางถนน ซึ่งเวลานี้รถกำลังติดไฟแดงและฝนก็กระหน่ำตกลงมาไม่ขาดสาย ผมเห็นผู้คนกำลังวิ่งหลบฝนกันใหญ่ คงไม่มีใครต้องการที่จะเปียกฝน น้ำเสียงของนักร้องหน้าหยกคนนี้ ช่างเหมาะกับบรรยากาศเย็นๆ ครึ้มๆแบบนี้ซะเหลือเกิน สายฝนที่ไหลลงมาทางกระจก ช่างเป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลาย

ผมรู้สึกเหมือนจิตใจล่องลอยไปกับเสียงเพลงผสานกับสายฝนข้างนอก ผมอยากหยุดช่วงเวลาตรงนี้ไว้ เพราะอย่างน้อยเป็นเวลาที่ผมไม่ต้องไปคิดไปใส่ใจกับปัญหาร้อยแปดพันเก้าของผม

“ถึงสะพานพระรามห้าแล้วพี่” เสียงคนขับรถแท็กซี่ปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากภวังค์ ผมบอกชื่อร้านอาหารให้คนขับ เมื่อเห็นป้ายร้านที่ตั้งเด่นชัด โชเฟอร์ก็เลี้ยวรถเทียบจอดให้ใกล้กับทางเข้ามากที่สุด ด้วยเจตนาจะให้ผมเปียกฝนน้อยที่สุดนั่นเอง ผมชำระคาโดยสารพร้อมกับทิปเล็กน้อย พี่คนขับรถกล่าวขอบคุณและบอกให้ผมโชคดีผมยิ้มให้ก่อนตอบกลับว่าให้เขาโชคดีเช่นกัน จากนั้นผมก็รีบเดินเข้ามาในร้านอาหารมองหากลุ่มเพื่อนๆ แล้ว


พลันสายตาของผมก็หันไปเห็นผู้ชายหน้าตาคุ้นๆยืนกวักมือเรียกที่โต๊ะอาหาร ผมจำได้ทันทีว่านั่นคือ..นนท์ เพื่อนสนิทของผม


“เฮ้ยว่าไงวะ มากันนานแล้วเหรอ ” ประโยคแรกที่ผมเอ่ยทักทาย โดยไม่ทันสังเกตุว่ามีแขกร่วมโต๊ะคนอื่นนอกเหนือจากกลุ่มเพื่อนๆของผม


“ ไอ้กิจ.. ข้าขอแนะนำให้รู้จักกับพี่ชัย แกเป็นอดีตหัวหน้างานในบริษัทที่ข้าทำงานอยู่” วุท เพื่อนสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยแนะนำให้ผมรู้จักกับแขกรับเชิญ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“ยินดีเช่นกันครับ พี่ได้ยินเรื่องของน้องกิจจากเจ้าวุทบ่อยๆว่าเป็นเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้าง ”

“ใช่ครับ แต่ตอนนี้เศรษฐกิจด้านนี้ซบเซาลง งานก็เลยน้อยลงได้ด้วยครับ”

“อย่ามัวแต่คุยอยู่สิวะ สั่งอาหารได้แล้ว ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว ว่าแต่พวกเอ็งเอาอะไร เออ! แล้วพี่ชัยล่ะครับ” เจ้าเป๊ก เพื่อนหุ่นอ้วนกลมจอมเขมือบประจำกลุ่มหยิบเมนูขึ้นมาแล้วส่งให้พี่ชัย


“ตามสบายเลย วันนี้พี่ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงน้องๆทุกคน” พี่ชัย แสดงความใจกว้าง

“จะดีเหรอพี่” ผมเอ่ยถาม


“เอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ ถือว่าเลี้ยงฉลองที่พวกเราได้มารู้จักกัน และไม่แน่อนาคตเราอาจเป็นหุ้นส่วนงานกันก็ได้” ผมไม่เข้าใจในคำพูดประโยคหลังของพี่ชัย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก พวกเราทั้งสี่คนนั่งดื่มนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาดเพื่อชดเชยกับโอกาสที่นานๆครั้งจะได้มานั่งรวมก๊วนชนแก้วกัน เพราะต่างคนตางก็มีภาระหน้าที่จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาเวลาและจังหวะเหมาะๆอย่างนี้


“ธุรกิจของพี่เป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้สภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี มีผลกระทบมากไหมครับ” ผมเอ่ยถามหลังจากซดเหล้าเข้าปากไปหนึ่งอึก


“พี่ทำธุรกิจหลายอย่าง อย่างธุรกิจด้านสินเชื่อ ตอนนี้ทำกำไรให้พี่อย่างมากเลย เดือนๆหนึ่งพี่ได้กำไรถึงหลายแสนบาท นี่ขนาดยังไม่รวมกับธุรกิจตัวอื่นของพี่อีกนะ คิดดูสิไอ้น้อง เดือนๆหนึ่งพี่มีรายได้เฉลี่ยเลขเจ็ดหลักทีเดียว”



“โอ้โห! พี่ คนอื่นๆเขาแย่ๆกันทั้งนั้น แต่พี่กลับรับทรัพย์ โชคดีจริงๆ มิน่าล่ะ พี่ถึงลาออกจากบริษัทไปทำธุรกิจส่วนตัวนี่เอง มีอะไรดีๆไม่เห็นบอกกันมั่งเลยนะ” ไอ้วุทบ่นตัดพ้อเพื่อนรุ่นพี่


“ก็นี่แหล่ะ ที่วันนี้ข้านัดเอ็งมานั่งคุย ก็พอดีเอ็งโทรนัดกับเพื่อนๆไว้แล้ว ข้าก็เห็นว่าไหนๆมีเรื่องดีๆแล้วจะบอกแต่เอ็งคนเดียวมันก็ไม่ยุติธรรมข้าก็เลยถือโอกาสเอาข่าวดีมาบอกเพื่อนๆของเอ็งด้วยไง” พี่ชัยยกบุหรี่ในมือขึ้นสูบหลังจากที่แกกระดกแก้วเหล้าเข้าปาก ก่อนจะเอ่ยต่อ



“ถ้าใครสนใจอยากเข้าร่วมธุรกิจด้วย เอ้า!นี่ นามบัตรของพี่ โทรหาได้ทุกเมื่อ เชื่อพี่เถอะสมัยนี้ทำธุรกิจด้วยความซื่อตรง ขยัน อดทน มันรวยช้า แถมดีไม่ดีเราโดนโกงซะเองอีก มันต้องทำธุรกิจที่ทุจริตนิดๆใช้เล่ห์อุบายหน่อยๆรับรองชาตินี้มีกินมีใช้ไม่หมด สังคมทุกวันนี้การแข่งขันสูงเป็นแบบใครดีใครดี ขืนชักช้าหมาคาบไปกินหมด เชื่อพี่!แล้วจะสบายอย่างพี่”



ผมรับนามบัตรของพี่ชัยมาดูก่อนจะเก็บไว้ ในกระเป๋าเสื้อ บางทีมันอาจจะจริงอย่างที่พี่ชัยพูดก็ได้ เหมือนกับปัญหาที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ต่อให้มีความซื่อสัตย์ ขยัน อดทนและทำดีแค่ไหน สุดท้ายมันก็ไม่เห็นได้ผลตอบแทนที่ดี กลับได้รับแต่เรื่องเลวร้ายเข้ามาในชีวิต ผมยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาขณะนี้ใกล้สี่ทุ่มแล้ว



ผมนั่งดื่มต่ออีกสักพักแล้วขอตัวกลับบ้าน ถึงแม้พวกเพื่อนๆจะรั้งให้อยู่ต่ออีก แต่ด้วยความเป็นห่วงลูกกับภรรยาที่กำลัง
ตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่ที่บ้านตามลำพัง มันทำให้ผมไม่กล้าเป็นคนเห็นแก่ตัว ผมกล่าวขอบคุณพี่ชัยอีกครั้งก่อนเดินออกมาเรียกรถแท็กซี่ พี่ชัยยังย้ำให้ผมติดต่อกลับไปให้ได้ ถ้าหากผมต้องการเงินด่วนหรือต้องการร่วมธุรกิจกับ
แก ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือรับคำ แต่ก็ยอมรับว่าน่าสนใจทีเดียว



ในอีกสองสามวันต่อมาหลังจากที่ผมหาทางออกเรื่องการเงินไม่ได้สักที ผมจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาพี่ชัย ซึ่งพี่แกก็รับนัดผมในเย็นวันนี้ เรานัดเจอกันที่ร้านอาหารเดิมที่พบกันครั้งแรก


“สวัสดีครับพี่ชัย” ผมยกมือไหว้ทันทีที่เห็นพี่ชัยเดินมาที่โต๊ะอาหาร

“เออ..หวัดดีไอ้น้อง เดี๋ยวสั่งอาหารก่อนแล้วเราค่อยมาเรื่องธุระกัน”

“ได้ครับพี่” พี่ชัยหันไปสั่งรายการอาหารกับพนักงานพร้อมกับเครื่องดื่มเป็นเบียร์ยี่ห้อดังสองขวด


“เอ้า! ว่ามามีอะไรให้พี่ช่วย” ผมบอกถึงปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นให้พี่ชัยฟัง โดยไม่ได้เล่ารายละเอียดมากนัก หลังจากที่ผมเล่าจบพี่ชัยก็เอ่ยปากชวนผมทันที


“งั้นเอาอย่างนี้ น้องกิจสนใจมาร่วมทำธุรกิจกับพี่ไหม”

“ธุรกิจอะไรครับ”

“ก็ธุรกิจทางการเงินหรืออยากจะทำธุรกิจด้านผลิตซีดีเพลง ซีดีหนังพี่ก็มีนะ หึ หึ... งงล่ะสิ!ก็ธุรกิจเล็กๆน้อยๆแต่ทำเงินให้มหาศาล พี่ทำพวกเงินกู้นอกระบบ มีโรงงานผลิตพวกซีดีเพลง ซีดีหนังด้วย แต่!แบบไร้ลิขสิทธ์นะ และยังผลิตยาชนิดที่ทำให้คนกระชุ่มกระชวย

“ยาอะไรครับ” ผมถามด้วยความสงสัย

“ก็ยาบ้าไงละน้อง” พี่ชัยตอบเสียงกระซิบ แล้วพูดต่อ “ก็ถ้าเราสนใจอยากได้เงินเยอะๆและเร็วๆพี่ว่าวิธีนี้ดีที่สุด ก็แค่เราเอาเงินนิดหน่อยมาร่วมลงทุนหรือ ถ้าเราไม่มีจริงๆพี่ให้ยืมก็ได้แค่เดือนเดียวเราก็มีใช้คืนพี่แล้ว”



พอผมได้ยินรายละเอียดเรื่องธุรกิจของแก ผมถึงกับตกใจและคาดไม่ถึงว่าเงินทุกบาทที่พี่ชัยใช้จ่ายในวันที่เลี้ยงข้าวผมกับเพื่อนๆมาจากการทำงานทุจริต ซึ่งครอบครัวผมสอนมาตลอดว่าต้องทำทุกอย่างด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อชาติบ้านเมืองแผ่นดินที่เราเกิด ผมรู้สึกอยากจะลุกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่!เพื่อไม่ให้พี่ชัยสงสัย ว่าผมรู้สึกรังเกียจในงานที่แกทำอยู่



ผมจึงนั่งต่ออีกสักครู่ แล้วยกนาฬิกาดูเพื่ออ้างว่าวันนี้ลูกไม่ค่อยสบายจะรีบกลับไปดูแล ก็พอดีที่มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังเข้ามา พี่ชัยจึงขอตัวเดินออกไปคุยโทรศัพท์ ผมได้จังหวะเหมาะรีบเรียกพนักงานมาเก็บเงิน พอรับเงินทอนเสร็จแล้วจึงเดินไปบอกพี่ชัย ซึ่งพอดีที่พี่แกคุยธุระเสร็จพอดี


“อ้าว! จ่ายเงินแล้วเหรอ ทำไมไม่ให้พี่เลี้ยงล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ วันก่อนพี่เลี้ยงพวกผมแล้ว วันนี้ผมขอเลี้ยงบ้าง วันนี้ขอบคุณพี่มากนะครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

“แล้วตกลงว่าจะร่วมลงทุนรึเปล่าล่ะ”

“ตอนนี้ผมไม่มีเงินมากพอ ที่จะเอามาลงทุนได้ครับ แต่จะให้ยืมพี่ก่อนผมก็เกรงใจ อีกอย่างเรื่องนี้ผมคงต้องขอเวลากลับไปคิดก่อนครับ”


“ก็ตามใจนะ ถ้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่ โทรมาละกัน มีคนขอร่วมลงทุนกับพี่เยอะ”
ผมยกมือไหว้ลาพี่ชัยแล้วรีบเดินมาขึ้นรถเพื่อที่จะขับออกไปให้เร็วที่สุด ผมยอมรับว่าผมไม่ชอบธุรกิจของพี่ชัย แต่ผมก็ยังอยากได้เงินก้อนใหญ่เพื่อมาปลดหนี้สินและเพื่อปากท้องของครอบครัวผม


ผมสับสนในใจไม่รู้ว่า ควรจะเป็นคนดีแล้วอดอยากหรือเป็นในสิ่งที่ตรงข้ามแต่ร่ำรวย ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับความรู้สึกอยากได้ใคร่มีของผมมันกำลังแข่งขันกันอยู่ภายในจิตใจ ผมนอนคิดอยู่สองคืนก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะโทรศัพท์ไหาพี่ชัยเพื่อให้คำตอบ บางทีคำตอบนี้อาจทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ได้



วันรุ่งขึ้นผมรีบตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นมาจัดทำอาหารเช้าให้ทั้งภรรยาและลูกชายคนโตซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลสอง


“วันนี้..ที่รักอารมณ์ดีนะคะตื่นเช้ามาทำอาหารให้ทาน มีอะไรพิเศษรึเปล่าคะ” ภรรยาของผมถามหลังจากที่ผมขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนแล้ว


“ก็ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ แค่อยากทำให้เท่านั้น” ผมปฏิเสธออกไปโดยไม่ต้องการให้เธอรู้ว่าผมกำลังตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ผมเดินไปที่โต๊ะข้างของโซฟาในห้องรับแขกกะว่าจะหยิบโทรศัพท์โทรไปบอกคำตอบกับพี่ชัย



“ที่รักคะ...นิดลืมเล่าเรื่องลูกชายของน้านุชที่เป็นญาติของคุณแม่ให้ฟังค่ะ เมื่อวานคุณแม่โทรมาเล่าให้นิดฟังว่า ลูกชายของน้านุช แกเป็นหนี้พนันบอลอยู่เป็นล้าน เลยไปกู้เงินกับพวกที่มีเบื้องหลังค้าขายยาบ้า แกจะเอามาจ่ายให้กับเจ้ามือโต๊ะบอล แต่!แกดันหมุนเงินไปจ่ายพวกเจ้าหนี้ไม่ทัน แถมยังแอบหนีไปอีก พอพวกเจ้าหนี้ตามตัวพบก็รุมซ้อมรุมกระทืบ แถมยังโหดสุดๆพวกนั้นตัดมือข้างซ้ายของแกขาดอีก พวกมันบอกว่าเป็นค่าดอกเบี้ย ยังดีที่มีคนโทรแจ้งตำรวจมาช่วยไว้ทัน ไม่งั้นมีหวังพวกเราต้องไปกินข้าวต้มที่งานศพแน่ๆ ตอนนี้ก็รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ที่รัก!คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ”



ผมรู้สึกสมองมันหมุนติ้ว แขนขาอ่อนแรง ร่างกายมันชาไปหมดทั้งตัว นี่!ผมกำลังคิดจะทำอะไรลงไปผมพร่ำถามตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โทรศัพท์หล่นจากมือตอนไหนผมก็ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆคือผมกำลังจะเป็นอีกคนที่กำลังทำลายสังคม ทำร้ายคนอื่นและรวมทั้งตัวของผมเอง เพียงเพราะผมต้องการที่จะ หนีออกไปจากความขัดสน ออกจากปัญหาที่รุมเร้า เพราะผมคิดแค่เพียงว่า ถ้าผมได้เงินมาเยอะๆจากการทำงานทุจริตกับพี่ชัย จำนวนเงินมหาศาลนั่น!จะช่วยแก้ไขชะตาชีวิตของผมกับครอบครัวให้ดีขึ้น โดยที่ผมไม่ได้สนใจประเทศชาติ บ้านเมือง
สังคม ความเป็นความตายของคนอื่น และไม่มีความยำเกรงเคารพต่อกฎหมายและความถูกต้อง



ผมแหงนหน้ามองขึ้นไปดูที่รูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ผมแขวนติดไว้ที่ผนังห้องรับแขก ผมรู้สึกละอายใจในสิ่งที่ผมคิดจะกระทำลงไป ผมละอายใจที่ลืมคำสั่งสอนของพ่อแม่ ก่อนที่ท่านจะสิ้นลม และละอายใจที่ผมเกิดมาบนแผ่นดินไทยที่มีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ผมกำลังจะอกกตัญญูแผ่นดินที่เกิด ด้วยการทำผิดกฎหมาย เพราะความรู้สึกเห็นแก่ตัวของผม ทำไม! ผมไม่เอาพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ผมทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้อย่างกับเด็กๆ



ผมพนมมือขึ้นแล้วก้มกราบลงที่พื้นตรงหน้ารูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ พร้อมกับให้คำปฏิญาณว่าต่อไปนี้ผมจะดำเนินชีวิตอย่างมีสติและพอเพียง ผมไม่อยากเป็นลูกอกตัญญู ที่เพิ่มขึ้นอีกคนในประเทศไทยนี้ เพราะผมรู้ว่าพ่อหลวงเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว ต่อไปนี้ผมจะคิดดี ทำดีให้มากขึ้นเพื่อตนเอง เพื่อผู้อื่นและเพื่อประเทศชาติ


“ที่รัก...คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ คุณบอกกับนิดได้นะคะ” น้ำเสียงและท่าทางของนิด บ่งบอกถึงความตกใจพร้อมห่วงใยผมในเวลาเดียวกัน

“ไม่มีอะไรจ๊ะ ผมสบายดี ผมแค่รู้สึก...สำนึก ได้ในบางเรื่อง คุณวางใจเถอะ” ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลเปรอะทั่วหน้า แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นวางบนแป้นรับเหมือนเดิม

“คุณไม่โทรแล้วหรือคะ”


“ไม่โทรแล้วล่ะ อีกอย่างผมลืมเบอร์โทรไปแล้วด้วย พวกเราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะกันไหม คุณจะได้สดชื่นขึ้นการออกกำลังกายเล็กๆเหมาะกับคนท้องนะ”


“ก็ดีค่ะ” แล้วผมกับนิดก็จูงมือกันออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน ผมรู้สึกว่าวันนี้ผมภูมิใจในตัวเองมากที่สุดที่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้มันอาจดูเหมือนคนโง่ในสายตาของคนบางกลุ่มก็ตาม



หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ทราบข่าวจากเจ้านนท์ว่า... โรงงานผลิตซีดีปลอมและบ้านร้างที่เป็นเซฟเฮ้าส์ผลิตยาเสพติดของพี่ชัย ถูกตำรวจกวาดล้างและตัวพี่ชัยเองก็หนีไปกบดานที่ต่างจังหวัด แต่สุดท้าย!ก็ถูกจับกุมตัวได้ ผมเชื่อแล้วว่า การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถึงแม้การทำดีนั้นผลแห่งความดีอาจมาช้า แต่ให้เชื่อเถอะว่ามาแน่นอนและจะคงอยู่ยาวนาน


วันนี้... เราทำความดีเพื่อพ่อหลวงของเรารึยัง



Create Date : 30 มีนาคม 2554
Last Update : 12 มีนาคม 2555 12:07:01 น.
Counter : 882 Pageviews.

19 comment
เรื่องผีอิจฉา




เวลา สองทุ่มสิบนาที

ณ ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง


“ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ..นะคะเจ้านาย” เสียงเซ็งแซ่แสดงความยินดีออกจากปากพนักงานทั้งชายและหญิงที่ได้รับอนุญาตจากเจ้านายหนุ่มวัยสามสิบห้าผู้นี้ ให้มาร่วมงานรับรางวัล นักธุรกิจหน้าใหม่ดีเด่นแห่งปี พร้อมทั้งเสียงปรบมือและร้องไชโย ภายหลังจากที่เจ้านายหนุ่มขึ้นรับรางวัลแล้ว



“ขอบคุณทุกคนนะครับ...เอ้า เชิญ เชิญทุกคนไปดื่มไปทานอาหารกัน เดี๋ยวผมขอตัวไปทักทายผู้ใหญ่ทางนั้นก่อนนะ” เจ้านายหนุ่มร่างสูงเอ่ยบอกพนักงาน ก่อนที่เขาจะเดินเลี้ยวไปทางกลุ่มนักธุรกิจรุ่นอาวุโสของวงการผู้ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์



ฉันมองตามร่างสูงใหญ่นั้นไปจนสุดสายตา ก่อนที่จะเดินออกมาสูดอากาศข้างนอกห้องจัดเลี้ยง ใจจริงแล้วฉันไม่ชอบงานเลี้ยงแบบคอกเทลล์สักเท่าไหร่ แต่ฉันไม่อยากที่จะพลาดเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับผู้เป็นเจ้านายของฉัน บางทีฉันก็สงสัยตัวเองว่าทำไมไม่บอกเขาไปตรงๆ ว่าฉันแอบชอบเขามาตั้งแต่เรียนในมหาวิทยาลัย แต่ถ้าฉันพูดไปแล้วเขาเกิดจำภาพอดีตหญิงสาวที่มีจมูกแบน ปากหนา ตาชั้นเดียวและฟันเหยเก (ฉันว่ายอมให้เขาจดจำภาพปัจจุบันที่ทั้งสวยทั้งเปรี้ยวของฉันซะดีกว่า)



ฉันแอบตามติดเขาไปทุกทีไม่ว่าเขาจะไปทำงานที่ไหนบ้าง แอบมองดูเขาอยู่ห่างๆ และหวังว่าวันหนึ่งฉันจะได้ครอบครองทั้งหัวใจและร่างกายของเขา แต่สุดท้ายหัวใจฉันก็แตกสลาย เมื่อเขามีแฟน ซึ่งไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนแต่เป็นรุ่นน้องในคณะนั่นเอง เจ็บใจชะมัด ฉันรู้สึกเจ็บปวดและแค้นอยู่ลึกๆ
ฉันตัดสินใจลาออกจากบริษัทนั่นทันทีและหอบเงินสะสมทั้งหมดที่มีบินลัดฟ้าไปสู่แดนโสมเพื่อเปลี่ยนหน้าตาของตัวเองใหม่และเรียนภาษาไปด้วย



หลังจากที่ฉันไปอัพเกรดหน้าตาจน สวย เริ่ด เชิ่ด จี๊ด มาแล้วหนึ่งปีต่อมา ฉันก็บินกลับมาเมืองไทยจึงรู้ข่าวว่าชายหนุ่มสุดที่รักของฉันได้หมั้นหมายกับแฟนไฮโซไปซะแล้ว (ที่สวยน้อยกว่าฉันอีก)


“มาแอบทำอะไรอยู่เงียบๆ คนเดียวครับ นิชา” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลังของฉัน จนฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันไปทางเจ้าของเสียง

“เอ่อ นิชาแค่ออกมาสูดอากาศข้างนอกค่ะ แล้วคุณ พิพิฐ ไม่เข้าไปสนุกข้างในหรือคะ” ฉันถามขึ้น


“ผมก็อยากออกมาสูดอากาศข้างนอกเหมือนกันครับ” ชายหนุ่มผิวสีแทนตอบ สายตาที่มองฉันช่างหยาดเยิ้มยิ่งกว่าลูกตาลเชื่อมซะอีก ฉันรู้หรอกนะว่าอีตานี่ คิดอะไรกับฉันกันแน่

“เอ่อ นิชาครับ คือว่าอีกสองสัปดาห์บริษัทของเราจะมีทริปไปเที่ยวล่องแพกันครับ ผมอยากให้นิชาไปด้วย”

“แต่ นิชา ไม่เห็นทราบเลยนี่คะ” ฉันถามด้วยความสงสัย

“ก็พี่ชายของคุณอิท เธอเพิ่งเปิดรีสอร์ตอยู่ที่เมืองกาญฯ คุณอิทจึงอยากอุดหนุนธุรกิจของพี่ชายครับ คุณอิทตั้งใจจะบอกทุกคนในวันพรุ่งนี้ แต่ผมชิงบอกนิชาเป็นคนแรกก่อนเลย ดีใจไหมครับ” อี๊ อยากแหว่ะ ไม่เห็นน่าดีใจตรงไหนเลย แต่เอ๊ะ คุณอิทธิพล ก็ต้องไปด้วยนะสิ ฉันคิดในใจ


“ใครไปบ้างคะ คุณพิพิฐ” ฉันเอ่ยถามผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบกราฟฟิค
เขารีบเขยิบตัวเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น จนได้กลิ่นเต่าล้านปีของเขาโชยมาปะทะจมูกของฉันอย่างจัง ผู้ชายอะไรสกปรกชะมัด ไม่รู้จักหาโลออนซ์หรือน้ำหอมมาใช้ซะบ้าง

“ก็ไปกันทุกคนนะครับ คุณอิท เธอพาคุณภารดี คู่หมั้นไปด้วยครับ” สิ้นเสียงจากปากของหัวหน้าฝ่าย ลมเพชรหึงของฉันออกหูทันที


แหม ต้องพายัยตัวฉกไปด้วย ดีล่ะ จะหาทางแกล้งให้เข็ด หล่อนก็เพียงแค่คู่หมั้น ยังไม่ได้เป็นภรรยาสักหน่อย หึ หึ หึ ฉันหัวเราะเบาๆ ออกมาโดยลืมไปว่า อีตาผู้ชายผิวถ่านคนนี้ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย

“นิชา หัวเราะอะไรหรือครับ” เขาถามขึ้นด้วยความงุนงง


“อ่ะ ปะ เปล่าค่ะ แค่หัวเราะดีใจที่จะได้ไปเที่ยวนะค่ะ...เอ่อ คุณพิพิฐคะ นิชาว่า เราสองคนกลับเข้าไปในงานกันดีไหมคะ ป่านนี้คนอื่นคงหาเราวุ่นแล้ว” ฉันเอ่ยกลบเกลื่อนพิรุธ แล้วชักชวนคุณพิพิฐกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง

****

สองสัปดาห์ต่อมา

รีสอร์ต จังหวัด กาญจนบุรี



“เอาล่ะ ทุกคน เดี๋ยวแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ห้องนะ แล้วตอนสี่โมงเย็นเจอกันที่ตรงนี้นะครับ เรามีอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการอย่างครบครัน ใครอยากสนุกอยากมันส์ เตรียมตัวไว้เลยนะครับ แต่..ที่สำคัญ ห้ามเดินไปไหนคนเดียวเด็ดขาด ต้องมีเพื่อนไปด้วย..เข้าใจกันแล้วนะ” เสียงเจ้าของแพและรีสอร์ตเอ่ยขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของคุณอิทธิพล ชื่อ คุณอัฐ เขาไม่ชอบอยู่กรุงเทพฯ จึงตัดสินใจมาทำรีสอร์ตที่จังหวัดกาญจนบุรี


“ผมช่วยถือกระเป๋าให้นะครับ...นะครับนิชา” คุณพิพิฐอาสาช่วยถือกระเป๋าเดินทางให้ หลังจากที่รถตู้จอดสนิท ซึ่งต่างคนต่างกุลีกุจอหยิบสัมภาระของตนเองเดินไปยังห้องพัก

“อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ นิชาถือเองได้ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณพิพิฐ”

“โห หัวหน้าพวกเราก็หนักนะ ไม่เห็นช่วยถือเลย ช่วยแต่นิชาคนเดียว” กลุ่มเพื่อนๆ ที่ฝ่ายตะโกนแซวกันยกใหญ่ ทุกคนรู้ดีว่าคุณพิพิฐรู้สึกอย่างไรกับฉัน เสียงแซวเฮฮาอย่างสนุกสนาน ดังจนคุณอิทธิพลหันมาให้ความสนใจด้วย ตายล่ะ เขาจะเข้าใจผิดไหมนี่ ฉันไม่ได้ชอบเจ้าหมอนี่นะ ฉันรำพึงในใจ


“คุณพิพิฐ เดี๋ยวคุณก็โดนข้อหาลำเอียงหรอก ผมว่านิชาเป็นผู้หญิงที่แข็งแรงนะครับ แค่กระเป๋าใบเดียวผมว่าเธอถือได้อยู่แล้ว” เจ้านายหนุ่มหล่อของฉันพูดตัดบทตัดโอกาสซะได้ผล นั่นทำให้นายพิพิฐไม่รบเร้าฉันอีก


เมื่อถึงห้องพักฉันล้มตัวลงนอนทันที โดยไม่สนใจคนอื่นๆ ที่แอบซุบซิบนินทาเรื่องของฉันกับคุณพิพิฐ ใครอยากพูดอะไรก็เชิญ ฉันไม่เสียเวลามาใส่ใจเรื่องหยุมหยิมแบบนี้หรอก และโชคดีหน่อยตรงที่คุณอิทธิพลเลือกห้องแบบเตียงเดี่ยวไว้ให้ ฉันจึงไม่ต้องนอนร่วมห้องกับคนอื่นในบริษัท ส่วนคู่หมั้นของเขา คุณอิทธิพลจัดให้นอนห้องเดี่ยวเหมือนกันเพราะเกรงว่าไม่เหมาะสม หากจะร่วมห้องนอนกับเขา แหมหมั่นไส้จัง เห็นท่ายัยคู่หมั้นไฮโซกระเง้ากระงอดบ่นพึมพำไม่พอใจ รบเร้าจะขอนอนกับเขาให้ได้ แต่เขาปฏิเสธเสียงแข็ง จนยัยไฮโซเดินบ่นกระปอดกระแปดเข้าห้องไป สงสัยคงลืมพกหนังสือ คุณสมบัติสตรีมาด้วยมั้ง ฉันแอบนินทาอยู่ในใจ



ฉันสลัดเรื่องงี่เง่าของคุณอิทธิพลกับคู่หมั้นออกจากสมอง แล้วล้มตัวนอนบนฟูกที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ลอยขึ้นมาจากผ้าปูที่นอน สมองของฉันสั่งให้ดวงตาทั้งสองข้างหนักลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็ผล็อยหลับไป


ฉันหลับได้สักพักจนกระทั่งมารู้สึกตัวว่ามีวัตถุบางอย่างที่หนักอึ้งทับอยู่บนร่างกายของฉัน กลิ่นเหม็นสาปสางโชยปะทะจมูกอย่างแรง ฉันพยายามเผยอตาขึ้นมาช้าๆ จนเมื่อจอภาพดวงตาของฉันปรับความคมชัดได้ถนัดแล้ว


กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด! ฉันร้องสุดเสียงสุดกำลัง และมันก็ได้ผล ทั้งเพื่อนๆ ในฝ่าย คุณพิพิฐและคุณอิทธิพลรวมทั้งแฟนสาวของเขาต่างวิ่งกรูเข้ามาในห้องพัก



“เกิดอะไรขึ้นนิชา” ทุกคนตั้งคำถามเดียวกันหมด ส่วนฉันยังตกใจกลัวกับภาพที่เห็น ทั้งเสื้อผ้ายังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนารีกับบัวต้องช่วยกันปลอบประโลมฉันยกใหญ่ทีเดียว

“รู้ไหมพวกเราทั้งเป็นห่วงและตกใจ คุณพอจะบอกได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น” คุณอิทธิพล เอ่ยถามฉันด้วยความกระตือรือร้น คนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วย ฉันจึงตัดสินใจตอบคำถามด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก

“ในห้องนี้มี...ผะ ผะ ผี ค่ะ”

“เฮ้ย! ว้าย!” มีทั้งเสียงร้องอุทานของผู้ชายและผู้หญิงเมื่อได้รับทราบคำตอบ

“คุณฝันกลางวันหรือเปล่านิชา ไม่เห็นมีเจ้า สิ่ง ที่คุณว่าเลยนะ” คุณอิทธิพลมองไปรอบๆ ห้องก่อนเอ่ยแย้งขึ้น

“มีจริงๆ ค่ะ นิชาไม่ได้ฝันกลางวัน...เป็นผีผู้หญิงผมยาวใส่กระโปรงสีขาวค่ะ”

“เหลวไหล! คุณกำลังทำให้คนอื่นกลัวและหมดสนุกนะ นิชา” คุณอิทธิพลเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด


“เอาอย่างนี้...เดี๋ยวเชิญทุกคนออกไปข้างนอกก่อน ขอผมพูดคุยกับนิชา บางทีเธออาจมีบางอย่างที่อยากพูดกับผมเป็นการส่วนตัว” สิ้นเสียงของคุณอิทธิพล ทุกๆ คนก็เดินถอยออกจากห้องรวมทั้งแฟนสาวของเขาด้วย เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว คุณอิทธิพลเดินกดล็อคประตู จากนั้นเดินกลับมาที่เตียงนอน แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ฉันเอาแขนโอบกอดเอวของฉันแล้วโน้มใบหน้าของฉันเข้ามาหอมฟอดใหญ่


“โถ โถ เด็กน้อย อยากให้ผมเอาใจก็ไม่เห็นต้องใช้วิธีนี้เลยนี่หน่า” เจ้านายวัยสามสิบห้าปี กำลังเลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้ปากอันเรียวบางของฉัน

“แต่ว่า นิชา...” ฉันไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเพราะริมฝีปากหนาของเขาก็ปิดโอกาสไม่ให้ฉันได้เอ่ยวาจาใดๆ ออกมา ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออก

“นิชา คุณก็รู้ว่าผมจำเป็นต้องหมั้นและแต่งงานกับภารดี เพราะพ่อแม่ของผม ท่านเจ้ากี้เจ้าการให้ คุณก็รู้ว่าผมขัดใจท่านไม่ได้ แต่ถึงยังไงผมก็รักคุณคนเดียวนะ...


วันนี้ผมเห็นนายพิพิฐ กุลีกุจอหวังทำคะแนนกับคุณ ผมยังอดหมั่นไส้ไม่ได้เลย เอาน่า...ที่รัก กลับกรุงเทพฯ แล้วผมจะไปหาที่คอนโดนะครับเด็กดี”


ใช่ค่ะ ฉันกับคุณอิทธิพล เราสองคนแอบมีความสัมพันธ์แบบลับๆ กันได้หนึ่งเดือนแล้ว โดยที่ไม่มีใครระแคระคาย แม้แต่ยัยคู่หมั้นไฮโซนั่น ฉันหวังครอบครองทั้งกายและใจ เป็นเจ้าของคุณอิทธิพลเพียงคนเดียว และสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ ก็คือการกำจัดยัยคู่หมั้นไฮโซออกไปให้พ้นทางรักของฉันสักที ยิ่งไม่มีงานแต่งงานด้วยก็ยิ่งดีใหญ่


“นิชา..เดี๋ยวคุณออกไปบอกกับทุกคนว่า คุณฝันกลางวันไปนะครับ นะ เด็กดีอย่างดื้อนะ” ฉันทนอ้อนวอนจากเขาไม่ได้ ในที่สุดเมื่อเขาออกไปจากห้องพักแล้ว ฉันก็ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาหวีผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินออกมามาบอกกับทุกคนว่าฉันฝันไป ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่แบบนั้น

****

เวลาเที่ยงคืนยี่สิบนาที


ฉันหาวหวอดๆ หลายครั้งจนรู้สึกว่าตัวเองคงถ่างตาอยู่ที่ฟลอร์เต้นรำนี้ไม่ไหวแล้ว กอปรกับเจ้าแอลกอฮอล์ที่นารีกับบัว หมั่นเติมให้เรื่อยๆ เมื่อเห็นปริมาณในแก้วพร่องลงไป ฉันไม่ใช่พวกนิยมดื่มจึงคอไม่แข็งนัก และรู้สึกมึนศรีษะขึ้นมา ฉันกระดกอึกสุดท้ายก่อนโบกมือขอตัวกลุ่มเพื่อนๆ ไปที่ห้องพัก

“นิชา...คุณเดินไหวหรือเปล่า ให้ผมไปส่งไหมครับ” คุณพิพิฐเสนอตัวช่วยเหลือเมื่อเห็นฉันเดินเซเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังเดินไหว คุณไปสนุกต่อเถอะค่ะ” ฉันเอ่ยตอบแบบไล่ทางอ้อม


“แต่ผมเป็นห่วงคุณ นี่ก็ดึกมากแล้ว อีกอย่างท่าทางคุณคงจะเมาด้วย..มา ผมช่วยพยุงไปส่งที่หน้าห้อง” เขาดึงดันจะช่วยให้ได้และตอนนี้ฉันไม่มีแรงพอที่จะผลักเขาเท่าไหร่ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย

เมื่อเขาก็มาส่งฉันถึงหน้าห้องพัก“เอาล่ะ ผมส่งคุณแค่นี้นะ คุณรีบนอนซะ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่น” พูดจบ เขาก็เดินจากไปปล่อยให้ฉันยืนไขกุญแจห้องอยู่คนเดียว หลังจากจิ้มผิดจิ้มถูกอยู่นาน



ในที่สุดฉันก็สามารถพาตัวเองเข้ามานอนบนฟูกนุ่มๆ ก่อนที่สติสมัปะชัญญะของฉันจะดับวูบลง เจ้ากลิ่นแปลกๆ เหม็นสาปสางลอยมาปะทะจมูกรั้นๆ ของฉันอีกแล้ว ฉันขยี้จมูกซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้แน่ใจ ว่าไม่ได้เป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ กลิ่นมันเหม็นอยู่ใกล้ๆ ฉันพึมพำกับตัวเองแล้วร่างกายของฉันก็ล้มฟุบลงบนที่นอนหลับไปทันที มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงของผู้หญิงเรียกชื่อฉันอยู่ข้างใบหู ฉันงัวเงียขยี้ตาทั้งสองข้าง จนสามารถปรับภาพจอตาชัดเจนแล้วลุกขึ้นยืน


ที่นี่มันที่ไหนวะ ฉันพึมพัมพลางเกาหนังศรีษะตัวเองด้วยความสงสัย หมอกหนาที่ปกคลุมพื้นที่ค่อยๆ จางหายไป จนมองเห็นร่างๆ หนึ่งกำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้ที่ตัวของฉันทีละนิด ทีละนิดและ...ปรากฏภาพนั้นอย่างชัดเจนคือ
ร่างของผีหญิงสาวที่ฉันเห็นก่อนหน้านั้น ฉันอ้าปากค้าง พยายามร้องออกมาแต่ทำไมเสียงแปดหลอดของฉันมันไม่ทำงาน



“อย่ากลัวฉันเลย..นิชา...ฉันชื่อ มณี ฉันอยากให้เธอช่วยฉัน” ผีสาวหน้าตาออกแนวลูกครึ่งเกาหลีผสมไทย อยู่ในชุดสีขาวแสนสวยที่เปรอะเปื้อนด้วยรอยคราบเลือดเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ชวนขนลุกชันยิ่งนัก


“ธะ ธะ เธอรู้จักชื่อฉันได้ไง...ละ ละ แล้วเธอเป็นใคร” ฉันกลายเป็นโรคติดอ่างทันทีแต่ข่มใจถามออกไป

“ฉันจะให้เธอพบความจริงบางอย่าง...” ผีสาวผมยาวใบหน้าสวยแต่นัยน์ตาเศร้าเอ่ย พลางยกแขนสองข้างขึ้นกางออกหงายฝ่ามือขึ้นหาท้องฟ้า ซึ่งเวลานี้มีแต่ความมืดมิด โดยแสงสว่างที่ส่องมายังพื้นที่ฉันยืนอยู่มีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์เท่านั้น

และแล้วภาพแต่ละภาพที่ปรากฏตรงหน้าของฉันเหมือนกับภาพสไลด์ที่กำลังฉายเรื่องราวภาพยนตร์ความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่พระเอกและนางเอกในภาพยนตร์เรื่องนี้คือคุณอิทธิพลกับผีสาวตนนี้ เรื่องราวความรักของทั้งคู่กำลังไปด้วยดี เมื่อถึงตอนพระนางได้แต่งงานกันครบหนึ่งปีและกำลังเดินทางมาเที่ยวยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งดูคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็น...รีสอร์ตแห่งนี้



“ใช่แล้ว...นิชา ฉันกับพี่อิทธิพลเรามาเที่ยวที่รีสอร์ตนี้” ผีสาวอ่านความคิดของฉัน “กำลังจะถึงตอนสำคัญแล้วล่ะ” หล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าเมื่อบอกให้ฉันมองฉากต่อไปอย่ากระพริบตา
ภาพตอนสำคัญที่ฉันเห็น คือ ภาพประตูถูกเปิดออกเบาๆ พร้อมกับร่างของผู้ชายสองคนที่ใส่หน้ากากสีดำ ก้าวเข้ามาในห้องนอน แล้วชายฉกรรจ์ทั้งคู่ก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่ปกคลุมร่างกายของหล่อนออกจนเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่า แล้วชายทั้งสองก็เริ่มหาความสุขบนเรือนร่างของหญิงสาวที่มีอาการคล้ายคนเมาสุรา พร้อมกับบันทึกภาพวีดีโอทุกอิริยาบท ฉันเบือนหน้าหนี ทำไมเธอช่างโชคร้ายอย่างนี้นะ มณี ฉันเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ



“คุณอิทธิพล หาว่ามณีมีชู้ ด้วยการอ้างว่าได้รับภาพวีดีโอฉาวจากคนลึกลับและขอฟ้องหย่า ฮือ ฮือ ฮือ แต่มณีเป็นผู้หญิงที่เกิดมาในชาติตระกูลที่เป็นผู้ดีเก่า มณีอายหากเรื่องแบบนี้ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล คุณอิทธิพลจึงเสนอว่า เขาจะยกโทษและพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ ถ้ามณียกสมบัติทั้งหมดให้กับเขา มณีหลงเชื่อเขาจึงยินยอมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้เขาไป ฮือ ฮือ ฮือ”

“แล้วเธอ..เอ่อ..เอ่อ ตายยังไง” ฉันอ้อมแอ้มถามออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก

“ในตอนนั้น ฉันมันโง่ถูกปิดหูปิดตาด้วยความรักจากผู้ชายไร้น้ำใจ...ฉันถูกนายอิทธิพลไล่ออกจากบ้าน ฉันไม่มีทางเลือก คว้ามีดเล่มหนึ่งจากห้องครัว ฉันแค่จะขู่ให้เขาคืนสมบัติให้ฉัน แต่ฉันพลาดอย่างแรง...เขาโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ตอนนั้นฉันกลัวจึงแทงเขาไปที่ท้อง แล้ววิ่งหนีออกมา..” ผีสาวลำดับเหตุการณ์ให้ฉันฟังต่อ


“ฉันโดนตำรวจไล่จับ ฉันกลัวไม่รู้จะหนีไปซ่อนตัวที่ไหน จนนึกได้ว่า...ที่นี่เป็นบ้านพักของตระกูลเขา ฉันจึงหนีมาซ่อนตัว แต่โชคร้ายฉันเจอกับไอ้ผู้ชายเลวสองคนที่แบล๊คเมล์ฉัน พวกมันสะกดรอยตามฉันทุกฝีก้าว ตั้งแต่ที่ฉันถูกบันทึกภาพไป พวกมันต้องการเงินแต่ฉันไม่มีให้ พวกสารเลวนั่นทำร้ายฉันจนสะบักสะบอม ก่อนจะลากฉันไปที่ผาน้ำตก แล้วสร้างเรื่องว่าฉันกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ฮือ ฮือ ฮือ วิญญาณของฉันทุกข์ทรมานมานาน จนกระทั่งวันนี้ ฉันสามารถสื่อสารกับเธอได้นิชา เธอต้องช่วยเหลือฉันนะ ฮือ ฮือ ฮือ” หลังเล่าเรื่องจบผีสาวร้องไห้คร่ำครวญอ้อนวอนฉัน


“แล้วผู้ชายสองคนที่ทำร้ายเธอ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” ฉันเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“ป่านนี้พวกมันคงอยู่ในนรกอย่างมีความสุขไปแล้วนะสิ” ผีสาวตอบด้วยน้ำเสียงสะใจ

“หมาย..หมายความว่า เธอ...เธอ” ฉันอ้ำอึงที่จะพูด

“ใช่! ฉันหักคอมันตายเป็นผีไปแล้ว...แต่เธอไม่ต้องห่วง ฉันไม่ฆ่านายอิทธิพลหรอก แค่อยากให้ผู้ชายที่ไร้น้ำใจ ได้รับรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้น มันทำให้ฉันต้องตายแบบทุกข์ทรมานแค่ไหน

“แล้วฉันจะเชื่อเธอได้ไงว่าที่เธอพูดเป็นความจริง” ฉันยังไม่แน่ใจกับเรื่องที่ผีสาวเล่ารวมทั้งไม่มั่นใจว่าหล่อนจะรักษาคำพูด คราวนี้ผีสาวหันขวับมาทำหน้าถมึงทึงใส่ฉันทันที



“ฉันรู้นะ...ว่าเธอเป็นชู้กับไอ้หมอนั่น เธอหลงเสน่ห์มันใช่ไหม นิชา และฉัน...ยังรู้อีกว่า เธออิจฉายัยผู้หญิงคนนั้นที่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มันทิ่มตาแทงใจเธอใช่ไหมล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า !” ผีสาวตะโกนเสียงดังลั่น คำพูดแต่ละคำของหล่อนช่างเสียดแทงความรู้สึกของฉัน จนฉันทนฟังไม่ได้ ต้องรีบยกฝ่ามือปิดรูหูทั้งสองข้าง

“พอได้แล้ว ฉันไม่อยากฟัง!”

“ทำไมล่ะ ในเมื่อเธอเองก็คิดจะกำจัดขวากหนามทางรักของเธอไม่ใช่หรือ..ถ้าเกิดว่า..เรื่องนี้ถูกเปิดเผยรับรองว่ายัยผู้หญิงนั่น ก็ต้องถอนหมั้นกับชายคนรักของเธอเป็นแน่ ส่วนเธอ..นิชา ก็จะได้สมหวังไงล่ะ..” ผีสาวเอ่ยถึงผลประโยชน์ที่ฉันจะได้รับ

“แต่ถ้าฉันปฏิเสธล่ะ” ฉันถามอีกฝ่าย



คราวนี้จากผีสาวที่มีใบหน้าสวยซีด กลายมาเป็นภาพสยดสยองจนฉันแทบจะกลั้นความน่าสะอิดสะเอียนไม่ไหว หล่อนใช้มือสองข้างแหวะหน้าอก แล้วกระชากหนังศรีษะของตนเองจนหลุดติดมือออกมา ผีมณีกรีดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ก่อนอ้าปากแลบลิ้นสีแดงยาวที่มีหนอนสีขาวไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด กวัดแกว่งไปมาอยู่บริเวณใบหน้าของฉัน จากนั้นผีสาวยังใช้มือข้างซ้ายของมันควักลูกนัยน์ตาออกมาโชว์ให้ฉันเป็นของแถมอีกต่างหาก โอย คลื่นไส้เหลือเกิน อยากแหว่ะจะแย่อยู่แล้ว ฉันทนเห็นภาพสยองแบบนี้ไม่ไหวแล้ว อยากจะหนีไปจากตรงนี้เร็วที่สุด


“หยุด! หยุดได้แล้ว! ตกลง ฉันยอมแล้ว” ฉันลดมือที่ปิดหน้าปิดตาตัวเองลง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจของผีสาวชวนเอาฉันขนหัวลุกทีเดียว นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันต้องกลายมาเป็นเครื่องมือของยัยงผีตนนี้ด้วย



วันรุ่งขึ้น


ฉันรีบตื่นแต่เช้าแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อสีเนื้อคอวีลึกสวมกางเกงยีนต์เข้ารูป ตลอดทั้งวันฉันทั้งนั่งใกล้ชิด ทั้งทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคุณพิพิฐ แน่นอน นั่นทำให้คุณอิทธิพลไม่ค่อยพอใจ และเมื่อมีโอกาสช่วงปลอดคนคุณอิทธิพลดึงตัวฉันหลบเข้าไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วรัวคำถามอย่างไม่สบอารมณ์


“นิชา วันนี้คุณเป็นอะไร ผมเห็นคุณอี๋อ๋อกับนายพิพิฐเหลือเกินหรือว่าคุณมีใจให้หมอนั่น” เขาบีบที่ท่อนแขนแล้วเขย่าตัวฉันอย่างแรง จนฉันรู้สึกเจ็บ

“ ปล่อยนิชานะ..ทีคุณยังอี๋อ๋อกับคู่หมั้นได้เลยนี่คะ” ฉันพยายามแกะมือของเขาออกจากท่อนแขน

“นิชา ผมคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ” อิทธิพลเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย


“หมดธุระแล้ว ฉันขอตัวนะคะ คุณพิพิฐรอฉันอยู่” ฉันเอ่ยแล้วผละออกจากวงแขนของเขาอย่างไม่สนใจไยดี และแอบยิ้มอย่างสะใจ
คืนนี้แหล่ะที่ทุกคนจะได้รู้ความจริง ฉันรู้ว่าฉันเองก็คงเจ็บปวดกับสิ่งที่ทำ แต่ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ

และแล้วช่วงเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง ในคืนสุดท้ายนี้เจ้าของรีสอร์ตหรือที่พวกเราทุกคนเรียกกันว่า พี่อัฐ เข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วย

“เอาล่ะครับ คืนนี้ทางรีสอร์ตจะได้ดูแลพวกคุณเป็นคืนสุดท้ายแล้วนะครับ วันพรุ่งนี้ทุกๆ ท่านก็จะเดินทางกลับบ้านกันแล้ว คืนนี้ขอให้สนุกสุดเหวี่ยงกันทุกคนนะครับ” พี่อัฐเอ่ยขึ้น เมื่อเขาก้าวเข้ามานั่งร่วมวงหรรษาด้วย ฉันเห็นสบโอกาสที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน


ฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา สี่ทุ่ม พอดิบพอดี แล้วสักครู่ต่อมา ร่างกายของฉันก็สั่นเป็นเจ้าเข้า (น่าเป็นผีเข้ามากกว่า) ทุกคนในวงสุราแตกกระเจิงออกไปคนละทิศคนละทาง ฉันเห็นมีเพียงคุณพิพิฐ คนเดียวที่พยายามเรียกชื่อฉันและดูเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าคนอื่น ฉันสั่นอยู่สักพัก จนผมเพ้าที่มัดไว้หลุดรุ่ยลง ดวงตาโตเบิกกว้าง แข็งกร้าวไม่กระพริบ ลุกยืนเหยียดตัวตรงแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ มือขวายกขึ้นชี้นิ้วไปทางหน้าคุณอิทธิพลผู้เป็นเจ้านาย

“แก แก ไอ้ผู้ชายชั่ว ไอ้คนปลิ้นปล้อน ไร้น้ำใจ” น้ำเสียงที่เคยหวานปานน้ำผึ้งของฉันกลายเป็นเสียงดุดัน

“นิชา คุณเป็นอะไร! ” คุณพิพิฐและคุณอิทธิพลถามฉันเกือบพร้อมกัน


“ไอ้ผู้ชายคนนี้มันหลอกเอา สมบัติของฉันไป มันไม่ใช่คนดี” เสียงที่ออกมาจากปากของฉันกลายเป็นอีกเสียงหนึ่งที่ทุกคนไม่คุ้นเคย ใช่ เสียงของมณีนั่นเอง หรือว่าฉันกำลังถูกผีมณีเข้าสิง โอ้ไม่นะ! คุณพิพิฐ คุณอิท บัว นารี ช่วยฉันด้วย! ฉันถูกบังคับ ฉันพยายามร้องเรียกทุกคนหวังให้เขาได้ยินเสียงของฉัน แต่มันร้องไม่ออก ฉันกลัวเหลือเกิน ช่วยฉันด้วย!

“มันหลอกลวงฉัน มันหลอกให้ฉันยกสมบัติให้ แล้วมันก็ทิ้งฉันไปหาผู้หญิงคนอื่น” ผีมณีที่สิงอยู่ในร่างของฉันยังคงชี้หน้าและยืนยันด้วยน้ำเสียงดุดัน

“เฮ้ย! ผมเปล่านะ ผมไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ผม!” คุณอิทธิพลโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันและแสดงสีหน้างงงวยกับสิ่งที่ถูกกล่าวหา


“วันนี้แหล่ะ ฉันจะ ฆ่าแก...ตายซะเถอะ ไอ้คนสารเลว! แกตาย! ” ร่างของฉันปรี่เข้าไปหาคุณอิทธิพล สองแขนยกขึ้นหมายจะตรงเข้าไปบีบคอ

“เหวอ!..ว้าย! กร๊ด!” เสียงร้องที่ตะเบ็งแข่งกันออกมาด้วยความตกใจและหวาดกลัว คุณอิทธิพลยืนขาแข็งเป็นเสาซีเมนต์อยู่กับที่ ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น



ไม่นะ! ไม่! ฉันไม่อยากทำแบบนี้ หยุดนะ! มณี เธอโกหกฉัน! ฉันร้องห้าม ได้ผล มณีในร่างของฉันหยุดกึก ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ยัยนิชา...ยัยโง่เอ๊ย นี่แกคิดว่าแกเป็นใคร มีอำนาจต่อรองกับฉันหรือไง วันนี้ฉันจะแสดงให้แกเห็นว่า ผู้ชายคนที่แกรักนักรักหนาคนนี้ ตาย ด้วยน้ำมือของแกเอง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

ไม่นะ! ไม่! ฉันไม่อยากให้มันจบแบบนี้ พระเจ้าได้โปรดช่วยลูกด้วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วย นิชาด้วยค่ะ นิชาสัญญาว่าต่อไปจะไม่คิดทำผิดอีกแล้ว ได้โปรดช่วยด้วย ฮืฮ ฮือ ฮือ และก่อนที่มือทั้งสองข้างของฉันจะถึงคอหอยของชายผู้โชคร้ายที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงหน้า

“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงดังกังวานของชายแก่คนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของฉันพร้อมกับมีวัตถุบางอย่างส่องแสงสีทองอำไพ อยู่บริเวณรอบคอของฉัน จากนั้นมีเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุดดังขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะเห็นลำแสงสีดำพุ่งออกมาแล้วจางหายไป จากนั้นสติสัมปะชัญญะของฉันก็ดับวูบลง
ไม่กี่นาทีต่อมา ฉันก็รู้สึกตัวเมื่อมีความชื้นเย็นสัมผัสอยู่บริเวณใบหน้ากับตามท่อนแขน



ฉันค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นมอง กระพริบตาถี่ๆ หลายครั้งจนสามารถปรับสภาพได้แล้ว บัวกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เปียกหมาดๆ เช็ดใบหน้าและท่อนแขนของฉัน ซึ่งเวลานี้ฉันรู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วสรรพางค์

“นิชา คุณเป็นอย่างไรบ้าง ...คุณ รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม” เสียงถามที่เกือบจะพร้อมกันของคุณอิทธิพลและคุณพิพิฐ ทำไม ผู้ชายสองคนนี้ต้องพูดพร้อมๆ กันด้วยนะ ฉันคิดในใจ

“มันเกิดอะไรขึ้นกับนิชาคะ” ฉันแสร้งถามออกไป แล้วชายแก่อายุราวหกสิบเศษ เป็นผู้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเอ็นดู

“แม่หนู โดนผีนังมณีเข้าสิง แต่ตอนนี้มันออกไปแล้ว...ถ้าลุงมาช้ากว่านี้ ป่านนี้แม่หนูคงตกเป็นฆาตกรไปแล้วล่ะ...ว่าแต่หนูไปทำอีท่าไหนให้มันเข้าสิงได้ล่ะ”

“เอ่อ คือ หนู คือ เอ่อ...หนูก็ไม่รู้เหมือนจ๊ะลุง” ฉันอ้อมแอ้มปฏิเสธออกไป
“แล้วผีมณีเป็นใคร ทำไมต้องมาสิงนิชาและคิดฆ่าคุณอิทธิพลด้วยครับลุง ถ้าลุงรู้เรื่องอะไรบอกพวกเราหน่อยสิครับ” คุณพิพิฐแสดงเจตนาอยากรู้รวมทั้งคุณอิทธิพลและคนอื่นๆ ที่พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย


อย่าพูดนะลุง ขอร้องล่ะโธ่ คุณอิทธิพล จะให้ลุงเล่าทำไม ก็ในเมื่อเป็นเรื่องที่ไม่ดีของตัวคุณเองแท้ๆ ฉันนั่งหลับตาปี๋ลุ้นระทึกอยู่ในใจ คุณลุงถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นมา

“นังมณี มันเป็นลูกเลี้ยงของลุง ตั้งแต่แม่ของมันตายลุงก็ฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างดีโดยตลอด ตอนเด็กๆมันก็ว่านอนสอนง่ายดีอยู่หรอกแต่พอมันโตเป็นสาว มันกลับมีนิสัยขี้อิจฉา ทะเยอทะยาน อยากสุขสบายเป็นคุณนาย มันก็เลยเสนอตัวเองยอมเป็นเมียน้อยท่านเจ้าสัว ซึ่งก็คือเจ้านายเก่าของลุงเอง แต่มณีมันเดินทางผิด มันแอบไปมี ชู้ ซึ่งก็คือ เจ้าประพล ลูกน้องของท่านเจ้าสัว



ต่อมามณีถูกจับได้ว่าคิดไม่ซื่อจะวางยาฆ่าเจ้าสัวเพื่อเอาสมบัติแล้วหนีไปกับชายชู้ เจ้าสัวจึงไล่นังมณีออกจากบ้าน มันก็หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ที่บ้านสัปรังเคของไอ้พลซึ่งตอนนั้นมันก็มีผู้หญิงอื่นอยู่ด้วย ส่วนสมบัติที่นังมณีเอาติดตัวไปก็ถูกไอ้พลขายเอาเงินไปเข้าบ่อน กินเหล้ากินยาจนหมด...” ชายชราหยุดพักหันไปหยิบแก้วน้ำมาดื่มดับกระหายก่อนเล่าต่อ ส่วนฉันนิ่งเหวอ กับสิ่งที่ได้ยินช่างแตกต่างจากที่ผีมณีเคยบอกฉัน


“พอเงินหมดบ้าน มันก็ขายนังมณีให้กับพวกเพื่อนของมัน ด้วยการวางยาให้นังมณีดื่มเพื่อให้มีอารมณ์ ทางเพศจากนั้นพวกเพื่อนของมันก็พานังมณีไปที่บ้าน แล้ว...แล้ว...” ชายแก่เล่าถึงตรงนี้แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ปริ่มล้นออกจากเบ้าตา ก่อนสะกดอารมณ์ตัวเองด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยต่อ



“พวกมันเห็นมณีเป็นสิ่งระบายความใคร่ เท่านั้นไม่พอ ไอ้พวกจิตวิปริตมันยังถ่ายวีดีโอแล้วอัดแจกไปทั่ว...พอมณีมันฟื้นขึ้นมา มันก็รีบมาหาลุงเล่าทุกอย่างให้ฟัง ลุงไปขอร้องท่านเจ้าสัวให้อนุญาตให้มันกลับมาอยู่กับลุง แต่ท่านก็ไม่อนุญาต นังมณีมันทั้งเสียใจแค้นใจและอับอาย สุดท้าย มันก็เลยกินยาตายอยู่ที่ห้องพัก ซึ่งหลังจากนั้น ห้องพักที่นังมณีตาย ก็ไม่เปิดให้ใช้งานอีกเลย จนกระทั่ง คุณอัฐ เข้ามาซื้อกิจการต่อและให้ปรับปรุงห้องพักใหม่ทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงห้องพัก หมายเลข สี่ นั่น” ลุงผู้เล่าเรื่องชี้นิ้วไปทางห้องพักซึ่งห้อง หมายเลข สี่ ก็คือห้องพักของฉันเอง



“แล้วคุณอิทธิพล เข้าไปเกี่ยวได้ยังไงคะ” ฉันถามด้วยความสงสัย
“อ๋อ...เรื่องนั้น ฮะ ฮะ ฮะ” ลุงผู้เป็นบิดาของผีสาวหัวเราะเล็กน้อยก่อนตอบ “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ตาม มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับผีนังมณีอยู่แล้วครับ ยกเว้นไอ้พวกตัวต้นเหตุนั่น...แต่ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าสิ่งที่ผีมณีพูด หรือให้พวกคุณเห็นภาพอะไรก็ตาม มันเป็นการสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาของนังมณีทั้งนั้น ที่นังมณีทำแบบนี้ เพราะมันเป็น ผีขี้อิจฉาริษยา ครับ มันเห็นสามีภรรยาคู่ไหนหรือคนที่เป็นแฟนกันก็ตาม มีความรักความสุขกัน หรือรู้ว่าใครแอบกิ๊กใคร มันจะแกล้งให้แตกคอ พูดใส่ร้ายป้ายสีอีกฝ่ายเพื่อให้ทะเลาะกัน แล้วถ้าใครจิตอ่อนหรือมีจิตอิจฉาอยู่ด้วยแล้ว นังมณีจะสามารถสื่อสารเข้ามาได้ง่าย และถ้าหากมันเห็นผู้ชายหล่อๆ หน้าตาดีแบบพ่อหนุ่มคนนี้” ลุงพุดชี้มายังคุณอิทธิพล

“นังมณีมันชอบ มันอยากพาไปอยู่ด้วย มันไม่ชอบพวกคนโสด...ตอนมีชีวิตอยู่มันขี้อิจฉา ชอบแย่งของคนอื่น ตายไปแล้วมันก็ยังไม่เลิกนิสัยเดิมหรอกครับ”
“เอ้า ลุงพุด ..ถ้าอย่างงั้นหมายความว่า ผมซื้อรีสอร์ตแห่งนี้มาจากลูกชายท่านเจ้าสัว โดยมีของแถมเป็นผีมาด้วยหรือเนี่ย” พี่อัฐ เบียดตัวเองออกมาจากกลุ่มคนฟัง เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ



“ก็ทำนองนั้นแหล่ะครับ... เพราะเมื่อก่อนนี้ก็โดนผีมณีหลอกไปหลายคู่แล้ว จนคุณพอล ลูกชายท่านเจ้าสัวทนทำกิจการต่อไปไม่ไหวก็เลยขายให้คุณอัฐในราคาถูก และผมก็เลยถือโอกาสขอมาทำงานกับคุณอัฐนี่แหล่ะครับ” ลุงพุด ผู้ช่วยดูแลรีสอร์ตแห่งนี้มาโดยตลอดเอ่ยตอบ

“แล้วทำไม….ลุงไม่บอกผมตั้งแต่แรกล่ะ ครับ ลุ๊ง...ฮือ ฮือ โอ๊ย! ไอ้ อิท กิจการพี่จะเจ๊งไหมวะเนี่ย พี่อยากตายว่ะ” คุณอัฐร้องครวญแล้วหันไปกอดน้องชาย



“ลุงก็ตั้งใจจะบอกกับคุณอัฐ แต่ตอนนั้นลุงต้องกลับไปช่วยงานบ้านเจ้าสัวที่กรุงเทพฯก่อน พอลุงกลับมาถึงที่นี่คุณอัฐปรับปรุงเสร็จแล้ว แต่ยังโชคดีที่ตอนนั้น ห้องหมายเลขสี่ เหลืออยู่ห้องเดียวที่ช่างแอร์ยังไม่มาซ่อมก็เลยเปิดให้ใช้งานไม่ได้และยังมีแขกมาพักน้อยจึงยังไม่มีใครโดนผีมณีเล่นงานครับ...แต่ไม่ต้องห่วงนะครับคุณอัฐ ลุงได้ไปนิมนต์ท่านพระครูซึ่งเป็นญาติห่างๆ กับลุงมาที่รีสอร์ตแล้ว พรุ่งนี้เช้าพระคุณเจ้าจะมาถึงที่นี่ ลุงว่าจะมาขออนุญาตคุณอัฐอยู่พอดีเลยครับ”


“ไม่ต้องมาโขง มาขอ อะไรแล้วลุง รีบๆ ทำไปเลย ผมอนุญาตเต็มที่ ขอแค่ผีมณีไปที่ชอบๆ อุทิศส่วนกุศลไปให้จะได้ไปผุดไปเกิดสักที” เห็นท่าทางของพี่อัฐแล้ว ฉันและคนอื่นๆ ต่างพากันขบขันหัวเราะชอบใจกันใหญ่



สำหรับฉันแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้ช่างหักมุมเหลือเกิน แต่อย่างน้อยเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ทำให้ฉันได้กลับมาทบทวนถึงการกระทำของตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วฉันก็คงไม่ต่างกับผีมณีที่มีนิสัยขี้อิจฉา อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีและเป็นอยู่รวมทั้งความคิดอยากเอาชนะโดยไม่คำนึงถึงผลเสียอื่นๆ ที่จะตามมา



ฉันรู้แล้วว่าเมื่อกลับไปถึงกรุงเทพฯ ฉันจะจัดการเรื่องราวชีวิตความรักของตัวเองอย่างไรดี แต่รับรองว่าทางออกย่อมสวยงามแน่นอน ! ฉันรู้สึกคุ้มค่าที่ได้มาเที่ยวครั้งนี้ ถึงจะมีประสบการณ์สยองเป็นโปรโมชั่นพิเศษแถมมาด้วยก็ตาม.

****



Create Date : 30 มีนาคม 2554
Last Update : 12 มีนาคม 2555 12:07:11 น.
Counter : 310 Pageviews.

2 comment

radakorn
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ

เจ้าของบล็อคนี้ชอบอ่านหนังสือทุกแนว จึงทำให้เขียนนิยายหลายแนวไปด้วย และสนใจถนัดเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย รูปร่าง ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน หน้าตาผิวพรรณ ความงามต่างๆ พร้อมยังมีสินค้าอาหารเสริมทุกชนิดและเครื่องสำอางของแท้ ของดี ราคาย่อมเยาอีกด้วยค่ะ

ติดต่อ หรือ สั่งซื้อสินค้า ได้ที่ 087 - 6811455
อีเมล cakecareshop@gmail.com

งานเขียนในเวบนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ห้ามคัดลอกดัดแปลง เผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นอาจมีความผิด ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537

เพื่อนๆ สามารถเข้าชมใน Facebook ได้ค่ะ